คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ขวาร้าย ซ้ายดี
รุ่งอรุณเบิกฟ้า เสียงนกกาโบยบิน ออกหากินร่าเริงแจ่มใส ผ่านกลุ่มเมฆน้อยใหญ่ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวช้าๆไปตามแรงลม แสงอาทิตย์ยามสายของฤดูใบไม้ผลิสาดส่องทะลุชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ สตราโตสเฟียร์ โทรโพสเฟียร์และอีกต่างๆนานาลงมายังพื้นโลก ส่องผ่านชั้นหน้าต่างแก้ว(สเฟียร์) อีกหนึ่งชั้นจนกว่าจะถึงห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆบนชั้นสองของทาวน์เฮาส์กลางตัวเมืองที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์โดยชอบธรรมของลูกสาวคนเดียวในบ้านพฤกษวาทิน
หลังจากที่ถูกปลุกให้ตื่นนอนจากฝันหวานด้วยแสงอาทิตย์ ฉันเดินตามขั้นบันไดลงมาข้างล่างด้วยความหวังที่จะมีข้าวต้มกุ้งร้อนๆรออยู่บนโต๊ะให้ฉันได้ตักกินสบายใจเฉิบ เพราะวันนี้พ่อฉันไม่อยู่บ้าน มั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีใครมาแย่งฉันกินได้เป็นอันขาด
เอ๊ะ ... รู้สึกสังหรณ์ใจตะหงิดๆแฮะ ... ไม่มีอะไรหรอกมั้ง ช่างมันเถอะ
โอ๊ะ ... ตาขวากระตุก ... วันนี้คงเป็นวันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ของฉันล่ะสิ (หรือพ่อจะกลับมาหว่า?)
แต่ว่าโอ๊ะๆๆ ... มันดันกระตุกติดต่อกันสามครั้งรวด อืม ชักจะยังไงๆแล้วนะ ต้องมีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ
หรือว่าฉันจะเป็นตากุ้งยิง !!! O.O
“ยืนทำอะไรอยู่บนบันไดน่ะอัญ”
“อ๋อ เปล่าค่ะ” ฉันตอบเลี่ยงๆไป ตามประสาสามัญชนส่วนใหญ่ที่ฉันเคยเห็น เวลาถูกถามคำถามประเภททำอะไร จะไปไหนแบบนี้ทีไรเค้าก็จะเปล่าๆๆๆกันซะทั้งนั้น แล้วยังจะมีต่อท้ายอีกประมาณว่า เปล่า ... ก็แค่ ...ฯลฯ... สุดแล้วแต่จะสรรหามาอธิบาย ... ฉันก็เลยอดสงสัยไม่ได้ไงว่ามันจะเปล่ากันทำไมนัก
“มากินอะไรซะหน่อยสิ จะได้ไปอาบน้ำ” ...
“ค่ะ” ฉันรับคำแล้วหยิบขนมปังสองแผ่นหย่อนใส่เครื่องปิ้ง ไม่เห็นมีข้าวต้มซักหม้อเลยชิ แม่นะแม่ เอาใจลูกสาวคนนี้ซักนิดหน่อยก็ไม่ได้
“แม่จะให้อัญรีบไปอาบน้ำทำไมเหรอคะ” ฉันเอ่ยปากถามแม่ระหว่างเดินไปหยิบกล่องนมในตู้เย็นมารินใส่แก้ว
“แม่มีนัดน่ะ” อ้าว แล้วนัดแม่เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ O.O ?
“นัดกับใครคะ แล้วเกี่ยวอะไรกับอัญ”
“นัดกับครอบครัวคู่หมั้นอัญไงจ๊ะ” แม่ส่งยิ้มหวานมาแบบที่ฉันเห็นแล้วแทบขนลุกเลยทีเดียว ตามสถิติ เวลาแม่ยิ้มแบบนี้ทีไรฉันจะต้องซวยทุกทีสินะ เฮ้อ
ก็นึกว่านัดสำคัญอะไร ที่แท้ก็กับคู่หมั้นฉันนี่เอง อืม ...
