[SF SJ] Yes?! [Siwon x Kyuhyun?? feat ...??] - [SF SJ] Yes?! [Siwon x Kyuhyun?? feat ...??] นิยาย [SF SJ] Yes?! [Siwon x Kyuhyun?? feat ...??] : Dek-D.com - Writer

    [SF SJ] Yes?! [Siwon x Kyuhyun?? feat ...??]

    คยูฮยอนกำลังโดนรุ่นพี่หล่อรวยอย่างซีวอนจีบจริงๆหรือ??

    ผู้เข้าชมรวม

    838

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    838

    ความคิดเห็น


    11

    คนติดตาม


    4
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 ธ.ค. 54 / 21:01 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      คยูฮยอนก้มหลบสายตาผู้ชายหน้าตาดีคนนั้นแล้วยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา  เหลือเวลาอีกห้านาทีกว่าจะเก้าโมงเช้า  เพื่อนรักที่นั่งอยู่เกือบหลังสุดของห้องเรียนรวมขนาดใหญ่ก็ยังนั่งโบกมือเรียกรอให้เขาก้าวขึ้นบันไดไปหา  ครั้นหันไปมองหน้าห้องรวมถึงเพื่อนร่วมคลาสคนอื่นก็ยังเป็นคนเดิมกับเมื่อครั้งที่แล้ว  อาจารย์ก็ยังไม่มา  โจคยูฮยอนไม่ได้เข้าห้องสาย  ไม่ได้เข้าผิดคลาส  ผิดวิชา  อีกทั้งคนอื่น ๆ ยกเว้นเพื่อนสนิทก็ไม่ดีมีทีท่าสนใจเขามากมาย  มันควรจะเป็นอย่างนั้น ... เหมือนที่เป็นมาตลอดตั้งแต่เปิดเทอม  แล้วไอ้หน้าหล่อที่มองเขายิ้ม ๆ ไม่ยอมละสายตาตั้งแต่เขาเดินเข้าประตูมาจนนั่งเรียบร้อยอยู่ข้างชิมชางมินมันคืออะไร

       

       

      “เป็นไรวะคยู  ทำหน้าแปลก ๆ”

       

      “เห็นไอ้หมอนั่นไหม  ที่นั่งฝั่งโน้นแถวสามริมสุดน่ะ”

       

      “อือ.. อ๋อ  เออเห็น”

       

       

       

      ชางมินมองตามคำบอกของเพื่อนไปจนเจอเป้าหมายเดียวกับที่คยูฮยอนมองอยู่  แม้ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นจะหันกลับไปสนใจกับสมุดเล็กเชอร์ของตัวเองแล้วแต่ความดูดีโดดเด่นก็แผ่รัศมีออกมาทำให้สังเกตเห็นได้ไม่ยาก

       

       

      “ทำไมวะ”

       

      “เขามองกูตั้งแต่เดินเข้าประตูจนเดินขึ้นมานั่งข้างมึงนี่  ไม่มองเปล่า มียิ้มนิดๆด้วย  ไม่รู้เป็นอะไร”

       

      “ฮ่ะๆๆ”  ชางมินหัวเราะ  โคลงศีรษะสองสามที “เขาชอบมึงมั้งคยูฮยอน”

       

      “เหี้ยนี่..” 

       

       

       

      เพื่อนตัวสูงก้มหลบมะเหงกทันเวลาอย่างคนที่รู้จังหวะทำร้ายร่างกายของเพื่อนรักดีกว่าใคร  มองหน้าตามุ่ย ๆ ปนสงสัยของคยูฮยอนแล้วชางมินจึงเมตตาเสริมความรู้รอบตัวให้อีกนิด  ไม่รู้จะใช้ประโยชน์ได้หรือเปล่า  แต่อย่างน้อยก็เป็นข้อมูลเพิ่มเติมให้เพื่อนได้รู้จักชายนิรนามที่เอาแต่จ้องตัวเองไม่วางตามากขึ้นอีกนิด

       

       

      “ไม่เคยเห็นเขาใช่ปะล่ะ  กูก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาชอบมึงรึเปล่า  รู้แค่ว่าเขาเป็นรุ่นพี่ที่ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมาปีนึงก็เลยต้องเรียนซ้ำ  ชื่อชเวซีวอน”

       

      “อือ..”

       

       

       

      คยูฮยอนพยักหน้ารับรู้  และโดยไม่รู้ตัว .. เขาลอบมองไปที่ชเวซีวอนอีกหลายครั้งระหว่างคาบเรียน

       

       

       

      .. ก็แค่อยากรู้ว่าจะมองขึ้นมาอีกไหมเท่านั้นแหละน่า ...

       

       

      ..............

       

       

       

      “เฮ้ยคยู  มึงอยู่ไหนเนี่ย  ลืมไปแล้วเหรอว่าวันนี้อาจารย์จะเริ่มคาบเร็วกว่าปกติสิบห้านาที”

       

      “เออ กูรู้  ก็รีบอยู่เนี่ย  ขึ้นบันไดมาแล้ว”

       

      “รีบเลยมึง”

       

       

       

      เพราะมัวแต่เร่งฝีเท้าระหว่างกดวางสายเพื่อนรักทำให้ไม่ทันมองข้างหน้า  ยังดีที่คยูฮยอนเบรกทันก่อนจะชนร่างสูงที่ยืนนิ่งเป็นกำแพงอิฐอยู่หน้าห้องเรียนรวม  แต่ถึงไม่ชนเขาก็อยู่ใกล้ผู้ชายคนนั้นเสียจนได้กลิ่นน้ำหอมชัดเจนตอนที่เจ้าตัวหันมายิ้มให้

       

       

       

      ... ยิ้มให้ ... อีกแล้ว ...

       

       

       

      “เอ้า  มาสายอีกคนแล้ว  คุณสองคนมานั่งแถวหน้าสุดนี่เลยมา”

       

       

      คยูฮยอนสะดุ้งน้อย ๆ ก่อนจะเดินตามคำสั่งของอาจารย์ ..และ.. ตามหลังคนตัวสูงไปนั่งแถวหน้าสุดซึ่งใกล้อาจารย์เสียจนเขาไม่เคยคิดจะนั่งตรงนี้แม้แต่ครั้งเดียว

       

       

      แต่สายตาของอาจารย์ยังดึงดูดความสนใจของคยูฮยอนได้ไม่เท่าตาคมของคนข้างตัว  กระทั่งก้มหน้าก้มตาจดเล็กเชอร์อย่างขยันผิดปกติไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วเขาก็ยังรู้สึกได้ว่าคนข้างตัวยังคงมองเขาอยู่เนือง ๆ  ไม่มองเปล่า ... มองแล้วยังยิ้มน้อย ๆ เหมือนสองครั้งที่ผ่านมาเสียด้วย..

       

       

      ... ใช่ .. สองครั้ง  ครั้งแรกที่ผู้ชายคนนี้ .. ชเวซีวอน ..มองเขาในห้องเรียนรวมแห่งนี้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว  กับครั้งที่สองที่เดินสวนกันโดยบังเอิญหน้าคณะเมื่อวันก่อน  หมอนี่ก็มองแล้วยิ้มให้อีกจนคยูฮยอนไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรตอบไปดี..

       

       

      ... ‘เขาชอบมึงมั้งคยูฮยอน’...

       

       

       

      จู่ ๆ คำพูดหยอกเล่นของชิมชางมินก็ดังขึ้นมาในสมอง  คยูฮยอนสั่นศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านไร้สาระ  เพิ่งรู้ตัวด้วยว่าตัวเองจรดดินสอกับสมุดเล็กเชอร์โดยไม่ได้เขียนอะไรลงไปสักตัวมาพักใหญ่แล้ว

       

       

       

      “เอ่อ  โทษนะครับ  ไหน ๆ คุณก็นั่งเหม่ออยู่พักนึงแล้ว  ผมถามอะไรนิดนึงได้ไหมครับ”

       

       

       

      ชเว ซีวอน ถือเอาอาการตาโตแล้วมองเขาด้วยสายตาสงสัยปนแปลกใจเป็นคำอนุญาต  ชายหนุ่มยิ้มแล้วก้มลงมองกระเป๋าสะพายที่คยูฮยอนวางเอาไว้บนโต๊ะเล็คเชอร์ตัวยาวสำหรับหนึ่งแถว คั่นกลางระหว่างสมุดของเขากับเจ้าตัว

       

       

       

      “กระเป๋านี่สวยดี  ซื้อจากไหนเหรอครับ”

       

       

       

      คยูฮยอนอึ้ง ... งงกับคำถามไปเสี้ยววินาที  แล้วจู่ ๆ ก็นึกถึงคำพูดของเพื่อนผู้หญิงสักคนที่เขารู้จัก  เจ้าหล่อนบอกว่ามีผู้ชายมาชวนคุยเรื่องสุดแสนจะไร้สาระ สุดท้ายก็เพื่อเป็นข้ออ้างจะคุยกับหล่อน ..จะจีบหล่อน

       

       

      .. ไม่รู้ทำไมพอนึกถึงเรื่องนั้น คยูฮยอนถึงรู้สึกว่ารอยยิ้มของชเวซีวอนมันดูเขิน ๆ พิกล ...

       

       

      อย่าบอกนะว่า... 

       

       

      ไม่มั้ง...

       

       

       

      “อะ ..เอ่อ  เมียงดงน่ะครับ”

       

      ตอบคำถามงี่เง่า(ในความคิดของตัวเอง)ไปแล้ว  คยูฮยอนก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตากดดินสอกดในมือยิก ๆ หวังว่าการทำเป็นตั้งใจเรียนจะช่วยตัดบทสนทนาระหว่างเขากับชเวซีวอนได้  คยูฮยอนไม่ได้รังเกียจอะไรถ้าจะมีผู้ชายมาจีบ .. เขาไม่ได้ต่อต้านเรื่องแบบนี้  ไม่ได้หวงความโสด  แต่ว่า..

       

       

       

      ... โอย.. ไม่รู้จะคิดให้มันได้อะไรขึ้นมาสิน่า  คนข้าง ๆ นี่จะจีบเขาจริง ๆ หรือเปล่ายังไม่รู้เลยไม่ใช่หรือ ...

       

       

       

      “ผมว่า  ดินสอคุณคงไส้หมดแล้วมั้งครับ  ไม่เห็นมีอะไรออกมาเลย”

       

       

       

      ตาย... คยูฮยอนมองดินสอกดไส้หมดเกลี้ยงในมืออย่างไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน  แทนที่ของในมือจะช่วยตัดบทสนทนาให้กลับกลายเป็นทำให้เขารู้สึกขายหน้าที่ทำอะไรเหมือนสาวน้อยผู้เขินอายเพราะมีชายหนุ่มรูปหล่อมานั่งข้างๆ

       

       

       

      คยูฮยอนค้นในกระเป๋าใบที่ซีวอนบอกว่าสวยแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือก  เมื่อเช้าเขาคงรีบจนลืมเอากระเป๋าดินสอมา  ดินสอกดที่ไส้หมดไปแล้วแท่งเมื่อกี้จึงเป็นอย่างเดียวที่ “เคย” ใช้ได้เนื่องจากเขาเสียบมันเอาไว้ข้างกระเป๋าประจำเผื่อจะต้องใช้เขียนอะไรด่วนแล้วขี้เกียจค้นของข้างในให้ยุ่งยาก

       

       

       

      ยังไม่ทันคิดว่าจะรู้สึกหน้าแตกแค่ไหนถ้าต้องเงยขึ้นยิ้มแห้ง ๆ เพื่อขอยืมเครื่องเขียนสักอย่างจากชเวซีวอน  ปากกาหรูดูดีมีสกุล “ชเว” เขียนด้วยเส้นสีทองวับตวัดลายสวยงามที่ปลายด้ามก็ถูกยื่นมาตรงหน้า

       

       

       

      “ถ้าไม่รังเกียจ  ใช้นี่ก่อนก็ได้นะครับ”

       

      “อะ..เอ่อ.. ขอบคุณครับ”

       

       

       

      มือเรียวรับปากกาท่าทางราคาแพงนั้นมาเขียน  พยายามไม่สนใจรอยยิ้มเอื้อเฟื้อของเจ้าของนามสกุลบนปากกาแล้วตั้งใจจดตามที่อาจารย์พูด  ซึ่งอันที่จริงคยูฮยอนจดไปได้ไม่เท่าไรก็เหม่ออีกครั้ง  จะเหม่อเรื่องอะไรเสียอีกถ้าไม่ได้เพราะมัวแต่คิดมากเรื่องผู้ชายข้าง ๆ

       

       

       

      ถ้าไม่ได้คิดอะไร ทำไมต้องมอง..ต้องยิ้มให้หลายต่อหลายครั้ง  คำถามเรื่องกระเป๋านั่นก็ดูเป็นข้ออ้างเพื่อสนทนากับเขายังไงไม่รู้  คนเราจะเริ่มต้นคุยกับคนแปลกหน้าโดยถามว่าซื้อกระเป๋าที่ไหนสักกี่คนกันเชียว..  แล้วยังจะให้ยืมปากกาประจำตระกูล (?) มาใช้ง่าย ๆ อย่างนี้อีก...

       

       

       

      “เอ้า  วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกันนะนักศึกษา  เลิกเรียนได้”

       

       

       

      เสียงอาจารย์ปลุกเด็กหนุ่มจากภวังค์  คยูฮยอนหันไปเห็นซีวอนกำลังเก็บข้าวของก็นึกขึ้นได้  รีบยื่นปากกาสกุลชเวให้ราวกับไม่กล้าจับของแพงนานเกินสองชั่วโมง

       

       

       

      “คืนครับ  ขอบคุณมาก”

       

      “อ้อ  ไม่ต้องหรอกครับ”  ซีวอนยิ้มพร้อมยกมือปฏิเสธอย่างสุภาพ..มาก “คุณคงต้องใช้จดเล็กเชอร์วิชาอื่นอีกทั้งวัน  เอาไปใช้เลยก็ได้ครับ  ผมให้”

       

       

       

      ยิ้มทิ้งท้ายแล้วก็เดินออกจากห้องเรียนรวมไป  ทิ้งให้คยูฮยอนยืนถือปากกาทำตาปริบ ๆ อยู่ตรงนั้นกระทั่งชิมชางมินเดินลงมาจากที่นั่งด้านบน

       

       

       

      “เป็นไรวะคยู  อย่าบอกนะว่าคุณพี่ซีวอนนั่นจีบมึงจริงๆแล้วมึงก็ตกหลุมเขาไปแล้ว?”

       

      “ไม่รู้ว่ะชางมิน...” 

       

       

       

      คยูฮยอนมองปากกาในมือ  ปากกาหรูขนาดนี้ใครเขาจะให้คนแปลกหน้าง่าย ๆ อย่างที่ชเวซีวอนทำ  ถ้าไม่ใช่ว่าหมอนั่น.....

       

       

       

      “..ไม่แน่  มึงอาจจะพูดถูกก็ได้”

       

      ..............

       

       

       

      คยูฮยอนไม่ต้องรอพิสูจน์คำพูดของชางมินนานถึงอาทิตย์หน้าที่มีเรียนวิชานั้นด้วยซ้ำ  วันรุ่งขึ้นตอนที่เขานั่งเล่นหมากรุกอยู่กับเพื่อนในชมรมหมากกระดานที่ตึกชมรมของมหาลัย หน้าหล่อ ๆ ของชเวซีวอนก็โผล่เข้ามาให้ตกใจเล่นจนลืมแผนการเดินหมากในหัวไปเสียหมด

       

       

       

      “เฮ้ย  ทุกคน  นี่ชเวซีวอน  คณะบริหาร  ปีสอง  แต่อายุเท่าปีสามเพราะไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมาปีนึง  เขาจะมาเป็นสมาชิกใหม่ของชมรมเรา”

       

      “สวัสดีครับ  ฝากตัวด้วยนะครับ”

       

       

       

      คยูฮยอนมอง “สมาชิกใหม่” ตั้งแต่หัวจรดเท้าคล้ายจะให้แน่ใจว่าเป็นซีวอนคนเดียวกับที่(คยูฮยอนสงสัยเอาเองว่า)กำลังจีบเขา ... หรือไม่ก็ทำตัว “คล้ายๆ”จะจีบเขา ...

       

       

      ตากลมหยุดอยู่ที่กระเป๋าสะพายของซีวอน  กระเป๋าใบนั้นยังคงเป็นแบรนด์เนมใบเดิมไม่ใช่กระเป๋าแบบของเขาที่ซีวอนบอกว่าสวยและถามสถานที่ซื้อ  บางที..ซีวอนอาจยังไม่ได้ซื้อ  หรือไม่ได้ตั้งใจจะซื้อตั้งแต่แรก 

       

       

      บางที ... อาจจะถามไปอย่างนั้นเอง  ถามเพื่อหาเรื่องคุยกับเขา

       

       

       

      “ซีวอนชอบเล่นหมากกระดานประเภทไหนล่ะ  หมากรุก  หมากฮอส  โกะ  หรือว่าบริดจ์?”

       

       

       

      คำถามของประธานชมรมดึงความสนใจของทุกคนไปอยู่ที่สมาชิกใหม่อีกครั้ง  ซีวอนลูบท้ายทอยแก้เก้อก่อนตอบ

       

       

       

      “คือที่จริง...ผมเล่นอะไรไม่เป็นเลยน่ะครับ  ถ้าไม่เป็นการรบกวน  ผมอยากจะขอให้ช่วยสอนหมากรุกให้หน่อย..”

       

      “อ้าว  จริงเหรอ ไม่เป็นไร  ชมรมเราต้อนรับทุกคน  เล่นไม่เป็นก็ฝึกได้ จริงไหม.. อืม  งั้นให้คยูฮยอนสอนก็แล้วกัน  รายนั้นเขาถนัดหมากรุกที่สุดน่ะ  อยู่ชั้นปีเดียวกันคณะเดียวกันด้วยนี่ ใช่ไหมคยูฮยอน”

       

      “อะ  เอ่อ  ครับพี่”

       

       

       

      คยูฮยอนยิ้มรับรุ่นพี่ประธานชมรมอย่างฝืน ๆ แล้วยิ้มพอเป็นพิธีให้ชเวซีวอนที่ย้ายตัวเองมานั่งตรงข้ามเขาแทนที่คนที่เล่นหมากรุกด้วยกันเมื่อครู่  จริงอยู่ที่ประธานบอกว่าชมรมต้อนรับทุกคนไม่ว่าจะเล่นเป็นหรือไม่  แต่กรณีชเวซีวอนก็ยังถือว่าแปลกอยู่ดี  ปกติน้อยคนนักที่จะเข้าชมรมอะไรที่ตัวเองไม่มีความรู้ด้านนั้นเลยสักนิด  หนำซ้ำเข้ามาแล้วยังระบุว่าอยากจะให้สอนหมากรุกอีกต่างหาก  ทั่วไปคนที่เล่นหมากกระดานไม่เป็นสักอย่างต้องอยากจะเริ่มจากอะไรง่าย ๆ อย่างหมากฮอสก่อนจะพัฒนาไปเป็นสิ่งที่ยากกว่าไม่ใช่หรือ

       

       

       

      คยูฮยอนอธิบายชื่อเรียกและวิธีเดินของหมากแต่ละประเภทในกระดานไปเรื่อย ๆ ทว่าในใจกลับยังคิดวนเวียนอยู่ประเด็นเดิม  การเข้ามาเป็นสมาชิกชมรมหมากกระดานของซีวอนดูเจาะจงเกินไป  หนำซ้ำยังเจาะจงมาเรียนในสิ่งที่ประธานมักมอบหมายให้เขาเป็นคนสอนอีกด้วย 

       

       

       

      ... อย่าบอกนะว่าซีวอนเข้าชมรมเพื่อตามจีบเขาจริง ๆ ...

       

       

       

      ...............

       

       

       

      “ชางมินนนนนนนนนนน”

       

       

      เพื่อนรักถลาพุ่งเข้าหาทันทีที่ชางมินบอกอนุญาตให้เปิดประตูเข้ามาได้  คยูฮยอนมานั่ง นอน เล่นเกมส์ กินเหล้า และอีกสารพัดกิจกรรมที่ห้องเขาอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่มีครั้งไหนที่เพื่อนตัวขาวบางหน้าตาโมเอ้ขึ้นทุกวันจะปราดเข้ามาจับแขนเขาด้วยสีหน้าตระหนกปนเขินแปลก ๆ อย่างวันนี้

       

       

       

      “มึงเป็นอะไรเนี่ยคยู  หน้าแดงเหมือนสาวถูกหนุ่มในