คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Cross ไขว้: ๑ หน้าไพ่ที่สลับหัวท้าย
คำโปรย
ชีวิตประจำวันของสุภาพสตรีคนหนึ่ง ทำงาน ทำงาน และทำงาน กับชีวิตประจำวันของสุภาพ(?)บุรุษอีกคน ลอยชาย ลอยชาย และลอยชาย แค่ขึ้นต้นก็ ‘ไม่น่าสนใจ’ อย่าคาดหวังว่าคำโปรยมันจะน่าอ่าน รักโรแมนติกสุดซึ้งหรือ?...‘ฝัน’
-----------------------------------------------------------------------
ใครก็รู้ว่าคนอย่าง ‘ครอส’ ไม่มีวันชายตาแลผู้ชายคนไหนบนโลก
ใช่ ใครๆ ก็รู้
แต่จนแล้วจนรอดโต๊ะทำงานของเธอก็ยังคงเต็มไปด้วยช่อดอกไม้จากบุรุษมากหน้าหลายตามิได้ขาด หากหากระถางต้นไม้กับบัวรถน้ำจิ๋วมาตั้งด้วยหลายคนคงไม่มีใครดูออกว่าตกลงเธอทำอาชีพเป็นเลขาของผู้จัดการบริษัทหรือเจ้าของร้านดอกไม้กันแน่
ประเด็นนี้ยังคงเป็นหัวข้อสนทนาที่หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัย มีพนักงานหญิงให้ข้อสรุปต่างๆ นานา โดยเฉพาะเมื่อสาวก ‘ปากว่าง’ ในบริษัทของเธอเริ่มต้นการจับกลุ่มสนทนาหรือหากจะเรียกให้ถูกก็คือการ ‘นินทา’ หัวข้อจะถูกโยงใยทำนองว่า...
“ฉันว่าแม่นี่ชอบปั่นหัวผู้ชาย วันๆ ไม่เห็นทำอะไรนอกจากอ่อยชาวบ้าน ท่าทางจะมีเสี่ยเลี้ยงอยู่ด้วยถึงได้ใช้แต่ของแพงๆ” ยังคงเป็นประเด็นร้อนเช่นทุกครั้งเมื่อสาวโต๊ะข้างเคียงแลเห็นดอกไม้กองโตบนโต๊ะทำงานของเป้าหมาย
“ใช่ ฉันเคยเห็นนะ เสี่ยที่ว่าน่ะ ผู้ชายที่ขับรถหรูๆ มารับไปกินข้าวกลางวัน”
เพื่อนหญิงอีกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยขณะส่งสายตาราวกับ ‘สัปปะรด’ พิจารณาบรรดาการ์ดหลากสีที่ติดอยู่กับช่อดอกไม้ราคาแพง “หล่อนคงเป็นผู้หญิงประเภทใช้ ‘เต้าไต่’ ด้วย เพิ่งทำงานไม่เท่าไหร่ตำแหน่งก็ขึ้นพรวดๆ ได้ไปชูคออยู่ข้างผู้จัดการ”
“ฉันเห็นชายตาแลคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างกับพวกโสเภณี เธอว่าไหม” อีกคนเสนอความเห็นด้วยแววตาร้อนฉานเกรี้ยวโกรธ “อย่างฝ่ายบัญชีที่เพิ่งมาใหม่ เขาก็บอกว่าครอสน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ พวกผู้ชายนี่พอเห็นใครอ่อยตัวเองเข้าหน่อยก็ปวกเปียก คงจะเสร็จยัยนี่อีกคนล่ะมั้ง”
“ก็จะเสร็จทั้งบริษัทอยู่แล้วไม่ใช่เหรอจ๊ะ” แล้วเสียงหัวเราะคิกคักแหลมเล็กก็ดังกระหึ่มราวกับผึ่งแตกรัง ขณะที่คนทั้งสามส่งสายตาจิกทึ้งพุ่งเป้าไปยังเจ้าของนาม ‘ครอส’ ที่เพิ่งย่างเท้าเข้ามา ท่าทางสะโอดสะองของเหยื่อทำให้ฝูงนกการู้สึกราวกับตนเองถูกทึ้งเส้นขนบนศีรษะจนขาดวิ่น
ในที่สุดหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นก็ทนให้ริมฝีปากตนเองอยู่เฉยไม่ได้จึงแสร้งออกเสียงดังว่า “อุ๊ยต๊าย! นางร้ายละครเรื่องนี้นี่มันดัดจริตจริงๆ เลยนะเธอ ดูสิ ยั่วคนนั้นทีคนนี้ที มีแต่ผู้ชายล้อมหน้าล้อมหลัง”
เพื่อนอีกคนก็รับช่วงต่อจากคนเปิดประเด็นได้อยู่หมัด “นี่ นั่นมันนางเอกไม่ใช่หรือจ๊ะ เอ๊ะ หรือว่าแกล้งทำตัวเป็นนางเอกให้เขาพะเน้าพะนอก็ไม่รู้สิ ตำแหน่งจะได้ก้าวหน้าไวๆ”
“สังคมสมัยนี้อะไรมันก็ต้องเป็นเงินเป็นทองแหละเนอะ เอาตัวแลกเข้าหน่อยก็ได้อะไรดีๆ มีภาษีกว่าชาวบ้านเขา นี่ดีนะที่ประธานของพวกเราเป็นผู้หญิง ไม่อย่างนั้นก็คงเสร็จนางร้ายแบบนี้ไปแล้วล่ะ”
ทว่าเสียงเสียดสีจากบรรดาสามสาวไม่อาจทะยานเข้าไปสร้างความสะดุ้งสะเทือนในการรับรู้ของเหยื่อได้ ครอสยังคงหนีบแฟ้มเอกสารแนบกายและกำลังจดบางสิ่งใส่สมุดโน้ตในมือโดยที่ยังเอียงคอแนบหูกับโทรศัพท์ เธอเดินกึ่งวิ่งผ่านวงสนทนาไปราวกับไม่เห็นเงาหัวของสามสาว
ไม่แม้แต่จะได้ยินถ้อยความที่ไหลบ่าเข้าใส่ราวกับน้ำเชี่ยว
ซึ่งก็สร้างโทสะให้แก่กลุ่มนกกาได้ราวกับโยนแกลลอนน้ำมันใส่กองเพลิง หนึ่งในคนนินทาถึงขั้นผุดลุกขึ้นและส่งสายตาพยาบาทให้แก่ครอสอย่างไร้การปิดบังราวกับไฮยีน่าสาวที่พร้อมจะตะกุยเหยื่อให้ขาดวิ่น แต่ลูกเก้งงามงอนก็ยังคงเยื้องย่างอย่างสบายอุราในพงไพร
นังนี่!