ฮะ !!!!!!!!! [b] คู่หมั้น [/b] ....... O.o
....
....
คู่หมั้นเหรอ ???????
++++++++++++++++++++++++++++
“คู่หมั้นเหรอคะ”
“อ่าจ้ะ ใช่ๆ คู่หมั้นจ้ะ” นี่ฉันไม่ได้หูฝาดได้ยินอะไรผิดไปใช่ไหมเนี่ย ทำไมน่ะเหรอ ก็ตั้งแต่ที่ฉันลืมตาดูโลกมายังไม่เห็นแม่มีทีท่าตอนไหนจะพูดถึงคู่หมั้นให้ฉันฟังเลยนี่ แล้วนี่มันอะไรกัน
“แม่คะ แม่งงๆอะไรรึเปล่า อัญไปมีคู่หมั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อย่ามาอำกันเล่นน่า” เหมือนฉันจะพยายามคิดว่ามันแค่ขำๆกลบเกลื่อน
“อ้าวจริงๆนะอัญ แม่จะไปหลอกอัญเล่นทำไมล่ะ ไม่มีประโยชน์ซักหน่อย” แม่พูดไปพลางทาเล็บไปอย่างมีความสุข แต่สุขแม่มันไม่ใช่สุขฉันนี่
“แล้วทำไมอัญถึงไม่รู้เรื่อง แม่จะบอกว่าอัญมีคู่หมั้นมาตลอดยี่สิบกว่าปีโดยที่ไม่รู้อะไรเลยเนี่ยนะ ตลกไปละค่ะ ถ้าเป็นในละคร อัญจะไม่สงสัยเลย” ใช่สิ เพราะเดี๋ยวนี้ตามละครหลังข่าวทั่วไปจะมีเรื่องแบบนี้เยอะแยะ ก็ขนาดละครที่ฉันทำขึ้นมาเองกับมือยังแอบขโมยมุกนี้มาใช้เลยค่ะ
“โถ่เอ๊ย ชีวิตเรากับในละครมันก็ไม่ได้แยกจากกันเท่าไหร่หรอกนะ ที่อัญบอกว่าไม่เคยรู้จักเขาก็เพราะว่าพี่เขาต้องไปเรียนเมืองนอกน่ะสิ”
โป๊ะเชะ ! ถ้ามีใครบอกว่าชีวิตฉันมันสิ้นคิดเหมือนในทีวีล่ะฉันจะไม่ว่าเขาเลยให้ตายเถอะ พระเอกนักเรียนนอก แหวะ จะอาเจียน
“แต่ตอนนี้เขากลับมาแล้วนะ แม่ถึงจะพาอัญไปพบทั้งพี่เขา ละก็คุณลุงคุณป้าด้วยไง”
“ไม่ล่ะค่ะแม่ อัญจะไม่ไปเจอเขาหรอก แม่ก็รู้นี่ว่าอัญไม่ชอบไอ้วิธีการแบบนี้ ไม่ชอบเลย” ฉันตอบไปด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างเต็มที่
“อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นสิ แค่ไปทานข้าวกับเขามันจะเสียหายตรงไหน วิธีกงวิธีการอะไรอัญคิดไปเองทั้งนั้น”
“ก็คลุมถุงชนไงคะ ยุคจรวดบินกันให้ว่อนแล้วแม่ยังจะคิดแบบนี้อีกเหรอ” ฉันกำลังเสียอารมณ์มากๆ เพราะฉันน่ะมันนักอนุรักษ์ประชาธิปไตยตัวยงนะ มาเจอเรื่องแบบนี้ให้ยอมได้ไง แม่ฉันจับฉันหมั้นกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ ขนาดหน้าตายังไม่รู้จักซะด้วยซ้ำ
