There are 2 billions people in the world. I just want only one.
ขอถามหน่อย ทำไมถึงต้องเป็นฉัน?
เพราะคุณทำให้ผมร้อนเป็นไฟ!
Chapter 1
สุดท้ายแล้ว วันนี้วันสุดท้ายแล้วที่ฉันจะมีโอกาสได้หลอกตัวเองอย่างนี้ สายธารเบื้องหน้าไหลเอื่อยๆ พาดอกไม้ป่าขาวละมุนลอยระเรื่อย เสียงจั๊กจั่นจิ้งหรีดและเสียงอะไรต่ออะไรที่เธอไม่รู้จักส่งเสียงร้องประสาน แสงแดดยามเย็นส่องกระทบผืนน้ำก่อให้เกิดบรรยากาศภาพฟุ้ง ๆ ชวนฝัน เธอยืนดื่มด่ำชื่นชมความงามของธรรมชาติโดยที่ไม่คิดที่จะหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา บางอย่างมันจดจำได้มากกว่าถ้าบันทึกไว้ด้วยหัวใจ
'เอาไงดีพี่ แม่งแห่กันมาทั้งทหารบกทั้งทหารอากาศ ดีที่ไม่เอาทหารเรือมาด้วย'
'ยังไงก็ต้องกลับไปเอาหลักฐานก่อน ถึงจะรอดทางนี้ไปได้ แต่ถ้าหลักฐานตกไปอยู่ในมือทหาร พ่อมึงก็คงไม่เอาไว้แน่'
'ผู้พันจะปล่อยให้มันหนีไปอย่างนี้หนะเหรอครับ?'
'ผมจะปล่อยให้มันกลับไปเอาหลักฐานมาก่อน ให้มันคิดว่ามัันหนีเราได้ แล้วหลังจากนั้นเราก็จะไล่มันไปที่แถวลำธาร ถึงแถวนี้จะเป็นป่า แต่ก็มีชาวบ้านมาเก็บของป่าบ่อยๆ ผมไม่อยากให้มีใครโดนลูกหลง ที่ลำธารไม่มีใครอยู่แน่ ๆ'
'ทำไมผู้พันถึงมั่นใจว่าจะไม่มีคนอยู่ที่ลำธารล่ะครับ'
'ก็เพราะว่าชาวบ้านเค้าลือกันว่าที่ลำธารผีดุน่ะสิ โพล้เพล้หยั่งงี้ไม่มีใครกล้าไปอยู่แถวนั้นหรอก จะมีก็แต่คนบ้าน่ะแหละ'
พริมปล่อยให้หัวใจได้ดื่มด่ำกับความสงบและงดงามของผืนน้ำข้างหน้า กว่าจะรู้ตััวอีกทีก็เห็นว่าแสงแดดแทบจะหุบหลังยอดไม้ไปแล้ว ได้เวลาแล้วสินะ ได้เวลาที่จะกลับไปเผชิญกับความว่างเปล่า เงียบเหงาและอ่อนแอที่คนที่ใครๆก็เห็นว่าเข้มแข็งอย่างเธอยอมให้หัวใจยอมรับครั้งแรกในชีวิต
เธอมองภาพงามเบื้องหน้าเป็นครั้งสุดท้ายและหมุนตัวกลับช้า ๆ ไปยังรถโฟร์วีลล์บุกป่าที่เช่ามา อุปกรณ์ทุกอย่างมีพร้อม มือถือที่มีแบตเกือบร้อย จีพีเอส แถมด้วยแผนที่ เพราะอย่างนี้ไง ใคร ๆ ถึงคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงแกร่ง ไม่ว่ายังไง พริมคนเก่งก็ดูเข้มแข็งและดูแลตัวเองได้เสมอ
เหลืออีกเกือบห้าชั่วโมงกว่าเครื่องจะออก ต่อให้ขับหลงยังไงฉันก็ไปทัน
'ของก็ได้แล้ว เอาไงต่อดีพี่?'
