ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) Who's the killer ?

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter ︳Zero

    • อัปเดตล่าสุด 16 มี.ค. 57


     

         ZERO - 0

               

                 ซ่า... 

                ผมนั่งมองกระจกหน้ารถที่มัวไปด้วยไอน้ำจนแทบมองไม่เห็นหนทางข้างหน้า บวกกับช่วงเวลาที่ดึกมากแล้วยิ่งทำให้ความสามารถในการมองเห็นแย่เข้าไปอีก ยังดีที่มีแสงไฟสลัวข้างทางที่คอยเตือนเราอยู่กลายๆว่าตรงไหนเป็นถนน ตรงไหนเป็นต้นไม้ ไม่อย่างนั้นเราคงได้เป็นเหมือนอย่างรถบีเอ็มที่ขับชนเสาข้างทางเมื่อสิบนาทีก่อนแน่ๆ ผมไม่รู้ว่าคนในรถนั้นตายหรือยัง แต่ดูจากสภาพฝากระโปรงรถทำให้ผมตัดสินใจที่จะไม่บอกให้แบคฮยอนจอดรถและลงไปช่วยท่ามกลางพายุฝนกระหน่ำ 
     

                แบคฮยอน เพื่อนสนิทของผมกำลังเลือกขนมปังอยู่ในร้านสะดวกซื้อในขณะที่ผมนั่งรออยู่บนรถข้างๆที่นั่งคนขับ และแน่นอนว่าแบคฮยอนเป็นคนขับตั้งแต่ออกมาจากบ้าน แต่ไม่ใช่ว่าผมขับรถไม่เป็นหรอกนะ แต่การขับรถยนต์ในขณะที่ถนนลื่น ฝนตกหนัก และถนนหนทางมืดขนาดนี้ไม่ใช่แนวของผมเลย ว่าไปตามจริงก็คือกลัวนั่นเอง ถึงแม้ว่าแบคฮยอนจะไม่ต่างอะไรกับผมก็เถอะ 
     

                “คยองซู” แบคฮยอนเคาะกระจกเบาๆให้ผมปลดล็อกรถฝั่งคนขับจากด้านในเมื่อผมมองไม่เห็นว่าเขาได้ซื้อเสร็จเรียบร้อยแล้ว 
     

                “นายซื้ออะไรมาบ้าง ได้ซื้อกาแฟมาหรือเปล่า” ผมถามพลางควานดูของในถุงไปด้วย 

                “นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบกาแฟ นายก็ไม่ชอบนี่นา” 

                “แต่นายจำเป็นต้องดื่มมัน เกิดหลับขึ้นมากลางทางจะว่ายังไง นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว?” 

                แบคฮยอนไม่ได้ตอบ เพียงแต่ยักไหล่เบาๆและสตาร์ทรถเตรียมพร้อมออกเดินทาง 
     

                เราสองคนเป็นเด็กต่างจังหวัดที่บ้านห่างไกลกันคนละแถบ แต่ได้มารู้จักกันเพราะพ่อส่งผมไปเรียนมหาลัยที่อเมริกา ใช่ เป็นประเทศที่ใครได้ฟังก็คงคิดว่าที่นั่นต้องมีคนต่างชาติไปเรียนเยอะแน่ คงเจอเพื่อนไม่มากก็น้อย แต่น่าตลกที่ในมหาลัยมีแค่ผมกับแบคฮยอนที่เป็นคนเกาหลี พวกเราจึงสนิทกันเป็นธรรมดา 
     

                หลังจากเรียนจบก็กลับมาหางานทำที่นี่ พวกเราตั้งใจจะทำงานที่เดียวกัน เนื่องจากงานที่เมืองหลวงมันเต็มหมดแล้ว หรืออาจเป็นเพราะพวกเราจนปัญญาที่จะหา จึงตัดสินใจหาแถวต่างจังหวัดดีกว่า มันไม่ได้แย่อย่างที่คิดนะ ที่ที่ผมกับแบคฮยอนจะไปนั้นเป็นเมืองที่เจริญพอสมควร ไม่ต่างจากเมืองหลวงเท่าไรนักหรอก  อย่างน้อยมันก็เป็นงานที่ได้เงินดีก็แล้วกัน 

                เพราะเหตุนี้แบคฮยอนจึงต้องขับรถสุดหรูของตัวเองไปสัมภาษณ์งานที่นั่น พร้อมกับผม 
     

                ตุบ! 
     

                “เฮ้ย! 
     