เมื่อถึงโต๊ะทำงาน สิ่งแรกที่ครอสทำคือยืนนิ่งอยู่ตรงหน้ากองดอกไม้สูงท่วมหัวราวกับทำใจ
วันนี้วันจันทร์ คนที่จะส่งดอกไม้ให้เธอได้มีจำนวนอย่างต่ำสี่สิบห้าคน
นึกคร่าวๆ ได้เท่านั้นก็กวาดช่อบุปผชาติทั้งมวลลงถังขยะข้างโต๊ะที่ถูกปรับขนาดให้ใหญ่พอที่จะรองรับกิ่งก้านมากมายนั้นได้พอดิบพอดี นับว่าเธอคำนวณน้ำหนักกับปริมาณได้ถูกต้อง คิดถูกที่นำถังขยะใบนี้มาเปลี่ยนแทนลูกเก่าของเมื่อวาน แต่น่าเสียดายที่บ่ายนี้ครอสก็คงต้องเปลี่ยนมันอีก เพราะขนาดแค่ประมาณจากจำนวน ‘อย่างต่ำ’ ก็ยังเต็มถังเสียตั้งแต่เช้า
หรือบางทีควรเอาถุงดำมาตั้งไว้เลยดี จะได้ลากไปทิ้งได้สะดวก...
ยังไม่ทันหาข้อสรุปได้เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หญิงสาวรับสายโดยไม่ต้องดูว่าใครเป็นคนโทร
“ค่ะ บอส”
ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ราวกับชั่งความคิดบางประการ “คุณครอส มีคนบอกว่าคุณตบหน้าเพื่อนร่วมงานเมื่อสักครู่ เป็นความจริงเหรอ?”
Cross
‘ไขว้’
๑ หน้าไพ่ที่สลับหัวท้าย
ครอสยิ้มบางออกมาเมื่อได้ฟังเนื้อความที่หาความจริงไม่ได้แม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกป้ายสี แต่หัวหน้างานของเธอก็ยังจงใจถามให้ชัดว่า ‘เป็นความจริงเหรอ’ ราวกับจงใจหยอกล้อ
ไม่สิ...ไม่ใช่ ‘ราวกับ’ แต่เป็นจงใจล้อเธอจริงๆ ต่างหาก
“บอสอยากได้อะไรจากคำตอบของฉันคะ”
มีเสียงหัวเราะคลอมาจากปลายสาย “รับปากเขาแล้วว่าจะตำหนิให้ ก็ต้องทำตามที่พูด ไม่ถูกเหรอ?”
“อ้อค่ะ เป็นคนดีจังนะคะ” ครอสยิ้ม และจงใจเว้นคำเพื่อเน้นเสียง “บอส”
“อืม ฉันเห็นด้วยกับคุณนะ”
“แต่ว่าคนดีน่ะ มักจะอกหักเสมอล่ะค่ะ ไม่อกหักก็ต้องรักเขาข้างเดียว สงสารอยู่นิดๆ นะคะ”
ดูเหมือนบอสจะโดน ‘เสียบ’ เข้าไปหนึ่งดอก จึงเงียบไปนานเพราะความอึ้งตะลึงงันและยังสรรหาคำใดมาต่อขานไม่ได้ จนในอีกหนึ่งนาทีต่อมาจึงเอ่ย “ดาบเล่มที่สิบของวัน” เป็นการเปรียบเปรยว่าถ้อยแถลงของเธอนั้นมักแทงเข้า ‘ใจดำ’ ของคนฟังอยู่เสมอ
“อยากโดนอีกไหมคะ”
เจ้านายของครอสกลั้วหัวเราะอีกครั้ง “ตั้งใจทำงานนะ คุณครอส”
เป็นการปิดประเด็นอย่างนุ่มนวลตามวิสัยของผู้บริหาร ครอสวางสายแล้วหย่อนกายลงกับเก้าอี้ทำงาน วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ เอนหลังพิงพนักและปิดเปลือกตาแน่วนิ่งราวกับรูปปั้น
ท่าทางผ่อนคลายแต่สีหน้ากลับดูหนักอึ้ง
“คนดีน่ะ มักจะอกหักเสมอค่ะ...”
