ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เช้าวันที่หนึ่ง - สู่เขาชนไก่
เสียงนกหวีดดังยาวขึ้น ตามติดด้วยเสียงสั้นอีกเจ็ดหรือแปดครั้ง แล้วจึงเน้นหนักอีกครั้งหนึ่ง ผมตะโกนตอบรับว่า เฮ้ แล้วจึงเอาเป้สนามหนักไม่รู้กี่กิโลกรัมนั้นขึ้นหลัง แล้ววิ่งไปยังที่รวมพลพร้อมกับเพื่อน ๆ ที่บางคนก็วิ่งนำหน้าผมไปก่อนแล้ว
    ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบหกโมง ผมกินข้าวในโรงอาหารเสร็จไปพักหนึ่งแล้ว และก่อนที่ผมจะวิ่งมานี่ ผมก็กำลังเดินไปเดินมาคอยชะโงกดูของในสวัสดิการว่าผมขาดตกบกพร่องอะไรไปหรือเปล่า บางทีก็คอยทักคอยหยอกล้อกับพวกเพื่อน ๆ บ้าง โต้งนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง กำลังคุยกับคนอื่นอยู่ ในขณะที่พวกวสันต์ก็กำลังมั่วกับเป้สนามของตัวเองอยู่เช่นกัน
    แต่ตอนนี้ทุกคนออกมาจากโรงอาหารแล้ว และกำลังวิ่งไปยังที่รวมพลซึ่งเป็นสนามปูนกรวดกว้าง บรรยากาศยังคงมืดอยู่ มีแสงสีน้ำเงินรำไรขึ้นที่ขอบฟ้าหลังแฟลตหมู่นั้นพอให้มองเห็นอะไรได้บ้างนอกจากแสงไฟริมสนามนั่น ครูฝึกคนหนึ่งยืนรออยู่แล้ว ผมคิดว่าสีหน้าของเขาคงไม่ค่อยดีนักแม้แสงไฟจะไม่ค่อยสว่างนำทำให้ผมมองไม่เห็น เพราะถึงแม้พวกผมจะเป็นพวกเราที่มาถึง แต่พวกผมก็มาช้า เสียงพูดของเขาไม่คุ้นหู และดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงจะไม่ได้โมโหโกรธาอะไรนักก็ตาม
    “จัดแถวสิ” ครูฝึกท่านนั้นพูดเช่นนั้น “ตอนเรียงห้า! จัดแถว!”
    “เฮ้!” ผมและพวกตอบรับ ผมลงไปต่อกลาง ๆ แถว พวกที่อยู่ข้างหน้านับ หนึ่ง สอง สาม สี่ แล้วเงียบหายไป ตอนนี้ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นอีกนิดหนึ่งแล้ว ผมเห็นคิ้วของครูฝึกขมวดเข้าหากัน จึงวิ่งออกไปต่อเป็นคนที่ห้า แล้วนับ “ห้า!” หลังจากนั้นกระบวนการจัดแถวก็ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด แถวตอนเรียงห้าก็จัดเป็นรูปเป็นร่างเรียบร้อยในเวลาที่พอรับได้ ครูฝึกคนนั้นดูมีสีหน้าพอใจ
    “ไปที่รถ โน่น เห็นมั้ยน่ะ” ครูฝึกคนนั้นชี้นิ้วข้ามลานรวมพลไป ที่ตรงนั้นมีรถบัสที่ผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นสีส้มกำลังแล่นตรงเข้ามายังซอกเล็ก ๆ ข้าง ๆ แฟลตทหาร “นี่มีแค่นี้เหรอ?”
    ผมหันกลับไปดูข้างหลัง ไม่แปลกใจเลยที่ครูฝึกจะพูดว่ามีแค่นี้เหรอ? เพราะจำนวนคนที่มาตามเสียงนกหวีดนั้นมันน้อยเหลือเกิน นับยังไงก็ไม่เกินยี่สิบคน สังหรณ์ใจแล้วว่า คงต้องรออีกนานแน่ เผลอ ๆ จะโดนอะไรมัน ๆ ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นรถ
    แต่
    “ถ้างั้นก็ไปก่อนก็แล้วกัน เอ้า หน้าเดิน!”