                กิ่งไม้อันเท่าแขนปลิวมากระแทกกระจกหน้ารถอย่างจัง แบคฮยอนหักพวงมาลัยด้วยความตกใจ ผมได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของล้อรถที่บดกับถนน ถือเป็นเรื่องดีที่ถนนแถวนี้ไม่มีรถสักคันนอกจากเรา 
     

                “มันมาได้ยังไงเนี่ย” แบคฮยอนบ่นพลางถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่เป็นอะไรมากกว่านี้ 

                “คงจะเป็นเพราะพายุน่ะ ดูต้นไม้พวกนั้นสิ”  
     

                ผมชี้ให้ดูต้นไม้ข้างทางที่เอนไหวไปมาอย่างน่ากลัว ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ผมแทบแยกต้นไม้กับความมืดไม่ออกแล้วด้วยซ้ำ มันมืดไปหมด แสงไฟช่วยอะไรไม่ได้เลย 

                “นายพูดว่าไงนะ?” แบคฮยอนพูดเสียงดังขึ้น พวกเราแทบพูดกันไม่ได้ยินด้วยซ้ำ มีเพียงแค่เสียงน้ำฝนที่ก้องอยู่ในหู 

                “ฉันว่าเราจอดรถกันก่อนดีมั้ย นายขับไปไม่ไหวหรอก” ผมแนะนำเขา  

                “แต่อีกแค่ไม่กี่ไมล์เราก็จะเข้าเมืองได้แล้วนะ” 

                “ถึงเข้าเมืองได้แล้วยังไงเราก็ต้องไปต่ออีกหลายไมล์อยู่ดี นายขับไหวเหรอ” 
     

                จริงอยู่ที่เราต้องไปถึงที่นั่นภายในคืนนี้ เพราะเรามีโรงแรมในเมืองที่จองไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่มันต้องขับจากในเมืองไปอีกไกลพอสมควร อย่างน้อยก็ครึ่งชั่วโมง และดูจากท้องฟ้าสีเทาเข้มนี้ผมเดาว่าฝนจะไม่มีทางหยุดนตกได้ง่ายๆแน่  
     

                “ฉันขับไหว” ดูท่าเพื่อนผมจะบ้าไปแล้วแน่ๆ แบคฮยอนเพิ่งได้ใบขับขี่มาสองเดือนเองนะ! 

                “แต่นายดูรอบๆสิ มันมีแต่ป่า ฉันมองทางไหนก็มีแต่ป่า ไม่มีบ้านเลยสักหลัง แม้แต่รถสักคันก็ยังไม่มี ตั้งแต่เราออกมาจากร้านสะดวกซื้อนั่นมาได้ครึ่งชั่วโมงเราก็ไม่เจอใครสักคนเลยนะ” 

                “ก็นั่นละที่ฉันกังวล คยองซู นายลองคิดดูสิ ถ้าจอดรถตอนนี้เราจะทำอะไรได้? อาหารละมีมั้ย? แค่หาที่จอดรถเพื่อหลบฝนยังไม่มีเลย มันกลางคันเกินไป” 


                ผมเริ่มเกิดอาการเถียงไม่ออก ได้แต่นั่งกอดอกหันมองความมืดข้างหน้าต่าง เหลือบมองนาฬิกาข้อมือพบว่าเป็นเวลาห้าทุ่ม นั่นยิ่งทำให้รู้สึกไม่ดีเข้าไปอีก 
     

                “แล้วนายจะทำยังไง?” 

                “ตอนนี้น้ำมันเหลืออยู่ครึ่งถัง คงไปได้อีกหลายไมล์ ไว้ค่อยหาที่พักในเมืองแถวนั้นไปก่อนก็แล้วกัน” 

                “อืม” 

                ผมตัดสินใจไม่พูดอะไรไปตลอดทาง ผมกลัวคนข้างๆจะเสียสมาธิ ผมไม่อยากให้แบคฮยอนหันหน้าไปทางอื่นนอกจากทางข้างหน้าแม้แต่เสี้ยววิ 
     

                ซ่า.. 

                “อ๊ะ!” ผมสะดุ้งเมื่อมีน้ำสาดกระเซ็นเต็มหน้าต่างฝั่งผม 

                ให้ตายเถอะ น้ำกำลังท่วมถนน! ยิ่งขับเข้าไปลึกเท่าไหร่ ระดับน้ำยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น 
     

                “แบคฮยอนน้ำท่วมนะ”  

                “ฉันรู้แล้วน่า ก็พยายามขับฝ่าไปนี่ไง ว่าแต่มันจะท่วมได้ยังไงกัน”  

                “มันอาจจะมีอะไรไปขว้างทางเดินน้ำไม่ให้ระบายก็ได้ ฉันว่าเรากลับรถกันเถอะ ก่อนที่รถจะเสีย”  

                ผมว่าเราตกที่นั่งลำบากแล้วล่ะ ระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆ ขืนขับต่อไปเครื่องยนต์ต้องดับแน่ๆ 

                “ขอไปอีกหน่อยเถอะน่า ฉันอยากรู้ว่าทำไมน้ำถึงท่วมทางแบบนี้”  
     

