ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่าเรื่องของลูก

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอน : ความเหมือนที่แตกต่าง

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ย. 56


    ตอน : ความเหมือนที่แตกต่าง

    .............................

     

                    บนโลกของเราล้วนมีความคล้ายและความเหมือนที่หลากหลาย แต่ในความเหมือนนั้นยังมีความแตกต่างอย่างที่เราปฏิเสธไม่ได้

                    และวันนี้เป็นอีกวันที่ขวัญข้าวได้สร้างความประหลาดใจและความประทับใจให้กับมีมิอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งนานๆ เธอจะปล่อยออกมาที วันหยุดของปาป่ะพี่เคนและขวัญข้าวจะตรงกัน (เสาร์ – อาทิตย์) ส่วนมีมิมีวันหยุดที่ไม่เหมือนใคร (นี่ก็คือความเหมือนที่แตกต่างอีกอย่างของโลก) บ่อยครั้งที่โดนเธอถามว่าทำไมมีมิไม่อยู่กับขวัญข้าว ก็ต้องอธิบายกันยกใหญ่ว่ามีมิต้องทำงานหาเงินให้ขวัญข้าวเวลาที่ขวัญข้าวอยากได้ของเล่นบ้าง หรืออยากกินเคเอฟชีบ้าง และวันนี้ปาป่ะก็อยู่เป็นเพื่อนลูกแล้ว เป็นความโชคดีที่ขวัญข้าวเป็นคนเข้าใจอะไรได้ง่ายและไม่งอแงมีเหตุผล ไม่เสียแรงที่พร่ำสอนและยกเหตุผลประกอบเสมอเวลาที่คุยกันกับลูกถึงแม้ช่วงแรกดูเขายังไม่เข้าใจ แต่ลูกจะซึมซับไปแบบไม่รู้ตัวแล้ววันหนึ่งหรือเมื่อเขาเริ่มเติบโตขึ้นเขาจะเริ่มแสดงให้เห็นออกมาเรื่อยตามวัย (ดิฉันเชื่อว่าแม่หลายท่านก็รู้สึกได้เช่นเดียวกันกับดิฉัน) มีคำพูดบางคำพูดหรือกิริยาบางกิริยาที่แม่หรือคนรอบข้างมั่นใจว่าไม่เคยสอนแต่สมาชิกตัวน้อยของเราได้พูดหรือแสดงออกมาให้เราได้แปลกใจกัน บางทีเราก็ไปซักกับเขาว่าไปเอามาจากไหนใครสอน ที่ไหนได้ลูกอยู่กับเราตลอดเวลาคนที่สอนจะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่เรา (ลองคิดดูดีๆ นะคะแล้วจะอ๋อ) เพราะบางทีการแสดงออกของเรากับคนรอบข้างที่เขาได้เห็นเขาซึมซับคะดิฉันจึงเชื่อว่าถ้าต้องการให้ลูกเป็นคนอย่างไร เราคือเบ้าหลอมชั้นดีค่ะด้วยความที่อยากให้ลูกเห็นเราเป็นมากกว่าแม่ จึงพยายามพูดหรือแสดงออกเกินว่าวัยของเขาที่สำคัญเหตุผลและสาเหตุของการกระทำที่จะเกิดขึ้นตามมาเข้าใจหรือไม่เข้าใจ

    มีมิอย่างดิฉันก็พูดเอาไว้ก่อนเพราะคิดว่าไม่เสียหลาย (ไม่ได้ซื้อเขานี่)  ทุกครั้งที่คุยกันมีมิจะถามเสมอว่าโอเคไหม คำตอบที่ได้คือใบหน้าน้อยๆ ดวงตาใสซื่อที่ทำท่าว่าครุ่นคิดและพยักหน้าต่อ “โอเคมิ”  หรือ ”ไม่โอเค” ตามอารมณ์ของเธอ (คราวหน้าค่อยมาติดตาม โอเคมิ กับไม่โอเค ของเธอ เพราะเรื่องมันยาว)