    เท้าซ้ายของผมตบออกไปก่อนที่ผมจะเข้าใจความคิดของครูฝึกเสียอีก พริบตาต่อมาผมกับเพื่อนอีกไม่กี่คนก็กำลังเดินตามครูฝึกคนนั้นตรงไปยังรถเสียแล้ว ผมยกข้อมือซ้ายขึ้นมาดูเวลา ความมืดทำให้ดูยากไม่ใช่เล่น จนกระทั่งแสงไฟลอดเข้ามานั่นแหละ จึงจะรู้ว่า เวลาตอนนั้นคือหกนาฬิกาเป๊ะ สงสัยระบบต่าง ๆ ของที่นี่จะยึดเวลาเป็นหลัก
    อีกไม่นานนัก พวกผมก็มาถึงรถ ที่ท้ายรถเปิดเป็นช่องเก็บของรออยู่แล้ว ครูฝึกคนนั้นนั่นเองที่เป็นคนสั่งให้ผมและพวกเอาเป้ออกจากบ่า แล้วยัดเข้าไปในช่องเก็บของนั้น แล้วจึงสั่งให้ขึ้นรถไป
    “เข็มขัดถอดออกด้วย!” ครูฝึกหมายถึงเข็มขัดสนามที่ห้อยกระติกน้ำอยู่ ผมก็ปลดเข็มขัดออกทันที แล้วทำอวดรู้ เดินเอาเข็มขัดและกระติกน้ำนั้นจะเอาไปมัดติดกับเป้
    “ไม่ต้อง เอาขึ้นไปบนรถนั่นแหละ ที่ให้ถอดเพราะไม่งั้นมันจะหก”
    เอ้า ผมก็ทำตามครูฝึกสั่งก็แล้วกัน
    ในที่สุดผมก็ขึ้นไปนั่งบนรถ สภาพแสงยังคงมืดอยู่ จึงทำให้สะดุดโน่นสะดุดนี่อยู่เหมือนกัน จนสุดท้ายแล้ว ผมก็ได้ที่นั่งริมหน้าต่างฝั่งซ้าย ซึ่งไม่รู้มาก่อนเลยว่า ที่นั่งตรงนั้นเป็นที่นั่งชั้นเลิศที่จะหลบแดดไปเกือบตลอดเส้นทาง
    หลังจากที่ทุกคนที่เดินมาพร้อมกับผมขึ้นมาบนรถจนหมดแล้ว ผมและพวกก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง
    “เฮ้ย คนมีแค่นี้เองเหรอ?” พวกข้างหลังเขาหมายถึงจำนวนคนบนรถที่มีไม่ถึงครึ่งคัน
    “สงสัยจะต้องรอว่ะ”
    แต่พวกผมคิดผิด เพราะไม่กี่อึดใจหลังจากที่คนขึ้นมาบนรถจนหมด รถก็เริ่มเคลื่อน ผ่านแฟลตทหารนั้นไป ออกสู่ซอยเล็ก ๆ และเข้าสู่ถนนใหญ่ จนกระทั่งขึ้นสะพาน แล้ววิ่งไปโดยไม่รอใครทั้งสิ้น
    ผมและพวกก็เข้าใจกันไปตาม ๆ กันว่า รถต้องออกตามเวลา
    ลมเย็นมาก ๆ ลอยลอดช่องหน้าต่างที่ผมเปิดเอาไว้แคบที่สุดแล้วเข้ามาตีหน้าผมอย่างจัง มันเย็น เกือบถึงขั้นหนาว ซึ่งถือว่าเป็นบรรยากาศที่เย็นสบายและดีผิดคาด พวกผมคิดว่าพวกผมโชคดีมากที่ได้นั่งรถคันนี้ซึ่งเป็นคนแรกที่ออกมาจากศูนย์ และด้วยลมเย็นนี้เอง บรรยากาศจึงเริ่มน่านอนมากขึ้นเรื่อย แม้ผมและพวกจะพยายามคุยกันมากขนาดไหนก็ตาม แต่ลมเย็นนี้ก็เอาชนะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
    จนภาพข้างหน้าของผมที่มืดอยู่แล้วมืดลงไปเรื่อย ๆ
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