                พวกเราตัดสินใจขับต่อไป ไม่สิ แบคฮยอนคนเดียวต่างหาก ผมพยายามห้ามเขาแล้วนะ 

      

                แต่ในที่สุดแบคฮยอนก็ต้องกลับรถจนได้ เพราะอะไรน่ะเหรอ? เราเจอสาเหตุของน้ำท่วมถนนแล้ว ต้นไม้ต้นใหญ่สองต้นโค่นล้มกั้นถนนไว้น่ะสิผมยังจำตอนที่เขาหงุดหงิดและพาลใส่ผมได้ แบคฮยอนงี่เง่าใช่มั้ยล่ะ ผมชินตั้งแต่อยู่ที่อเมริกาแล้ว แบคฮยอนไม่เคยโทษตัวเองหรอก ไม่เคยเลยสักครั้ง 
     

                ตอนนี้เรากลับรถย้อนกลับมาทางเดิมได้ราวๆสิบห้านาที เราไม่พูดอะไรกันเลย มีแต่บรรยากาศที่อึดอัด ในหัวผมตอนนี้กำลังคิดว่าจะทำยังไงดี เส้นทางนี้เป็นทางเดียวที่จะเข้าเมือง แต่มันถูกปิดไปแล้วด้วยต้นไม้ต้นใหญ่นั้น น้ำก็ท่วม ต่อให้รถหรูแค่ไหนก็ฝ่าไปไม่ได้หรอก  


                “ให้ตายเถอะ อย่าเพิ่งน่า” แบคฮยอนสบถอะไรบางอย่างท่ามกลางความเงียบ 

                “ทำไมเหรอ?” 

                “รถน่ะสิ เครื่องยนต์กำลังจะดับ สงสัยน้ำเข้ามากเกินไป” 

                แบคฮยอนพูดจบได้ไม่กี่นาที รถก็ดับจริงๆ ต่อให้สตารท์เครื่องกี่รอบก็ไม่ติด แบคฮยอนทึ้งหัวจนมันยุ่งเหยิงไปหมด 

                “โถ่เว้ยมาเสียอะไรกลางถนนแบบนี้วะ ไอรถเส็งเคร็ง!”  

                “ใจเย็นน่า มันต้องมีทางออกสิ เดี๋ยวฉันจะโทรหาคนให้มาช่วยก็แล้วกัน” 

                ผมกล่อมให้เขาใจเย็นๆก่อนที่จะพาเราเครียดไปมากกว่านี้ แต่ก็ต้องกุมขมับอีกรอบเมื่อมือถือไม่มีสัญญาณเลย ทั้งของผมและของแบคฮยอน 

                “ 
     

      ปัง!  
     

    “เฮ้ นายจะออกไปไหนน่ะ!?” 

    แบคฮยอนเปิดประตูออกไปข้างนอกและปิดใส่หน้าผมอย่างแรงก่อนที่ผมจะถามเขาได้ทัน 

    ให้ตายเถอะ หมอนี่พาลอีกแล้ว จะทำอะไรของเขา? ออกไปยืนทะเล่อทะล่ากลางถนนจนตัวเปียกโชกเนี่ยนะ? 
     

    ขณะนั้นไฟหน้าของรถยนต์คันนึงก็สาดเข้ามาใกล้ขึ้นจนผมต้องหันไปมองที่ต้นทาง เห็นรถคันนึงที่กำลังขับมาทางนี้ แบคฮยอนยืนจังก้ากลางถนนและโบกมือขอความช่วยเหลือ 
     

    “คุณจอดรถก่อนได้มั้ย” แบคฮยอนตะโกนแข่งกับเสียงฝน 
     

                ราวกับว่าได้ยิน รถคันนั้นถูกจอดต่อจากคันของเรา เจ้าของลดกระจกหน้าลงและชะเง้อหน้าออกมาด้วยใบหน้าทีงงงวย 

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ” ชายคนนี้ดูรุ่นราวคราวเดียวกับเรา หน้าตาดูดีเลยทีเดียว 

    “คุณจะเข้าเมืองใช่หรือเปล่า ผมเตือนว่าอย่าไปเลย น้ำท่วมน่ะ” 

    “เอ่อ เอางั้นก็ได้ แล้วพวกคุณต้องการอะไร” ชายคนนั้นยังไม่มีท่าทีจะออกมาคุยเสียทีเดียว 

    “รถพวกเราเสีย และเราต้องการที่พักเพื่อรอให้ฝนหยุด คุณพอจะช่วยได้มั้ย” 

    “ช่วยได้ก็เหมือนไม่ได้ ผมคิดว่าน้ำมันผมมีไม่พอที่จะพาพวกคุณย้อนกลับไป”
     