...คนดี
“เหรอครับ” มีเสียงตอบกลับมาแผ่วเบาราวกับกระซิบ แต่ก็ชัดเจนจนฟังเหมือนใครสักคนพูดอยู่ตรงหน้าเธอ หญิงสาวเปิดเปลือกตาโพล่งขึ้นมาด้วยอากัปกิริยาของคนที่ไม่เชื่อหูตัวเอง
บางทีเธออาจจะฝัน
อาจจะหูฝาด
ภาวนาให้เป็นอย่างนั้น
หญิงสาวแลเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของชายหนุ่มอยู่ตรงหน้าในระยะประชิด เขาปั้นยิ้มกรุ้มกริ่มและสว่างวิบวับประหนึ่งพระอาทิตย์ กระนั้นสายตายังสงบลุ่มลึกแต่กลับเต็มไปด้วยวี่แววของการล้อหยอก สำหรับเธอแล้ว ตาสองข้างของผู้ชายคนนี้นิยามได้ว่า
‘นิสัยเสีย’
ถูกต้อง เป็น ‘ตานิสัยเสีย’ ของคนนิสัยไม่ดี
หญิงสาวจ้องเขม็งคู่สนทนาที่จงใจโยกตัวเข้ามาใกล้จนแทบจะหายใจรดดั้งจมูกเธอ ยิ่งเธอจ้องราวกับจะทึ้งเลือดเนื้อของเขาออกมาเช่นนั้น ชายหนุ่มกลับส่งรัศมีสว่างไสวพริ้มเพราปานลูกแกะออกมาดุจยียวน หากครอสมีต้นทุนของความร้ายกาจ ชายตรงหน้าของเธอก็มีกำไรแห่งความแสนดีชนิดลืมโลก แต่ ‘ทั้งหมด’ ของเขากลับกลายเป็นความยียวนกวนประสาทไปโดยปริยาย
ยกตัวอย่างเช่น เธอแสดงโจ่งแจ้งว่าไม่พอใจที่เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ แต่ชายคนนี้ก็ยังทำ
หญิงสาวหรี่ตา
“แด่สุภาพสตรีผู้แต่งงานกับงานครับ” เขายิ้มแล้วโยกตัวกลับไปยืนตรง เธอถึงได้เพิ่งรู้ว่าในมือของชายไร้มารยาทคนนั้นมีดอกไม้ช่อใหญ่อยู่ด้วย
รู้ทั้งรู้ว่าให้มาก็ต้องถูกโยนทิ้ง
ยังจะ...
ครอสยิ้มบางออกมา แต่สำหรับชายหนุ่มผู้มาปรากฏตัวต่อหน้าเธอกลับตระหนักได้ทันทีว่าสาวงามกำลัง ‘แยกเขี้ยว’
ใครว่าเธอกำลังยิ้ม ไม่ใช่สักนิด
...ไม่เลย
กลีบริมฝีปากบางเคลือบลิปสติกแดงดั่งเลือด แปลกที่แม้สีสันรุนแรงเช่นนั้นกลับกลายเป็นดูซีดเซียวในบัดดลเมื่อเทียบกับดวงตา และที่น่าประหลาดยิ่งกว่าคือนัยน์ตาของครอสเป็นเพียงสีน้ำตาลทึบๆ แต่กลับดูฉูดฉาดกว่าริมฝีปากหลายเท่า ไม่ได้หวาน ไม่มีความลึกซึ้ง หนักไปทางแววกร้านโลกทรงเสน่ห์ อาจเพราะความเยือกเย็นที่เฉิดฉายอยู่นั้นรวมเข้ากับรัศมี ‘เสียดสี’ เธอจึงดูเป็นผู้หญิงประเภททิ่มแทงสายตาคนมองมากกว่าน่าหลงใหล
ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนจะโยนดอกไม้ในมือลงถังขยะข้างโต๊ะทำงานอย่างรู้หน้าที่ “ทราบมาว่า คุณถูก ‘เสี่ย’ เลี้ยงหรือครับ” กล่าวจบก็เท้าแขนลงกับโต๊ะยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกครั้งเพื่อเผชิญหน้ากับแววตาโฉบเฉี่ยวของหญิงสาว
ดูเหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่าถึงให้ดอกไม้ไป เธอก็โยนลงถังเช่นเคย
ครอสดึงหัวคิ้วเข้าหากันแต่ยังคงยิ้ม “ค่ะ มีปัญหาหรือคะ ฉันใช้ของแพง แถมยังมีรสนิยมชอบปั่นหัวผู้ชายด้วย” เธอเอ่ยไปพลางลากปลายนิ้วชี้ไปกับคอเสื้อของชายเบื้องหน้า เมื่อลากมือถึงปมเนกไทของเขา เธอก็ช้อนมันขึ้นมากุมไว้ “เนกไท”
“ที่คุณเลือก” เขาบอกสั้นๆ แล้วดึงเนกไทที่คอตนเองออกจากมือเธอ
ตอนที่ชายตรงหน้าดึงเนกไทออกไป ครอสยิ้ม แต่ในวินาทีต่อมาเขาก็สอดนิ้วมือของตัวเองลงไปแทนตำแหน่งเนกไทเสียเอง กลายเป็นว่าเธอได้จับมืออุ่นๆ ของเขาแทนเนื้อผ้าเย็นเฉียบ
ครอสหรี่ตาอีกครั้ง เธอลืมไปแล้วว่าตนเองหรี่ตาเป็นครั้งที่เท่าใดนับแต่ชายผู้นี้ปรากฏกาย
“หิวไหมครับ” เขาถามด้วยรอยยิ้มเช่นเคย ขณะออกแรงบีบมือเล็กน้อยเพื่อให้หญิงสาวรู้ว่าเขากำลังกุมมือเธออยู่ ก่อนหน้านี้เป็นเธอต่างหากที่ถูกบังคับให้จับมืออย่างไม่เต็มใจแต่ในพริบตาต่อมากลับกลายเป็นเขาต่างหากที่ไม่ยอมปล่อยมือนั้น
ยังกุมไว้เสมอ...
