ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Arcadia หนึ่ง! ดินเเดน ร้อย! สิ่งมหัศจรรย์

    ลำดับตอนที่ #1 : มาทำความรู้จักกันนะทุกคน

    • อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 58


    บทที่ 1

    มาทำความรู้จักกันนะทุกคน

     

     

     

              ฟิ้ววว... ฉับ ฉับ ฉับ เคล้ง

                เสียงดาบปะทะกันดังมาอย่างต่อเนื่อง โดยต้นเหตุมาจากร่างสองร่างที่ปะทะกันอยู่กลางสนามซ้อม

                “นายหญิงเก่งที่สุดเลยเจ้าคะ รอบนี่ท่านเรย์ต้องแพ้แน่ๆ”

                “อยู่แล้วนะไนท์ ข้าเก่งอยู่แล้ว”

                “หึหึ อย่าได้ใจไปหน่อยเลยน่าเคลน์ ข้าก็จะไม่แพ้เจ้าเหมือนกัน”

                “เอ้า สองคนนี้นิอย่าเอาแต่สนใจคุยสิจะซ้อมดาบกันไม่ใช่เหรอ สนใจหน่อยสิขอรับ”

                “เอาน่าวินด์ ไม่เห็นมันจะเสียหายตรงไหนเลยนี่เจ้าคะ”

                “ก็ได้ขอรับ แต่ตอนนี้หยุดซ้อมกันได้แล้วนะขอรับ รู้สึกว่าจะถึงเวลาเตรียมตัวไปเรียนแล้วนี่”

                เสียงของวินด์หรือก็คือเวียร์เบลวินด์ชายหนุ่มผมสีเดียวกับดวงจันทร์ซึ่งยาวลงมาจนถึงข้อเท้าแล้วมัดรวบไว้หลวมๆเอ่ยขึ้น ข้างๆนั้นมีหญิงสาวผมสีเทายาวถึงกลางหลังยืนอยู่ริมสนามหล่อนก็คือคนที่ถูกเรียกว่าไนท์ หรือชื่อเต็มๆก็คือมิดไนท์แดนเซอร์ โดยภายในสนามนั้นที่ประลองกันไปเมื่อครู่คือเคลนีย่า หญิงสาวผมสีเงินสยายยาวถึงเข่าโดยมีเส้นผมไปบังดวงตาสีรัตติการประกายเงินข้างซ้ายเอาไว้ กับเรย์คัสเซอร์ราเรสชายหนุ่มผู้มีทรงผมดุจกองเพลิงหย่อมๆแล้วดวงตาสีแดงโกเมนนั่นเอง

                “ครั้งแรกเลยนะที่จะได้ไปเรียนกับคนอื่น นิสัยจะเป็นยังไงกันบ้างนะ” เคลน์กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่ไม่ทันไรก็โดนขัดโดยวินด์ว่า

                “อย่าดีใจไปหน่อยเลย ถึงขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนแต่ก็เป็นโรงเรียนพิเศษที่มีแต่เด็กไม่ธรรมดาไปเรียนกันนะขอรับนายหญิง”

                “อย่าพูดแบบว่าเราเป็นผู้ป่วยทางจิตได้ไม้วินด์ ก็แค่มีความสามารถมากกว่าคนอื่นนิดหน่อยแค่นั้นเอง”

                “หยุดเถียงกันเถอะเจ้าคะ เดี๋ยวก็สายกันพอดี ไปเตรียมตัวกันได้แล้วไป!

     

     

     

                “ตื่นได้แล้วน่าเมฟ เช้าแล้วนะอยากไปเรียนสายตั้งแต่วันแรกเหรอ!” เสียงของร่างบางที่มีผมสีดำสนิทซึ่งถูกรวบไว้ครึ่งหัวกับดวงตาสีเดียวกันปลุกเพื่อนสาวของตนให้ตื่นจากห้วงนิทรา

                “มีอะไรเหรอมักกี้ ปลุกแต่เช้าเชียว” เสียงงัวดังมาจากร่างหญิงสาวผมสีน้ำตาลประบ่าบนเตียง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองไปทางคู่สนทนาอย่างถามไถ่

                “แล้วจะไม่ไปเรียนเหรอ ถ้าไม่ไปก็นอนต่อไปได้ แต่ข้าจะไปแล้วนะ” เสียงตอบกลับมาอย่างตัดพ้อของเพื่อนทำให้ร่างบนเตียงต้องรีบหันไปมองนาฬิกาตรงหัวเตียงก่อนจะสะดุ้งตื่นแบบเต็มตาเมื่อสังเกตเห็นเวลาที่เหลือไม่มากแล้วก่อนจะถึงเวลานัด

                ร่างบางสองร่างวิ่งมุ่งไปสู่ทางเข้าของปราสาทหลังใหญ่ด้วยอาการเร่งรีบและข้าวของที่พะลุงพะลัง

                “ทำไม ไม่ปลุกให้มันเร็วกว่านี้นะมักกี้” เมฟเฟียร์หันไปกล่าวโทษอีกฝ่าย

                “ก็ข้าปลุกแล้วแต่เจ้าไม่ยอมตื่นเองนี้ โทษข้าไม่ได้นะ” อีกฝ่ายตอบกลับ

                “เอ่อๆ ข้าขอโทษข้ามันขี้เซาเองงงงง”

                ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงทางเข้าพร้อมกับคนอื่นๆอีกจำนวนสามคน และพอยื่นกันอยู่น่าประตูบานใหญ่ครบห้าคนเมื่อไหร่ประตูก็เปิดออกต้อนรับผู้มาเยือนทันที หลังประตูบานนั้นมีชายหนุ่มในชุดพ่อบ้านคอยยืนต้อนรับพวกตนอยู่

                ทุกคนได้แต่มองตาข้างกับสิ่งอลังการที่อยู่หลังประตูบานนั้น ปราสาทหรือจะให้แน่ก็คือพระราชวังหลังใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังดึงดูดความสนใจของบุคคลเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี พวกเขาถูกเชิญให้เข้าไปด้วยร้อยยิ้มอันสดใสของผู้มารับ

                “ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ทุกทันสู่พระราชวังหลวงแห่งอาร์คาเดีย นับแต่นี้ไปพวกท่านจะได้พักอาศัยและศึกษาอยู่ที่นี่” เสียงบุคคลดังกล่าวเอ่ยต้อนรับ ชายหนุ่มวัยสิบหกปีผมสีน้ำเงินเข้มสอยสั้นใช้ดวงตาสีเดียวกันมองทุกคนด้วยแววตายินดีก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวเอง “กระผมชื่อแจส เมสเทอร์จะเป็นพ่อบ้านคอยดูแลพวกคุณ ถ้ามีปัญหา หรือต้องการอะไรสามารถมาติดต่อที่ผมได้”

                ชายหนุ่มเอ่ยเสร็จก็ผ่ายมือเชิญทุกคนเข้าไปด้านใน เข้าเดินนำผ่านส่วนต่างๆของวังไปยังอาคารใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง

                “พวกท่านถือว่าโชคดีมากที่ได้มาศึกษาในรุ่นนี้เพราะว่าองค์หญิงทรงสั่งว่าให้นักเรียนรุ่นนี้พักอยู่ที่อาคารกลาง” แจสเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อมเมื่อพูดถึงผู้เป็นนาย เข้าได้พานักเรียนทุกคนไปยังห้องพักต่างๆที่กำหนดให้ ก่อนจะนัดแนะให้ทุกคนไปเจอกันพร้อมหน้าภายในหนึ่งชั่วโมง ณ อาคารย่อยข้างๆที่ใช้เป็นอาคารเรียนและขอตัวออกไป

                “ป่านนี้ท่านหญิงจะแต่งตัวเสร็จหรือยังน้า” ร่างหนาบ่นพึมพำขณะเดินไปตามทางเดินภายในวัง ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องๆหนึ่งพลางยกมือขึ้นเคาะประตูบานดังกล่าวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

                “ท่านเคลน์ ไม่ทราบว่าท่านแต่งตัวเสร็จหรือยังขอรับ”

                “เสร็จแล้ว! ท่านเข้ามาไดเลย” เสียงตอบรับดังมาจากภายใน เชิญให้เข้าเดินเข้าไป

                แต่ว่าตนได้แต่เพียงเปิดบานประตูให้อ้าออกเท่านั้น เพราะทันทีที่ได้เห็นร่างบางที่อยู่ภายในก็ต้องถึงกับชะงัก ร่างบอบบางที่บัดนี้ได้อยู่ภายใต้เครื่องแบสีดำสนิทขลิบขาวอันประกอบด้วยกระโปรงสั้นเหนือเขานิดหน่อยกับเสื้อสีเทาสวมทับด้วยเสื้อคลุมแขนยาวที่อกข้างส้ายประทับด้วยตราประจำพระราชวังทำให้เข้าถึงกับทึ่งเพราะไม่ค่อยได้เห็นนายสุดแสบของตนได้สวมเครื่องแบบสักเท่าไหร่

                “เสร็จแล้วใช่ใหม่ขอรับ”  แจสรีบเรียกสติของตนก่อนจะเผลอเสียมารยาทไปให้มันมากกว่านี้

                “เสร็จแล้วจ้า แล้วเจ้าละไปต้อนรับคนอื่นๆเสร็จแล้วเหรอ”

                “เสร็จแล้วขอรับ ข้านัดทุกคนให้ไปเจอกันที่อาคารเรียนเลยขอรับ แล้วท่านจะเสด็จไปเลยรึเปล่า”

                “แจสนี้ เจ้าไม่เคยจำเลยเนาะว่าข้าไม่ชอบให้เจ้าใช้คำราชาศัพท์กับข้า ถ้าจะใช้ให้ไปใช้กับท่านอาแฟนนู่น”

                “รับทราบขอรับ”

                “ยังอีก ยังจะมาทำเป็นนอบน้อมจัดอีกเจ้าเนี่ยไม่ไหวเลยจริงๆ”