    ” ผมตัดสินใจลงมาจากรถและเดินไปหาพวกเขา แบคฮยอนตีหน้าเครียดอีกครั้ง 

                “เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกนายชื่ออะไร?” ชายแปลกหน้าบนรถถามเสียงเรียบ พวกเรามองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปคนละทาง 

    “ฉันชื่อแบคฮยอน” 

    “ฉันชื่อคยองซู” 

    “ฉันชื่อจงแด และพวกนายควรจะหอบสัมภาระขึ้นมาบนรถฉันและไปจากตรงนี้กัน” 

    “เอ่อ นายหมายความว่าจะให้พวกเราติดรถไปด้วยใช่มั้ย” ผมถามน้ำเสียงตื่นเต้น 

               “อ่าฮะ” สิ้นเสียงของจงแด พวกเรารีบกลับเข้าไปในรถเพื่อเอากระเป๋าเสื้อผ้าที่เตรียมมาเพื่อนอนค้างที่โรงแรมโดยเฉพาะย้ายมาที่รถของเขาทันที 

      

    “ฉันถามได้มั้ยว่าพวกนายจะไปไหน”  

    “พวกเราจะไปสัมภาษณ์งานในเมือง แล้วนายล่ะะ” 

    “ฉันเป็นอาจารย์  ถูกเรียกตัวไปบรรจุที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองเหมือนกัน” จงแดตอบเสียงเรียบ 

                ผมว่าเขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าแบคฮยอนเยอะเลย มันทำให้ผมสบายใจกว่าอยู่บนรถคันนั้นตั้งเยอะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเปรียบเทียบแบบนั้นนะ แต่มันน่าคิดจริงๆนี่ 
     

                “แล้วเราจะไปไหนกัน” คราวนี้ผมเป็นคนถามบ้าง เมื่อเห็นขีดสีแดงๆเข้าใกล้ตัวEมากขึ้นทุกที นั่นหมายความว่าน้ำมันกำลังจะหมด 

    “หาบ้านคน ฉันเห็นบ้านหลังใหญ่ก่อนจะขับเข้ามาที่นี่ประมาณสองชั่วโมงได้” 

    “แต่นั่นมันไกลเกินไป น้ำมันนายมีไม่พอ”  

    “ก็ต้องลองเสี่ยงดู ไปได้ถึงไหนก็เท่านั้น แล้วค่อยขอความช่วยเหลือกัน” 

     
     

    ผมมองหน้าแบคฮยอนอีกครั้ง เราแทบจะสื่อสารกันทางสายตาได้ อารมณ์ประมาณว่า 

    นี่มันก็ไม่ต่างกับพวกเราตอนที่รถเสียสักเท่าไรนักหรอก!’  

    และ 

    เรามากับเขาทำไมเนี่ย!? 

    ใช่ เราคิดว่ามากับเขาแล้วจะช่วยให้เราไปจากที่นี่ได้ แต่ไม่เลย ยังไงเราก็ต้องขอความช่วยเหลืออยู่ดี 

      
     

    โครม! 
     

    “คยองซูระวัง!”  
     

    เพล้ง! 

                แบคฮยอนกดหัวผมให้หมอบลงก่อนที่กระจกหน้าต่างจะบาดเนื้อตัวผม เราสามคนต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะรับรู้สถานการณ์ตอนนี้ได้ ไม่มีใครขยับตัวไปไหน ผมได้ยินเสียงร้องโอดโอยของจงแดที่นั่งอยู่ที่ประจำคนขับ ผมกอดแบคฮยอนแน่นจนตัวสั่น 

    “บ้าเอ้ย พี่มันบ้าไปแล้วที่ลงไป กลับเข้ามานะ! เราอาจจะโดนจับข้อหาขับรถโดยประมาท! 

                เสียงแหลมของผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลทำให้ผมเงยหน้ามองสถานการณ์รอบๆ ผมได้กลิ่นเลือด รถของจงแดถูกพุ่งชนจากด้านหลัง กระจกแตกละเอียด น้ำฝนสาดกระเซ็นเข้ามาในรถจนเบาะเปียกโชก 

    “พี่เป็นคนขับชนนะซูจอง เราจะหนีความผิดได้ยังไง เราต้องรับผิดชอบเขา! 