ผมลืมตาตื่นขึ้น จะด้วยเหตุใดก็ไม่รู้ ไม่ใช่เพราะถึงศูนย์ฝึกแล้ว ไม่ใช่เพราะรถติด ไม่ใช่เพราะเกิดอุบัติเหตุ รถยังคงวิ่งตามปกติ ลมเย็น ๆ ยังคงพัดลอดช่องหน้าต่างนั้นเข้ามาปะทะใบหน้าของผม แต่อาจจะเป็นเพราะท้องฟ้าที่สว่างขึ้นแล้ว ผมก้มลงดูนาฬิกา มันบอกเวลาแปดโมง
    ถ้าเป็นวันอาทิตย์ธรรมดา ผมคงยังไม่ตื่นด้วยซ้ำ
    ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง พื้นที่แถวนั้นเริ่มออกจะเป็นชานเมืองแล้ว ผมพยายามไล่ดูป้ายต่าง ๆ เพื่อดูว่าที่นี่คือที่ไหน
    ‘อุดมการช่าง’
    ไม่ได้...
    ‘สาธรค้าไม้’
    ไม่ได้...
    ‘ยินดีต้อนรับสู่พุทธมณฑล’
    ถึงพุทธมณฑลแล้วหรือนี่? ผมเองก็ไม่ใคร่จะสันทัดเส้นทางในประเทศไทยนี้มากนักจึงไม่รู้ว่าพุทธมณฑลอยู่ตรงส่วนไหนของประเทศนี้ แต่ที่ผมพอจะรู้ก็คือมันไม่ใช่เขตเมือง และในขณะนี้ที่ผมกำลังจะพักผ่อนอีกครั้งและหวังว่าจะได้นอนหลับอย่างมีความสุขอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนถึงศูนย์ฝึก รถคนนี้ก็เริ่มชะลอความเร็วลง
    ขับชิดซ้ายขึ้นเรื่อย ๆ
    จนหยุดสนิทในที่สุด
    ผมมองออกไปด้านข้าง เห็นนักศึกษาทหารฝูงหนึ่งยืนอยู่เป็นแถวไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไหร่ พริบตานั้นผมตระหนักในเหตุผลของทุกสิ่งทุกอย่างได้ในทันที
    ...ที่รถของเราว่างไม่ใช่อะไรหรอก
    ...ที่รถของเราออกมาก่อนไม่ใช่อะไรหรอก
    ...เพราะต้องมารับพวกนี้นี่เอง
    นักศึกษาวิชาทหารกลุ่มนี้ทยอยกันขึ้นมาบนรถ เบียดเสียดหาที่นั่งกันไป ครูฝึกปริศนาด้านหน้ารถก็คอยสั่งให้นั่งเบียดสาม
    โชคดีเหลือเกินที่ผมและคู่ที่นั่งด้วยรอด ยังคงได้นั่งสองเหมือนเดิม
    เมื่อเหล่าพวกนี้ขึ้นมาบนรถจนหมด ผมก็คิดว่ารถจะวิ่งต่อ แต่รถก็ไม่วิ่ง นานมาก ผมนั่งพิงกระจกหน้าต่างจวนเจียนจะนิทราไปหลายคราแล้ว รถก็ยังคงนิ่งอยู่เช่นนั้น ผมเหม่อไปทางขวา - ถนนใหญ่ - อยู่พักใหญ่ เห็นรถรูปแบบเดียวกับรถของผมสี่ห้าคันแล่นผ่านไป
    ...รถพวกข้างหลังมันแซงพวกผมไปแล้ว
    ตอนนั้นแหละ รถของพวกผมจึงเริ่มเดินเครื่อง และวิ่งตามรถพวกนั้นไป เป็นคันที่สองรองจากท้ายขบวน เสียอารมณ์ไปไม่ใช่น้อยสำหรับการนี้ แต่ก็พอเข้าใจว่า ทุกอย่างก็มีระบบของมัน จึงอดทนนั่งไป