                “คร้าบ แล้วเราจะไปกันได้หรือยังละคร้าบเจ้าหญิงสุดส่วย” แต่เสียงตอบรับครั้งนี้ไม่ได้ดังมาจากปากของพ่อบ้านหนุ่มแต่กลับมาจากชายหนุ่มหัวแดงแทน
                “อ้าวเรย์เจ้าก็เสร็จแล้วเหรอ? ชุดนี่ก็เหมาะกับเจ้าดีนี่” เธอหันไปทักผู้มาใหม่ที่สวมเครื่องแบบ แบบเดียวกันเพียงแต่เป็นกางเกงขายาวไม่ใช่กระโปรงด้วยรอยยิ้ม

                “ขอบใจ แต่ข้าว่าตอนนี้เราน่าจะไปที่อาคารเรียนกันได้แล้ว เป็นเจ้าบ้านไม่สมควรไปสายสะเองนะ”  เรย์เอ่ยเร่งอีกฝ่าย

                “จ้าเสร็จแล้วจ้า แจสเจ้าก็ไปแจ้งกับอาจารย์ฟรันซิสนะว่าพวกเราพร้อมแล้ว”

                “รับทราบขอรับ”

     

     

                เสียงพูดคุยเบาๆดังออกมาจากห้องเรียนพิเศษแห่งอาร์คาเดียที่บัดนี้มีนักเรียนอยู่ทั้งหมดแปดชีวิต ทำให้ร่างของผู้มาใหม่ต้องหยุดชะงักก่อนจะครี้ยิ้มบางเบา แต่รอยยิ้มก็อยู่ได้ไม่นานก่อนจะถูกเปลี่ยนเป็นสีหน้าเรียบเฉย

                “สวัสดีครับผมนักเรียนทุกคน ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวก่อนนะสำหรับคนที่ไม่รู้จัก กระผมคืออาจารย์ฟรานซิส แกรนเดียอาจารย์ผู้สอนเกือบทุกวิชาให้กับพวกคุณทุกคน” ชายวัยกลางคนนัยน์ตาสีเหลืองผมสีครีมพูดแนะนำตัวเองก่อนจะทำถ้าทางผ่ายมือไปทางนักเรียนคนแรกเป็นนัยให้กล่าวแนะนำตัวเองบ้าง

                “สวัสดีครับเทเนส เครตัสครับ” คนแรกที่เอ่ยแนะนำตัวเองคือชายหนุ่มผมสีม่วงอ่อนดวงตาสีชมพูบนใบหน้ามีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่เกือบตลอดเวลา ต่อมาหญิงสาวผมสีขาวเหลือบฟ้าตาสีฟ้าอ่อนเอ่ยแนะนำตัวเองบ้าง

                “ข้าชื่อสตาฟฟี่ เมสที่ ชอบฤดูหนาวที่สุด”

                “ฉันเมฟเฟียร์ เพรฟเฟอร์ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ” เมฟเอ่ยแนะนำตัวเองบ้างก่อนจะหันไปทางมักกี้ซึ่งก็รีบเอ่ยแนะนำตัวเองทันที

                “ฉันชื่อมักกี้ เมสเซอร์ค่ะทุกคน”

                “ผมชื่อเคสเทอร์ ฟิลเลสครับ” ชายหนุ่มผมสีฟ้าครามเหมือนกับนัยน์ตาตัวเองเป็นคนต่อไป

                “ตาผมสิแล้วนะครับ ผมชื่อเรย์คัส เซอร์ราเรสครับ ส่วนนี้น้องชายฝาแฝดซาคัส เซอร์ราเรสยินดีที่จะทำความรู้จักกับทุกคนครับ” เรย์เอ่ยแนะนำตัวเองก่อนจะชี้ไปทางซาคัสที่มีนัยน์ตาสีส้มผมสีส้มอ่อน

                “ส่วนชั้นคือเคลนีย่า เฟเลน่า ดิอาร์คาดจ้าทุกคน ฝากตัวด้วยนะแล้วไม่ต้องทำตัวสุภาพเป็นพิเศษกับฉันหรอกเรียกฉันสั้นๆว่าเคลน์ก็แล้วกันนะทุกคน” รอบนี้เคลน์แนะนำตัวเองป็นคนสุดท้าย เรียกความสนใจจากทุกคนได้เป็นอย่างดีเนื่องจากชื่อของเธอมันเป็นชื่อของ...

                “ท่านหญิง/เจ้าหญิงเฟเลน่า” เกือบทุกชีวิตภายในห้องพากันประสานเสียงก่อนจะทำถ้าทางตกใจเมื่อรู้ตัวว่าตนเผลอเสียมารยาทลงไปยกเว้นก็แต่

                “ท่านคือเจ้าหญิงเฟเลน่าจริงๆหรือขอรับ” เทเนสเอ่ยออกมาแบบไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น

                “บอกว่าให้เรียกเคลย์ไง ส่วนเจ้าอย่ากจะให้เราเป็นใครละจ้ะเทน” เคลน์ตอบ

                “เปล่าขอรับ ผมแค่ส่งสัยว่าผู้ที่ปกติจะไม่เผยตัวตนน่อหน้าประชาชนอย่างเจ้าหญิงจะมาแนะนำตัวเองง่าๆอย่างนี้เลยเหรอขอรับ”