ครอสชักมือตนเองกลับราวกับต้องของร้อน พอเธอดึงมือคืนมาได้ชายหนุ่มก็ล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อและส่งให้เธอราวกับรู้ใจ
เลขาสาวมองผ้าเช็ดหน้าที่อยู่บนมือของคู่สนทนาอย่างไม่ใคร่สบอารมณ์เท่าใดนัก
“ผ้าเช็ดมือครับ” ดูเหมือนรอยยิ้มพริ้มเพราของเขาจะยั่วยุเธอได้ชะงัด
เป็นอีกครั้งที่ครอสยิ้มกลับไป ทรงเสน่ห์ราวกับแก้วเจียจะไน แต่คนมองกลับรู้สึกรำไรว่าเขากำลังจะกลายเป็นหมูขึ้นเขียงในไม่ช้า
“รู้ใจจริงนะคะ” เธอคีบผ้าเช็ดหน้าของเขามาด้วยท่าทีรังเกียจชัดเจน ใช้ผ้านั้นเช็ดมือตนเองด้วยท่าทางหยามเยาะคนมอง ก่อนจะเสือกมือออกไปคว้าเอาเนกไทของคู่สนทนาและดึงให้เขาจำต้องก้มตัวเข้าใกล้เธอ
จริง ชายผู้นี้ถนัดยั่วอารมณ์สตรี...และโดยเฉพาะสตรีตรงหน้า
เขายังคงมีรอยยิ้มวิบวับดุจอัญมณีเสมอ
ครอสยัดผ้าเช็ดหน้าของเขากลับคืนใส่กระเป๋าให้ “ขอบคุณนะคะ” รู้สึกได้ถึงความร้อนของลมหายใจจากเขาในระยะประชิด เธอเลื่อนสายตาลงสำรวจปมเนกไทและลงมือจัดให้เข้าที่ก่อนจะยอมปล่อยเขาเป็นอิสระ
ดูเหมือนวันนี้สาวงามตรงหน้าจะอารมณ์ไม่แจ่มใสเท่าที่ควร เห็นจากการที่เธอยอมรามือจากการคุกคามเขาโดยง่าย ซึ่งเป็นเรื่องผิดวิสัย เขารู้ดีว่าการที่ครอสมีลักษณะที่หยิ่งทระนง เธอจึงต้องการให้ตนเองสง่างามสมบทบาทเสมอ การที่จู่ๆ จะมีใครสักคนสามารถจับตำหนิในอารมณ์ขุ่นมัวนั้นและลงมือปลอบโยนหรือถามไถ่ ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เธอจะยินดีและพร้อมรับ
ผลมันจะออกมาตรงกันข้ามต่างหาก
เขารู้ แต่ถึงกระนั้น “อารมณ์ไม่ดีเชียว” ปากเจ้ากรรมก็ยังหาเรื่องหาราวอยู่ดี
ครอสเลื่อนสายตาปะทะกับชายหนุ่ม “ตั้งแต่เจอคุณ” คนทั้งคู่เผชิญหน้ากันโดยไม่มีใครยอมหลบเลี่ยงสายตาอีกฝ่าย เธอตระหนักได้ประการหนึ่งว่าตั้งแต่ชายผู้นั้นโผล่หัวมาก็ยังไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวที่เขาปล่อยให้สายตาตนเองว่างเว้นจากเธอ บางทีเขาอาจจะเป็นหนุ่มวิกลจริตที่ชอบหาเรื่องให้ตนเองถูกผู้หญิงคนหนึ่งเหม็นขี้หน้าก็เป็นได้
“ใครแกล้งหรือครับ” เขายังคงมียิ้มงามราวกับเทวดาจากสรวงสวรรค์ไม่แปรเปลี่ยน “บอกผมได้นะ”
“อยากรู้เหรอคะ” เธอ ‘ท้า’ ด้วยน้ำเสียงและแววตากร้านหยาบ
เขา ‘น้อมรับ’ ด้วยรอยยิ้มและสีหน้านุ่มนวล “มีปัญหากับ ‘คนที่บ้าน’ หรือครับ”
“อ้อ” ครอสเลิกคิ้ว และระบายยิ้มงามเรื่อออกมา “ใช่ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นปรึกษาผมได้ครับ” ชายหนุ่มเสนอตัว “ไม่หิวหรือครับ” และยังคงพากเพียรชวนสาวงามออกไปรับประทานอาหารกลางวัน
เป็นคนที่สมควรให้คะแนนความ ‘ตื๊อ’ เต็มอัตรา
“คุณจ่าย” เธอชี้มือพลางกอดอกพิงพนักเก้าอี้
“ถ้าคุณยอมไป”
“ร้านแพงๆ”
“ถ้าคุณยอมไป”
“รถหรูๆ”
“ถ้าคุณยอมไป”
ชายหนุ่มยิ้ม
ครอสหรี่ตา “ฉันไม่ไปค่ะ”
“ผมมีข้าวกล่อง” แล้วคนพูดก็ชูข้าวกล่องขึ้นมา ซึ่งก็ทำให้คนมองเริ่มสงสัยว่าชายผู้นี้ซุกซ่อนทั้งช่อดอกไม้และข้าวกล่องไว้มุมใด หรือเขามีกระเป๋าหน้าท้องเก็บสารพัดสิ่งของแบบเดียวกับหุ่นยนต์แมวในการ์ตูนเรื่องใดสักเรื่อง
ชายหนุ่มสารพัดประโยชน์
ครอสยิ้ม “มีแต่ต้องไปสินะ” แล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้มลงคีบช่อดอกไม้ที่ชายหนุ่มโยนลงถังขึ้นมาและวางลงบนโต๊ะทำงานของตนเอง
การกระทำของเธอทำให้อีกฝ่ายชะงักมองด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ทิ้งผิดที่ค่ะ” แล้วเธอก็หมุนตัวเดินนำเขาออกไปโดยไม่กล่าวอะไรอีก
...ทิ้ง
ทิ้งให้ชายหนุ่มจ้องมองช่อดอกไม้บนโต๊ะทำงานอยู่เช่นนั้น
ผิดที่...?