                เสียงผู้ชายแทรกขึ้นมาอีก ผมสะกิดแบคฮยอนให้หันหลังไปดู เห็นแสงไฟจากรถอีกคันที่สว่างจ้า มีผู้ชายคนนึงที่เพิ่งลงมาจากรถและเดินมาทางพวกเรา 

                “พวกนายเป็นอะไรมากหรือเปล่า ฉันขอโทษ ฉันมองไม่ห็นรถของนาย ฝนมันตกจนกระจกหน้ามัวไปหมด”  

                ผมนึกคำด่าเขาไม่ออก มันเกิดขึ้นเร็วมากจริงๆ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าควรจะกล่าวโทษหรือขอบคุณเขาดีที่ยังมีน้ำใจพาเราลงจากรถและย้ายไปที่รถของเขาแทน ผมเห็นผู้หญิงที่น่าจะชื่อซูจองคนนั้นนั่งกอดอกไม่พูดไม่จาอยู่หลังรถ เธอทำเป็นไม่สนใจว่าพวกผมเข้ามาในรถ  

    “ฉันชื่ออี้ชิง คนนั้นชื่อซูจอง เป็นน้องสาวของฉัน” 

    อี้ชิงพยุงจงแดที่หัวแตกจากแรงกระแทกมานั่งที่เบาะข้างคนขับ 

               “ฉันต้องพาเขาไปโรงพยาบาลในเมือง เรื่องรถเดี๋ยวฉันจะจัดการให้” อี้ชิงขนย้ายข้าวของของพวกเราจากรถจงแดมาที่หลังรถ ผมมองเขาทำทุกอย่างอยู่คนเดียว ในขณะที่คนอื่นๆนั่งรอยู่บนรถ ผมรอจนเขาจัดการปิดฝากระโปรงหลังรถเสร็จและเปิดประตูเข้ามานั่งฝั่งคนขับจึงเปิดปากพูด 

    “เราเข้าเมืองไม่ได้ น้ำท่วมทางข้างหน้าหมดแล้ว เราต้องหาที่พัก” 

              “แต่แถวนี้ไม่มี 

                “จงแดบอกว่ามีบ้านหลังใหญ่อยู่แถวๆปากทาง เราต้องย้อนกลับไปทางเดิมที่เคยมาและหาบ้านหลังนั้น มันเป็นบ้านหลังเดียวที่เห็น” 

                แบคฮยอนพูดแทรกก่อนที่อี้ชิงจะพูดจบ ตอนนี้จงแดสลบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาจจะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ทั้งๆที่แผลก็ไม่ได้สาหัสอะไรมากมาย จะว่าไปแล้วผมก็โดนกระจกบาดฝ่ามือด้วยละ น่าแปลกที่เพิ่งมารู้สึกเจ็บเอาตอนนี้  

    “โอเค ฉันจะไปที่นั่น” อี้ชิงตอบทันทีโดยไม่คิดอะไร 

    ” ผมหันมองข้างๆ ซูจองเบ้ปากเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น 

    ผมไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยชอบพวกผม แน่ละสิ พวกเราทำให้เธอเสียเวลานี่นา
     
     

                “พวกนายจะไปที่ไหนกันเหรอ” ผมถามโดยตั้งใจใช้คำว่าพวกนาย เพื่อให้ดูไม่น่าเกียจและถือโอกาสถามเธอโดยอ้อมๆ 

    “แอตแลนต้า” 

    ” ผมและแบคฮยอนอึ้งไปกับคำตอบของเธอ ซูจองพูดเสียงนิ่งโดยไม่หันมามองพวกเรา 

    “พูดเป็นเล่นน่าซูจองเอ่อ พวกเราแค่มาเที่ยวที่นี่ในวันหยุดน่ะ ได้ยินมาว่าเมืองที่นี่สถานที่ท่องเที่ยวเยอะ” 

    “พี่สัญญาว่าวันหยุดจะพาไปแอตแลนต้า แต่สุดท้ายก็พามาเที่ยวเมืองบ้านนอกนี่” 

    ”  

    “เหอะ” 

      

    +++++++++++ 

      

                “ใช่บ้านหลังนั้นหรือเปล่า” แบคฮยอนชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่งที่อยู่ทางขวามือ 

                มันเป็นบ้านที่สมควรเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่า เพราะถูกออกแบบมาอย่างดี มีแค่สองชั้น แต่พื้นที่กว้างมาก มีสนามหญ้ารอบบ้าน มีลานจอดรถที่ว่างเปล่า ตัวบ้านถูกทาด้วยสีครีม หลังคาสีน้ำตาลเข้ม 

                นี่มันบ้านในฝันของผมและใครหลายๆคน 

                “ไม่ใช่ก็ต้องใช่ มันก็มีอยู่หลังเดียวนี่ละ” 

                ประตูรั้วเปิดอ้าไว้ อี้ชิงจึงขับเข้าไปได้ง่ายๆ ภายในบ้านเปิดไฟสว่างจ้า นั่นอาจมีคนอยู่ 

                “นี่ไม่เป็นการบุกรุกบ้านคนอื่นเหรอ?” 