                “นั่นสิ เพราะเหตุนี้แหละที่ทุกคนที่นี่ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะ แล้วก็ต่อไปนี้ทุกคนที่นี่จะเป็นสมาชิกของหน่วยพิเศษอาร์คาเดส แห่งอาร์คาเดีย แต่ก่อนอื่นต้องเป็นเพื่อนเรียนด้วยกันหนึ่งปีก่อนนะจ้ะ”

                “อะไรนะ หน่วยพิเศษเหรอ ไม่เห็นมีใครพูดถึงเรื่องนี้เลยตอนพ้เรามา” อีกครั้งที่เกือบทุกคนพร้อมใจกันประสานเสียง

                “ไม่ได้เป็นอย่างนี้ทุกรุ่นหรอกครับ จะมีพิเศษเฉพาะรุ่นเดียวกับเจ้าหญิงเท่านั้น” เรย์ออกมาอธิบายแทนเจ้าหญิงที่ตอนนี้เริ่มทำหน้าไม่สบอารมณ์

                “อะ พอได้แล้วครับเด็กๆเดี๋ยววันนี้ก็ไม่ได้สอนกันพอดี” เสียงของอาจารย์ที่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องมานานพอควรดึงสติของนักเรียนไปยังหน้าห้องเพื่อรับรู้บทเรียนแรกที่ตนจะได้เรียนณ สถานที่แห่งนี้

                “วันนี้ครูจะเริ่มสอนเกี่ยวกับบัดดี้ของทุกคน ซึ่งนั้นก็คืออาชานั่นเอง ครูเชื่อว่าเกือบทุกคนในห้องนี่มีคู่กันหมดแล้วใช่ไม้ครับนักเรียน เหรอว่ามีใครที่ยังไม่มี?”

                ไม่มีใครยกมือขึ้น แสดงให้เห็นว่านักเรียนในห้องนี้มีบัดดี้กันครบทุกคนแล้ว  เรียกรอยยิ้มจากอาจารย์ผู้สอนได้เป็นอย่างดี

                “ถ้างั้นก็ข้ามเรื่องการหาหรือข้นพบบัดดี้ของตัวเองไปได้เลยเพราะครูผ่านมันมากันหมดแล้วนะทุกคน เรื่องต่อไปที่จะสอนคือความสำคัญของบัดดี้

                บัดดี้นั้นเปรียบเสมือนคู่หูของเราที่ไม่ว่าเราจะทำอะไรจะอยู่กับเราโดยตลอด ด้วยการเชื่อมต่อของสร้อยแห่งจิตวิญญาณที่เราชาวอาร์คาเดียโดยทั่วไปไม่สามารถเอาไว้ห่างกายได้เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงเพราะนั่นหมายถึงชีวิตของพวกเรา

                บัดดี้คือส่วนหนึ่งของชีวิตเราเพราะพวกนั้นโดยธรรมชาติไม่ได้มีพลังมหาศาลอะไรแต่กลับสามารถเก็บรักษาพลังได้เป็นจำนวนมากต่างจากพวกเราที่มีพลังอันมหาศาลแต่ร่างกายกลับไม่สามารถทนรับเก็บไว้ที่ตัวได้เป็นเวลานานเพราะเหตุนี้เราจึงต้องคู่กันเพื่อให้เราได้สามารถถ่ายโอนพลังไปเก็บไว้ที่บัดดี้ของเราได้โดยวิญญาณจะเชื่อมกันแล้วนั่นมีความหมายอีกนัยว่าหากเรายังไม่สิ้นชีพแต่บัดดี้เราบาดเจ็บอาการสาหัสเพียงใดก็ไม่เป็นไรเพราะสามารถถ่ายโอนพลังชีวิตให้กันได้ ตรงข้ามก็เช่นเดียวกันถึงแม้ว่าตัวเราเองจะบาดเจ็บสาหัสเพียงไหนก็จะไม่ศูนย์เสียชีวิตของตัวเอง

                นี่แหละคือความสำคัญของบัดดี้ต่อพวกเรา”

                กริ้งงงงงงงงงงงงงงงงงง

                หลังจากอาจารย์พูดคำสุดท้ายจบเสียงกริ่งหมดเวลาก็ดังขึ้นพอดี

                “เอาละเด็กๆไปพักกันได้แล้วตอนบ่ายเจอกันที่สนามฝึกซ้อมดาบกลางนะ”

                “รับทราบคะ/ครับ อาจารย์” ทุกคนพร้อมใจกันประสานเสียง ก่อนจะลุกขึ้นเก็บของและบิดขี้เกียจเพื่อคลายความเมื่อยที่นั่งเรียนมานานสามชั่วโมงก่อนจะทยอยออกจากห้องกันเพื่อไปยังโรงอาหารที่ทางวังจัดไว้ให้

     

     

                ร่างบางเดินตรงไปยังห้องๆหนึ่งใจกลางวังหลวงอย่างชำนานทาง ก่อนจะหยุดอยู่หน้าห้องๆหนึ่งเพื่อเคาะขออนุญาตที่จะเข้าไปในห้องและเปิดประตูหายเข้าไปทันทีเมื่อมีเสียงเอ่ยตอบกลับมา

                “สถานการณ์ในตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะท่านอาแฟน”

