ยังจำได้อยู่เลย.....
วันนั้นฉันยังเด็กอยู่มาก อาจจะซักห้าหรือหกขวบ น่าจะเป็นห้าขวบนะ
เพราะยังไม่ได้เข้าเรียนป.1 ต้องท้าวความนิดนึง.... โดยปกติฉันจะอยู่บ้านกับคุณยาย
แล้วก็พี่เลี้ยง ส่วนลูกๆของยาย ไม่ว่าจะเป็นแม่ น้าสาวหรือน้าชาย นานๆจะมาครั้ง
(สำหรับเด็กเราไม่รู้หรอกว่ามันนานเป็นสัปดาห์หรือว่าเป็นเดือน แต่รู้สึกว่ามันนาน)
ถึงจะเป็นเดือนละหลายครั้ง หรือสัปดาห์ละครั้ง การกลับบ้านของแม่แต่ละที
ก็ดูว่าทิ้งระยะห่างสำหรับฉันอยู่ดี แล้วแม่ก็อยู่บ้านทีละสองสามวัน (คงมาวันสุดสัปดาห์) และแน่นอน...มันสั้นสำหรับฉันมาก แต่ถึงยังไงฉันก็ยิ้มแฉ่งด้วยความดีใจทุกครั้งที่แม่มา
แล้วรู้ไหม....ถึงกระนั้นไอ้เจ้าเวลาสั้นๆของฉันมันก็ถูกตัดทอนลงให้มันสั้นขึ้นได้อีก ด้วยเหตุการณ์ความไม่สงบภายในบ้าน ฉันเองก็ไม่เข้าใจ..ว่าทำไมแทบ
ทุกครั้งที่แม่กลับบ้าน ยายจะต้องมีเรื่องทะเลาะกับแม่ได้ไม่หยุดหย่อน ซึ่งมันทำให้แม่ต้อง
ระเห็จหนีไปก่อนเวลา(บางครั้งพอเหยียบบ้านได้ถึงตอนเย็น..เท่านั้นแหละ)
โดยปกติเวลาระเบิดลง แม่จะลี้ภัยไปคนเดียว แต่วันนั้น...วันที่แสนสำคัญ
ของฉัน แม่กะเตงฉันไปด้วย!!!(แล้วก็ตามมาอีกหลายครั้ง) ก็ไม่ใช่ว่าแม่จูงมือฉันแล้วเชิด
หน้าเดินจากยายไปต่อหน้าต่อตาหรอกนะ มันก็ต้องมีกลเม็ดกันบ้าง ยายทั้งรักและหวงฉันมาก
แม่เคยทำท่าจะพาฉันไปด้วยหลายครั้ง แต่แล้วก็ต้องปล่อยมือฉันเมื่อได้ยินเสียงยายแหวมา
ว่า...ถ้าจะไปก็ไปคนเดียว อย่าเอาหลาน(กุ)ไป
ดังนั้น....แม่ก็เลยมากระซิบบอกฉันว่า เดี๋ยวแม่จะคอยที่ปากซอยนะ จะคอย
จนกว่าจะมา ให้หาทางออกมาให้ได้นะ หัวใจฉันที่มันต้องสลายทุกครั้งเวลายายกับแม่เปิดศึกกัน
เพราะรู้ดีว่าแม่จะต้องหันหลังไปอีกแล้ว และรู้เลยว่าอีกนานกว่าแม่จะกล้ากลับมา กว่ายาย
จะหายโกรธ(เรื่องอะไรก็ไม่รู้??) ตอนนั้นหัวใจมันกลับมาเต้นอีกครั้ง ทำไมถึงบอกว่ามัน
เต้นอีกน่ะเหรอ เพราะเสียงมันดังนะสิ ดังจนปวดแน่นตรงช่องอก ฉันเป็นเด็กเลยไม่รู้ว่าอัน
ที่จริงหัวใจมันเต้นอยู่ตลอดจนเราตายนู่นแหละถึงจะหยุดเต้น พอรู้สึกแน่นตรงจุดนั้น ฉันเอามือ