                “เปล่าซะหน่อย เราแค่ขอหลบฝน เขาคงไม่ใจจืดใจดำขนาดนั้นหรอก” 

      

                ผมลงจากรถพร้อมกับคนอื่นๆ อี้ชิงเป็นคนเดินไปกดกริ่งในขณะที่พวกเรายืนรออยู่ในลานจอดรถที่มีหลังคาบังฝนไว้อยู่  

                “สวัสดีครับ มีใครอยู่มั้ยครับ” 

                “” ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา 

                “สวัสดีครับ” 

                “ 

                “เอ่อ พวกเรามาดีนะครับ เราแค่อยากหลบฝน แล้วหนึ่งในเพื่อนเราก็บาดเจ็บด้วย” 

                “ 

                ก๊อกๆๆๆๆ  

                “อยู่มั้ยครับ” 

                “ 

                “อี้ชิง ฉันว่าไม่มีใครอยู่ในบ้านหรอก” ผมตะโกนแข่งกับสายฝนที่ยังคงตกหนัก 

                “แต่ไฟในบ้านเปิดอยู่ มันต้องมีสิ บางทีเจ้าของบ้านอาจจะไม่ได้ยิน” 

      

                “กกรี๊ดดดดดดดด!”  

                “ซูจอง! 

                เธอที่เคยยืนอยู่ข้างๆผม ตอนนี้เหมือนถูกลากออกไปตรงสนามข้างบ้าน ผมกำลังจะวิ่งตามออกไปแต่แบคฮยอนคว้าตัวผมกลับเข้ามา 

                “อย่าไป มันอันตราย” 

                “แต่ซูจอง 

                “เดี๋ยวฉันไปเอง”  
     

    แบคฮยอนวิ่งฝ่าน้ำฝนเข้าไปในมุมมืด ผมเห็นอี้ชิงกำลังวิ่งข้ามฝั่งมาหาผม  

    “เกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้เสียงกรี๊ดของใคร แล้วซูจองล่ะ?” 

    “ธ..เธอถูกใครไม่รู้ลากไปตรงนั้น” ผมพูดเสียงสั่น  

    “ว่าไงนะ! งั้นนายอยู่ตรงนี้ ฉันจะไปช่วยเธอ” 

    “ระวังตัวด้วยนะ! 

      

                “ซูจอง! เธออยู่ไหน” แบคฮยอนใช้สายตาเพ่งเล็งในความมืด เขาได้ยินเสียงฝีเท้า เพียงแต่จับไม่ได้ว่ามันมาจากทางไหน 

    “ซูจอง! 

                “ฉันอยู่นี่” เสียงเรียกดังมาจากข้างหลัง ร่างสูงกำลังจะหันกลับไปแต่มีเสียงแหบแห้งแทรกเข้ามาเสียก่อน 

    “หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าขยับจนกว่าฉันจะอนุญาติ” 

    ” แบคฮยอนยืนตัวเกร็ง ได้ยินเสียงกระทั่งลมหายใจที่ถี่รัว 

    “แล้วทีนี้ก็ค่อยๆถอยจนกว่าฉันจะอ๊ากกกก” 
     

    เพล้ง! 
     

    “กรี๊ดดดดด” 
     

    “ซูจอง! 
     

                ผมเห็นซูจองวิ่งออกมาจากมุมมืดเป็นคนแรก ทันทีที่เห็นเธอผมรีบวิ่งเข้าไปหา ร่างเล็กตกใจกลัวจนตัวสั่น อาจจะลืมไปแล้วว่าไม่ค่อยชอบขี้หน้าผม เพราะเธอกำลังกอดผมอยู่ 

     

    “ฮึก..ฉันกลัว” 

    “แล้วแบคฮยอนกับอี้ชิงล่ะ?” ผมถามเธอ เธอส่ายหัวและร้องไห้ไม่หยุด 

    “ฉันไม่รู้ ฉันรู้แค่ว่าไอคนที่จับฉันไปมันโดนขวดฟาดเข้าที่หัว แล้วฉันก็เลยวิ่งหนีออกมา” 

                “โอเคๆ เธอไม่เป็นอะไรแล้วนะ ใจเย็นๆ” ซูจองพยักหน้าช้าๆและเช็ดน้ำตา ตอนนี้เธอดูเหมือนลูกแมวน้อยเลย ต่างจากที่ผมเห็นก่อนหน้านี้ 

      

    “เราจับตัวมันได้แล้ว”  

                แบคฮยอนเดินนำออกมา ส่วนอี้ชิงเดินตามหลังโดยลากผู้ชายคนนึงออกมาด้วย ที่หัวเข้ามีเลือดไหลเปรอะเปื้อน 

    “อย่าทำอะไรผมนะ ผมไม่ได้จะทำอะไรพวกคุณ ก็แค่เข้าใจผิดนิดหน่อย” 

    เสียงแหบแห้งนั่นพูดรัวเร็ว มือก็พยายามสะบัดหนีจากการจับกุมของอี้ชิง 

    “เข้าใจผิดบ้าอะไร ทุกคนก็เห็นว่านายจะทำร้ายเธอ! 