                “ไม่ค่อยที่จะดีสักเท่าไหร่หรอกเคลนี แต่ก็ยังพอประคองไว้ได้แล้วหลานละ เป็นยังไงบ้างได้ข่าวว่าวันนี้เจอกับสมาชิกของหน่วยเป็นครั้งแรกแล้วยังได้เรียนด้วยกันอีก”

                “ทุกอย่างเรียบร้อยดีมากคะท่านอา ท่านไม่ต้องกังวล ส่วนเรื่องนั้นหนูขอฝากท่านดูแลไปก่อนนะคะ แล้วหน่วยนี้พร้อมเมื่อไหร่หนูจะรีบมาช่วยทันที”

                “ดีมากหลานรัก ทำได้ดีแล้วแหละไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้หรอกเดี๋ยวอาดูแลเองหลานไปอยู่กับเพื่อนๆเถอะ”

                “คะ”

                “หลานมีอะไรอีกหรือเปล่า ทำไมสีหน้าดูไม่ดีเลย”

                “พักนี้หลานฝันแปปลกๆคะท่านอา ฝันถึงอีกโลกหนึ่งที่ไม่ใช่ที่นี่ ถึงบ้านหลังใหญ่ที่มีคนขุ้นหน้ามากมายแต่หนูกลับคิดไม่ออกว่าเป็นใคร มันคือรางอะไรหรือเปล่าคะ”

                “จะถึงเวลานั้นแล้วเหรอ”

                “อะไรนะคะท่านอาหนูฟังไม่ชัดคะ”

                “เปล่าไม่มีอะไรหรอก หลานกลับไปหาเพื่อนๆเถอะเดี๋ยวพวกเขาจะสงสัยเอานะว่าหลานหายไปไหนนาน”

                “คะท่านอา แล้วหนูจะมาใหม่”

                ทันทีที่ร่างบางหายออกไปจากห้องนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏออกมาที่มุมห้อง

                “ชาเร ถ้าเจ้ามาคราวหน้าต้องระวังตัวมากว่านี้นะเพราะว่าเด็กคนนั้นนะไม่ใช่เด็กๆอีกต่อไปแล้ว เชื่อสิว่าหล่อนรับรู้ได้ถึงการมาของเจ้า”

                “ขอรับท่านแฟนตาเซียคราวหน้าข้าจะระวังตัวให้ดีกว่านี้ขอรับ”

                “ถ้าอย่างนั้นก็ดี แล้วภารกิจละ”

                “ในตอนนี้หน่วยทหารได้ทำการเฝ้าระวังตามขอบชายป่ามูนไลท์เอาไว้แล้ว แต่ยังไม่พบสิ่งผิดปกติอะไรเลนขอรับ” คำกล่าวของทหารคนสนิทเรียกสีหน้าเคร่งเครียดของผู้เป็นนายได้เป็นอย่างดี

                “มันเงียบจนเกินไปสินะ เพราะช่วงเวลาปกติจะต้องมีเจ้าพวกนั้นออกมาข้างนอกไม่มากก็น้อย แต่นี่มันกลับเงียบหายกันไปเลย”

                “ขอรับ”

                “งั้นเจ้าก็ไปเตรียมการให้พร้อม อีกไม่นานสงครามและแผ่นการชั่วๆของไอ้พวกนั้นคงเริ่มต้นอีก”

                “ขอรับ” นายทหารก้มหัวรับคำก่อนจะหายตัวไปทางหน้าตาห้องที่เปิดอ้าไว้

     

     

                “คุณเรย์คัสสนิทกับเจ้าหญิงเหรอคะ” ร่างบางเจ้าของดวงตาสีฟ้าเอ่ยถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆตัวเอง

                “อย่าเรียกเธอว่าเจ้าหญิงเลยเธอไม่ได้อยากได้การยกย้องในต่ำแหนงนั้นหรอกครับคุณสตาฟฟี่ เอ่อขอเรียกคุณว่าสตาฟเชยๆได้ไม้” ชายหนุ่มหัวแดงตอบกลับ ทำให้ร่างบางทำหน้าครุ่นคิดแปบนึงก่อนจะพยักหน้าอนุญาต

                “ถ้าอย่างนั้นคุณก็เรียกผมว่าเรย์นะครับ”

                “คะคุณเรย์ แล้วทำไมเธอถึงไม่อยากได้การยกย่องเกียรติแห่งเจ้าหญิงเหรอคะ”

                “เพราะเธอคิดว่าตัวเองยังไม่คู่ควรและยังไม่อาจรับตำแหน่งนั้นมาได้จนกว่าจะช่วยดินแดนแห่งนี้ให้กลับมาสงบได้นะ” เรย์เอ่ยอธิบายออกมายาวเยี่ยดโดยไม่รู้ตัวเลยว่าบุคคลในบทสนทนาได้มายืนอยู่ข้างหลังตัวเองแล้ว

                “มีอะไรเหรอเรย์คัส เซอร์ราเรส” น้ำเสียงเย็นเชียบทำให้ร่างหนาสดุ้งก่อนจะหันไปเห็นรอยยิ้มแย่ๆของสตาฟแล้วหันไปเจอกับร้อยยิ้มแสยะของเคลน์