'หนีสิวะ ไอ้ห่า มึงจะอยู่ให้พ่อมึงมาเจอเรอะ'
ปัง ปัง ปัง
'เฮ้ย มันมาจากไหนวะ กูนึกว่ามันตามไม่ทันแล้วซะอีก หนีเร็วโว้ย'
'ทำตามที่ผมสั่งนะ กราดยิงทุกทางไว้ เปิดช่องให้มันไปทางลำธารได้อย่างเดียว'
ปัง ปัง ปัง เธอยืนตัวแข็งทื่อ หัวใจเย็นเฉียบ นั่นมันเสียงปืนนี่ แถมยังฟังเหมือนมันอยู่ไม่ไกลนี่เอง ฉับพลันเธอก็รู้ตัวว่าการขับรถมาคนเดียวถึงเขตป่าตอนเย็น ๆเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาและโง่เสียนี่กระไร กลับ! เธอต้องกลับไปให้เร็วที่สุด คิดได้ดังนั้น พริมก็รนควานหากุญแจรถ มือเธอสั่น ใจเธอเต้นรัว กุญแจที่น่าจะหาได้ง่ายๆ กลับเหมือนอยู่ก้นมหาสมุทร
'เฮ้ย! รถ! ผู้หญิง! ไปที่รถเร็วแล้วจับอีนั่นไว้เป็นตัวประกัน!'
พริมเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงนั่น สีหน้าและคำพูดของคนพวกนั้นทำให้เลือดเธอเย็นเป็นน้ำแข็ง หนี!เราต้องหนี! แต่ก่อนที่พวกมันจะถึงตัวเธอเสียงรัวปืนก็ดังขึ้นอีกครั้ง พริมหวีดร้องและทรุดลงไปหมอบข้างรถ พวกนั้นก็รุดไปหลบอยู่อีกด้านหนึ่ง ในขณะนี้ ระหว่างเธอกับพวกมันมีเพียงรถที่ขวางไว้เท่านั้น แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือเธอเห็นคนกลุ่มใหญ่ทางหางตา พวกเขามีอาวุธครบมือ พวกเขาเข้ามาใกล้ และพวกเขาอยู่ด้านหน้าของเธอ!
นั่นก็เท่ากับว่า สิ่งที่ขวางทางปืนระหว่างคนกลุ่มนั้นกับไอ้พวกแรก คือเธอและรถคันนี้!
ปัง ปัง ปัง!!! เสียงปืนรัว กรี๊ด กรี๊ด!! เสียงร้องเสียขวัญ โอ๊ย! เสียงร้องสูงอย่างเจ็บปวดเมื่อกระสุนลูกหนึ่งวิ่งไปโดนต้นขาของคนขวัญเสีย
'ชิบหายแล้ว!!!! มีคนอยู่ พวกคุณยิงคุ้มกันผมด้วย ผมจะไปเอาผู้หญิงคนนั้นออกมา!'
'เดี๋ยวครับผู้พัน!'
ไม่ทันแล้ว ผู้พันที่ว่าปราดเข้าไปกลางดงกระสุน เขาเห็นเลือดตรงเหนือเข่าของหญิงสาวแต่วินาทีนี้เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาใช้กำลังลากเธอออกมาอย่างสุดแรงอย่างไม่สนใจว่าเธอจะเจ็บหรือไม่ หินดินทรายข้างลำธารไม่ใช่ทางปูพรม ร่างหญิงสาวจึงโดนครูดและบาดถลอกปอกเปิก แขนข้างที่โดนผู้ชายคนนั้นลากออกมาก็เจ็บเหมือนบ่าจะหลุด ข้างหน้ามีหินก้อนเขื่องแต่ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นจะมองตรงเฉพาะข้างหน้าและไม่เห็นมัน เค้าเพ่ิมแรงดึงเมื่อเห็นว่าจู่ ๆร่างที่ลากมาหนักขึ้นเหมือนติดอะไรสักอย่าง มันไม่พ้น เขาเลยเพ่ิมแรงดึงสุดแขนพร้อม ๆ กับที่เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นจากร่างที่ลากมานั้นทันที