    “เปล่าซะหน่อย ผมมีอาวุธที่ไหนล่ะ ผมก็แค่ขู่ไปอย่างนั้น” 

    “แล้วทำอย่างนั้นทำไม” ผมถามเขา 

    “ก็เพื่อเช็คให้แน่ใจว่าพวกนายไม่ใช่โจรหรือคนร้ายที่จะมาขโมยข้าวของในบ้านหลังนี้” 

    “เรามาดี นายก็ได้ยินที่อี้ชิงพูด”  

    “ใครจะไปรู้เล่า ผมก็แค่ทำตามหน้าที่”  

    อี้ชิงปล่อยตัวเขาและเดินไปหน้าประตูบ้านอีกครั้ง 

    “นายเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เหรอ?”  

    “ผมเป็นคนสวนที่นี่ คอยดูแลรอบๆบ้าน ส่วนแฟนผมเป็นคนดูแลในบ้าน คอยทำความสะอาด” 

    “แล้วเจ้าของบ้านไปไหน?” 

    “ไปทำงานต่างประเทศ ไม่ค่อยได้กลับหรอก นานๆทีกลับ ผมกับแฟนแทบจะอยู่กินที่นี่ได้อยู่แล้ว” 

    “อ่อ” พวกเราพยักหน้ารับรู้ ที่แท้ก็ไม่ใช่อย่างที่พวกเรากลัว แต่ซูจองก็ยังตัวสั่นไม่หยุด 

    “แล้วพวกนายมาทำอะไรกันดึกดื่นที่นี่ รู้มั้ยผมกลัวแทบแย่” 

    ชายคนนั้นกวาดสายตามองเราทุกคน เมื่อเห็นจงแดที่นอนสลบอยู่ในรถจึงเอ่ยปากบอก 

    “ยังไงก็ช่างเถอะ พวกนายเข้ามาพักที่นี่ก่อนก็แล้วกัน ในบ้านมีชุดปฐมพยาบาล” 

    “เราเข้าไปได้เหรอ? แล้วเจ้าของบ้านเขา.. 

                “พวกนายไม่ใช่กลุ่มแรกที่เข้ามาพักหรอก บ้านหลังนี้น่ะแทบจะเป็นโรงแรมให้พวกนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว ช่วยไม่ได้ที่ละแวกนี้มีบ้านหลังนี้อยู่บ้านเดียว คนที่มีปัญหาแบบพวกนายเลยมาขอพักอาศัยชั่วคราว” 

                 

                แอด
     

                ชายคนนั้นเปิดประตูออก อย่างแรงที่ผมเห็นคือกรอบรูปบานใหญ่ที่มีรูปถ่ายของผู้หญิงวัยกลางคนที่หน้าตาสะสวยนั่งอยู่บนเก้าอี้ ที่คอของเธอมีสร้อยเพชรเม็ดเป้ง อย่างกับในละครเลย 

                “นั่นละเจ้าของบ้าน เห็นอย่างนี้แต่เธอเป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น เธอมีพระคุณกับผมมากเลย”  

                “เขาไว้ใจนายถึงขนาดให้กุญแจและคอยดูแลเป็นเดือนๆเลยงั้นเหรอ” แบคฮยอนถาม 

                ผมไม่ค่อยใส่ใจอะไรกับบทสนทนานี้มากนัก เพราะต้องช่วยอี้ชิงแบกกระเป๋าเสื้อผ้าของทุกคนเข้ามาไว้ข้างใน เนื้อตัวเราเปียกโชก ผมไม่กล้าแม้แต่จะเดินเข้าไปในบ้านที่หรูหรานั้นเลย ผิดกับแบคฮยอนที่ตอนนี้เดินสำรวจภายในบ้านอย่างไม่เกรงใจ 

                “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ไม่มีอะไรน่าห่วงเท่าไร คุณก็ดูรอบๆสิ มีของมีค่าอะไรบ้าง มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องหักหลังเขา” 

                มันก็จริง ภายในบ้านโล่งมาก มีแค่เฟอร์นิเจอร์วางของเล็กๆน้อยๆเท่านั้น แต่น่าแปลกที่มีโต๊ะวางทีวี แต่ไม่มีทีวี 

                “บ้านนี้ไม่มีทีวีเหรอ” ซูจองชิงพูดก่อนที่ผมจะเปิดปากถาม 

                “เคยมีเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว แต่ถูกพวกโจรขโมยไป เพราะงั้นผมถึงต้องดูแลให้เข้มงวดไง บ้านหลังนี้โดนยกเค้าบ่อยจะตาย บางครั้งมีการฆ่าฟันกันถึงตายด้วย” 