    จนกระทั่งถึงตัวเมืองนครปฐม ก็เกิดเรื่องอีก มีรถคันหนึ่งข้างหน้าเครื่องดับ เสียเวลาซ่อมกันอยู่หลายพัก สุดท้ายก็แก้ไม่ได้ ต้องเอา นศท. บนรถคันนั้นออกจากรถให้หมด แล้วแบ่งกระจายมาตามรถคันต่าง ๆ ซึ่งรถคันผมก็โดนหางเลขไปด้วย ทำให้ผมและเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ต้องเบียดกันเพราะจำนวนคนนั่งเปลี่ยนจากสองเป็นสามเสียแล้ว
    การเดินทางหลังจากนั้นไม่มีอะไรให้จดจำ จนกระทั่งมาถึงบริเวณกาญจนบุรีและเห็นป้ายน้ำตกไทรโยคเป็นพัก ๆ นั่นแหละ ผมจึงลืมตาตื่นเต็มที่อีกครั้ง และรอคอยมองหาป้ายศูนย์ฝึกด้วยใจจดใจจ่อ
    ‘เข้าค่าย เลี้ยวขวา’   
    ทำเอาผมใจหาย! แต่เมื่อดูอีกทีกลับกลายเป็นว่านั่นคือค่ายสุรสีห์
    แต่นั่นก็หมายความว่าผมเข้าใกล้เขาชนไก่เข้าไปทุกทีเช่นกัน
    หลังจากนั้นนาทีระทึกก็เริ่มขึ้น เมื่อครูฝึกปริศนาหน้ารถยืนขึ้นพร้อมกับโทรโข่งในมือ
    “เดี๋ยวพอถึงแล้ว ให้ลงไปแต่ตัวกับหมวก เข็มขัดกระติกน้ำไม่ต้อง เป้ไม่ต้อง พอทำพิธีเปิดเสร็จแล้ว ให้กลับเข้ามาขึ้นรถคันเดิม ทราบ?”
    “ทราบ!”
    บรรยากาศของนักศึกษาวิชาทหารเริ่มเข้มข้นขึ้นทุกขณะ
    ในที่สุดผมก็เห็นป้ายของค่ายฝึกเขาชนไก่
    และรถก็เลี้ยวขวาเข้าสู่ค่าย
    ค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหาร เขาชนไก่
    ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบหกโมง ผมกินข้าวในโรงอาหารเสร็จไปพักหนึ่งแล้ว และก่อนที่ผมจะวิ่งมานี่ ผมก็กำลังเดินไปเดินมาคอยชะโงกดูของในสวัสดิการว่าผมขาดตกบกพร่องอะไรไปหรือเปล่า บางทีก็คอยทักคอยหยอกล้อกับพวกเพื่อน ๆ บ้าง โต้งนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง กำลังคุยกับคนอื่นอยู่ ในขณะที่พวกวสันต์ก็กำลังมั่วกับเป้สนามของตัวเองอยู่เช่นกัน
    แต่ตอนนี้ทุกคนออกมาจากโรงอาหารแล้ว และกำลังวิ่งไปยังที่รวมพลซึ่งเป็นสนามปูนกรวดกว้าง บรรยากาศยังคงมืดอยู่ มีแสงสีน้ำเงินรำไรขึ้นที่ขอบฟ้าหลังแฟลตหมู่นั้นพอให้มองเห็นอะไรได้บ้างนอกจากแสงไฟริมสนามนั่น ครูฝึกคนหนึ่งยืนรออยู่แล้ว ผมคิดว่าสีหน้าของเขาคงไม่ค่อยดีนักแม้แสงไฟจะไม่ค่อยสว่างนำทำให้ผมมองไม่เห็น เพราะถึงแม้พวกผมจะเป็นพวกเราที่มาถึง แต่พวกผมก็มาช้า เสียงพูดของเขาไม่คุ้นหู และดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงจะไม่ได้โมโหโกรธาอะไรนักก็ตาม
    “จัดแถวสิ” ครูฝึกท่านนั้นพูดเช่นนั้น “ตอนเรียงห้า! จัดแถว!”
