ระบบเยียวยาตัวเอกผู้อาภัพ [YAOI] - นิยาย ระบบเยียวยาตัวเอกผู้อาภัพ [YAOI] : Dek-D.com - Writer
×

    ระบบเยียวยาตัวเอกผู้อาภัพ [YAOI]

    เขาต้องเยียวยาตัวเอกผ฿้ชอกช้ำเพื่อเก็บคะแนนไปแลกเปลี่ยนกับการมีชีวิตอีกครั้ง ติดตรงที่ว่าตัวเอกเป็นผู้ชายและเขาเป็นผู้ชาย แมนๆชนกันต์!

    ผู้เข้าชมรวม

    257

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    257

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    21
    หมวด :  นิยายวาย
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  27 ก.ค. 64 / 17:40 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                                  

                                  เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่แสดงความโง่เขลาคล้ายคนทื่อ เขาหยุดฝีเท้าที่เริ่มหนักอึ้งเหมือนความคิดที่กำลังฟุ้งกระจายเหมือนละอองเกศร มือทั้งสองข้างเริ่มเย็นลงเขารู้สึกเหมือนได้รับยาชาหลายเข็มจนไม่รู้สึกถึงการขยับหรือกระดิกของนิ้วมือข้างใดข้างหนึ่ง ราวกับว่าทุกอย่างหยุดนิ่งภาพความวุ่นวายผู้คน เสียงตะโกน เพลิงไหม้ คนหลายสิบคนวิ่งผ่านเขาราวอากาศธาตุที่ไร้ตัวตน เขามองที่นักดับเพลิงกลุ่มหนึ่งด้วยแววตาที่เหม่อลอย คนเหล่านั้นกำลังล้อมร่างของผู้ประสบอุบัติเหตุข้างร่างสวมสูทขาดวิ่นมีเครื่องมือหลากหลาย เครื่องช่วยหายใจ เครื่องปั๊มหัวใจ สายน้ำเกลือและอุปกรณ์ขนาดเล็กอีกหลายชนิดที่เขาไม่รู้จัก

                    แต่เขากลับรู้สึกว่าได้ยินเสียงหัวใจของชายคนนั้นที่กำลังเต้นช้าลงเรื่อยๆ เป็นเรื่องประหลาดที่ระยะห่างหลายสิบก้าวไม่มีเครื่องมือแพทย์แต่เขาได้ยินเสียงหัวใจที่ใกล้โรยรานั้นอย่างแจ่มชัดขณะที่เสียงของผู้คนโดยรอบอื้อจนฟังไม่เป็นภาษาใด เมื่อลองขยับเข้าใกล้เสียงหัวใจที่อ่อนล้านั้นเหมือนยิ่งกึกก้องอยู่ในหัว ใบหน้าที่สงบนิ่งดูคล้ายเขาอย่างน่าตกใจ กระทั่งสูทสีทึบที่สวมหรือนาฬิกาแบรนด์หนึ่ง

    “คุณหยาง! ฟื้นสิคุณหยาง!

                    เรื่องตลกหรืออย่างไรที่ชายผู้เหมือนเขาทุกประการคนนี้ใช้ชื่อเดียวกับเขา มือที่เคยชาจนไม่รู้สึกอะไรเริ่มกระดิกสั่นด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่ ก่อนร่างของชายคนหนึ่งจะวิ่งผ่านร่างของเขาไปเพื่อคุกเข่าลงตรงหน้าร่างที่นิ่งสงบคล้ายกับคนที่ใกล้ตายหรืออยู่ระหว่างความเป็นความตาย ชายคนนั้นมีผมสีส้มอ่อนมองจากด้านหลังดูเป็นคนภูมิฐานคนหนึ่ง เขาเอื้อมมือที่โยกคลอนแตะลงบนใบหน้าขาวซีดอย่างแผ่วเบา

    “หยาง”

    “.....”

    “หยาง ตอบฉันหน่อยสิ” เสียงของเขาสั่นเครือ

    “.....”