                    วันนี้ถือว่าเป็นวันพิเศษที่มีมิไม่ได้ไปทำงาน (เพราะไม่สบาย) เลยเป็นโอกาสที่สำคัญของเธอไปเลยพอเห็นว่าวันนี้มีมิยังไม่ไปทำงานคำถามก็เริ่มเกิด

                    “วันนี้มิไม่ไปทำงานเหรอ”

                    “ไม่ลูกวันนี้มิไม่สบาย” มีมิตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อย แต่สาวน้อยวัยกระเตาะ(แตะ)เต้นเหย่งๆ

                    “เย้ๆๆมีมิอยู่บ้านกับขวัญข้าวแล้ว” ว่าแล้วก็กระโดดมากอดคอแล้วหอมแก้มมีมิไปหนึ่งฟอด เมื่อเห็นท่าทางดีใจของลูกแล้วอดคิดไม่ได้ว่า การที่เรามีวันหยุดที่เหมือนชาวบ้านเขาแต่กลับแตกต่างจากเขาเนี่ยมันก็ทำให้เราพลาดโอกาสไปหลายอย่างเหมือนกันอย่างน้อยๆ ก็ไม่เคยหยุดพร้อมลูกถ้าไม่ใช่เทศกาลหรือวันหยุดวันสำคัญต่างๆ

                    “มิขวัญข้าวอยากไปให้อาหารปลา” นั่นไงความคิดของเธอเริ่มหากิจกรรมทั้งที่มีมินอนแมะอยู่โซฟา ปาปะก็ทำความสะอาดกวาดใบไม้อยู่นอกบ้าน

                    “ก็ให้เลยลูกถ้าอยากให้”

                    ด้วยเพราะมีมิคิดว่าเธอต้องการให้อาหารปลาที่อยู่ในอ่างในบ้าน เพราะเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับขวัญข้าวในการเล่นปลาหรือให้อาหารปลาในอ่างของมีมิ วีรกรรมล่าสุดของเธอที่ถูกสั่งห้ามคือปลา (หางนกยูง) ถูกแยกออกเป็นสองส่วนหัวไปทางหางไปทาง บางตัวเกล็ดถลอกปอกเปิกสุดจะบรรยายสภาพอ่างถูกกวนจนน้ำขุ่นมัว จากสภาพดังกล่าวเธอจึงถูกทำโทษ (ตีด้วยมือของมีมิ) และสั่งห้ามด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ช่วงนั้นอายุประมาณ 2 3 ปี เราก็นึกว่าจะมาขออนุญาตให้อาหารปลาในอ่างก่อนเพราะกลัวถูกดุ

                    “ขวัญข้าวอยากให้อาหารปลาที่วัด” นั่นไง  มีมิไม่ตอบแต่โยนไปให้ปาปะที่อยู่หน้าบ้านเพราะเราอยากพักเต็มทน

                    “ขวัญข้าวลองไปถามปาป่ะดูนะปาป่ะจะว่าไง”

                    พอสิ้นเสียงเธอก็วิ่งลงไปที่หน้าบ้านเพื่อไปถามปาปะ เสียงเจื้อยแจ้วของลูกกลบเสียงของปาปะไปหมด ทุกทีที่มีการสนทนากันระหว่างพ่อลูกส่วนเสียงของลูกและจะได้ยินไปประมาณ 3 บ้านใกล้เคียงแต่ไม่รู้ว่าปาปะตอบลูกหรือไม่ (เป็นไปตามวิสัยปกติของปาปะที่บ่อยครั้งทำให้เราต้องบ่น) กำลังจะหลับเธอก็วิ่งกลับมารายงานกึ่งฟ้อง

    “มีมิปะทำหน้าอย่างนี้” พร้อมสาธิตให้ดูเธอทำหน้าคิวชนกันหน้ายุ่ง

    “แล้วป่ะว่าไง”

    “ปาป่ะไม่ตอบมิ”  (เป็นไปตามที่เราคาดเดา ตามที่ได้ยินเสียงสนทนาข้างเดียงของลูก) ฉะนั้นเพื่อให้จบ

    “เดี๋ยวตอนเย็นค่อยไปนะแต่ตอนนี้มิพักก่อนได้ไหม”