ทุกอย่างที่เกิดกับเธอ พริมรู้สึกว่ามันนานชั่วกัปชั่วกัลป์ เธอมองเห็นทุกอย่างเห็นภาพสโลว์โมว์ชั่น เธอได้ยินเสียงทุกอย่างราวกับมีญาณวิเศษ เสียงสุดท้ายที่เธอได้ยินคือเสียงดัง พลุ่บ! มันเหมือนเสียงอะไรสักอย่างในร่างกายเธอที่หลุดออกจากกัน และหลังจากนั้นเธอก็ไม่เห็นและไม่ไ ด้ยินเสียงอะไรอีกเลย
'พี่พริมเอ็นท์ติดเหรอ ไม่ติดก็บ้าแล้วพี่เคยทำอะไรพลาดมั่ง' 'ดีใจด้วยนะคะ นี่ถ้าไม่ใช่หนูพริมคงไม่มีใครได้ไปทำงานบริษัทระดับโลกตั้งแต่เพ่ิงเรียนจบหยั่งงี้หรอก' 'เฮ้ยไอ้พริม ไปเป็นแอร์เมืองนอกมาตั้งหลายปีไม่เห็นจะหวานขึ้นมั่งเลย มึงแน่ใจเหรอว่าเค้าจ้างมึงให้ไปเป็นแอร์ไม่ใช่เป็นนายช่าง ฮ่าฮ่า' นั่นเธอฝันหรืออะไรก็ไม่รู้ มันช่างเหมือนเหตุการณ์ในอดีต แต่แล้วจู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงอะไรแทรกเข้ามา
'....เพราะ ร่างกายช็อคถึงได้สลบไปอย่างนี้ เดี๋ยวพอได้พักเต็มที่เค้าก็จะฟื้นเองค่ะ แล้วนี่พี่หนึ่งจะกลับบ้านเลยหรือเปล่าค่ะ เดี๋ยวอีกชั่วโมงกว่าน้ำก็ออกเวรแล้วค่ะ'
'พี่จะดูลูกน้องอีกสักพัก เราไปเจอพี่ที่รถเลยละกัน'
พริมได้ยินเสียงขานรับพร้อมกับเสียงคนเดินออกไปจากห้อง เธอลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ห้องที่เห็นไม่คุ้นเคย กลิ่นที่ได้ฉุนจมูก เธอให้เวลาตัวเองปรับตัวอย่างช้า ๆครู่หนึ่งเธอจึงได้รู้ว่าเธออยู่ในโรงพยาบาล
และเธอไม่ได้อยู่คนเดียว
ผู้ชายตัวสูงในชุดสีขรึม พร้อมด้วยใบหน้าที่ขรึมยิ่งกว่ากำลังมองเธออยู่
'ฟื้นแล้วเหรอครับ ตอนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาล'
เธอมองหน้าเขาอย่างงงๆ ใช่ฉันรู้ว่าฉันอยู่ที่โรงพยาบาล แต่เรื่องก็คือฉันมาอยู่โรงพยาบาลทำไม
เมื่อเห็นคนที่มองมาไม่ตอบ เขาเลยพูดซ้ำอีกครั้ง 'คุณอยู่ที่โรงพยาบาล'
'เอ่อ ฉันทราบค่ะ แต่ฉันไม่ทราบว่าฉันมาอยู่โรงพยาบาลทำไม' เธอพูดพร้อมกับขยับตัวลุกนั่ง ทันใดนั้นความเจ็บก็แล่นแปลบไปทั่วร่าง
'โอ๊ย!'