    “เฮ้!” ผมและพวกตอบรับ ผมลงไปต่อกลาง ๆ แถว พวกที่อยู่ข้างหน้านับ หนึ่ง สอง สาม สี่ แล้วเงียบหายไป ตอนนี้ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นอีกนิดหนึ่งแล้ว ผมเห็นคิ้วของครูฝึกขมวดเข้าหากัน จึงวิ่งออกไปต่อเป็นคนที่ห้า แล้วนับ “ห้า!” หลังจากนั้นกระบวนการจัดแถวก็ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด แถวตอนเรียงห้าก็จัดเป็นรูปเป็นร่างเรียบร้อยในเวลาที่พอรับได้ ครูฝึกคนนั้นดูมีสีหน้าพอใจ
    “ไปที่รถ โน่น เห็นมั้ยน่ะ” ครูฝึกคนนั้นชี้นิ้วข้ามลานรวมพลไป ที่ตรงนั้นมีรถบัสที่ผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นสีส้มกำลังแล่นตรงเข้ามายังซอกเล็ก ๆ ข้าง ๆ แฟลตทหาร “นี่มีแค่นี้เหรอ?”
    ผมหันกลับไปดูข้างหลัง ไม่แปลกใจเลยที่ครูฝึกจะพูดว่ามีแค่นี้เหรอ? เพราะจำนวนคนที่มาตามเสียงนกหวีดนั้นมันน้อยเหลือเกิน นับยังไงก็ไม่เกินยี่สิบคน สังหรณ์ใจแล้วว่า คงต้องรออีกนานแน่ เผลอ ๆ จะโดนอะไรมัน ๆ ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นรถ
    แต่
    “ถ้างั้นก็ไปก่อนก็แล้วกัน เอ้า หน้าเดิน!”
    เท้าซ้ายของผมตบออกไปก่อนที่ผมจะเข้าใจความคิดของครูฝึกเสียอีก พริบตาต่อมาผมกับเพื่อนอีกไม่กี่คนก็กำลังเดินตามครูฝึกคนนั้นตรงไปยังรถเสียแล้ว ผมยกข้อมือซ้ายขึ้นมาดูเวลา ความมืดทำให้ดูยากไม่ใช่เล่น จนกระทั่งแสงไฟลอดเข้ามานั่นแหละ จึงจะรู้ว่า เวลาตอนนั้นคือหกนาฬิกาเป๊ะ สงสัยระบบต่าง ๆ ของที่นี่จะยึดเวลาเป็นหลัก
    อีกไม่นานนัก พวกผมก็มาถึงรถ ที่ท้ายรถเปิดเป็นช่องเก็บของรออยู่แล้ว ครูฝึกคนนั้นนั่นเองที่เป็นคนสั่งให้ผมและพวกเอาเป้ออกจากบ่า แล้วยัดเข้าไปในช่องเก็บของนั้น แล้วจึงสั่งให้ขึ้นรถไป
    “เข็มขัดถอดออกด้วย!” ครูฝึกหมายถึงเข็มขัดสนามที่ห้อยกระติกน้ำอยู่ ผมก็ปลดเข็มขัดออกทันที แล้วทำอวดรู้ เดินเอาเข็มขัดและกระติกน้ำนั้นจะเอาไปมัดติดกับเป้
    “ไม่ต้อง เอาขึ้นไปบนรถนั่นแหละ ที่ให้ถอดเพราะไม่งั้นมันจะหก”
    เอ้า ผมก็ทำตามครูฝึกสั่งก็แล้วกัน
    ในที่สุดผมก็ขึ้นไปนั่งบนรถ สภาพแสงยังคงมืดอยู่ จึงทำให้สะดุดโน่นสะดุดนี่อยู่เหมือนกัน จนสุดท้ายแล้ว ผมก็ได้ที่นั่งริมหน้าต่างฝั่งซ้าย ซึ่งไม่รู้มาก่อนเลยว่า ที่นั่งตรงนั้นเป็นที่นั่งชั้นเลิศที่จะหลบแดดไปเกือบตลอดเส้นทาง
    หลังจากที่ทุกคนที่เดินมาพร้อมกับผมขึ้นมาบนรถจนหมดแล้ว ผมและพวกก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง
    “เฮ้ย คนมีแค่นี้เองเหรอ?” พวกข้างหลังเขาหมายถึงจำนวนคนบนรถที่มีไม่ถึงครึ่งคัน
    “สงสัยจะต้องรอว่ะ”
    แต่พวกผมคิดผิด เพราะไม่กี่อึดใจหลังจากที่คนขึ้นมาบนรถจนหมด รถก็เริ่มเคลื่อน ผ่านแฟลตทหารนั้นไป ออกสู่ซอยเล็ก ๆ และเข้าสู่ถนนใหญ่ จนกระทั่งขึ้นสะพาน แล้ววิ่งไปโดยไม่รอใครทั้งสิ้น
    ผมและพวกก็เข้าใจกันไปตาม ๆ กันว่า รถต้องออกตามเวลา
    ลมเย็นมาก ๆ ลอยลอดช่องหน้าต่างที่ผมเปิดเอาไว้แคบที่สุดแล้วเข้ามาตีหน้าผมอย่างจัง มันเย็น เกือบถึงขั้นหนาว ซึ่งถือว่าเป็นบรรยากาศที่เย็นสบายและดีผิดคาด พวกผมคิดว่าพวกผมโชคดีมากที่ได้นั่งรถคันนี้ซึ่งเป็นคนแรกที่ออกมาจากศูนย์ และด้วยลมเย็นนี้เอง บรรยากาศจึงเริ่มน่านอนมากขึ้นเรื่อย แม้ผมและพวกจะพยายามคุยกันมากขนาดไหนก็ตาม แต่ลมเย็นนี้ก็เอาชนะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
    จนภาพข้างหน้าของผมที่มืดอยู่แล้วมืดลงไปเรื่อย ๆ
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
ผมลืมตาตื่นขึ้น จะด้วยเหตุใดก็ไม่รู้ ไม่ใช่เพราะถึงศูนย์ฝึกแล้ว ไม่ใช่เพราะรถติด ไม่ใช่เพราะเกิดอุบัติเหตุ รถยังคงวิ่งตามปกติ ลมเย็น ๆ ยังคงพัดลอดช่องหน้าต่างนั้นเข้ามาปะทะใบหน้าของผม แต่อาจจะเป็นเพราะท้องฟ้าที่สว่างขึ้นแล้ว ผมก้มลงดูนาฬิกา มันบอกเวลาแปดโมง
    ถ้าเป็นวันอาทิตย์ธรรมดา ผมคงยังไม่ตื่นด้วยซ้ำ
    ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง พื้นที่แถวนั้นเริ่มออกจะเป็นชานเมืองแล้ว ผมพยายามไล่ดูป้ายต่าง ๆ เพื่อดูว่าที่นี่คือที่ไหน
    ‘อุดมการช่าง’
    ไม่ได้...
    ‘สาธรค้าไม้’
    ไม่ได้...