    “โอเตได้ ตอนเย็นใช่ไหมมิ”

    “ใช่ลูก”

    “โอเค” ว่าแล้วก็ลงจากบ้านรายงานปาปะของเธอต่อ (คราวนี้เหมือนไม่ต้องการคำตอบจากปะแต่เพียงบอกให้รู้ว่าต้องไปเท่านั้น)

    ตลอดวันไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้อีกจากเธอ เธอจึงสร้างกิจกรรมระหว่างวันของเธอเพียงคนเดียวโดยการยกลังของเล่นมาเล่นเพียงลำพังบางทีก็จะให้พี่เคนไปเป็นแขกรับเชิญบ้างเป็นครั้งคราวหรือมีส่วนร่วมเล็กๆ น้อยๆ ถ้าโดนปฏิเสธก็จะเจอลูกอ้อนที่ทุกคนรู้จักกันดี

    “น่านะเคนแป๊บเดียวนะ” ถ้าไม่ร่วมไม่จบทุกคนถ้าเจอแบบนี้รู้ได้ว่าไม่จบแน่ถ้าไม่ทำ แม้กระทั่งยายยิ่งถ้าอยู่กับยายเพียงลำพังวันนั้นทั้งวันยายห้ามหลับเพราะเธอจะบอกว่า “ยายอย่าหลับขวัญข้าวไม่มีเพื่อน” หลับเมื่อไหร่จะโดนปลุกให้ตื่นทันที  ฉะนั้นต้องร่วมกิจกรรม กิจกรรมของเธอก็ไม่มีอะไรมาก แค่เป็นนักเรียนให้บ้างตามโอกาส เป็นเพื่อนให้บ้างในเวลาที่เธอสมมติว่าตัวเองยืนอยู่หน้าเสาธงก็ต้องท่องปรัชญาของโรงเรียน กล่าวคำต่างๆ ที่เขาพากล่าวทุกคนในบ้านล้วนผ่านการเป็นนักเรียนเธอทุกคน

    กระทั่งตอนเย็นเมื่อเธอตื่นนอนขึ้นมา (ปกติจะไม่นอนแต่วันนี้อาจมีความหวังในตอนเย็น)

    “มีมิขวัญข้าวจะไปให้อาหารปลาที่วัด” ไม่ลืมเธอยังไม่ลืม

    “มันค่ำแล้วนะลูก”

    “ก็มีมิบอกว่าไปตอนค่ำไง” หมดคำพูดที่จะพูดต่อเพราะเด็กจะจำสัญญาได้แม่นกว่าเราเสมอ ฉะนั้นไม่จำเป็นเราจึงไม่ค่อยบอกอะไรล่วงหน้าหรือสัญญาอะไรไว้เพราะจะถูกทวงถามไม่สิ้นสุด

    “งั้นไปบอกปาป่ะนะ”

    ปาป่ะเตรียมรถ (จักรยานยนต์) เพื่อเดินทางแต่เจ้าของกิจกรรมจะเอาพี่เคนไปด้วย ซึ่งรถมันรับ 4 คนไม่ได้มีมิเลยให้เลือกว่าถ้าพี่เคนมิก็จะรออยู่บ้านเพราะรถมันไปไม่ได้

    “แล้วทำไมไม่เอารถใหญ่ไปละมิ”

    “รถใหญ่วันนี้หมดหน้าที่แล้วเค้าเหนื่อยแล้ว เอาไงถ้าไม่ไปไม่ไปนะ”

    “ขวัญข้าวอยากให้พี่เคนไปด้วย”