                เธอทำประกายตาดุใส่เค้าก่อนจะทำเป็นไม่สนใจแล้วหันไปพูดกับทุกคน

                “ข้ามีเรื่องจะถามคือ อาจารย์ฟรานซ์ฝากมาบอกว่าให้เราเลือกหัวหน้าซึ่งก็จะเป็นหัวหน้าหน่วยด้วยให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ ข้าจึงขออาสามาจัดการก่อนแล้วในอีกห้าวันเราค่อยมาตัดสินใจกันอีกทีทุกคนตกลงไม้” เคลน์กล่าวเสร็จก็หันไปมองทุกคน และพอไม่มีใครคัดค้านตัวเองจึงยิ้มรับ

                “งั้นก็ไปสนมฝึกกันได้แล้วจะได้เลือกอาวุธกันก่อนด้วยสำหรับคนที่ไม่มีใครมีแล้วก็ให้เอาของตัวเองไปด้วยนะ แล้วเจอกัน” เคลน์พูดจบก็เดินออกจากห้องไปเพื่อไปเตรียมตัวฝึกภาคปติบัด

                ทุกคนทยอยกันเดินออกจากห้องเพื่อไปเตรียมตัวเหลือไว้แต่ชายหนุ่มผมครามที่มองไปรอบๆห้องอย่างสำรวจอีกทีพอแน่ใจว่าไม่มีใครหลงเหลืออยู่แล้วตนจึงผิวปากเบาๆเรียกร่างของม้าน้อยสีชมพูอ่อนออกมา

                “เป็นไงบ้างเลิฟ บินสำรวจไปทั่วหรือยัง” เค้ากล่าวด้วยรอยยิ้มเมื่อมองม้าน้อยเท่าฝามือที่บินมาเกาะที่ไหลแผงคอสีเข้มกว่าขนหน่อยๆโบกสะบัดอยู่เกือบตลอดเวลา มันเงยหน้าขึ้นมามองผู้เป็นนายก่อนจะส่งเสียงตอบกลับมาว่า

                “ยังไม่ทั่วเลย มันแปลกๆเหมือนมีม่านพลังปกคลุมอยู่ทุกที่เลยได้แต่บินอยู่รอบนอกนะเจ้าคะ”

                “อย่างนั้นเหรอ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกเรายังได้อยู่ที่นี่กันอีกนาน แต่ก็สมกับเป็นวังหลวงป้องกันๆได้แน่นหนาดีมากสินะ”

                “คงเป็นอย่างนั้นแหละ โชคดีที่เราไม่ใช่โจรนะเจ้าคะ”

                “นั่นสิ” ชายหนุ่มเอ่ยรับแล้วหันไปเกาหัวให้กับเลิฟ “งั้นเจ้าก็ไปพักเถอะเลิฟลี่เผื่อบ่ายนี้เค้าจะเรียกใช้งานบัดดี้กัน”

                เลิฟลี่ส่งเสียงขานรับเบาๆก่อนจะกระโดดขึ้นบินออกจากห้องไป ชายหนุ่มผมครามมองตามบัดดี้ของตนอีกสักพักก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อไปยันลานฝึกบ้าง

                ที่ลานฝึกคนอื่นมากันพร้อมแล้วเหลือแต่เค้าคนเดียวจึงต้องรีบก้มหัวขอโทษและเดินไปรวมกับคนอื่น ช่วงบ่ายดำเนินไปด้วยการสอนเกี่ยวกับอาวุธแล้วทดสอบความถนัดของแต่ละคนทำให้ได้อาวุธที่เหมาะกับแต่ละคนที่สุด แล้วอาวุธที่ใช้กันมากที่สุดคงไม่พ้นดาบ ไม่ว่าจะดาบยาวหรือดาบคู่ ก่อนที่จะมาถึงเวลาส่วนท้ายของคาบสุดท้าย       

                “นักเรียนทุกคนครูอย่ากให้เรียกบัดดี้ของตัวเองออกมาเพื่อให้ทำความรู้จักกันไว้ เริ่มที่เจ้าก่อนเลยเคลน์” อาจารย์พูดพร้อมกับหันไปมองหน้าลูกศิษย์ตัวเอง ทำให้หญิงสาวเจ้าของชื่อต้องออกมายืนข้างหน้าแล้วผิวปากเป็นจังหวะเบาๆสองที

                ทันใดนั้นก็มีอาชาขนาดเท่าฝามือบินมาสองตัวก่อนจะมาหยุดอยู่เบื้องหน้าผู้เรียกตัวหนึ่งขนสีเงินประกายแวววาว แผงคอและหางสีเดียวกับดวงจันทร์ที่ยาวสยายงดงามเหมือนมีลมพัดอยู่รอบๆเกือบจะตลอดเวลา ที่คอมีอัญมณีสีเหลี่ยมข้าวหลามตัดสีขาวบริสุทธิ์ห้อยอยู่ก่อนจะมีลมหมุนกำเนิดรอบตัวของมันแล้วมีอาชาลักษณะเดียวกันแต่กลับดูสง่างามมายืนอยู่แทนที่ เช่นเดียวกันกับม้าจิ๋วอีกตัวที่มีขนสีดำสนิทเป็นประกายงดงามเหมือนมีดาวงดาวส่องประกายระยิบระยับ และหางกับแผงคอมีสีเทาอ่อนที่ยาวสยายถึงจะไม่เท่ากับของอีกตัวที่คอมีอัญมณีสีดำดุจรัตติการห้อยอยู่ต่างกันแค่มันไม่มีลมหมุนแต่กลับมีประกายสีเงินระยิบระยับแทน