    “เสวี่ยลู่หยาง! ตื่นขึ้นมาสิลู่หยาง!” เขาร้องตะโกน

    อา...

    นึกออกแล้ว

    ชายคนนั้น อาเจียง เพื่อนของเขา

                    เจียงหลี่รำเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่กึกก้อง เขย่าร่างที่อ่อนลมของเขาราวคนเสียสติทำให้นักดับเพลิงและนายแพทย์รีบดึงตัวเขาออกซึ่งชายคนนั้นไม่ให้ความร่วมมือ เขาดึงดันจะเข้าหาร่างสงบนิ่งของเพื่อนสนิทโดยไม่สนใจคำร้องห้ามหรือมือหลายคู่ที่พยายามดึงรั้งเขาไว้ เจียงหลี่เป็นเหมือนคนบ้าคนหนึ่งขณะเดียวกันก็เป็นผู้สูญเสียจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนี้เฉกเช่นครอบครัวอื่น ลู่หยางมองร่างใหญ่โตที่พยายามหนีจากการดึงรั้นนั้นด้วยรอยยิ้มอ่อนจางอย่างเข้าใจและรับรู้ว่าเขาได้เสียชีวิตเพราะพลัดตกจากที่สูงขณะที่เพลิงเริ่มลุกลามไปตามส่วนต่างๆของอาคาร หากไม่เข้าใจว่าตนตายแล้วนั้นคงจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นเจียงหลี่คงวิ่งมาหาเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้มากกว่าวิ่งพรวดพลาดเข้าไปหาร่างของเขาที่นอนอยู่ตรงนั้น ไม่นึกว่าตนจะอายุสั้นอย่างที่เขาเตือน ปีนี้ลู่หยางพึ่งจะอายุเข้ายี่สิบสี่ ยี่สิบสี่ปีที่กำลังไปได้สวยในฐานะรองผู้บริหารบริษัทภาพยนตร์ขนาดใหญ่และเป็นยี่สิบสี่ปีที่ความรุ่งโรจน์ของเขามอดดับ

    “ปล่อยฉัน! ฉันบอกให้ปล่อยไงเล่า!

    “กรุณาออกจากตรงนี้เถอะครับคุณเจียง!

    “ปล่อยสิวะ!” เจียงหลี่กล่าวอย่างขุ่นเคืองเหมือนว่าพร้อมเอาเรื่องทุกคนที่ขวางเขา

                    ลู่หยางส่ายหน้ากับพฤติกรรมที่แก้ไม่หายก่อนจะเดินเข้าไปหาเจียงหลี่และวางมือลงบนไหล่เขา วิธีนี้เป็นวิธีที่เขาใช้เพื่อให้เจียงหลี่สงบลงและยังเป็นวิธีที่มีแค่ลู่หยางเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ หากเป็นคนอื่นที่ไม่สนิทจะไม่พ้นกรณีถูกคุณชายเจียงทำร้ายร่างกายโดยเจตนาและเจ้าตัวไม่มีข้อโต้แย้งที่จะขึ้นศาล ซึ่งคนมีอำนาจน้อยกว่าส่วนใหญ่ไม่ล้มละลายก็นอนคุกจนสารวัตรใหญ่ต้องส่งหมายห้ามมีเรื่องมาที่ตระกูลเจียง ลู่หยางถอดหายใจพลางว่าเสียงอ่อน

    นายกำลังทำคนอื่นเขาเดือดร้อนนะเจ้าเพื่อนโง่

                    เจียงหลี่ไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดแต่มีท่าทางที่สงบลงและปลีกตัวออกจากกลุ่มนักดับเพลิง เขาเดินมายืนตรงหน้าร่างที่กำลังจะถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวขนาดใหญ่สำหรับห่อศพผู้เสียชีวิต หลี่เจียงไม่สามารถรับได้เมื่อต้องรู้ว่าลู่หยางเสียชีวิตแล้วเขากล่าวขัดเมื่อนายนักดับเพลิงกำลังจะทำการมัดปิดส่วนหัวทำให้เขาไม่เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย

    “ไม่ต้องปิด จากนี้จะให้คนของฉันจัดการ”

    “แต่เราต้องส่งร่างคุณหยางให้ครอบครัวตามกฎนะครับ”

    “ฉันคือครอบครัวคนเดียวของเขา ดังนั้นเรื่องศพฉันจะให้คนมาจัดการเอง”

    “ค-ครับ”

    “พวกนายไปทำอย่างอื่นซะ ฉันจะนั่งเฝ้าเขาเอง”

                    หลังจากกล่าวไล่กลุ่มนักดับเพลิงออกไปและทิ้งตัวลงนั่งข้างๆร่างของเพื่อนสนิท คนภายนอกอาจมองว่าคุณชายเจียงยังทำใจไม่ได้แต่ลู่หยางที่ยืนมองอยู่รู้ดีว่าเจียงหลี่กำลังคิดอะไร เจียงหลี่กำลังคาดหวังสิ่งที่เรียกว่าปาฎิหาริย์หรือขอให้สิ่งที่เกิดขึ้นคือฝันตื่นหนึ่ง เป็นเพียงฝันร้ายหลังจากทำงานหนักมาค่อนวันและเมื่อตื่นขึ้นทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะปกติ ลู่หยางยังไม่ตายและยังทำงานที่ออฟฟิศรอเขาไปรับเหมือนทุกครั้ง

    “เมื่อไหร่ฉันจะตื่นนะหยาง”

    .......

    “ถ้าเล่าให้นายฟังนายต้องโกรธฉันแน่เลยที่ฝันแบบนี้”

    อาเจียง

    “ฝันร้ายนี่เมื่อไหร่จะจบ ฉันจะได้รีบตื่นไปรับนาย” เสียงของเขาเริ่มไม่มั่นคง

    “ฮึก ป่านนี้นายรอฉันแย่เลย”

    ‘…….’

    “ฮึก หยางปลุกฉันทีเถอะ ได้โปรด..”

                    ลู่หยางมองภาพนั้นด้วยสีหน้าแสดงความเจ็บปวดไม่ต่างจากเจียงหลี่ที่จับมือของเขาขึ้นมาแนบใบหน้าส่งผ่านความอบอุ่นให้ร่างที่เริ่มเย็นลง จากนั้นเขาได้ยินเสียงดังติ๊งเหมือนมีข้อความเข้า หน้าต่างปริศนาปรากฏขึ้นตรงหน้าและภาษาที่เขาไม่เข้าใจก่อนจะค่อยๆกลายเป็นภาษาบ้านเกิดของลู่หยางตามด้วยอิโมจิรูปหมี

    [ยืนยันสถานะ เจ้าหน้าที่เสวี่ยลู่หยาง ขอต้อนรับสู่ระบบผู้เยียวยาครับโดยระบบจะเริ่มขั้นตอนการนำพาท่านไปยังห้องปฎิบัติการและจะเริ่มรีเซทค่าสถานะต่างๆให้เมื่อท่านซื้อแพกเกจดังต่อไปนี้ เจ้าหน้าที่ลู่หยางโปรดเตรียมตัวและกรุณาอย่ายืนแขนขาออกจากเขตุวงกลมบนพื้นอย่างเด็ดขาด ขอบคุณครับ]

    “เดี๋ยวสินี่มันเรื่องอะไร-!?”

                    ภาพความวุ่นวายทุกอย่างหยุดนิ่งเหมือนวิดิโอที่ถูกกดหยุด ลู่หยางตื่นตระหนกเพราะเหตุการณ์ประหลาดที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ไม่ใช่ว่าตายแล้วเขาจะต้องไปนรกหรือสวรรค์หรอกเหรอ? ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภาพตรงหน้าเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนเหมือนกระดาษเปล่า หน้าต่างประหลาดปรากฏขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้มาพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำเหมือนคนวัยนุ่มสาวฟังแล้วรู้สึกจั๊กกะจี้พิลึก

    [  สวัสดีครับลู่หยาง ; ) ]

    ...