ไปกุมมันไว้ มันมีอะไรบางอย่างกระแทกเป็นจังหวะอยู่ในนั้น อ้อ...นี่เอง...ใจเต้น
เจ็บคนละแบบ.. เวลาใจสลายมันเหมือนกับว่าอากาศหมดไปจากโลก หายใจไม่ออกหรือไม่อยากจะหายใจก็ไม่รู้ แต่เวลาดีใจ....มันปวดแน่นหนึบ แล้วเหมือนกับว่าอากาศดีๆของทั้งโลกมารวมกันอยู่ในอกเล็กๆของฉันนี่แหละ
แล้วแผนการการหนีตามกันของเราก็เริ่มขึ้น มันไม่ง่ายเหมือนที่แม่พูดเลย
ยายอยู่ที่หน้าบ้านตลอด สายตาก็จ้องมองฉันตลอด พอจะเดินไปทำธุระในบ้าน ก็สั่งพี่เลี้ยงให้จับตาดูฉันไว้ นานแค่ไหนไม่รู้แต่ก็อีกนั่นแหละ.สำหรับฉัน มันนานมาก. ในที่สุดฉันก็คิดออก ฉันเคยมุดรั้วหลังบ้านแอบออกไปเที่ยวเล่นสามสี่ครั้ง ซึ่งครั้งหลังสุดที่มุดออกไปยายจับได้ เพราะแกงค์เราไปเที่ยวกันไกลจากบ้านไปหน่อย เรื่องเลยถึงหูยายจนได้ โดนตีซะอ่วม จากนั้นฉันก็เข็ดไม่กล้ามุดไปอีก ฉันคิดว่ามันน่าจะนานมากซะจนยายลืมไปแล้ว
อีกอย่างยายไม่ได้ถามฉันซักคำว่าออกไปนอกรั้วได้ยังไง (ตอนเป็นเด็กถ้าช่วงไหนพี่เลี้ยงกลับบ้าน ยายจะขังไว้ในบ้าน ไม่ก็ขังไว้ในรั้วซึ่งหมายถึงห้ามเข้าบ้าน ให้อยู่ในบริเวณบ้าน ทำไมไม่ให้อยู่ในบ้านนะเหรอ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ตอนยังเด็กคดีเยอะ) แค่รู้ว่าไปไกลบ้านก็ตีๆๆแล้วสั่งว่าห้ามออกนอกบ้านอีก พอฉันคิดได้อย่างนั้น ฉันก็ทำท่าเดินเข้าบ้านบ้าง เหลียวซ้ายแลขวา ยายก็อยู่ในห้องของแก พี่เลี้ยงผู้ซื่อสัตย์ก็ดักอยู่หน้าบ้านนั่นแหละ ฉันก็เดินทะลุไปหลังบ้าน กลั้นหายใจแล้วมุดรั้วออกไป. สู่อิสรภาพ กะเอาไว้ว่าถึงจะมีเสียงเอะอะก็จะวิ่งไม่คิดชีวิตละ กลับไปคงตายสถานเดียว แต่ไม่..ไม่มีเสียงอะไรตามมา แม้แต่ตอนที่ฉันต้องเดินผ่านหน้าบ้านตัวเอง(ซอยข้างบ้านอยู่ทางซ้ายมือของบ้าน ส่วนปากซอยอยู่ทางขวามือ) แล้วก็ทำใจดีสู้เสือ วิ่งไปแล้วเหลือบไปมองในรั้ว ก็ยังเห็นพี่เลี้ยงทำหน้าโง่ๆอยู่หน้าบ้านนั่นแหละ ไม่ได้มองอะไรเลย พี่แกเฝ้าเอาจริงๆจังๆ
ฉันวิ่งเอาเป็นเอาตายจนถึงปากซอยซึ่งไม่ไกลจากบ้านมาก แต่เหนื่อยเอาเรื่อง
ไม่รู้เหนื่อยเพราะวิ่งหรือว่าเพราะตื่นเต้น พอมาถึงก็ใจหาย.ฉันไม่เห็นแม่ แม่อยู่ไหน..