    ‘ยินดีต้อนรับสู่พุทธมณฑล’
    ถึงพุทธมณฑลแล้วหรือนี่? ผมเองก็ไม่ใคร่จะสันทัดเส้นทางในประเทศไทยนี้มากนักจึงไม่รู้ว่าพุทธมณฑลอยู่ตรงส่วนไหนของประเทศนี้ แต่ที่ผมพอจะรู้ก็คือมันไม่ใช่เขตเมือง และในขณะนี้ที่ผมกำลังจะพักผ่อนอีกครั้งและหวังว่าจะได้นอนหลับอย่างมีความสุขอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนถึงศูนย์ฝึก รถคนนี้ก็เริ่มชะลอความเร็วลง
    ขับชิดซ้ายขึ้นเรื่อย ๆ
    จนหยุดสนิทในที่สุด
    ผมมองออกไปด้านข้าง เห็นนักศึกษาทหารฝูงหนึ่งยืนอยู่เป็นแถวไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไหร่ พริบตานั้นผมตระหนักในเหตุผลของทุกสิ่งทุกอย่างได้ในทันที
    ...ที่รถของเราว่างไม่ใช่อะไรหรอก
    ...ที่รถของเราออกมาก่อนไม่ใช่อะไรหรอก
    ...เพราะต้องมารับพวกนี้นี่เอง
    นักศึกษาวิชาทหารกลุ่มนี้ทยอยกันขึ้นมาบนรถ เบียดเสียดหาที่นั่งกันไป ครูฝึกปริศนาด้านหน้ารถก็คอยสั่งให้นั่งเบียดสาม
    โชคดีเหลือเกินที่ผมและคู่ที่นั่งด้วยรอด ยังคงได้นั่งสองเหมือนเดิม
    เมื่อเหล่าพวกนี้ขึ้นมาบนรถจนหมด ผมก็คิดว่ารถจะวิ่งต่อ แต่รถก็ไม่วิ่ง นานมาก ผมนั่งพิงกระจกหน้าต่างจวนเจียนจะนิทราไปหลายคราแล้ว รถก็ยังคงนิ่งอยู่เช่นนั้น ผมเหม่อไปทางขวา - ถนนใหญ่ - อยู่พักใหญ่ เห็นรถรูปแบบเดียวกับรถของผมสี่ห้าคันแล่นผ่านไป
    ...รถพวกข้างหลังมันแซงพวกผมไปแล้ว
    ตอนนั้นแหละ รถของพวกผมจึงเริ่มเดินเครื่อง และวิ่งตามรถพวกนั้นไป เป็นคันที่สองรองจากท้ายขบวน เสียอารมณ์ไปไม่ใช่น้อยสำหรับการนี้ แต่ก็พอเข้าใจว่า ทุกอย่างก็มีระบบของมัน จึงอดทนนั่งไป
    จนกระทั่งถึงตัวเมืองนครปฐม ก็เกิดเรื่องอีก มีรถคันหนึ่งข้างหน้าเครื่องดับ เสียเวลาซ่อมกันอยู่หลายพัก สุดท้ายก็แก้ไม่ได้ ต้องเอา นศท. บนรถคันนั้นออกจากรถให้หมด แล้วแบ่งกระจายมาตามรถคันต่าง ๆ ซึ่งรถคันผมก็โดนหางเลขไปด้วย ทำให้ผมและเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ต้องเบียดกันเพราะจำนวนคนนั่งเปลี่ยนจากสองเป็นสามเสียแล้ว
    การเดินทางหลังจากนั้นไม่มีอะไรให้จดจำ จนกระทั่งมาถึงบริเวณกาญจนบุรีและเห็นป้ายน้ำตกไทรโยคเป็นพัก ๆ นั่นแหละ ผมจึงลืมตาตื่นเต็มที่อีกครั้ง และรอคอยมองหาป้ายศูนย์ฝึกด้วยใจจดใจจ่อ
    ‘เข้าค่าย เลี้ยวขวา’   
    ทำเอาผมใจหาย! แต่เมื่อดูอีกทีกลับกลายเป็นว่านั่นคือค่ายสุรสีห์
    แต่นั่นก็หมายความว่าผมเข้าใกล้เขาชนไก่เข้าไปทุกทีเช่นกัน
    หลังจากนั้นนาทีระทึกก็เริ่มขึ้น เมื่อครูฝึกปริศนาหน้ารถยืนขึ้นพร้อมกับโทรโข่งในมือ
    “เดี๋ยวพอถึงแล้ว ให้ลงไปแต่ตัวกับหมวก เข็มขัดกระติกน้ำไม่ต้อง เป้ไม่ต้อง พอทำพิธีเปิดเสร็จแล้ว ให้กลับเข้ามาขึ้นรถคันเดิม ทราบ?”
    “ทราบ!”
    บรรยากาศของนักศึกษาวิชาทหารเริ่มเข้มข้นขึ้นทุกขณะ
    ในที่สุดผมก็เห็นป้ายของค่ายฝึกเขาชนไก่
    และรถก็เลี้ยวขวาเข้าสู่ค่าย
    ค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหาร เขาชนไก่
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น