ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Cross {ไขว้}

    ลำดับตอนที่ #1 : Cross ‘ไขว้’: ๑ หน้าไพ่ที่สลับหัวท้าย

    • อัปเดตล่าสุด 4 ต.ค. 56


              คำโปรย

             ชีวิตประจำวันของสุภาพสตรีคนหนึ่ง ทำงาน ทำงาน และทำงาน กับชีวิตประจำวันของสุภาพ(?)บุรุษอีกคน ลอยชาย ลอยชาย และลอยชาย แค่ขึ้นต้นก็ ไม่น่าสนใจ อย่าคาดหวังว่าคำโปรยมันจะน่าอ่าน รักโรแมนติกสุดซึ้งหรือ?...ฝัน

    -----------------------------------------------------------------------

              ใครก็รู้ว่าคนอย่างครอส ไม่มีวันชายตาแลผู้ชายคนไหนบนโลก

              ใช่  ใครๆ ก็รู้

              แต่จนแล้วจนรอดโต๊ะทำงานของเธอก็ยังคงเต็มไปด้วยช่อดอกไม้จากบุรุษมากหน้าหลายตามิได้ขาด  หากหากระถางต้นไม้กับบัวรถน้ำจิ๋วมาตั้งด้วยหลายคนคงไม่มีใครดูออกว่าตกลงเธอทำอาชีพเป็นเลขาของผู้จัดการบริษัทหรือเจ้าของร้านดอกไม้กันแน่

              ประเด็นนี้ยังคงเป็นหัวข้อสนทนาที่หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัย  มีพนักงานหญิงให้ข้อสรุปต่างๆ นานา  โดยเฉพาะเมื่อสาวก ปากว่าง ในบริษัทของเธอเริ่มต้นการจับกลุ่มสนทนาหรือหากจะเรียกให้ถูกก็คือการ นินทาหัวข้อจะถูกโยงใยทำนองว่า...

              “ฉันว่าแม่นี่ชอบปั่นหัวผู้ชาย  วันๆ ไม่เห็นทำอะไรนอกจากอ่อยชาวบ้าน  ท่าทางจะมีเสี่ยเลี้ยงอยู่ด้วยถึงได้ใช้แต่ของแพงๆ”   ยังคงเป็นประเด็นร้อนเช่นทุกครั้งเมื่อสาวโต๊ะข้างเคียงแลเห็นดอกไม้กองโตบนโต๊ะทำงานของเป้าหมาย

             “ใช่  ฉันเคยเห็นนะ  เสี่ยที่ว่าน่ะ  ผู้ชายที่ขับรถหรูๆ มารับไปกินข้าวกลางวัน”

              เพื่อนหญิงอีกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยขณะส่งสายตาราวกับ สัปปะรด พิจารณาบรรดาการ์ดหลากสีที่ติดอยู่กับช่อดอกไม้ราคาแพง   “หล่อนคงเป็นผู้หญิงประเภทใช้ เต้าไต่ ด้วย  เพิ่งทำงานไม่เท่าไหร่ตำแหน่งก็ขึ้นพรวดๆ ได้ไปชูคออยู่ข้างผู้จัดการ”

              “ฉันเห็นชายตาแลคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างกับพวกโสเภณี  เธอว่าไหม”   อีกคนเสนอความเห็นด้วยแววตาร้อนฉานเกรี้ยวโกรธ   “อย่างฝ่ายบัญชีที่เพิ่งมาใหม่  เขาก็บอกว่าครอสน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้  พวกผู้ชายนี่พอเห็นใครอ่อยตัวเองเข้าหน่อยก็ปวกเปียก  คงจะเสร็จยัยนี่อีกคนล่ะมั้ง”

              “ก็จะเสร็จทั้งบริษัทอยู่แล้วไม่ใช่เหรอจ๊ะ”   แล้วเสียงหัวเราะคิกคักแหลมเล็กก็ดังกระหึ่มราวกับผึ่งแตกรัง  ขณะที่คนทั้งสามส่งสายตาจิกทึ้งพุ่งเป้าไปยังเจ้าของนาม ครอสที่เพิ่งย่างเท้าเข้ามา  ท่าทางสะโอดสะองของเหยื่อทำให้ฝูงนกการู้สึกราวกับตนเองถูกทึ้งเส้นขนบนศีรษะจนขาดวิ่น 

              ในที่สุดหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นก็ทนให้ริมฝีปากตนเองอยู่เฉยไม่ได้จึงแสร้งออกเสียงดังว่า  “อุ๊ยต๊าย! นางร้ายละครเรื่องนี้นี่มันดัดจริตจริงๆ เลยนะเธอ  ดูสิ  ยั่วคนนั้นทีคนนี้ที  มีแต่ผู้ชายล้อมหน้าล้อมหลัง”

              เพื่อนอีกคนก็รับช่วงต่อจากคนเปิดประเด็นได้อยู่หมัด   “นี่  นั่นมันนางเอกไม่ใช่หรือจ๊ะ  เอ๊ะ  หรือว่าแกล้งทำตัวเป็นนางเอกให้เขาพะเน้าพะนอก็ไม่รู้สิ  ตำแหน่งจะได้ก้าวหน้าไวๆ”

              “สังคมสมัยนี้อะไรมันก็ต้องเป็นเงินเป็นทองแหละเนอะ  เอาตัวแลกเข้าหน่อยก็ได้อะไรดีๆ มีภาษีกว่าชาวบ้านเขา  นี่ดีนะที่ประธานของพวกเราเป็นผู้หญิง  ไม่อย่างนั้นก็คงเสร็จนางร้ายแบบนี้ไปแล้วล่ะ”