“แต่พี่ภุมิเขาเป็นลูกเพื่อนแม่นะไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน อัญก็ถือซะว่าเขาเป็นพี่ชายอัญไง” เหมือนแม่จะได้ยินคำถามฉันเลย
“พี่ก็ส่วนพี่สิ แม่เอาของหมั้นไปคืนเขาสิคะ จะได้จบๆ”
“ไม่ได้” แม่ตอบทันควัน มันสำคัญนักหนาขนาดนั้นเชียวหรือ
“ทำไมล่ะคะ เดี๋ยวอัญหาใช้แม่เอง”
“เรื่องเงินน่ะคืนได้ แต่เรื่องบุญคุณ ยังไงอัญก็คืนเขาไม่ได้หรอก”
แล้วแม่ก็เล่าให้ฉันฟังว่า เมื่อ 28 ปีก่อน ตอนที่พ่อแม่ฉันเพิ่งแต่งงานกันใหม่ จริงๆทุกอย่างมันก็ราบรื่นดีหรอกนะ เพราะพ่อฉันเป็นถึงผู้บริหารบริษัทน้ำมัน คิดว่ายังไงๆ ก็คงไม่ล่มจมง่ายๆ แต่หลังจากนั้นมาไม่นาน พ่อฉันก็ถูกโค่นล้มอำนาจ แถมยังถูกตราหน้าว่าเป็นบุคคลล้มละลายอีกต่างหาก เงินทองก็เลยไม่มีเหลือ แต่รายจ่ายยังเพียบ ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ละไหนจะต้องจ่ายหนี้ทางโน้นทางนี้อีก ...
โชคดีที่เพื่อนของแม่ - ป้าฤดี - ท่านก็ได้แต่งงานกับคนใหญ่คนโตพอควรเหมือนกัน ท่านเห็นว่าแม่ตกทุกข์ได้ยากจึงสงสาร เลยให้แม่ยืมเงินมาหมุนก่อน โดยมีข้อแม้ว่า ถ้าลูกในท้องของแม่ตอนนั้นเป็นผู้ชาย แม่ก็แค่หาเงินมาคืนเมื่อมีให้ แต่ถ้าลูกแม่ดันเป็นผู้หญิง เงินทั้งหมดก็จะถือเป็นของหมั้น ทั้งๆที่ตอนนั้นลูกของคุณป้าก็ยังไม่สองขวบเลย
และโชคร้ายก็ตกลงมาอยู่ที่ฉัน ... ที่ดันเกิดมาเป็นผู้หญิง !
“จะให้อัญมารับผิดชอบเรื่องของแม่ได้ไง ไม่ล่ะค่ะ ไม่ๆๆๆ อัญจะไม่มีคู่หมั้น ค่ะ”
“ตีโพยตีพายได้พ่อแกเลยนะ” แม่บ่นพึมพำไรไม่รู้ถึงพ่อฉัน “ทำไมอัญไม่ลองคบๆกับเขาไปดูก่อนล่ะ ยังไม่ทันรู้จักเขาก็โวยวายซะแล้ว”
ก็เพราะไม่รู้จักเขาไงถึงต้องพูด
“วันนี้แค่กินข้าว กินข้าวเข้าใจมั้ย”
“แต่ ....”
“อย่าเรื่องมาก รีบไปอาบน้ำแต่งตัวซะ มันจะเที่ยงอยู่แล้วเห็นนาฬิกาไหม” โอ๊ยตาย เเม่ฉันเล่นบทโหดซะแล้ว จะเถียงก็เถียงไม่ทัน
“ไม่เอาหรอกแม่”
“ไป!”