    ลู่หยางตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยความสับสน เพดานสีขาวสว่างที่เขาเห็นช่างดูโล่งเหมือนท้องฟ้าโปร่งไม่มีสายน้ำเกลือหรือเสียงของคนที่รอให้เขาตื่น ไม่ใช่โรงพยาบาลหรือฝันร้ายที่เขาอยากให้เป็นแต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีชีวิตอีกครั้งเพราะตนนั้นรู้ดีว่าอุบัติเหตุที่เขาเจอหากไม่ใช่พระเจ้าก็ไม่สามารถทำให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ เขายันตัวลุกขึ้นนั่งและเริ่มรู้สึกประหลาดใจอีกครั้งที่ทุกอย่างอยู่ในโทนขาวสว่าง ลู่หยางเกลียดสีสว่างอย่างมากเพราะมันทั้งโดดเด่นและทำให้ปวดสายตาเวลาเพ่งมอง เขาเริ่มเดินออกห่างเตียงนั้นทีละก้าวกวาดสายตามองพื้นที่ว่างเปล่าตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ ไม่มีเทวดาหรือประตูสู่สวรรค์จะว่าเป็นนรกก็คงจะไม่ใช่

    เหมือนไม่ใช่ที่ของคนเป็นหรือโลกหลังความตายอย่างที่เขาคิด ที่นี่อ้างว้างและเงียบเหงาเหมือนที่กันดานไม่มีแสงของดวงอาทิตย์หรือเมฆที่เคลื่อนไหวตามกระแสลม ที่นี่ไม่มีอะไรเลย มีแต่สีขาวสว่างเรียบแสบตา เดินได้สักพักเขาก็เริ่มถอดหายใจไม่อยากสำรวจต่อครั้นว่าจะหันหลังกลับเตียงสีขาวโออ่าก็หายจากสายตา ไม่รู้ว่าเพราะเขาเดินออกมาไกลหรือเพราะสีของเตียงกลมกลืนไปกับทิวทัศน์เขาจึงมองไม่เห็น ไม่มีอะไรที่ลู่หยางรู้ในที่แห่งนี้

    [สวัสดีครับ]

    “นั่นใคร? คุณคือพระเจ้าหรือ?”

    [ฮ่า ตลกดีที่ถามแบบนั้น ผมไม่ใช่พระเจ้าแต่ก็เหมือนพระเจ้าครับ]

    “แล้วผมอยู่ที่ไหน? มันไม่เหมือนโลกหลังความตายเลย”

    [นี่ที่คือเขตว่างเปล่า]

    “เขตว่างเปล่า?”

    [ครับ ดวงวิญญาณที่ว่างเปล่าจะถูกส่งมาที่นี่เพื่อพิจารณาถึงคุณสมบัติที่จะได้รับโอกาสกลับไปใช้ชีวิตอีกครั้ง ชีวิตเดิมที่เคยเป็น]

    “ผมกลับไปเกิดใหม่ได้หรือ?” ครั้งนี้เขาตื่นตะลึง

    [ครับคุณสามารถกลับไปเป็นเสวี่ยลู่หยางคนเก่าได้หรือจะเป็นใครสักคน]

    “แล้วถ้าผมไม่อยากไปเกิดใหม่ล่ะ?” เขาหรี่ตาลงต่ำ

    [อืม ไม่รู้สิครับเพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีใครคิดแบบคุณ]

    “งั้นหรือ”

                    มนุษย์โดยส่วนใหญ่เมื่อได้รับโอกาสย่อมไขว่คว้ามากกว่าปฏิเสธ แต่ลู่หยางไม่ได้คิดแบบนั้นเพราะหลังจากที่เขาตายเขาก็ไม่ต้องการไขว่คว้าโอกาสที่ยากลำบากเหล่านั้นอีก ตอนมีชีวิตเขาพยายามอย่างมากที่จะเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับโอกาสจากคนนับร้อยพอมาตอนนี้ความเหนื่อยหน่ายที่เขาได้ทุ่มเทลงไปนั้นกลับไม่มีประโยชน์อะไรหลังจากที่เขาตาย คนเราทุ่มเททุกอย่างเพื่อตนเองและคนรุ่นหลัง แต่ลู่หยางทุ่มเททุกอย่างเพื่อที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าคนอื่นเพียงเท่านั้น