...
เมื่อสองร่างของชายหญิงเดินผ่านพนักงานบริษัทหลายคน ก็ตกเป็นเป้าสายตาและกลายเป็น ‘ขี้ปาก’ ของชาวบ้านแทบจะในทันที ชุมนุมนกกาจึงเริ่มรวมฝูงกันอีกครั้งโดยมิได้นัดหมาย
“คนนั้นเองสินะ เสี่ยที่เธอพูดถึง”
กระนั้น เหยื่อหญิงชายก็ยังเดินสนทนากันราวกับไม่ได้ยินเนื้อความของคนช่างซุบซิบ
พนักงานหญิงคนหนึ่งเริ่มต้นกระพือไฟใส่สีตีไข่อีกครั้ง เพราะว่างจัดและดูเหมือนจะเป็นงานที่เจ้าตัวค่อนข้างถนัดกว่าสิ่งใดในโลก “ใช่ๆ คนนั้นน่ะแหละ มารับไปกินข้าวกลางวันทุกวันเลย แต่ยัยนั่นน่ะทำเล่นเนื้อเล่นตัวตลอด ความจริงก็คงอยากให้เขาพาไปขึ้นสวรรค์จะแย่น่ะสิ”
“ต๊าย! แรงเนอะ!” คนฟังตาลุกวาวยกมือป้องปาก
“แหงสิจ๊ะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่คนอย่าง ‘ครอส ออเฟียส’ หรอก”
“ผู้ชายคนนั้นดูดีจังเลย”
“แต่ก็คงเป็นแค่ผู้ชายโง่ๆ ทั่วไปแหละเธอ โดนผู้หญิงหลอกง่ายๆ แบบนี้ พูดก็พูดเถอะ เจ้าตัวคงหวังเรื่อง ‘อย่างว่า’ จากแม่นี่อย่างเดียว แต่สงสัยคงโดนลูกไม้ปลอกลอกเข้าให้น่ะสิ”
“แหม หล่อนนี่ทฤษฎีแม่นเนอะ” มีเสียงหัวเราะคิกคักตามมาอีกหลายระลอก
ครอส ออเฟียส
เจ้าของนามนั้นยังคงสืบเท้ารวดเร็วแม้จะใส่ส้นสูงหลายเซนติเมตรก็ตาม ถึงเธอจะเดินเร็วเช่นนั้นแต่ชายหนุ่มข้างกายก็ยังก้าวขาอยู่ข้างๆ อย่างไม่มีความเร่งร้อนใดๆ
ครอสอยู่ในชุดทำงาน เสื้อเชิ้ตสีม่วงเข้มเข้ารูป ด้วยความที่ใส่ใจทุกรายละเอียด กระทั่งริบบิ้นเล็กๆ ที่คอเสื้อก็ยังถูกผูกเป็นโบไว้อย่างเรียบร้อย กระโปรงหนังเงาเรียบสนิท สั้นเหนือเข่าแต่ดูสุภาพเข้ากันกับรองเท้าส้นเข็มสูงชะลูด ในมือมีแฟ้มเอกสาร และชายหนุ่มคนข้างกายก็ยังช่วยถือทั้งกระเป๋าและเอกสารอีกสามชุดด้วย
“ฉันอยู่กับคุณได้ชั่วโมงครึ่ง” หญิงสาวบอก และจงใจออกเสียงให้ดังขึ้นเมื่อพูดประโยคถัดมา “จะทำอะไร ก็รีบๆ ทำนะคะ” ราวกับจงใจจะให้ฝูงนกกาได้ยินเพื่อนำไปนั่งเทียนเขียนข่าว
ชายหนุ่มยิ้ม ไม่ต่อขานสิ่งใด
ครอสจึงต้องตะหวัดสายตากลับมามองคนข้างกายอย่างไม่ชอบใจ “ถึงคุณไม่พูดอะไร ฉันก็ไม่อยากจะถามหรอกค่ะว่าคุณเป็นอะไร”
คู่สนทนาหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู เงียบไปอีกชั่วอึดใจแล้วเอ่ยว่า “งานสนุกไหมครับ”
ครอสหรี่ตา ก้าวขาพรวดๆ ราวกับจะทะยานหนีอีกฝ่าย แต่เขาก็ยังลอยชายตามติดเป็นเงา “อยากได้อะไรจากคำตอบของฉันคะ”
“คุณจะยอมให้ผมหรือครับ”
“ไม่ค่ะ” สาวงามตอบฉับพลันโดยไม่ต้องไตร่ตรอง
คู่สนทนาระบายรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างติดชิน เขาเอื้อมมือเปิดประตูให้เธออย่างรู้งาน แต่ยังช้าไปเพราะสุภาพสตรีกระชากประตูเปิดออกไปก่อนไม่ยอมรอให้เขาแสดงน้ำใจ และจ้ำอ้าวต่อประหนึ่งวิ่งร้อยเมตร
แค่สองนาทีครอสก็สืบเท้าถึงรถเก๋งคันหนึ่ง เธอหยุดเท้าก่อนจะมีเสียงลุ่มลึกละคนอารมณ์ดีของชายหนุ่มตามหลังมา “ผมเปิดให้ไหม”
ยิ่งแลเห็นรอยยิ้มของเขา เธอก็ยิ่งไม่ชอบใจ หญิงสาวกอดอกเคาะนิ้วมือเป็นจังหวะอย่างรั้งรอเจือด้วยอารมณ์ขุ่นมัว “ลีลา” เธอค่อนว่า “หรือเห็นฉันรีบคะ”