'ผมว่าคุณอย่าเพ่ิงขยับจะดีกว่า แผลคุณยังใหม่อยู่มาก' เสียงและกิริยาคนพูดยังดูขรึมเหมือนเดิม
แผล....แผลเธอมาจากไหน ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์สมรภูมิย่อยที่เธอหลงทิศหลงทางไปติดอยู่ก็เข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว
'มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ คุณช่วยอธิบายหน่อยได้มั๊ย แล้วคุณเป็นใครกันคะ'
ร่างสูงขรึมพูดด้วยเสียงเนิบ ๆ เมื่อเห็นว่าเธอมีท่าทีว่าจะจำได้แล้ว
'เมื่อวานมีการจับกุมผู้ร้ายที่ชายป่า แล้วคุณก็อยู่ที่นั่น คุณโดนลูกหลงถูกยิงเข้าที่ต้นขาแต่หมอเอากระสุนออกให้แล้ว แผลตามตัวคุณนัั่นเป็นเพราะคุณโดนผมลากออกมา ส่วนไหล่คุณที่หลุดนั่นผมทำเอง'
ตลอดเวลาที่ผู้ชายคนนี้พูด เขาดูสงบ เรื่องที่เขาเล่ามันเหมือนกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาดินฟ้าอากาศที่เกิดในชีวิตประจำวันของเขา
'คุณยังไม่ได้บอกฉันเลยนะคะว่าคุณเป็นใคร'
คำพูดนั้นทำเอาคนสงบเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง แต่มันนิดเดียวจริงๆ นี่ถ้าเธอไม่จ้องหน้าเขาอยู่เธอคงไม่ทันเห็น ถึงแม้ว่าจะเพ่ิงได้เห็นหน้าแต่พริมก็รู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่แสดงออกทางสีหน้า เขาดูสงบและเก็บความความรู้สึก
เขาไม่นึกว่าเธอจะไม่ตกใจกับสิ่งที่เขาเล่า เขาพยายามเล่าอย่างเรียบง่ายเพื่อให้เธอไม่หวาดกลัว แต่เธอกลับเฉยและจับทันว่าเขาตอบคำถามเธอไม่หมด ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน
'ผมเป็นหนึ่งในหน่วยที่เข้าไปจับผู้ร้าย'
'อ้อ'
เธอพูดแค่นั้นแล้วก็เงียบไป เธอคงกำลังพยายามทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ เขาเดาและปล่อยให้เธอจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เมื่อเธอไม่สนใจจะถามรายละเอียดเกี่ยวกับอาการของตัวเองเขาก็ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องสาธยาย
ทั้งสองคนจมอยู่ในความเงียบ สักครู่ใหญ่เธอถึงพูดขึ้นมาว่า 'ขอบคุณนะคะที่ช่วยชีวิตฉันไว้'
'ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่'
Chapter 2
หนึ่งเดือนที่ลาพักร้อนมามันหมดลงไปแล้วอย่างรวดเร็ว วันที่เกิดเรื่องเป็นวันสุดท้ายที่เธอจะได้พักจริงๆก่อนที่จะกลับไป ในเมื่อมาเดี้ยงเสียอย่างนี้เธอก็ต้องบอกบริษัทให้รับรู้ เธอโชคดีเธอรู้ที่ได้ทำงานกับบริษัทฝรั่งที่มีระบบพักร้อน หากทำงานที่เมืองไทยเธอจะได้มีเวลามาพักใจเวลามันล้าอย่างนี้เหรอ แต่ก็ไม่ใช่เพราะที่นั่นหรือที่ทำให้เธอต้องมาหลบไกลถึงที่นี่ เธอโชคร้ายบนความโชคดีกระมัง
พริมใช้เวลาสองอาทิตย์ที่ผ่านมาในการติดต่อขอใบรับรองทางแพทย์และส่งอีเมล์ให้บริษัทเพื่อขอพักร้อนเพ่ิม มาไหล่หลุดขาเป็นรูซะอย่างนี้เธอรู้ว่ายังไงทางโน้นก็ต้องให้เธออยู่รักษาตั วจนหายแน่เธอจึงไม่กังวลเรื่องนั้น สิ่งที่เธอกังวลก็คือเธอเริ่มกลัวว่าตัวเองจะเป็นคนแข็งกระด้างเฉยชาไร้ความรู้สึกอย่างที่ใครบางคนเคยว่าไว้ ดูจากสีหน้าของคุณพยาบาลที่เธอขอร้องให้ช่วยเรื่องเอกสารเป็นไร หน้าเธอบอกความประหลาดใจที่คนไข้คนนี้ไม่ใส่ใจถามเรื่องอาการของตัวเองมากนักแต่กลับวุ่นวายอยู่กับเอกสารแทน มันฟ้อง ผู้หญิงคนนี้เพ่ิงถูกยิงมาจริงหรือ