              ทว่าเสียงเสียดสีจากบรรดาสามสาวไม่อาจทะยานเข้าไปสร้างความสะดุ้งสะเทือนในการรับรู้ของเหยื่อได้  ครอสยังคงหนีบแฟ้มเอกสารแนบกายและกำลังจดบางสิ่งใส่สมุดโน้ตในมือโดยที่ยังเอียงคอแนบหูกับโทรศัพท์  เธอเดินกึ่งวิ่งผ่านวงสนทนาไปราวกับไม่เห็นเงาหัวของสามสาว

              ไม่แม้แต่จะได้ยินถ้อยความที่ไหลบ่าเข้าใส่ราวกับน้ำเชี่ยว

              ซึ่งก็สร้างโทสะให้แก่กลุ่มนกกาได้ราวกับโยนแกลลอนน้ำมันใส่กองเพลิง  หนึ่งในคนนินทาถึงขั้นผุดลุกขึ้นและส่งสายตาพยาบาทให้แก่ครอสอย่างไร้การปิดบังราวกับไฮยีน่าสาวที่พร้อมจะตะกุยเหยื่อให้ขาดวิ่น  แต่ลูกเก้งงามงอนก็ยังคงเยื้องย่างอย่างสบายอุราในพงไพร

              นังนี่!

              เมื่อถึงโต๊ะทำงาน  สิ่งแรกที่ครอสทำคือยืนนิ่งอยู่ตรงหน้ากองดอกไม้สูงท่วมหัวราวกับทำใจ 

             วันนี้วันจันทร์  คนที่จะส่งดอกไม้ให้เธอได้มีจำนวนอย่างต่ำสี่สิบห้าคน

              นึกคร่าวๆ ได้เท่านั้นก็กวาดช่อบุปผชาติทั้งมวลลงถังขยะข้างโต๊ะที่ถูกปรับขนาดให้ใหญ่พอที่จะรองรับกิ่งก้านมากมายนั้นได้พอดิบพอดี  นับว่าเธอคำนวณน้ำหนักกับปริมาณได้ถูกต้อง  คิดถูกที่นำถังขยะใบนี้มาเปลี่ยนแทนลูกเก่าของเมื่อวาน  แต่น่าเสียดายที่บ่ายนี้ครอสก็คงต้องเปลี่ยนมันอีก  เพราะขนาดแค่ประมาณจากจำนวน อย่างต่ำก็ยังเต็มถังเสียตั้งแต่เช้า

              หรือบางทีควรเอาถุงดำมาตั้งไว้เลยดี  จะได้ลากไปทิ้งได้สะดวก...

              ยังไม่ทันหาข้อสรุปได้เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น  หญิงสาวรับสายโดยไม่ต้องดูว่าใครเป็นคนโทร

              “ค่ะ  บอส”

              ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ราวกับชั่งความคิดบางประการ   “คุณครอส  มีคนบอกว่าคุณตบหน้าเพื่อนร่วมงานเมื่อสักครู่  เป็นความจริงเหรอ?

    Cross

    ไขว้

    ๑ หน้าไพ่ที่สลับหัวท้าย

              ครอสยิ้มบางออกมาเมื่อได้ฟังเนื้อความที่หาความจริงไม่ได้แม้แต่น้อย  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกป้ายสี  แต่หัวหน้างานของเธอก็ยังจงใจถามให้ชัดว่า  เป็นความจริงเหรอ  ราวกับจงใจหยอกล้อ

              ไม่สิ...ไม่ใช่ ราวกับ  แต่เป็นจงใจล้อเธอจริงๆ ต่างหาก

              “บอสอยากได้อะไรจากคำตอบของฉันคะ”

              มีเสียงหัวเราะคลอมาจากปลายสาย   “รับปากเขาแล้วว่าจะตำหนิให้  ก็ต้องทำตามที่พูด  ไม่ถูกเหรอ?

              “อ้อค่ะ  เป็นคนดีจังนะคะ”   ครอสยิ้ม และจงใจเว้นคำเพื่อเน้นเสียง   “บอส”

              “อืม  ฉันเห็นด้วยกับคุณนะ”

              “แต่ว่าคนดีน่ะ  มักจะอกหักเสมอล่ะค่ะ  ไม่อกหักก็ต้องรักเขาข้างเดียว  สงสารอยู่นิดๆ นะคะ”

              ดูเหมือนบอสจะโดน เสียบเข้าไปหนึ่งดอก  จึงเงียบไปนานเพราะความอึ้งตะลึงงันและยังสรรหาคำใดมาต่อขานไม่ได้  จนในอีกหนึ่งนาทีต่อมาจึงเอ่ย   “ดาบเล่มที่สิบของวัน”   เป็นการเปรียบเปรยว่าถ้อยแถลงของเธอนั้นมักแทงเข้า ใจดำของคนฟังอยู่เสมอ

              “อยากโดนอีกไหมคะ”

              เจ้านายของครอสกลั้วหัวเราะอีกครั้ง   “ตั้งใจทำงานนะ  คุณครอส”

              เป็นการปิดประเด็นอย่างนุ่มนวลตามวิสัยของผู้บริหาร  ครอสวางสายแล้วหย่อนกายลงกับเก้าอี้ทำงาน  วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ  เอนหลังพิงพนักและปิดเปลือกตาแน่วนิ่งราวกับรูปปั้น

              ท่าทางผ่อนคลายแต่สีหน้ากลับดูหนักอึ้ง

              “คนดีน่ะ  มักจะอกหักเสมอค่ะ...”