มันนานไปแล้วแม่ไม่รอแล้วเหรอ แม่ไปแล้ว.. แล้วฉันล่ะ ..กลับไปตอนนี้ถึงยายไม่แล่เนื้อเอาเกลือทา ก็คงต้องโดนตีจนเละแน่ๆ แล้ว..ฉันก็ได้ยินเสียงแม่เรียกชื่อ แม่แอบอยู่ตรงนั้นนั่นเอง แม่กวักมือเรียกพลางถามว่าแอบมาได้ยังไง ฉันก็บอกไปตามจริง แม่ยิ้มแล้วจูงมือฉันเดินขึ้นสามล้อไปด้วยกัน
ตอนนั้นฉันถามแม่ว่าเราจะไปไหนกัน จะไปที่ที่แม่ทำงานอยู่หรือเปล่า ซี่งมันหมายความว่าฉันจะได้อยู่กับแม่อีกนานๆ แม่บอกว่า..ยังก่อนเพราะเป็นวันหยุด แม่จะพาไปบ้านเพื่อน แล้วแม่ก็พาไปบ้านเพื่อน จำได้ว่าพอไปถึงก็มีวงรำพัดรออยู่แล้ว แม่ก็รวมเป็นขาให้อีกขา สมัยนั้นไม่มีกิจกรรมยามว่างให้ทำมากมายเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ ผู้ชายก็วงเหล้าผู้หญิงก็วงไพ่ ส่วนวงเหล่านั้นจะไฮโซหรือโลคลาสก็ตามแต่ฐานะทางสังคมจะอำนวย บังเอิญว่าเจ้าของบ้านหลังนั้นเป็นถึงระดับคุณนายวงมันก็ฮายตามตำแหน่ง แม่พาฉันใช้เวลาอยู่ที่นั่น.นานมาก ฉันหลับแล้วหลับอีกไปหลายตลบ เกมส์ก็ไม่จบซะที แต่ในที่สุด.แม่ก็ปลีกตัวออกมาได้
ซึ่งถึงเวลานั้นมันก็ดึกแล้ว แม่เข้ามาปลุกฉันแล้วบอกว่าเราไปกันเถอะ ฉันไม่รู้ว่าแม่จะพาไปไหน ได้แต่งัวเงียตามแม่ไป
พอดึกแล้วในตอนนั้นอย่าว่าแต่รถโดยสารเลย สามล้อซึ่งเป็นพาหนะเดียวที่ฮิตที่สุดจะผ่านมาสักคันยังไม่มี มันไม่ใช่เส้นทางสัญจร สามล้อรับจ้างมักจะไปรอรับคนแถวสถานบันเทิงหรือสถานบริการซะหมด ฉันกับแม่ก็เลยต้องเดินกันไป เดินไปเรื่อยๆเดินไปเรื่อยๆ จากที่ฉันง่วง ก็ต้องเดินซะจนไม่ง่วง แต่กลายเป็นเดินซะจนเมื่อยตุ้มแทน เราเดินกันไปเงียบๆ แม่ก็ไม่พูดอะไร ฉันก็ไม่มีแรงพูดอะไร ในที่สุด..แม่ก็เอ่ยถามว่าเหนื่อยไหม ฉันพยักหน้า แม่เลยให้ฉันขึ้นขี่หลังแล้วก็ออกเดิน แม่ออกเดินไปเรื่อยๆ ฉันคอยถามแม่ว่าหนักไหม ฉันเดินเองได้นะ แม่บอกว่าไม่.แล้วแม่ก็ร้องเพลง เพลงอะไรก็ไม่รู้ ฉันฟังไปแล้วก็หลับอยู่บนหลังแม่ รู้สึกตัวอีกทีหลังมันเย็นๆ อ้อฝนตกนี่เอง ฝนตกปรอยๆท่ามกลางบรรยากาศที่ดึกสงัด ผู้หญิงตัวเล็กๆผอมๆกับลูกสาวบนหลัง กลางสายฝน.