พริมได้รู้ว่าบุญเก่าเธอยังมีอยู่เพราะอาการเธอไม่สาหัส หมอบอกว่าเธอต้องใช้เวลาพักฟื้นอย่างน้อยสองถึงสามเดือน แผลตามตัวเร่ิมตกสะเก็ดแล้ว เหลือก็แต่อาการช้ำในที่ยังมีอยู่ ทว่าปัญหาหลักก็คือในระหว่างนี้เธอต้องใช้ไม้เท้าพยุงขาที่โดนยิงและใส่เฝือกให้ไหล่ เธอจะใช้ไม้เท้าด้วยมือข้างเดียวได้ยังไง หรือเธอจะเขย่งเดินยังไงไม่ให้แขนสะเทือน นี่เธอจะต้องเป็นง่อยตั้งหลายเดือนเลยเหรอนี่
ช่วงนี้มีคนเข้าออกห้องพักเธอหลายคน ส่วนใหญ่จะเป็นคนของทางราชการ มีทั้งที่มาสอบปากคำและมาให้กระเช้า มีนักข่าวหลายคนพยายามมาสัมภาษณ์เธอแต่เธอปฏิเสธไป การนั่งๆนอนๆดูทีวีมาหลายวันทำให้เธอได้รู้ว่าผู้ร้ายที่โดนจับได้เป็นตัวเฟืองสำคัญที่นำไปสู่การจับกุมเจ้าพ่อและนักการเมืองใหญ่ มิน่าทหารถึงเหมือนได้ยกกันไปทั้งกองทัพในวันนั้น
คนเดียวที่ไม่มาขอพบเธอเลยคือญาติหรือเพื่อน สักคนเดียวก็ไม่มี
'วันนี้เป็นยังไงมั่งคะคุณพริม ยังปวดแผลอยู่มากมั๊ย' เสียงคุณหมอสาวสวยเรียกเธอคืนมาจากความคิด
'ไม่เป็นไรแล้วค่ะคุณน้ำ นี่เดี๋ยวพริมว่าจะออกไปเต้นแอโรบิคหน้าโรงบาลกับเค้าซะหน่อย' เธอพูดยิ้ม ๆ
คุณหมอน้ำหัวเราะ คนไข้ของเธอคนนี้ดูแข็งแกร่งซะจริงๆ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น แม้แต่ผู้ชายบางคนก็เถอะ โดนมาซะขนาดนี้ก็ต้องโอดครวญกันบ้าง นี่ไม่มีเลย ผู้หญิงคนนี้ดูทำใจกับสถานภาพของตนเองได้เร็วจริงๆ เธอเอากำลังใจมากจากไหนกันนะในเมื่อหมอเองก็รู้อยู่ว่าเธอไม่มีใครมาเยี่ยมเลย เพราะเหตุนี้และวัยที่ใกล้เคียงกันทำให้คุณหมอให้ความใส่ใจกับคนไข้คนนี้เป็นพิเศษจนสามารถพูดคุยกันได้อย่างสนิทสนม
'น้ำมีข่าวดีจะบอกค่ะ เดี๋ยวอีกสองวันคุณพริมก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนะคะ'
คำพูดของคุณหมอทำให้พริมเงียบไป ตอนนี้เธอยังไม่อยากให้ทางบ้านรู้เรื่อง เธอไม่อยากให้ใครต้องมาห่วงหรือเป็นภาระ แม่ก็คือแม่ ที่รักและเป็นห่วงลูกเสมอ แต่เธอยังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าใครหรืออธิบายใด ๆ การที่เธอหลบมาพักร้อนที่นี่เธอก็ไม่ได้บอกให้ใครรู้แม้แต่คนเดียว ถ้าเธอกลับไปในสภาพเกือบพิการอย่างนี้แม่คงจะตกใจมาก เพื่อนหรือ ตัดไปได้เลย ทุกคนโตกันหมดแล้วเธอไม่อยากให้เพื่อนต้องมาเสียงานเพราะต้องดูแลเธอ แม้ว่าเธอจะมีเพื่อนที่รักและใส่ใจกันอยู่ แต่การที่จะต้องไปเป็นภาระใครนั้นเธอทำไม่ได้จริงๆ
'ออกจากที่นี่แล้วคุณพริมจะไปอยู่ที่ไหนคะ น้ำจะได้ทำเรื่องส่งตัวไปให้เวลาคุณพริมมาเช็คแผล'
คำพูดของหมอดึงเธอมาจากความคิดอีกครั้ง คราวนี้คุณหมอไม่ต้องรอคำตอบนานเพราะเธอตอบมาโดยไม่ต้องคิด
'เรือนดอกปีปค่ะ พริมจะไปอยู่ที่เรือนดอกปีป คุณน้ำรู้จักมั๊ยคะมันอยู่ใน The Sanctuary รีสอร์ตค่ะ อำเภอเดียวกันนี่เอง'
คำตอบของเธอทำเอาคุณหมอและคนที่เปิดประตูเข้ามาชะงักไป
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น