              ...คนดี

              “เหรอครับ”   มีเสียงตอบกลับมาแผ่วเบาราวกับกระซิบ  แต่ก็ชัดเจนจนฟังเหมือนใครสักคนพูดอยู่ตรงหน้าเธอ  หญิงสาวเปิดเปลือกตาโพล่งขึ้นมาด้วยอากัปกิริยาของคนที่ไม่เชื่อหูตัวเอง

              บางทีเธออาจจะฝัน

              อาจจะหูฝาด

              ภาวนาให้เป็นอย่างนั้น

              หญิงสาวแลเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของชายหนุ่มอยู่ตรงหน้าในระยะประชิด  เขาปั้นยิ้มกรุ้มกริ่มและสว่างวิบวับประหนึ่งพระอาทิตย์  กระนั้นสายตายังสงบลุ่มลึกแต่กลับเต็มไปด้วยวี่แววของการล้อหยอก  สำหรับเธอแล้ว  ตาสองข้างของผู้ชายคนนี้นิยามได้ว่า

              นิสัยเสีย

              ถูกต้อง  เป็น ตานิสัยเสีย  ของคนนิสัยไม่ดี

              หญิงสาวจ้องเขม็งคู่สนทนาที่จงใจโยกตัวเข้ามาใกล้จนแทบจะหายใจรดดั้งจมูกเธอ  ยิ่งเธอจ้องราวกับจะทึ้งเลือดเนื้อของเขาออกมาเช่นนั้น  ชายหนุ่มกลับส่งรัศมีสว่างไสวพริ้มเพราปานลูกแกะออกมาดุจยียวน  หากครอสมีต้นทุนของความร้ายกาจ  ชายตรงหน้าของเธอก็มีกำไรแห่งความแสนดีชนิดลืมโลก  แต่ ทั้งหมด ของเขากลับกลายเป็นความยียวนกวนประสาทไปโดยปริยาย

              ยกตัวอย่างเช่น   เธอแสดงโจ่งแจ้งว่าไม่พอใจที่เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้  แต่ชายคนนี้ก็ยังทำ

              หญิงสาวหรี่ตา

              “แด่สุภาพสตรีผู้แต่งงานกับงานครับ”   เขายิ้มแล้วโยกตัวกลับไปยืนตรง  เธอถึงได้เพิ่งรู้ว่าในมือของชายไร้มารยาทคนนั้นมีดอกไม้ช่อใหญ่อยู่ด้วย

              รู้ทั้งรู้ว่าให้มาก็ต้องถูกโยนทิ้ง

              ยังจะ...

              ครอสยิ้มบางออกมา  แต่สำหรับชายหนุ่มผู้มาปรากฏตัวต่อหน้าเธอกลับตระหนักได้ทันทีว่าสาวงามกำลัง แยกเขี้ยว

              ใครว่าเธอกำลังยิ้ม  ไม่ใช่สักนิด

              ...ไม่เลย

              กลีบริมฝีปากบางเคลือบลิปสติกแดงดั่งเลือด  แปลกที่แม้สีสันรุนแรงเช่นนั้นกลับกลายเป็นดูซีดเซียวในบัดดลเมื่อเทียบกับดวงตา  และที่น่าประหลาดยิ่งกว่าคือนัยน์ตาของครอสเป็นเพียงสีน้ำตาลทึบๆ แต่กลับดูฉูดฉาดกว่าริมฝีปากหลายเท่า  ไม่ได้หวาน  ไม่มีความลึกซึ้ง  หนักไปทางแววกร้านโลกทรงเสน่ห์  อาจเพราะความเยือกเย็นที่เฉิดฉายอยู่นั้นรวมเข้ากับรัศมี เสียดสีเธอจึงดูเป็นผู้หญิงประเภททิ่มแทงสายตาคนมองมากกว่าน่าหลงใหล

             ชายหนุ่มยิ้ม  ก่อนจะโยนดอกไม้ในมือลงถังขยะข้างโต๊ะทำงานอย่างรู้หน้าที่  “ทราบมาว่า  คุณถูก เสี่ยเลี้ยงหรือครับ”   กล่าวจบก็เท้าแขนลงกับโต๊ะยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกครั้งเพื่อเผชิญหน้ากับแววตาโฉบเฉี่ยวของหญิงสาว

             ดูเหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่าถึงให้ดอกไม้ไป  เธอก็โยนลงถังเช่นเคย

              ครอสดึงหัวคิ้วเข้าหากันแต่ยังคงยิ้ม   “ค่ะ  มีปัญหาหรือคะ  ฉันใช้ของแพง  แถมยังมีรสนิยมชอบปั่นหัวผู้ชายด้วย”   เธอเอ่ยไปพลางลากปลายนิ้วชี้ไปกับคอเสื้อของชายเบื้องหน้า  เมื่อลากมือถึงปมเนกไทของเขา  เธอก็ช้อนมันขึ้นมากุมไว้   “เนกไท”

              “ที่คุณเลือก”   เขาบอกสั้นๆ  แล้วดึงเนกไทที่คอตนเองออกจากมือเธอ

              ตอนที่ชายตรงหน้าดึงเนกไทออกไป  ครอสยิ้ม  แต่ในวินาทีต่อมาเขาก็สอดนิ้วมือของตัวเองลงไปแทนตำแหน่งเนกไทเสียเอง  กลายเป็นว่าเธอได้จับมืออุ่นๆ ของเขาแทนเนื้อผ้าเย็นเฉียบ

              ครอสหรี่ตาอีกครั้ง  เธอลืมไปแล้วว่าตนเองหรี่ตาเป็นครั้งที่เท่าใดนับแต่ชายผู้นี้ปรากฏกาย

              “หิวไหมครับ”   เขาถามด้วยรอยยิ้มเช่นเคย  ขณะออกแรงบีบมือเล็กน้อยเพื่อให้หญิงสาวรู้ว่าเขากำลังกุมมือเธออยู่  ก่อนหน้านี้เป็นเธอต่างหากที่ถูกบังคับให้จับมืออย่างไม่เต็มใจแต่ในพริบตาต่อมากลับกลายเป็นเขาต่างหากที่ไม่ยอมปล่อยมือนั้น

              ยังกุมไว้เสมอ...