                ทั้งสองตัวมองวนทุกคนก่อนหนึ่งรอบจึงจะแนะนำตัวเองโดยตัวสีดำพูดขึ้นมาว่า

                “ข้าชื่อมิดไนท์แดนเซอร์เป็นอาชาธาตุดวงดาว ส่วนเจ้านั้นชื่อเวียร์เบลวินด์เป็นอาชาธาตุลม เราสองตัวเป็นบัดดี้ของนายหญิงเคลนียินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ...” แต่ว่าไนท์ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคดีก็มีเสียงเอ่สแทรกขึ้นมาว่า

                “เดี๋ยวก่อนนะ เท่าที่ข้าเคยได้ยินมาว่าบัดดี้มีกันได้แค่ตัวเดียวไม่ใช่เหรอ”

                คำทักท้วงนั้นเรียกรอยยิ้มของเจ้าของบัดดี้ที่เกินมาได้เป็นอย่างดี ก่อนที่ร่างบางจะเอ่ยอธิบายเหตุผล

                “ไม่มีที่ไหนเค้าเคยกำหนดหรอกว่าบัดดี้มีกันได้แค่คนละตัว มันอยู่ที่ว่าเราจะไปตรงกับตัวไหนแต่คนส่วนใหญ่มีบัดดี้กันแค่คนละตัวมันจึงดูเหมื่อนว่ามันกำหนดได้แค่คนละตัวเท่านั้น และบังเอิญข้าไปตรงกับสองตัวนี้ทั้งคู่ข้าจึงมีบัดดี้สองตัวไง” พอพูดเสร็จคนพูดก็ยิ้มแล้วหลบไปข้างๆให้คนต่อไปได้เรียกบัดดี้ของตัวเองบ้าง โยบัดดี้ของแต่ละคนมีกันดังนี้

    -เรย์คัส              ม้าตัวสีแดงจัดตามตัวมีลวดลายสีแดงเข้มงดงาม แผงคอและหางเป็นเหมือนไฟแต่คนรอบข้างไม่อาจรับรู้ได้ถึงไอร้อน แน่นอนว่าเป็นอาชาธาตุไฟที่ทรงพลังมีชื่อว่าแคนดี้ หรือชื่อเต็มๆว่าไฟร์แคนดี้

    -ซาคัส               ม้าตัวสีทองสว่างสดใส แผงคอกับหางสีส้มอ่อนๆเหมือนมีออร่าเจิดจ้าอยู่รอบๆ เป็นอาชาธาตุแสงสว่าง ชื่อว่าซันไชน์

    -เมฟเฟียร์          ม้าสีช็อกโกแลตนมมีรอยเหมือนช็อกโกแลตสีเข้มเคลือบทับที่หลังและขา แผงคอและหางที่ไม่ยาวมากสีดำเป็นอาชาธาตุดิน ชื่อช็อกโก้ หรือเต็มๆว่าเอิร์ธช็อกโกแล็ต

    -มักกี้                 ม้าสีดำสนิทแข็งแรงกำยำดูตัวใหญ่กว่าตัวอื่นๆ แผงคอและหางเป็นลอนยาวสีดำสนิท มีชื่อว่าแบล็คสตาร์ ธาตุความมืดแต่กลับดูใจดีเรียบร้อย

    -เคสเทอร์           ม้าสีชมพูอ่อน แผงคอและหางสีเข้มกว่าสีขนหน่อยๆ เป็นอาชาที่ดูน่ารักมากธาตุลม ชื่อว่าเลิฟลี่

    -เทเนส              ม้าขนสีขาวบริสุทธิ์ แต่แผงขอกับหางที่ยาวสยายอย่างพอประมาณไม่มากหรือน้อย                              จนเกินไปกลับเป็นสีดำขลับตัดกันอย่างสิ้นเชิงทำให้มันดูงดงามแบบแปลกๆ ใช้ชื่อว่าซิสเซียร์เป็นอาชาธาติเสียง

    -สตาฟฟี่            เป็นม้าสีขาวดุจหิมะตั้งแต่หัวจรดปลายหาง ทั้งตัวไม่มีสีอื่นปนอยู่แม้นิดเดียวทำให้บางทีมันดูเจิดจ้าจนแสบตาด้วยซ้ำ เป็นอาชาธาตุน้ำแข็ง ชื่อโสนว์บอล

                พอทุกคนแนะนำบัดดี้ของแต่ละคนให้รู้จักกันจนครบก็หมดเวลาเรียนพอดี อาจารย์ฟรานซิสได้สั่งการบ้านให้แต่ละคนไปฝึกและปรับปรุงการใช้อาวุธประจำตัวเพิ่มเติมก่อนจะปล่อยให้เด็กๆแต่ละคนใช้เวลาอิสระได้อย่างเต็มที่โดยให้มารวมตัวอีกทีก็คือตอนเวลาอาหารเย็นในอีกสามชั่วโมงข้างหน้า