และทางข้างหน้าที่มีแสงไฟข้างทางสลัวๆ
เราเดินทางกันอีกพักนึงก็ถึงที่หมาย เป็นหอพักของญาติเราเอง แม่เข้าไปขอพัก พอเราไปถึงห้องพักแม่ก็จัดแจงเอาผ้าเช็ดตัวที่ยืมมาได้ให้ฉันเช็ดตัว เอาเสื้อที่ยืมมาให้ใส่
แล้วเราก็ล้มตัวนอน แต่พอหัวแตะหมอนฉันก็นึกขึ้นได้ว่าหิว. ดึกขนาดนั้นกับช่วงเวลาที่ยังไม่มีเซเว่นอีเลฟเว่น แม่หยิบถุงข้าวเหนียวเล็กๆเย็นชืดที่แม่ซื้อมาตอนนั่งรถโดยสารกลับมาบ้าน กับปิ้งหมูแห้งๆยื่นให้ ฉันก็รีบกินด้วยความหิว กินไปไม่กี่คำก็ยิ้มถามแม่ว่า แม่ทำไมข้าวมันหวานจังเลยล่ะ แม่ลองกินดูสิ. แม่ไม่ตอบได้แต่เบือนหน้าหนี(เพิ่งรู้ตอนโตว่าแม่ร้องไห้)
แล้วก็มาถึงเวลานอน เตียงนอนของเราคืนนั้นเป็นเพียงที่นอนท่อนบางๆ เก่าๆเหม็นสาบ ตัวเตียงเป็นโครงเหล็กบางๆแล้วเอาแผ่นไม้อัดมาวางทาบ ฉันซึ่งยังเล็กอยู่กับแม่ซึ่งตัวผอมมากนอนกันสองคนก็เต็มแล้ว แล้วเราก็มีแค่ผ้าห่มลายสก็อตบางๆไว้คลุมตัว ปกติแม่จะนอนตะแคงหันหลังให้ฉัน แล้วฉันก็จะรอจนกว่าแม่จะหลับ(คิดเองว่าหลับ หลับจริงไหมก็ไม่รู้) แล้วเอื้อมมือไปกอดแม่จากทางด้านหลัง
แต่คืนนั้น.แม่นอนตะแคงหันหน้ามาหาฉัน ถามว่า.จะดูดนมแม่ไหม
ฉันไม่ได้ตอบแต่ซุกหน้าเข้าหาอกแม่ อาจจะน่าขำนะ.แต่ฉันเป็นเด็กที่ดูดนมจนโตเข้าประถมได้ถึงได้หยุด ตอนเล็กพอหย่านมแม่ก็อาศัยนมยายมาตลอด ห่างออกมาหน่อยก็ใช้งานเฉพาะเวลาร้องไห้เพราะได้แผล ยายจะโอ๋ด้วยวิธีนี้ตลอดซึ่งมันก็ได้ผล แต่กับแม่.ตั้งแต่จำความว่าพอฉันพูดจาเรียงประโยคได้ แม่ก็ไม่ให้ฉันได้ดูดมันอีก นานๆทีถึงจะให้จับ ดังนั้นสำหรับฉันมันคือข้อห้าม ห้ามเฉียด ห้ามแตะ ห้ามใกล้
แต่ว่า..คืนนั้นแม่ให้ดูดนม วันที่ฉันยังเด็ก แต่ก็โตเกินไปสำหรับเต้านมแล้ว
ฉันจำความรู้สึกนั้นได้เสมอมา แค่เพียงวันเดียวฉันได้เรียนรู้ความรู้สึกตั้งสามแบบ
ความเจ็บ.เพราะ ใจสลาย หัวใจพองคับอกเพราะดีใจอย่างสุดจะพรรณนา และความรู้สึกนี้ตอนที่หน้าซุกอยู่ที่อกแม่ มือก็เอื้อมกอดแม่ มัน.ร้อน ร้อนวาบจากตรงกลางอก.อีกแล้ว ความร้อนมันวิ่งซ่านไปทั่วตัว แผ่กระจายออกไประลอกแล้วระลอกเล่า เหมือนกับว่า
มีคนโยนหินร้อนลงไปกลางทะเลหัวใจ ให้มันเกิดคลื่นตีไปหาฝั่ง จากตอนนั้นฉันรู้แค่ว่ามันช่างดีเหลือเกิน ดีเหลือเกิน แล้วฉัน.จะได้มันอีกไหม จะได้มันอีก.ไหม
นั่นแหละความอบอุ่นแรกที่ฉันรู้สึก อุ่นแรกที่รู้จักด้วยตัวตนของตัวเอง
ฉันเก็บความรู้สึกนี้ไว้กับความทรงจำตลอด จนวันที่ฉันได้รู้จักคำว่าความอบอุ่นและฉันก็อ้อ!นี่เอง ฉันเคยรู้จักแกแล้วนะ มาหาฉันบ่อยๆก็ดีนะถ้าพอจะมีเวลา
คนเราถ้าไม่ยังเคยลิ้มรสอะไรมาก่อน เราจะไม่ต้องการมันอย่างจริงๆจังๆเลย