                “ 

                “พวกคุณเชิญพักตามสบายเลยนะ ห้องครัวมีอาหารแช่แข็งอยู่เยอะเลย แล้วคุณสองคนช่วยทำแผลให้เขาได้มั้ย ทำแผลให้ผมด้วยก็ดีนะ ผมจะไปเอากล่องปฐมพยาบาล” 

                ร่างสูงหันมาถามผมและซูจอง เราสองคนมองหน้ากันงงๆแต่ก็พยักหน้ารับไป 

      

                 

                หลังจากจัดการอะไรต่างๆเข้าที่เข้าทางแล้ว พวกเราจึงแยกกันพักตามอัธยาศัย ผมกับแบคฮยอนเลือกห้องนอนห้องแรกที่อยู่ติดกับห้องโถงกลาง อี้ชิงกับซูจองนอนห้องถัดจากผม 
     

                ตอนนี้ผมกำลังจะไปอาบน้ำ เห็นแบคฮยอนคุยอะไรกับอี้ชิงและคนสวนคนนั้นอยู่สามคน จริงๆผมไม่ได้อยากเข้าไปแทรกหรอกนะ แต่ผมต้องการจะคุยกับแบคฮยอนเรื่องวันพรุ่งนี้ว่าจะเอายังไงต่อไป โทรศัพท์ในสถานการณ์แบบนี้แทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย ติดต่อใครก็ไม่ได้ 


                “แบคฮยอนนายจะไปไหน” ผมรีบถามเขาเมื่อเห็นว่าร่างสูงกำลังจะเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับสองคนนั้น 

                “ไปดูข้างนอกน่ะ เผื่อว่าจะมีคนต่างถิ่นแบบพวกเราเข้ามาถนนเส้นนี้อีก จะได้เตือนเขาทันว่าเข้าเมืองไม่ได้ แล้วก็ชวนพวกเขามาพักที่นี่ด้วย” 
     

    ได้ยินอย่างนั้นผมก็ดึงตัวเขาเข้ามาพูดใกล้ๆและหรี่เสียงให้ได้ยินกันแค่สองคน
     

                “นายคิดอะไรอยู่กันแน่ อยู่กันแค่นี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมต้องให้คนแปลกหน้ามาพักที่ดียวกับเราด้วย” 

                “นี่ไม่ใช่บ้านเรานะคยองซู เราก็คนแปลกหน้าสำหรับเขาเหมือนกัน ทำไมพวกเขาจะเข้ามาพักเหมือนเราไม่ได้ล่ะ นายอยากให้พวกเขาเป็นเหมือนเราที่นั่งหมดหนทางในขณะที่รถเสียเหมือนตอนนั้นหรือไง” 

                “” ผมถอนหายใจและปล่อยมือให้เขาเดินออกไป 
     

                ให้ตายเถอะ นายพูดเหมือนฉันเป็นคนนิสัยแย่และเห็นแก่ตัวมากเลยนะแบคฮยอน 

      

    *****


    Hello ! >_<
    เป็นฟิคสยองขวัญเรื่องที่สอง หลังจากที่นั่งคิดนอนคิดตีหลังกาคิดมาตั้งแต่ต้นปี
    ว่าตูจะเปิดเรื่องใหม่ดีมั้ย จริงๆอยากเปิดนานแล้วแต่ไม่มีเวลา ตอนนี้ได้มาเปิดซะที
    แล้วเปิดโดยไม่ได้แหกตาดูเล้ยว่ายังมีอีกสองเรื่องที่เปิดดองไว้อยู่ ._. น้อมรับผิด T^T
    สองเรื่องที่แล้วเป็นแนวคนละแนวกับเรื่องนี้ แนวปกติทั่วไปเรื่องคู่วาย ฟินๆหวานๆ
    แต่เพิ่งมารู้ตัวเองว่าแต่งแนวพวกนี้ไม่รอดจริงๆ พูดง่ายๆก็คือแต่งเป็นแต่แนวสยองขวัญ
    จิตๆ โหดๆ เลือดสาด O_O' ไม่ได้หมายความว่าแต่งแนวอื่นไม่ได้นะ แต่งได้ แต่ไม่รอด
    เค้าได้รับบทเรียนแล้วค้าบบ TTwTT เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบจริงๆ 55555555555555555
    แต่ไม่ได้ทิ้งนะ จะพยายามค่อยๆอัพ ถึงแม้ว่าจะดองมานานก็ตาม แหะๆ

    สัญญาว่าเรื่องนี้จะขยันอัพ! (เชื่อได้เร้ออ -_-)

    สุดท้ายก็ขอฝากฟิคเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ
    แล้วขอกรุณาอย่าเอาไปเปรียบเทียบกับ School Horror น้า เนื้อหามันคนละเรื่องกันเลย ^^;

     


    BlackForest

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×