“ผมเลยแกล้งช้า” เขาต่อประโยค แล้วจึงเปิดประตูให้อย่างนุ่มนวล
เธอเข้าไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถรูปงามแต่สายตายังดุร้ายเข้มงวด เหลือบมองรอยยิ้มของสุภาพบุรุษข้างกายแล้วตะหวัดสายตาหนี แต่มือกลับสอดเข้าไปหยิบกุญแจรถออกจากกระเป๋าเสื้อของบุรุษหนุ่มราวกับรู้มาก่อนว่าเขาจะเก็บมันไว้ที่ใด ครอสเอี้ยวตัวไปเสียบกุญแจรถที่ตำแหน่งคนขับระหว่างที่เขาปิดประตูให้เธอและเดินอ้อมไปยังอีกฟากหนึ่ง
“วันนี้จะเลิกงานกี่โมงดีครับ” เขาไต่ถามเมื่อหย่อนกายลงที่เบาะฝั่งคนขับและเริ่มสตาร์ทรถ
“ธุระอะไรของคุณคะ” หญิงสาวย้อน
“ผมไม่มีธุระครับ มารับคุณได้เสมอ”
ครอสหรี่ตา “ฉันกำลังพูดว่าคุณเกี่ยวอะไรกับฉันต่างหาก”
คนขับรถยิ้มขณะหักเลี้ยวพวงมาลัยเพื่อถอยรถออกจากที่จอด เขาเว้นจังหวะการสนทนาไปเล็กน้อยแล้วต่อเนื้อความด้วยรอยยิ้มละเอียดลออ “ผมเกี่ยวอะไรกับคุณกันนะ”
“นั่นสิคะ” เธอยิ้มเยาะเย้ยออกมาด้วยท่าทางราวกับมีชัย
“นึกไม่ออกเลยครับ” เขาโคลงศีรษะด้วยท่าทางราวกับนักปราชญ์ที่อ่านกลอนไม่ออก
“อ๋อเหรอคะ” ครอสยิ้มทั้งที่ตาหรี่เรียวจนเป็นเสี้ยวคล้ายจันทร์แรม “จำไม่ได้เลยใช่ไหมคะ”
ชายหนุ่มจ้องมองแววตาขุ่นมัวของหญิงแล้วยิ้มบาง เขาไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อยว่าตนเองนั้นยิ้มบ่อยจนสร้างความรำคาญใจให้แก่คู่สนทนา “ช่วยผมทวนความจำดีไหม” ดวงตาของชายหนุ่มเมามายเป็นประกายราวกับต้องมนตร์
ได้ยินดังนั้น หญิงสาวก็เอื้อมมือออกไปใช้ปลายนิ้วชี้ของตนเองเกี่ยวที่กระดุมคอเสื้อของคู่สนทนา ปลายเล็บรูปสวยของเธอเกลี่ยถูกผิวบนแผ่นอกของชายหนุ่ม “กลัวว่า ฉันช่วยทวนแล้วคุณจะ ‘คราง’ หนวกหูน่ะค่ะ” เธอหัวเราะเสียงต่ำราวกับแม่มดเจ้าเล่ห์
ชายหนุ่มเลื่อนสายตามองปลายนิ้วของหญิงสาวที่อยู่บนหน้าอกตนเองขณะขับรถ “งั้นบ่ายนี้ลางานดีไหมครับ”
“เถลไถลจริงนะ” เธอค่อนแคะเหน็บแนมแล้วออกแรงไล้ปลายนิ้วไปกับกล้ามเนื้อชายหนุ่ม “ใช้ได้ที่ไหนกันคะ”
“ผมว่างนะ”
“ฉันต้องทำงานค่ะ” เธอชักมือกลับทั้งที่ยังส่งยิ้มเย้ายวนชวนหลงใหล “มีครอบครัวต้องดูแล ไม่ได้ว่างงานไร้สาระอย่างคุณ”
“มีครอบครัวต้องดูแลเหรอครับ?” คนข้างกายยิ้มกรุ้มกริ่ม
ครอสเงียบ
ชายหนุ่มทำตาโต “หือ?” เขาจงใจย้ำหัวตะปู
“ทำไมคะ ฉันดูเหมือนคนโสดหรือคะ”
“คุณสวยครับ” ดูเหมือนเขาจะตอบไม่ตรงคำถามเท่าใดนัก
หญิงสาวหรี่ตา “คุณชอบยั่วโมโหฉันหรือคะ”
คู่สนทนามองสายตาที่เต็มไปด้วยวี่แววของความขุ่นเคืองนั้นแล้วระบายรอยยิ้มออกมา “แล้วคุณชอบถูกผมยั่วไหมครับ”
หญิงสาวรู้สึกได้ทันทีว่าตนเองกระตุกหัวคิ้วเข้าหากันอย่างไม่พึงพอใจ เธอส่งเสียง “เฮอะ” ออกมาราวกับเยาะอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยว่า “ฉันเกลียด”
จบคำว่า ‘เกลียด’ เธอก็ถูกหอมแก้มไปเรียบร้อยแล้ว คู่สนทนาช่วงชิงจังหวะได้รวดเร็วราวกับผู้เชี่ยวชาญ เมื่อเขาถอนปลายจมูกโด่งของตนเองออกจากพวงแก้มขาวผุดผาดของเธอ ครอสก็รู้สึกได้ทันทีถึงความร้อนประหลาดที่บริเวณร่องรอยเดิมที่เขาทิ้งเอาไว้ เธอคีบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเสื้อของชายผู้นั้นมาเช็ดหน้าตัวเองอย่างรังเกียจ
เขามองท่าทางของเธอแล้วยิ้มอีกครั้ง ถ้าเธอรังเกียจจริงคงไม่ยอมใช้ผ้าเช็ดหน้านั้นกระมัง
“ให้ผมย้ำไหมครับ”
“ไม่ต้องค่ะ”
“คุณสวยครับ”
“บอกว่าไม่ต้องไงคะ” เธอสอดผ้าเช็ดหน้ากลับเข้ากระเป๋าเสื้อคู่สนทนาตามเดิม “คุณควรจะหัดเป็นสุภาพบุรุษเสียบ้างนะคะ ไม่ใช่มาฉวยโอกาสอย่างนี้”
“ทานร้านไหนดีครับ”
หญิงสาวเลื่อนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถ “ร้านก๋วยเตี๋ยว” ภายนอกมีร้านอาหารอยู่ข้างฟุตบาทและมีลูกค้าแน่นขนัด
คู่สนทนาเบิ่งตา
“ฉันอยากกินหมี่เหลืองลูกชิ้น มีปัญหาไหมคะ หรือคุณอยากนั่งร้านหรูที่เหมาะกับคุณ”
คราวนี้คนฟังยิ้มออกมาอย่างเช่นทุกครั้ง “หมี่เหลืองลูกชิ้น” เขาออกเสียงเบาๆ เหมือนพึมพำกับตัวเอง
แต่หญิงสาวกลับหงุดหงิดตรงที่เขาไม่ยอมตั้งใจฟังประโยคกระแนะกระแหนของเธอ “จอดรถเดี๋ยวนี้เลยค่ะ ฉันจะลงแล้ว”
เขายอมทำตามโดยง่ายอย่างไร้ปากเสียง เลขาสาวจึงกระแทกประตูเปิดออกแล้วสาวเท้าลงไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการหาที่จอดรถและหิ้วแฟ้มเอกสารของเธอตามออกมา
เธอเป็นเลือกโต๊ะและเข้าไปนั่งก่อน ส่วนเขาเป็นคนจัดการสั่งเมนูอาหารและรินน้ำจากจุดบริการตัวเองมาส่งให้ถึงโต๊ะ พอชายหนุ่มหย่อนตัวลงนั่งบ้าง ครอสก็เริ่มต้นเปิดศึกอีกครั้งด้วยประโยคว่า “ที่จริงคุณไม่เห็นจะต้องลำบากมานั่งร้านนี้ก็ได้นี่คะ”
แต่อีกฝ่ายทำเฉยราวกับไม่ได้ยินถ้อยความมาดร้ายเหล่านั้น เขากำลังเอื้อมมือหยิบกล่องตะเกียบและช้อนมาวางที่โต๊ะเพื่อให้เธอหยิบใช้ได้สะดวก พอชายหนุ่มไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับราวกับพระอิฐพระปูนเช่นนั้น เธอก็ยิ่งหรี่ตาลง
“คุณสั่งอะไร”
“หมี่เหลืองลูกชิ้นครับ”
“ฉันหมายถึงเมนูของคุณ”
ยิ้มที่เธอคุ้นตาปรากฏบนใบหน้าของเขา “เส้นเล็กน้ำตกครับ”
ได้ยินเท่านั้นครอสลุกจากเก้าอี้แล้วเดินกลับไปที่ด้านหน้าร้าน เธอเริ่มต้นเอ่ยกับแม่ค้าที่กำลังลวกเส้นก๋วยเตี๋ยว เธอชี้มือไปที่โต๊ะซึ่งเพิ่งจากมา “เส้นเล็กน้ำตกที่ผู้ชายคนนั้นสั่งน่ะค่ะ ไม่ใส่ถั่วงอกแล้วก็ขอเป็นลูกชิ้นเอ็นนะคะ”
“จ้ะ” แม่ค้าร่างอ้วนตอบทั้งรอยยิ้ม “แฟนเหรอหนู หน้าตาดีจัง คนสวยหล่อนี่ดีจังเลยนะ”
ครอสไม่ตอบสิ่งใด เธอหมุนตัวเดินกลับมาแต่ก็ถูกแม่ค้ารั้งไว้ด้วยประโยคว่า “เอ้อ แล้วหมี่เหลืองล่ะหนู ที่เขาบอกว่าไม่ใส่ผักบุ้งน่ะจะให้เพิ่มอะไรอีกไหม”
ครอสเบิกตา
...
ชายหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มพริ้มเพราราวอรุณรุ่งยกแก้วน้ำขึ้นแตะริมฝีปาก ไอเย็นของน้ำแข็งภายในแก้วแผ่ขยายจนรู้สึกได้ เขาละเลียดจิบน้ำด้วยท่าทางสุขุม สีหน้าที่เคยเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นยามอยู่ต่อหน้าหญิงสาวบัดนี้มีเพียงความสงบนิ่งเมื่อปราศจากเธอ
ยามเฉยเมย ท่าทางนั้นราวกับประติมา
ไม่รู้สึกรู้สา ไม่มีหัวใจ ไม่มีแม้กระทั่ง...
จนกระทั่งครอสกลับมาที่โต๊ะอีกครั้งเขาจึงยิ้มบางส่งให้อย่างเคย
ชีวิต
ครอสมองรอยยิ้มนั้นแล้วถอนหายใจพลางหย่อนกายลงเบื้องหน้าเขาแล้วเริ่มต้นเปิดแฟ้มเอกสาร “สัปดาห์หน้าฉันจะไม่อยู่บ้าน”
“ครับ”
เป็นการจบบทสนทนาที่ง่ายดาย ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ครอสพลิกเอกสารและไล่สายตาอ่านรายละเอียดงาน ขณะที่ชายหนุ่มยังคงจ้องมองเธอ มองแล้วมองเล่าราวกับจะให้สายตาตนเองทะลุไปถึงเบื้องหลังของหญิงสาว แต่เธอดูคุ้นชินกับท่าทางของเขาเกินกว่าจะให้ความใส่ใจ จึงไม่มีคำต่อว่าหรือท่าทางประหม่าปรากฏ จนกระทั่ง...
“คุณครอส” มีเสียงหญิงสาวดังมาจากด้านหลังของครอส
ครอสปิดแฟ้มเอกสารทันใด ในขณะที่ชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามถอนหายใจเบาๆ เขาเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้มสามัญ “สวัสดีครับ คุณรัน”
“สวัสดีค่ะ” หญิงผู้มาเยือนยิ้ม ก้าวขาเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะ “สบายดีไหมคะ”
“ผมสบายดีครับ” เขาลุกขึ้นยืนเลื่อนเก้าอี้ให้ “นั่งก่อนสิครับ”
หญิงสาวยิ้มต่างหูระย้ารูปดาวของเธอสะบัดไหว ดวงหน้าขาวกมลตัดกับคิ้วดำขลับเรียวโค้ง ดวงตาเฉี่ยวและมีแววมั่นใจในตัวเองเอ่อล้นอยู่เต็ม “ขอบคุณนะคะ”
“ทานอะไรดีครับ”
รันหัวเราะเบาๆ “คุณก็รู้อยู่แล้วนี่คะ”
ชายหนุ่มยิ้มอีกครั้งก่อนจะเดินไปทางหน้าร้านทิ้งให้หญิงสาวสองคนเผชิญหน้ากัน
รันยิ้มให้แก่เลขาสาว “คุณนี่ท่าทางคล้ายฉันจังนะคะ” เธอเปิดประเด็นอย่างไม่ไว้หน้าและแสดงเจตนาของตนเองชัดเจน ส่วนครอสนั้นมีวี่แววของความเหนื่อยหน่ายมากกว่าจะเต้นเร่าตามเกมของผู้มาใหม่ รันยิงลูกดอกนัดแรกด้วยคำว่า “ฉันเป็นรักแรกของเขา”
ครอสหรี่ตา
“พูดเท่านี้คุณคงเข้าใจนะคะ ฉันดูออกว่าพวกคุณยัง ‘ไปไม่ถึงไหนกัน’” รันยิ้ม “เขาไม่มีทางลืมฉัน”
ครอสยิ้มบางออกมา “พูดเรื่องอะไรคะ”
“เรื่องอะไรงั้นเหรอ” หญิงสาวออกเสียงในลำคอด้วยความเกรี้ยวกราด “ถ้าคุณคบกับเขาอยู่ ฉันจะบอกให้เอาบุญว่าผู้ชายคนนั้นแค่มองคุณเพราะว่าคุณเหมือนฉัน”
ครอสเงียบ
รันกำลังจะเอ่ยบางสิ่งต่อแต่ก็มีเสียงทุ้มต่ำจากชายหนุ่มดังมาขัดเสียก่อน “วันนี้อากาศดีจังนะครับ” เป็นการเปิดประเด็นที่ทำให้เลขาสาวถอนหายใจ
“ไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศเท่าไหร่นะคะ” ครอสยิ้ม “อุตส่าห์เสียเวลาไปคิดมาทั้งที”
ชายหนุ่มหัวเราะ “คุณรันสบายดีไหมครับ”
“ค่ะ สบายดี” ผู้มาใหม่พยักหน้าด้วยแววตายโส “มีแฟนใหม่แล้วหรือคะ”
คู่สนทนาเงียบไปเล็กน้อยราวกับใช้ความคิดบางประการ ครอสซึ่งแลเห็นท่าทางครุ่นคิดของชายตรงหน้าจึงเป็นฝ่ายออกเสียงแทนว่า “เปล่าค่ะ ไม่ใช่แฟน ฉันเป็นเลขาของเพื่อนเขา”
“อ้อ” รันลากเสียง
ชายหนุ่มมองครอสแล้วทำสีหน้าประหนึ่งว่าเขา ‘เพิ่งรู้’ “อย่างนั้นหรือครับ?”
“ตามนั้นล่ะค่ะ” ครอสยิ้มแต่มีรังสีน่ากลัวซึ่งแปลได้ว่า ‘อย่าพูดมาก’
“คุณชื่ออะไรคะ” รันยังคงไต่ถามหญิงสาวอย่างใคร่รู้
แววตาของเลขาสาวเต็มไปด้วยกระแสของความรื่นรมย์ “ออเฟียสค่ะ”
“คุณออเฟียสรู้จักกับคุณครอสนานแล้วหรือคะ?”
ร้อยละ 60
ความคิดเห็น