              ครอสชักมือตนเองกลับราวกับต้องของร้อน  พอเธอดึงมือคืนมาได้ชายหนุ่มก็ล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อและส่งให้เธอราวกับรู้ใจ

              เลขาสาวมองผ้าเช็ดหน้าที่อยู่บนมือของคู่สนทนาอย่างไม่ใคร่สบอารมณ์เท่าใดนัก

              “ผ้าเช็ดมือครับ”   ดูเหมือนรอยยิ้มพริ้มเพราของเขาจะยั่วยุเธอได้ชะงัด

              เป็นอีกครั้งที่ครอสยิ้มกลับไป  ทรงเสน่ห์ราวกับแก้วเจียจะไน  แต่คนมองกลับรู้สึกรำไรว่าเขากำลังจะกลายเป็นหมูขึ้นเขียงในไม่ช้า

              “รู้ใจจริงนะคะ”   เธอคีบผ้าเช็ดหน้าของเขามาด้วยท่าทีรังเกียจชัดเจน  ใช้ผ้านั้นเช็ดมือตนเองด้วยท่าทางหยามเยาะคนมอง  ก่อนจะเสือกมือออกไปคว้าเอาเนกไทของคู่สนทนาและดึงให้เขาจำต้องก้มตัวเข้าใกล้เธอ

              จริง  ชายผู้นี้ถนัดยั่วอารมณ์สตรี...และโดยเฉพาะสตรีตรงหน้า

              เขายังคงมีรอยยิ้มวิบวับดุจอัญมณีเสมอ

              ครอสยัดผ้าเช็ดหน้าของเขากลับคืนใส่กระเป๋าให้   “ขอบคุณนะคะ”   รู้สึกได้ถึงความร้อนของลมหายใจจากเขาในระยะประชิด  เธอเลื่อนสายตาลงสำรวจปมเนกไทและลงมือจัดให้เข้าที่ก่อนจะยอมปล่อยเขาเป็นอิสระ

              ดูเหมือนวันนี้สาวงามตรงหน้าจะอารมณ์ไม่แจ่มใสเท่าที่ควร  เห็นจากการที่เธอยอมรามือจากการคุกคามเขาโดยง่าย  ซึ่งเป็นเรื่องผิดวิสัย  เขารู้ดีว่าการที่ครอสมีลักษณะที่หยิ่งทระนง  เธอจึงต้องการให้ตนเองสง่างามสมบทบาทเสมอ  การที่จู่ๆ จะมีใครสักคนสามารถจับตำหนิในอารมณ์ขุ่นมัวนั้นและลงมือปลอบโยนหรือถามไถ่  ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เธอจะยินดีและพร้อมรับ

              ผลมันจะออกมาตรงกันข้ามต่างหาก

              เขารู้  แต่ถึงกระนั้น   “อารมณ์ไม่ดีเชียว”   ปากเจ้ากรรมก็ยังหาเรื่องหาราวอยู่ดี

    ครอสเลื่อนสายตาปะทะกับชายหนุ่ม  “ตั้งแต่เจอคุณ คนทั้งคู่เผชิญหน้ากันโดยไม่มีใครยอมหลบเลี่ยงสายตาอีกฝ่าย เธอตระหนักได้ประการหนึ่งว่าตั้งแต่ชายผู้นั้นโผล่หัวมาก็ยังไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวที่เขาปล่อยให้สายตาตนเองว่างเว้นจากเธอ บางทีเขาอาจจะเป็นหนุ่มวิกลจริตที่ชอบหาเรื่องให้ตนเองถูกผู้หญิงคนหนึ่งเหม็นขี้หน้าก็เป็นได้

    ใครแกล้งหรือครับ เขายังคงมียิ้มงามราวกับเทวดาจากสรวงสวรรค์ไม่แปรเปลี่ยน  บอกผมได้นะ

              “อยากรู้เหรอคะ”   เธอ ท้า ด้วยน้ำเสียงและแววตากร้านหยาบ

              เขา น้อมรับด้วยรอยยิ้มและสีหน้านุ่มนวล   “มีปัญหากับคนที่บ้าน หรือครับ”

              “อ้อ”   ครอสเลิกคิ้ว และระบายยิ้มงามเรื่อออกมา   “ใช่ค่ะ”

              “ถ้าอย่างนั้นปรึกษาผมได้ครับ”   ชายหนุ่มเสนอตัว   “ไม่หิวหรือครับ”   และยังคงพากเพียรชวนสาวงามออกไปรับประทานอาหารกลางวัน

              เป็นคนที่สมควรให้คะแนนความ ตื๊อเต็มอัตรา

              “คุณจ่าย”   เธอชี้มือพลางกอดอกพิงพนักเก้าอี้

              “ถ้าคุณยอมไป”

              “ร้านแพงๆ”

              “ถ้าคุณยอมไป”

              “รถหรูๆ”

              “ถ้าคุณยอมไป”

              ชายหนุ่มยิ้ม

              ครอสหรี่ตา   “ฉันไม่ไปค่ะ”

              “ผมมีข้าวกล่อง”   แล้วคนพูดก็ชูข้าวกล่องขึ้นมา  ซึ่งก็ทำให้คนมองเริ่มสงสัยว่าชายผู้นี้ซุกซ่อนทั้งช่อดอกไม้และข้าวกล่องไว้มุมใด  หรือเขามีกระเป๋าหน้าท้องเก็บสารพัดสิ่งของแบบเดียวกับหุ่นยนต์แมวในการ์ตูนเรื่องใดสักเรื่อง

              ชายหนุ่มสารพัดประโยชน์

              ครอสยิ้ม   “มีแต่ต้องไปสินะ”   แล้วลุกขึ้นยืน  ก่อนจะก้มลงคีบช่อดอกไม้ที่ชายหนุ่มโยนลงถังขึ้นมาและวางลงบนโต๊ะทำงานของตนเอง

              การกระทำของเธอทำให้อีกฝ่ายชะงักมองด้วยสีหน้าตกตะลึง

              “ทิ้งผิดที่ค่ะ”   แล้วเธอก็หมุนตัวเดินนำเขาออกไปโดยไม่กล่าวอะไรอีก

                ...ทิ้ง

              ทิ้งให้ชายหนุ่มจ้องมองช่อดอกไม้บนโต๊ะทำงานอยู่เช่นนั้น

                ผิดที่...?