                    เสียงปริศนาเงียบลงเหมือนกำลังใช้ความคิด เพราะคนอย่างลู่หยางนับว่าหาได้ยากและเป็นคนที่น่าสนใจพอสมควร การที่อีกฝ่ายไม่สนใจที่จะกลับไปเกิดใหม่นั้นก็มีเหตุผลที่ส่งเสริมอยู่เขาไม่มีทั้งครอบครัวหรือทายาทที่ต้องห่วงทั้งตนยังเป็นเพียงนักธุรกิจในบริษัทเล็กๆไม่ได้ใหญ่โต ทั้งชีวิตมีที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวคือเพื่อนสนิทสมัยเด็กนอกนั้นก็เป็นเพียงคนที่พบปะชั่วคราวและจากไปตามกาลเวลา เป็นบุคคลที่น่าเวทนาและน่าสนใจในเวลาเดียวกัน

    [แล้วคุณไม่มีสิ่งที่อยากทำหรือ?]

    “ของแบบนั้นไม่มีหรอกครับ”

    [อ่า งั้นคุณคิดว่าเพื่อนของคุณจะเป็นยังไงครับ?]

    “เพื่อนของผม?” ลู่หยางมีสีหน้าไม่เข้าใจ

    [ครับ เพื่อนของคุณถ้าเขารู้ว่าคุณมีโอกาสที่จะกลับมาแต่คุณก็ไม่กลับแบบนั้นไม่ต่างจากการทรยศเพื่อนเพียงคนเดียวของคุณหรอกหรือครับ]

    “คุณพูดเหมือนว่าคุณจะบอกเขาอย่างนั้นแหละ”

    [ผมอาจจะบอกหรืออาจจะไม่บอกครับ]

                    สิ้นเสียงนั้นลู่หยางเริ่มคิดทบทวนอีกครั้ง ท่าทางที่หดหู่ของเจียงหลี่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะเห็นก่อนตายเลยถ้าหากอีกฝ่ายรู้คงเรียกร้องให้เขากลับไปโดยไม่ถามความสมัครใจหรอก เจียงหลี่เป็นเหมือนครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขามีและเขาก็เป็นคนสำคัญของอีกฝ่าย พอคิดแบบนี้คำตอบก็มีแต่ว่าเขาต้องกลับไปขอโทษอีกฝ่ายเท่านั้นน่ะสิ

    [ว่าอย่างไรครับ]

    “คุณน่าจะเป็นซาตานมากกว่านะ”

                    ถึงจะไม่เห็นใบหน้าแต่ก็รับรู้ได้ว่ามุมปากของใครบางคนกำลังกระตุกเกร็ง หากเขาอยู่ตรงหน้าลู่หยางคงเหยียดยิ้มออกมาให้อีกฝ่ายเห็น คำตอบที่ไม่ใช่คำปฏิเสธทำให้เขาร่างหน้าต่างสัญญาขึ้นมาตรงหน้าอีกฝ่าย สัญญาการเป็นพาร์ทเนอร์ในการทำภารกิจเกี่ยวกับโลกคู่ขนานมิติที่หก ทุกอย่างคล้ายนิยายหรือละครที่ลู่หยางเคยเห็นผ่านๆคงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรนักเพียงแค่เล่นตามบทที่ได้รับ ซึ่งความไม่ใส่ใจเล็กๆน้อยๆทำให้เขาอ่านข้ามข้อตกลงบางอย่างที่สำคัญ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ดูอยู่ก็นั่งท้าวคางไม่คิดจะกล่าวเตือนอะไรและมองเป็นเรื่องสนุก

    “ผมต้องทำอะไรบ้าง?”

    [อดทนก็พอ เพราะข้อมูลที่ส่งไปอาจจะทำสมองคุณระเบิด]

    “หา?”


    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น