แล้วฉันก็ต้องจำยอมลากเท้าขึ้นไปบนบ้านอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิดเดียว (คอยดูเถอะฉันจะเล่นตานั่นให้น่วมเลย)
+++++++++++++++++++++++++++++++
“อ้าวคุณ แล้วยัยอัญล่ะ”
“ป่านนี้ยังไม่ลงมาเลยค่ะ ฉันบังคับให้แกขึ้นไป ไม่รู้จะโกรธมากรึเปล่า” ฉันได้ยินแม่คุยกับพ่อขณะที่กำลังเดินลงมา นัดครั้งนี้มันสำคัญขนาดที่พ่อฉันต้องลางานครึ่งวันเลยเหรอ โอว์
“นั่นไง ลงมาแล้ว จะได้ไปกันซะที” พ่อหันขึ้นมามองฉัน ที่กำลังทำหน้าบึ้งสุดขีด
“ยิ้มหน่อยสิอัญ แม่พาอัญไปรู้จักคนนะไม่ใช่พาไปฆ่าไปแกง” แม่เอามือมาลูบหน้าลูบตาฉันอย่างกลัวว่าฉันจะไม่สวยพอ แต่ฉันก็ไม่สวยอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ช่างมันเถอะแม่
“อืม พ่อเห็นด้วยกับแม่นะ ยิ้มหน่อยสิ ลูกพ่อน่ะน่ารักจะตาย” จะตายเลยเหรอคะ
ฉันยิ้มแห้งๆให้พ่อทีนึง
“อย่างนั้นสิ ไปๆ สายแล้วนะนี่”
พ่อเดินนำเราทั้งหมดไปที่รถคันสีแดงรุ่นเก่ากึกที่พ่อฉันผ่อนตั้งแต่ฉันยังไม่เกิด พ่อฉันไม่คิดจะดาวน์รถใหม่หรอกค่ะเพราะพ่อกลัวว่าจะล้มแบบครั้งนั้น และอีกอย่าง รายได้พ่อตอนนี้มันก็ไม่ได้มากเหมือนเก่า จากนายจ้างก็ต้องลงไปเป็นลูกจ้างเขา เฮ้อ เศร้าใจ ส่วนฉัน หลังจากเรียนจบก็มาทำงานเบื้องหลังละครเวทีของมหาวิทยาลัย จากนั้นมาปีสองปีก็ได้มาสัมผัสกับกองละครจอแก้ว จนถึงตอนนี้ ทีมงานของฉัน - ฉันกับเพื่อนอีกสองคน - ก็เลื่อนขั้นขึ้นมาลองกำกับละครเองไปได้สองสามเรื่องแล้ว นี่ฉันก็กำลังวางจะทำละครเรื่องใหม่อยู่เหมือนกันนะ .. อ๊ะ ใช่สิ วันนี้มีแคสติ้งบทพระเอกนี่นา ลืมไปสนิทเลย
“เอ่อ แม่คะ แล้วเราจะกลับกันเมื่อไหร่คะ”
“ตายจริงลูก ยังไม่ทันออกรถเลยถามเวลากลับซะแล้ว” พ่อพูดพร้อมหัวเราะขณะสตาร์ทรถ
“ไม่รู้สิอัญ มีอะไรเหรอ”
“คืออัญมีธุระกับกุลน่ะค่ะ วันนี้คัดตัวพระเอกด้วย” กุลหรือกุลธิดาเป็นเพื่อนที่ฉันเคยกล่าวถึง ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นผู้ชายชื่อฐานุปัติ หมอนี่ตังค์เยอะ เลยมีเงินให้ฉันถลุงเล่นได้บ่อยๆ ฉันก็คบกับเขาได้นาน
“กี่โมงล่ะ”
“สามโมงค่ะ”
“งั้นแม่จะพยายามเลิกให้เร็วแล้วกันนะ” แม่รับคำ แต่ไอพยายามของแม่เนี่ยฉันไม่ค่อยเห็นมันสำเร็จเท่าไหร่หรอก
+++++++++++++++++++++