              ...

     

     

     

     

             

              เมื่อสองร่างของชายหญิงเดินผ่านพนักงานบริษัทหลายคน  ก็ตกเป็นเป้าสายตาและกลายเป็น ขี้ปากของชาวบ้านแทบจะในทันที  ชุมนุมนกกาจึงเริ่มรวมฝูงกันอีกครั้งโดยมิได้นัดหมาย

              “คนนั้นเองสินะ  เสี่ยที่เธอพูดถึง”

              กระนั้น  เหยื่อหญิงชายก็ยังเดินสนทนากันราวกับไม่ได้ยินเนื้อความของคนช่างซุบซิบ

              พนักงานหญิงคนหนึ่งเริ่มต้นกระพือไฟใส่สีตีไข่อีกครั้ง  เพราะว่างจัดและดูเหมือนจะเป็นงานที่เจ้าตัวค่อนข้างถนัดกว่าสิ่งใดในโลก   “ใช่ๆ  คนนั้นน่ะแหละ  มารับไปกินข้าวกลางวันทุกวันเลย  แต่ยัยนั่นน่ะทำเล่นเนื้อเล่นตัวตลอด  ความจริงก็คงอยากให้เขาพาไปขึ้นสวรรค์จะแย่น่ะสิ”

              “ต๊าย!  แรงเนอะ!   คนฟังตาลุกวาวยกมือป้องปาก

              “แหงสิจ๊ะ  ไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่คนอย่างครอส  ออเฟียส หรอก”

              “ผู้ชายคนนั้นดูดีจังเลย”

              “แต่ก็คงเป็นแค่ผู้ชายโง่ๆ ทั่วไปแหละเธอ  โดนผู้หญิงหลอกง่ายๆ แบบนี้  พูดก็พูดเถอะ  เจ้าตัวคงหวังเรื่องอย่างว่า จากแม่นี่อย่างเดียว  แต่สงสัยคงโดนลูกไม้ปลอกลอกเข้าให้น่ะสิ”

              “แหม  หล่อนนี่ทฤษฎีแม่นเนอะ”   มีเสียงหัวเราะคิกคักตามมาอีกหลายระลอก

              ครอส  ออเฟียส

              เจ้าของนามนั้นยังคงสืบเท้ารวดเร็วแม้จะใส่ส้นสูงหลายเซนติเมตรก็ตาม  ถึงเธอจะเดินเร็วเช่นนั้นแต่ชายหนุ่มข้างกายก็ยังก้าวขาอยู่ข้างๆ อย่างไม่มีความเร่งร้อนใดๆ

              ครอสอยู่ในชุดทำงาน  เสื้อเชิ้ตสีม่วงเข้มเข้ารูป  ด้วยความที่ใส่ใจทุกรายละเอียด  กระทั่งริบบิ้นเล็กๆ ที่คอเสื้อก็ยังถูกผูกเป็นโบไว้อย่างเรียบร้อย  กระโปรงหนังเงาเรียบสนิท  สั้นเหนือเข่าแต่ดูสุภาพเข้ากันกับรองเท้าส้นเข็มสูงชะลูด  ในมือมีแฟ้มเอกสาร  และชายหนุ่มคนข้างกายก็ยังช่วยถือทั้งกระเป๋าและเอกสารอีกสามชุดด้วย

              “ฉันอยู่กับคุณได้ชั่วโมงครึ่ง”   หญิงสาวบอก  และจงใจออกเสียงให้ดังขึ้นเมื่อพูดประโยคถัดมา   “จะทำอะไร ก็รีบๆ ทำนะคะ”   ราวกับจงใจจะให้ฝูงนกกาได้ยินเพื่อนำไปนั่งเทียนเขียนข่าว

              ชายหนุ่มยิ้ม  ไม่ต่อขานสิ่งใด

              ครอสจึงต้องตะหวัดสายตากลับมามองคนข้างกายอย่างไม่ชอบใจ   “ถึงคุณไม่พูดอะไร  ฉันก็ไม่อยากจะถามหรอกค่ะว่าคุณเป็นอะไร”

              คู่สนทนาหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู  เงียบไปอีกชั่วอึดใจแล้วเอ่ยว่า   “งานสนุกไหมครับ”

              ครอสหรี่ตา  ก้าวขาพรวดๆ ราวกับจะทะยานหนีอีกฝ่าย  แต่เขาก็ยังลอยชายตามติดเป็นเงา   “อยากได้อะไรจากคำตอบของฉันคะ”

              “คุณจะยอมให้ผมหรือครับ”

              “ไม่ค่ะ”   สาวงามตอบฉับพลันโดยไม่ต้องไตร่ตรอง

              คู่สนทนาระบายรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างติดชิน  เขาเอื้อมมือเปิดประตูให้เธออย่างรู้งาน  แต่ยังช้าไปเพราะสุภาพสตรีกระชากประตูเปิดออกไปก่อนไม่ยอมรอให้เขาแสดงน้ำใจ  และจ้ำอ้าวต่อประหนึ่งวิ่งร้อยเมตร