    ทั้งมีมิและปาป่ะต้องอธิบายกันชุดใหญ่สุดท้ายยอมไปโดยให้พี่เคนรออยู่บ้านซึ่งไม่ไกลกันมากนักเพราะเป็นวัดของหมู่บ้าน เป็นวัดดังแห่งหนึ่งของจังหวัด จึงมีคนมาให้อาหารปลากันไม่ขาดภายในบริเวณของวัดจะมีสระน้ำขนาดใหญ่กลางสระน้ำจะมีการสร้างเรือเหมือนกับเรือสุพรรณหงส์แต่จะมีโบสถ์อยู่กลางลำเรือ หัวเรือเป็นหัวพญานาค 5 หัว ท้ายเรือจะมีลักษณะเหมือนเป็นหางส่วนทางลงจะสร้างเป็นเหมือนสะพานเข้าไปกลางสระน้ำตลอดแนวราวสะพานมีการสร้างเป็นตัวพญานาคขนาดพอประมาณเลื้อยไปตามราวสะพานจนไปบรรจบกับตัวเรือ แล้วมีกันบันไดเพื่อเดินขึ้นไปบนตัวเรือในการอาหารปลาและสามารถไหว้พระภายในโบสถ์ได้ สวยงามไปอีกแบบก่อนจะไปให้อาหารปลาก็สามารถไหว้พระขอพรกับพระพุทธรูปขนาดใหญ่อีก 3 องค์บริเวณที่มีการขายอาหารปลาพร้อมทั้งบริการปล่อยปลา เตา หรือปลาไหล มีเตรียมไว้ให้พร้อมสัพ

    พอถึงสระน้ำปาปะพาเดินไปซื้อขนมปังสำหรับให้ปลา แต่สายตาเธอคงเหลือบไปเห็นสัตว์ที่ถูกขังไว้ในถังคำถามจึงเกิดทันที ทั้งทีปาป่ะเดินล่วงหน้าไปก่อน

    “มีมิเขาขังไว้ทำไมมิ” สายตาเธอยังจับจ้องที่เหล่าสัตว์ทั้งหลาย

    “เอาไว้ปล่อยลูก”  แต่ยังมีอีกถังที่โดนปิดฝาไว้ด้วยความอยากรู้ขวัญข้าวจึงเอื้อมมือไปเปิดโดยที่เราเองก็คาดไม่ถึง

    “อย่าซิลูกเดี๋ยวของยายจะออกมานะ”

    เขาหยุดการกระทำทันที อีกคำถามจึงตามมา “อะไรมิ”  ยังไม่ทันที่จะตอบยายที่ทำหน้าที่คอยเฝ้าอยู่ตรงนั้นตอบขึ้นมาก่อน

    “กบลูก”

    มีมิหันไปยิ้มให้ยายก่อนหันกลับมาตอบทำถามอีกที

    “กบลูก...ปะปาป่ะไปรอแล้ว”

    สองแม่ลูกจึงพากันเดินไปหาปาป่ะที่ยืนรออยู่บันทางขึ้น แต่อาการของขวัญข้าวเหมือนยังมีคำถามอยู่ในใจแต่ก็ยอมเดินมาด้วยดี ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกจึงพากันเดินขึ้นบันไดเพื่อไปให้อาหารปลาตามเจตนารมณ์ การให้อาหารปลาเป็นไปตามปกติพอให้เสร็จจึงพากันเดินเข้าไปในโบสถ์ ซึ่งปาปะล่วงหน้าเข้าไปก่อนขวัญข้าวถือถุงอาหารปลาที่หมดเพื่อไปทิ้งขยะข้างบันไดเข้าโบสถ์ แล้วคนเดินตามไปเป็นคนสุดท้ายคือมีมิที่ยังคงยืนดูเด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งที่กำลังลงมาจากโบสถ์อีกด้านด้วยเสียงเจื้อยแจ้วของเธอ อายุประมาณ 2ปีกว่าในชุดกระโปรงสีแดงทันทีเธอเห็นขวัญข้าวยืนอยู่ตรงบันไดทางเข้าโบสถ์ซึ่งขวัญข้าวก็รู้สึกว่าสนใจเธอเหมือนกัน ดังนั้นทั้งแม่และลูกต่างยืนมองดูเป้าหมายเดียว คือเด็กตัวเล็กๆ ในชุดกระโปรงสีแดงเมื่อเธอเห็นขวัญข้าวยืนมองและถือถุงในมือ เธอจึงไม่รอช้าเดินตรงเข้ามาเอามือเปิดออกดู โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงของยายที่เดินมาตามหลัง