ท่ามกลางสภาพรถติดในกรุงเทพ อีกเพียงไม่กี่เมตรก็จะถึงร้านอาหารที่แม่นัดไว้แล้ว แต่ฉันจำได้ว่าฉันนั่งมองปั๊มน้ำมันรูปหอยสีเหลืองๆนี่มาประมาณสิบนาทีได้มั้งเนี่ย เมื่อไหร่มันจะถึงซะทีล่ะฮะ อ้อ อย่าเพิ่งนึกนะว่าฉันจะรีบไปหานายคู่หมั้นอะไรนั่นน่ะ ก็แค่เหน็บมันกินขา ฉันอยากลงไปเดินบ้างเท่านั้นเอง
“เอ่อ แม่คะ แม่ช่วยบอกอะไรเกี่ยวกับคนที่เรากำลังจะไปหาให้อัญรู้เรื่องมากกว่านี้ได้ไหมคะ” ฉันเลี่ยงที่จะไม่เรียกเขาว่าคู่หมั้น พี่นั่นพี่นี่ หรืออะไรทั้งนั้น เพราะเขาก็เป็นแค่ ‘ผู้ชายคนหนึ่ง’ สำหรับฉัน
“อัญเรียกพี่ภูมิว่าพี่ภูมิสิลูก จะได้คุ้นเคย”
ไม่อยากคุ้นเคยสักหน่อย ชิ
“พี่เขาชื่อภูมิพัฒน์ รู้สึกว่าเขาจะจบโทบริหารมาจากเมืองนอกเมืองนานู่นแน่ะ แต่อายุเขาห่างจากอัญไม่ถึงสองปีเลยรู้ไหม” แม่พูดอย่างกับจะตอกย้ำให้ฉันรีบไปเรียนโทต่อให้แม่อย่างที่แม่เคยหวังเอาไว้ยังไงยังงั้น ... แต่จบโทเลยเหรอ นี่นายจะเพอร์เฟคท์เกินไปรึเปล่า เงินก็มี เรียนก็เก่ง เอ๊ะ หรือไม่เก่งจริง
“จบมาแล้วเขามาทำอะไรล่ะคะ”
“คงจะคุมบริษัทต่อจากพ่อเขาน่ะจ้ะ ว่าแต่ ... ไหนอัญบอกไม่สนใจเขาไง” แม่แซวฉันยิ้มๆ แต่จริงๆแล้ว ฉันเชื่อในภาษิตที่ว่า รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้งต่างหากเล่า
“ดูเหมือนเขาจะเก่งแต่เปลือกนะคะ เพราะถ้าแน่จริง ทำไมเขาถึงไม่ลองไต่เต้าด้วยตัวของเขาเองล่ะ ทำไมต้องไปรับช่วงต่อกิจการของพ่อด้วย งี้มันก็เส้นชัดๆสิ”
“จริงๆตัวเขาก็คงอยากทำอย่างนั้นอยู่หรอกจ้ะ แต่เผอิญพ่อเขาต้องการความมั่นคงทั้งตัวลูกชายเขาละก็บริษัทเองด้วย มันก็เหมือนโชคสองชั้น ถูกล็อตเตอรี่รางวัลสองต่ออย่างนั้นมั้งจ๊ะ ตาภูมิก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหางาน” เส้นจริงๆด้วยเนอะ
“บริษัทที่แม่ว่านี่มันบริษัทอะไรกันเหรอคะ”
“บริษัทชาเขียวซันทรีไง นี่ยี่ห้อเนี้ยเขากำลังดังมากเลยนะ แม่ล่ะเห็นกุลเขากินบ่อยออก” เอาแล้วยัยกุล ให้แม่เขาหามาอ้างอีกจนได้
“แม่ๆ ลูกๆ ลงกันได้แล้วจ้ะ ถึงแล้ว” เสียงพ่อเรียกมาจากด้านหน้าคนขับข้างๆแม่ ... นั่นก็หมายความว่าฉันใกล้จะได้เจอหน้านายนั่นแล้วสินะ
.. - .. - .. - .. - ..
ทักทายกันนิสนึงนะ ......... สวัสดีค่ะ เรื่องนี้ก็มีอันจะต้องดำเนินต่อได้เพราะผู้เขียนได้ผ่านช่วงซีเรียสมาเรียบร้อยเเล้ว ยังไงก็ฝากช่วยติดตามด้วยนะคะ // สำหรับชื่อเรื่อง ถ้าใครจะบอกว่ามันดูเชยเบ๊อะเเละสิ้นคิดไปหน่อยก็ขอโทษด้วยค่ะ พอดีสิ้นคิดจิงๆ อ่าไม่ช่ายยยย มันคิดไม่ค่อยออกอ่านะ ไงก็ต้องปล่อยเลยตามเลยไป ....
ความคิดเห็น