              แค่สองนาทีครอสก็สืบเท้าถึงรถเก๋งคันหนึ่ง  เธอหยุดเท้าก่อนจะมีเสียงลุ่มลึกละคนอารมณ์ดีของชายหนุ่มตามหลังมา   “ผมเปิดให้ไหม”

              ยิ่งแลเห็นรอยยิ้มของเขา  เธอก็ยิ่งไม่ชอบใจ  หญิงสาวกอดอกเคาะนิ้วมือเป็นจังหวะอย่างรั้งรอเจือด้วยอารมณ์ขุ่นมัว   “ลีลา”   เธอค่อนว่า   “หรือเห็นฉันรีบคะ”

              “ผมเลยแกล้งช้า”   เขาต่อประโยค  แล้วจึงเปิดประตูให้อย่างนุ่มนวล

              เธอเข้าไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถรูปงามแต่สายตายังดุร้ายเข้มงวด  เหลือบมองรอยยิ้มของสุภาพบุรุษข้างกายแล้วตะหวัดสายตาหนี  แต่มือกลับสอดเข้าไปหยิบกุญแจรถออกจากกระเป๋าเสื้อของบุรุษหนุ่มราวกับรู้มาก่อนว่าเขาจะเก็บมันไว้ที่ใด  ครอสเอี้ยวตัวไปเสียบกุญแจรถที่ตำแหน่งคนขับระหว่างที่เขาปิดประตูให้เธอและเดินอ้อมไปยังอีกฟากหนึ่ง

              “วันนี้จะเลิกงานกี่โมงดีครับ”   เขาไต่ถามเมื่อหย่อนกายลงที่เบาะฝั่งคนขับและเริ่มสตาร์ทรถ

              “ธุระอะไรของคุณคะ”   หญิงสาวย้อน

              “ผมไม่มีธุระครับ  มารับคุณได้เสมอ”

              ครอสหรี่ตา   “ฉันกำลังพูดว่าคุณเกี่ยวอะไรกับฉันต่างหาก”

              คนขับรถยิ้มขณะหักเลี้ยวพวงมาลัยเพื่อถอยรถออกจากที่จอด  เขาเว้นจังหวะการสนทนาไปเล็กน้อยแล้วต่อเนื้อความด้วยรอยยิ้มละเอียดลออ   “ผมเกี่ยวอะไรกับคุณกันนะ”

              “นั่นสิคะ”   เธอยิ้มเยาะเย้ยออกมาด้วยท่าทางราวกับมีชัย

              “นึกไม่ออกเลยครับ”   เขาโคลงศีรษะด้วยท่าทางราวกับนักปราชญ์ที่อ่านกลอนไม่ออก

              “อ๋อเหรอคะ”   ครอสยิ้มทั้งที่ตาหรี่เรียวจนเป็นเสี้ยวคล้ายจันทร์แรม   “จำไม่ได้เลยใช่ไหมคะ”

              ชายหนุ่มจ้องมองแววตาขุ่นมัวของหญิงแล้วยิ้มบาง  เขาไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อยว่าตนเองนั้นยิ้มบ่อยจนสร้างความรำคาญใจให้แก่คู่สนทนา   “ช่วยผมทวนความจำดีไหม”   ดวงตาของชายหนุ่มเมามายเป็นประกายราวกับต้องมนตร์

              ได้ยินดังนั้น  หญิงสาวก็เอื้อมมือออกไปใช้ปลายนิ้วชี้ของตนเองเกี่ยวที่กระดุมคอเสื้อของคู่สนทนา  ปลายเล็บรูปสวยของเธอเกลี่ยถูกผิวบนแผ่นอกของชายหนุ่ม   “กลัวว่า  ฉันช่วยทวนแล้วคุณจะ คราง หนวกหูน่ะค่ะ”  เธอหัวเราะเสียงต่ำราวกับแม่มดเจ้าเล่ห์

              ชายหนุ่มเลื่อนสายตามองปลายนิ้วของหญิงสาวที่อยู่บนหน้าอกตนเองขณะขับรถ   “งั้นบ่ายนี้ลางานดีไหมครับ”

              “เถลไถลจริงนะ”   เธอค่อนแคะเหน็บแนมแล้วออกแรงไล้ปลายนิ้วไปกับกล้ามเนื้อชายหนุ่ม   “ใช้ได้ที่ไหนกันคะ”

              “ผมว่างนะ”

              “ฉันต้องทำงานค่ะ”   เธอชักมือกลับทั้งที่ยังส่งยิ้มเย้ายวนชวนหลงใหล   “มีครอบครัวต้องดูแล  ไม่ได้ว่างงานไร้สาระอย่างคุณ”

              “มีครอบครัวต้องดูแลเหรอครับ?   คนข้างกายยิ้มกรุ้มกริ่ม

              ครอสเงียบ

              ชายหนุ่มทำตาโต   “หือ?   เขาจงใจย้ำหัวตะปู

              “ทำไมคะ  ฉันดูเหมือนคนโสดหรือคะ”

              “คุณสวยครับ”   ดูเหมือนเขาจะตอบไม่ตรงคำถามเท่าใดนัก

              หญิงสาวหรี่ตา   “คุณชอบยั่วโมโหฉันหรือคะ”

              คู่สนทนามองสายตาที่เต็มไปด้วยวี่แววของความขุ่นเคืองนั้นแล้วระบายรอยยิ้มออกมา   “แล้วคุณชอบถูกผมยั่วไหมครับ”

              หญิงสาวรู้สึกได้ทันทีว่าตนเองกระตุกหัวคิ้วเข้าหากันอย่างไม่พึงพอใจ  เธอส่งเสียง  “เฮอะ”   ออกมาราวกับเยาะอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยว่า   “ฉันเกลียด”

              จบคำว่า เกลียด  เธอก็ถูกหอมแก้มไปเรียบร้อยแล้ว  คู่สนทนาช่วงชิงจังหวะได้รวดเร็วราวกับผู้เชี่ยวชาญ  เมื่อเขาถอนปลายจมูกโด่งของตนเองออกจากพวงแก้มขาวผุดผาดของเธอ  ครอสก็รู้สึกได้ทันทีถึงความร้อนประหลาดที่บริเวณร่องรอยเดิมที่เขาทิ้งเอาไว้  เธอคีบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเสื้อของชายผู้นั้นมาเช็ดหน้าตัวเองอย่างรังเกียจ

              เขามองท่าทางของเธอแล้วยิ้มอีกครั้ง   ถ้าเธอรังเกียจจริงคงไม่ยอมใช้ผ้าเช็ดหน้านั้นกระมัง

              “ให้ผมย้ำไหมครับ”

              “ไม่ต้องค่ะ”

              “คุณสวยครับ”

              “บอกว่าไม่ต้องไงคะ”   เธอสอดผ้าเช็ดหน้ากลับเข้ากระเป๋าเสื้อคู่สนทนาตามเดิม   “คุณควรจะหัดเป็นสุภาพบุรุษเสียบ้างนะคะ  ไม่ใช่มาฉวยโอกาสอย่างนี้”

              “ทานร้านไหนดีครับ”

              หญิงสาวเลื่อนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถ   “ร้านก๋วยเตี๋ยว”   ภายนอกมีร้านอาหารอยู่ข้างฟุตบาทและมีลูกค้าแน่นขนัด

              คู่สนทนาเบิ่งตา

              “ฉันอยากกินหมี่เหลืองลูกชิ้น  มีปัญหาไหมคะ  หรือคุณอยากนั่งร้านหรูที่เหมาะกับคุณ”

              คราวนี้คนฟังยิ้มออกมาอย่างเช่นทุกครั้ง   “หมี่เหลืองลูกชิ้น”   เขาออกเสียงเบาๆ เหมือนพึมพำกับตัวเอง

              แต่หญิงสาวกลับหงุดหงิดตรงที่เขาไม่ยอมตั้งใจฟังประโยคกระแนะกระแหนของเธอ   “จอดรถเดี๋ยวนี้เลยค่ะ  ฉันจะลงแล้ว”

              เขายอมทำตามโดยง่ายอย่างไร้ปากเสียง  เลขาสาวจึงกระแทกประตูเปิดออกแล้วสาวเท้าลงไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการหาที่จอดรถและหิ้วแฟ้มเอกสารของเธอตามออกมา

              เธอเป็นเลือกโต๊ะและเข้าไปนั่งก่อน  ส่วนเขาเป็นคนจัดการสั่งเมนูอาหารและรินน้ำจากจุดบริการตัวเองมาส่งให้ถึงโต๊ะ  พอชายหนุ่มหย่อนตัวลงนั่งบ้าง  ครอสก็เริ่มต้นเปิดศึกอีกครั้งด้วยประโยคว่า   “ที่จริงคุณไม่เห็นจะต้องลำบากมานั่งร้านนี้ก็ได้นี่คะ”

              แต่อีกฝ่ายทำเฉยราวกับไม่ได้ยินถ้อยความมาดร้ายเหล่านั้น  เขากำลังเอื้อมมือหยิบกล่องตะเกียบและช้อนมาวางที่โต๊ะเพื่อให้เธอหยิบใช้ได้สะดวก  พอชายหนุ่มไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับราวกับพระอิฐพระปูนเช่นนั้น  เธอก็ยิ่งหรี่ตาลง

              “คุณสั่งอะไร”

              “หมี่เหลืองลูกชิ้นครับ”

              “ฉันหมายถึงเมนูของคุณ”

              ยิ้มที่เธอคุ้นตาปรากฏบนใบหน้าของเขา   “เส้นเล็กน้ำตกครับ”

              ได้ยินเท่านั้นครอสลุกจากเก้าอี้แล้วเดินกลับไปที่ด้านหน้าร้าน  เธอเริ่มต้นเอ่ยกับแม่ค้าที่กำลังลวกเส้นก๋วยเตี๋ยว  เธอชี้มือไปที่โต๊ะซึ่งเพิ่งจากมา   “เส้นเล็กน้ำตกที่ผู้ชายคนนั้นสั่งน่ะค่ะ ไม่ใส่ถั่วงอกแล้วก็ขอเป็นลูกชิ้นเอ็นนะคะ”

              “จ้ะ”   แม่ค้าร่างอ้วนตอบทั้งรอยยิ้ม   “แฟนเหรอหนู  หน้าตาดีจัง  คนสวยหล่อนี่ดีจังเลยนะ”

              ครอสไม่ตอบสิ่งใด  เธอหมุนตัวเดินกลับมาแต่ก็ถูกแม่ค้ารั้งไว้ด้วยประโยคว่า   “เอ้อ  แล้วหมี่เหลืองล่ะหนู  ที่เขาบอกว่าไม่ใส่ผักบุ้งน่ะจะให้เพิ่มอะไรอีกไหม”

              ครอสเบิกตา

              ...

              ชายหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มพริ้มเพราราวอรุณรุ่งยกแก้วน้ำขึ้นแตะริมฝีปาก  ไอเย็นของน้ำแข็งภายในแก้วแผ่ขยายจนรู้สึกได้  เขาละเลียดจิบน้ำด้วยท่าทางสุขุม  สีหน้าที่เคยเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นยามอยู่ต่อหน้าหญิงสาวบัดนี้มีเพียงความสงบนิ่งเมื่อปราศจากเธอ

              ยามเฉยเมย  ท่าทางนั้นราวกับประติมา

              ไม่รู้สึกรู้สา  ไม่มีหัวใจ  ไม่มีแม้กระทั่ง...

    จนกระทั่งครอสกลับมาที่โต๊ะอีกครั้งเขาจึงยิ้มบางส่งให้อย่างเคย

    ชีวิต

    ครอสมองรอยยิ้มนั้นแล้วถอนหายใจพลางหย่อนกายลงเบื้องหน้าเขาแล้วเริ่มต้นเปิดแฟ้มเอกสาร   “สัปดาห์หน้าฉันจะไม่อยู่บ้าน”

    “ครับ”

    เป็นการจบบทสนทนาที่ง่ายดาย  ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก  ครอสพลิกเอกสารและไล่สายตาอ่านรายละเอียดงาน  ขณะที่ชายหนุ่มยังคงจ้องมองเธอ  มองแล้วมองเล่าราวกับจะให้สายตาตนเองทะลุไปถึงเบื้องหลังของหญิงสาว  แต่เธอดูคุ้นชินกับท่าทางของเขาเกินกว่าจะให้ความใส่ใจ  จึงไม่มีคำต่อว่าหรือท่าทางประหม่าปรากฏ  จนกระทั่ง...

    “คุณครอส”   มีเสียงหญิงสาวดังมาจากด้านหลังของครอส

    ครอสปิดแฟ้มเอกสารทันใด  ในขณะที่ชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามถอนหายใจเบาๆ  เขาเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้มสามัญ   “สวัสดีครับ  คุณรัน”

    “สวัสดีค่ะ”   หญิงผู้มาเยือนยิ้ม ก้าวขาเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะ   “สบายดีไหมคะ”

    “ผมสบายดีครับ”   เขาลุกขึ้นยืนเลื่อนเก้าอี้ให้   “นั่งก่อนสิครับ”

    หญิงสาวยิ้มต่างหูระย้ารูปดาวของเธอสะบัดไหว  ดวงหน้าขาวกมลตัดกับคิ้วดำขลับเรียวโค้ง  ดวงตาเฉี่ยวและมีแววมั่นใจในตัวเองเอ่อล้นอยู่เต็ม   “ขอบคุณนะคะ”

    “ทานอะไรดีครับ”

    รันหัวเราะเบาๆ   “คุณก็รู้อยู่แล้วนี่คะ”

    ชายหนุ่มยิ้มอีกครั้งก่อนจะเดินไปทางหน้าร้านทิ้งให้หญิงสาวสองคนเผชิญหน้ากัน

    รันยิ้มให้แก่เลขาสาว   “คุณนี่ท่าทางคล้ายฉันจังนะคะ”   เธอเปิดประเด็นอย่างไม่ไว้หน้าและแสดงเจตนาของตนเองชัดเจน  ส่วนครอสนั้นมีวี่แววของความเหนื่อยหน่ายมากกว่าจะเต้นเร่าตามเกมของผู้มาใหม่  รันยิงลูกดอกนัดแรกด้วยคำว่า   “ฉันเป็นรักแรกของเขา”

    ครอสหรี่ตา

    “พูดเท่านี้คุณคงเข้าใจนะคะ  ฉันดูออกว่าพวกคุณยัง ไปไม่ถึงไหนกัน   รันยิ้ม   “เขาไม่มีทางลืมฉัน”

    ครอสยิ้มบางออกมา   “พูดเรื่องอะไรคะ”

    “เรื่องอะไรงั้นเหรอ”   หญิงสาวออกเสียงในลำคอด้วยความเกรี้ยวกราด   “ถ้าคุณคบกับเขาอยู่ ฉันจะบอกให้เอาบุญว่าผู้ชายคนนั้นแค่มองคุณเพราะว่าคุณเหมือนฉัน”

    ครอสเงียบ

    รันกำลังจะเอ่ยบางสิ่งต่อแต่ก็มีเสียงทุ้มต่ำจากชายหนุ่มดังมาขัดเสียก่อน   “วันนี้อากาศดีจังนะครับ”   เป็นการเปิดประเด็นที่ทำให้เลขาสาวถอนหายใจ

    “ไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศเท่าไหร่นะคะ”   ครอสยิ้ม   “อุตส่าห์เสียเวลาไปคิดมาทั้งที”

    ชายหนุ่มหัวเราะ   “คุณรันสบายดีไหมครับ”

    “ค่ะ  สบายดี”   ผู้มาใหม่พยักหน้าด้วยแววตายโส   “มีแฟนใหม่แล้วหรือคะ”

    คู่สนทนาเงียบไปเล็กน้อยราวกับใช้ความคิดบางประการ  ครอสซึ่งแลเห็นท่าทางครุ่นคิดของชายตรงหน้าจึงเป็นฝ่ายออกเสียงแทนว่า   “เปล่าค่ะ  ไม่ใช่แฟน  ฉันเป็นเลขาของเพื่อนเขา”

    “อ้อ”   รันลากเสียง

    ชายหนุ่มมองครอสแล้วทำสีหน้าประหนึ่งว่าเขา เพิ่งรู้   “อย่างนั้นหรือครับ?

    “ตามนั้นล่ะค่ะ”   ครอสยิ้มแต่มีรังสีน่ากลัวซึ่งแปลได้ว่า อย่าพูดมาก

    “คุณชื่ออะไรคะ”   รันยังคงไต่ถามหญิงสาวอย่างใคร่รู้

    แววตาของเลขาสาวเต็มไปด้วยกระแสของความรื่นรมย์   “ออเฟียสค่ะ”

    “คุณออเฟียสรู้จักกับคุณครอสนานแล้วหรือคะ?



    ร้อยละ  60
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×