    “อีหยังเบิ่งแหน่” (อะไรดูหน่อย) ภาษาท้องถิ่นเราเอง ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรเธอก็เอ่ยต่อ

    “เบิ่ดแหล้ว” (หมดแล้ว)  ทุกคนหัวเราะกันใหญ่กับการกระทำของเธอรวมทั้งขวัญข้าว ก็ยืนยิ้มให้น้องเปิดถุงอย่างว่าง่าย พอรู้ว่าอาหารปลาหมดเธอก็เดินจากไปโดยไม่สนใจอะไรมากมายมีเพียงหันมามองหน้าตอนที่ตอบว่า “ถุงอาหารปลาจ้ามันหมดแล้ว”

    ขวัญข้าวยืนรอมีมิเดินเข้าไปหาพร้อมเอ่ยถาม

    “น้องพูดว่าอะไรมิ” (เพราะขวัญข้าวยังฟังไม่ออก)

    “น้องบอกว่าหมดแล้วลูก” สองแม่ลูกพากันหัวเราะเดินเข้าไปในโบสถ์

    ภายในโบสถ์ไม่มีใครนอกจากปาปะไหว้พระกำลังเสร็จและหันหน้าไปตีฆ้องส่วนขวัญข้าวเดินสำรวจรอบภายในบริเวณโบสถ์ มีมิจึงเข้าไปจุดธูปเทียนตามหลังในขณะที่ปาป่ะใช้มือลูบฆ้องให้ดังโดยมีขวัญข้าวยืนเคียงข้างไม่ห่าง เสียงลูบฆ้องมันดังก้องโบสถ์เราจึงบอกให้พอ กำลังจุดธูปอธิษฐาน ก็มีพระรูปหนึ่งเดินเข้ามาภายในโบสถ์โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงท่านก็ทำการปิดหน้าต่างโบสถ์ดังปังๆ ไปทีละบาน ในขณะที่ปาป่ะได้เดินพ้นออกจากประตูโบสถ์ไปแล้วมีมิยังคงไหว้พระพุทธรูปไม่เสร็จ ขวัญข้าวอยู่ตรงกลางระหว่างปาป่ะกับมีมิ มีมิเหลือบเห็นเธอกำลังหันหน้ามองไปที่ปาปะทีและหันมามองมีมิทีที่กำลังก้มกราบอยู่ส่วนเสียงของหน้าต่างที่ถูกปิดยังคงดังไปเรื่อยๆ สีหน้าของขวัญข้าวที่สังเกตเห็นได้ในตอนนั้นคือความกังวนเต็มใบหน้าเพราะเธอมองไปที่พระรูปนั้นที่กำลังไล่ปิดหน้าต่างไปเรื่อยๆ และมองแม่ที่ก้มกราบพระยังไม่เสร็จ

    “มิมิกลับ” เธอคงตัดสินใจได้จึงเดินเข้ามาดึงแขนมีมิให้ลุกขึ้นคงกลัวว่าพระจะปิดประตูแล้วออกไม่ได้ปาป่ะออกไปแล้วเหลือแต่มีมิ เธอเลือกที่จะรอมีมิที่ยังช้าอยู่

    “เดี๋ยวลูกมิตีฆ้องก่อน”  รู้แล้วว่าลูกเป็นกังวลมีมิจึงเร่งรีบจะเดินออกไปข้างนอกที่มีปาปะยืนรออยู่หน้าโบสถ์พอขวัญข้าวเห็นมีมิเดินออกมาตามหลัง สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มเต็มใบหน้า

    วันนี้ได้รู้ซึ้งความห่วงใยของลูกตัวน้อยที่แม่สัมผัสได้จากใจอย่างนึกไม่ถึง สีหน้าที่เป็นกังวลของเขามันทำให้เรานึกไม่ถึงว่าเขาจะแสดงออกมาได้แค่เพียงเราเดินออกมาพ้นโบสถ์สีหน้านั้นกลับหายไปทันทีไม่เสียแรงที่บ่มเพาะ

    พอเดินลงบันไดจะเข้าฝั่งถามก็เกิดอีก

    “เสร็จแล้วไปไหนมิ”

    “ก็กลับบ้านซิลูก” ทำหน้ารับรู้แต่ยังมีเงื่อนไข

    “ขวัญข้าวอยากกินไอติมมิ” คุยในขณะที่เดินไปด้วย

    “เหรอ” มีมิตอบสั้น พร้อมร้องบอกปาป่ะที่เดินนำไปก่อนล่วงหน้า และพูดต่อ “ขวัญข้าวกินทุกทีไม่เห็นให้มิกินบ้าง” มีมิพูดโดยไม่ได้คิดอะไรเป็นการกล่าวโดยลอยๆ และก็ไม่ได้เสียงตอบรับจากเธอเช่นกัน

    “อยากกินก็เดินเร็วซิ” เสียงตอบจากปาป่ะ ขณะที่มีเสียงเจื้อยแจ้วของใครอีกคนดังอยู่บันไดอีกข้าง “สาวน้อยชุดแดงเธอยังไปไม่ถึงไหน” มีมิจึงบอกให้ปาป่ะหันไปดูความน่ารักของเธอพร้อมกับขวัญข้าวเช่นกัน

    “น้องยังไม่กลับเหรอมิ” ขวัญข้าวหันมาถาม

    “ยังค่ะ”

    พอถึงฝังทั้งพ่อและลูกมุงหน้าไปที่รถขายไอศกรีมทันที ส่วนมีมิจึงนั่งรออยู่ที่รถ พอได้ไอติมอย่างที่เขาต้องการขวัญข้าววิ่งมาถึงมีมิก่อนปาปะพร้อมยื่นไอติมให้มีมิ

    “เอามีมิ” มีมิรับแล้วแกะถุงออกให้แล้วยื่นให้กลับคืน

    “ไม่มีมิกินซิ...แต่มีมิเลียเอานะขวัญข้าวกลัวมันจะหมด” นั่น!

    วันนี้มีมิเจอไปแล้วสองก๊อกของลูก ก๊อกแรกความเป็นห่วงเป็นใยในโบสถ์และ ก๊อกสอง แม้เราพูดไปแล้วเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบแต่ใช่ว่าในสมองเล็กๆ ของเขาไม่ได้จดจำหรือปล่อยมันผ่านเลยไปเฉยๆ เขาจำได้

    ขณะกำลังจะสตาร์รถกลับสาวน้อยชุดแดงก็วิ่งผ่านเราไปพ่อแม่ลูกพาก็กันมองแล้วยิ้มตามหลังไป เสียงตะโกนของยายตามหลังเธอไปและผ่านเข้าหูเรา

    “ขวัญข้าวรอก่อน”

    ปาป่ะกับมีมิหันหน้ามามองกัน ชื่อเหมือนลูกเรา

    “อ้าวๆ ขวัญข้าวมีคนชื่อเหมือนขวัญข้าวด้วย” มีมิบอกเธอในขณะที่กำลังก้าวขึ้นนั่งรถ

    “ไหนมิ” ขวัญข้าวถามหาทันที

    “นั่นไงลูกน้องชุดแดง” มีมิชี้บอกแค่ว่าเป็นใครไม่ได้คิดอะไรไปกว่านั้น และเธอก็เงียบไปแต่สายตามองน้องชุดแดงไม่ว่างก่อนพูดว่า

    “แต่หน้าไม่เหมือนกันนะมิ” อื่มใช่ลูกพูดถูก เราไม่ได้คิดถึงตรงนั้นด้วยช้ำแต่เขาคิดไปไกลกว่าที่เรามองแล้ว

    วันบังเอิญหยุดวันนี้ทำให้ได้รู้จักความคิดความอ่านของสาวน้อยวัยกระเตาะ(แตะ)ว่าตอนนี้เขากำลังทอดถ่ายความคิดความอ่านที่เราเฝ้าเพียรหล่อหลอมออกมาให้เราเห็นทีละน้อย อย่างน้อยเราก็ได้เห็นมันเริ่มปรากฏออกมาแล้ว ไม่เสียแรงที่บ่มเพาะคะ

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×