                “เฮ้อ...เหนื่อยหน่อยนะ แต่ก็สนุกดีนะสำหรับวันแรก หรือว่าเจ้าว่าไงเรย์” เคลน์หันไปพูดกับเรย์คัสที่กำลังลูปหัวของแคนดี้ซึ้งกลายเป็นม้าขนาดเท่าฝามือดังเดิมแล้วบินมาเกาะไหลเล่น

                “นั่นสิ เหนื่อยแต่ก็สนุกดี ทุกคนก็นิสัยดีกันทั้งนั้น”

                “ใช่ หวังว่าพวกเราทุกคนจะกลายเป็นหน่วยที่ดีได้นะ”

                “ไม่ต้องหวงเรื่องความสามารถแล้วอย่างหนึ่งแล้วกัน เพราะเก่งกันทุกคน”

                “อาชาก็น่ารักกันทุกตัวด้วย อยากให้ไปบินเล่นพร้อมกันทุกตัวจัง คงสวยน่าดู” เคลน์ยิ้มขณะที่มองบัดดี้ของตัวเองกลายเป็นคนสองคนที่คุ้นหน้ากันดี

                “ว่าไงวินด์ ไนท์วันนี้ได้พักกันเต็มที่เลยนี่ ยังเหลือเวลาก่อนอาหารเย็นอีกตั้งนานไปบินเล่นกัน” ทั้งสองคนหันไปมองหน้าผู้พูดก่อนจะทำสีหน้าอ่อนใจ แต่ก็จำยอมกลายเป็นอาชาที่สง่างามให้นายหญิงของตัวเองได้ขึ้นนั่งแต่โดยดี

                เคลน์กระโดดขึ้นหลังของวินด์ด้วยรอยยิ้มสดใสก่อนจะหันไปโบกมือให้เรย์แล้วหนึ่งคนกับสองอาชาก็หายออกไปจากสายตาของชายหนุ่ม

                เขาใช้สายตามองส่งอีกสักพักก่อนจะก้มหน้าถอนใจ ทำไมเค้าจะไม่รู้ว่ารอยยิ้มเมื้อกี้มันเสแสร้ง เขารู้ดีว่าเพื่อนตัวเองในตอนนี้เครียดขนาดไหนเกี่ยวกับดินแดนแห่งนี้ แล้วที่ไปเมื่อกี้ไม่ได้แค่ไปบินเล่นเฉยๆแน่นอนแต่ไปบินสำรวจรอบๆเมืองต่างหาก

                “อีกไม่นานแล้วนะแคนดี้ที่ความทุกข์นี้จะหยุดลงของการเป็นแค่คนที่ช่วยอะไรไม่ได้ หน่วยนี้จะต้องเข็งแรง เข็งแกร่งไม่กลัวการศูนย์เสียเพื่ออาร์คาเดียจะได้กลับมาสงบอีกครั้ง”

                “อยู่แล้วเจ้าคะ อีกไม่นานเราก็จะช่วยกันทำในสิ่งที่เธอคนนั้นไม่อาจทำได้ด้วยเพียงตัวคนเดียวให้สำเร็จไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ตาม” ม้าน้อยบินจากไหล่ชายหนุ่มมาอยู่ในระดับสายตาก่อนจะเอาหัวไปถูกับแก้มของเจ้านายตัวเองเบาๆอย่างให้กำลังใจเต็มที่

                เรย์ตอบรับด้วยการเอามือลูบตัวมันเบาๆก่อนที่แคนดี้จะกลายเป็นอาชาที่สง่างามพร้อมให้ชายหนุ่มหัวแดงได้กระโดดขึ้นบนหลังของมันก่อนที่ทั้งคู่จะทะยานตามคนที่เดินทางไปก่อนหน้าอย่างลับๆโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเหตุการณ์ทั้งหมได้อยู่ในสายตาของใครอีกคน

                พ่อบ้านหนุ่มเดินก้าวออกมาจากร่มไม้ก่อนจะเรียกหาบัดดี้ของตัวเองที่เป็นม้าสีฟ้าอ่อน แผงคอและห่างสีน้ำเงินม้วนเป็นเกลียวคลื่นงดงาม

                “เราก็ไปกันบ้างเถอะวอร์เทอร์บอล ยังมีงานอีกเยอะที่เราต้องเตรียมให้พร้อม”

                “เจ้าคะท่านแจส แล้วเริ่มที่ไหนก่อนเหรอเจ้าคะ”

                “ก็ต้องไปเตรียมของให้เจ้าหญิงก่อนอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็ไปดูแลเรื่องอาหารเย็นของทุกคนและอีกเพียบ ต้องรีบทำให้เสร็จกันด้วยนะ”

                “ฮี้~” วอร์เทอร์บอลขานรับก่อนที่จะทะยานไปยังส่วนกลางของวังในทิศทางเดียวกันกับที่ตั้งของห้องเจ้าหญิง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×