เหมือนกับคนไม่เคยกินไอศกรีม จริงอยู่ที่เค้าคนนั้นจะบอกว่าอยากลองกินจังเลยนะ เห็นคนเค้าบอกว่ามันอร่อยดี นั่นก็แค่คำบอกเล่า แต่หากเค้าคนนั้นได้ลิ้มรสมันเองซักครั้ง แล้วเค้าก็ตัดสินใจได้ว่าเค้าชอบรสชาติของมัน เค้าก็จะอยากกินมันต้องการมันด้วยความรู้สึกของเค้าจริงๆ ไม่ใช่อยากกินเพราะคนที่เคยกินบอกเล่าให้ฟัง เช่นกัน..สำหรับคนที่อยากได้ความรัก.แต่ไม่เคยมีความรักมาก่อน เพียงแค่รู้ว่ามันดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ก็ย่อมมีความต้องการต่างจากคนที่เคยมีความรักมาแล้ว ฉันเอง.ต้องการความอบอุ่น เพราะครั้งแรกที่รู้จักมัน
มันทำให้เกิดความรู้สึกดีเป็นล้นพ้น ฉันจึงทั้งต้องการและโหยหามัน
แต่จากวันนั้น..ผ่านมาจนถึงวันนี้ ตอนนี้ตอนที่บอกเล่าเรื่องการทำความรู้จักกันครั้งนั้น ฉันแทบไม่เคยได้ไอ้เจ้าความอบอุ่นมาง่ายๆเลย ไม่ต้องนับคนหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แม้แต่ในครอบครัวเราเองยังแทบไม่รู้สึก การปฏิบัติต่อกันในแต่ละครอบครัวก็มีหลากหลายรูปแบบ.จริงไหม ครอบครัวฉันก็เป็นอย่างนั้น เราไม่ปฏิบัติต่อกันตรงๆให้รู้ว่าห่วงใยกัน เราไม่มีคำพูดดีๆหรือตรงไปตรงมาบอกกันให้รู้ว่ารัก และ.แน่นอนที่สุด เราไม่สัมผัสกันให้อีกฝ่ายรู้สึกที่ความอบอุ่นที่มีเลย และมันทำให้ฉัน..แสวงหาจากนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคนรัก โดยก่อนที่จะได้มาฉันก็ต้องให้ไปก่อน ฉันให้ความอบอุ่นที่ฉันมี ให้ไปให้ไปแล้ว .ให้ไปอีก ให้ไปอย่างที่ไม่กลัวว่ามันจะหมด ผลน่ะหรือ.ฉันก็ได้มันมาบ้าง บ้างช่วง บ้างเวลา เหมือนเคย.เหมือนตอนซุกอกแม่ พอแม่ผละออก ถึงอุ่นนั้นฉันอยากจะกอดเก็บมันไว้แค่ไหน มันก็ค่อยๆละลาย.หายไปอยู่ดี
แล้วในที่สุดฉันก็กลับมา ฉันกลับมาให้สิ่งที่ฉันเสียไปกับคนอื่นๆตั้งมากมาย
ฉันกลับเอามันมามอบ ให้กับคนที่ให้ฉันมาเป็นครั้งแรก เค้าจะรู้สึกบ้างไหมฉันก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าทุกครั้งที่ฉันจูงมือเค้า เอามือแตะหน้าผาก จับแก้มหรือเล่นผมเค้า เค้าจะยิ้มและทำตาหยีๆ แค่นั้นมันก็ทำให้ฉันดีใจแล้ว เพราะฉันเชื่อว่า พลังความอบอุ่นที่ฉันส่งผ่านไปมันก็คงแผ่ซ่านเข้าไปสู่หัวใจเค้าอย่างแน่นอน ฉัน..ไม่ได้โหยหาแกเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ
แล้วก็ไม่ได้ให้ไปเพราะหวังว่าจะได้คืนอย่างเคยด้วย เพราะเวลานี้..มันถึงเวลาที่ฉันจะเป็นฝ่ายให้อย่างเดียวแล้ว
The first warmth from the first touch.
From warm bust, from sweet breath.
ความคิดเห็น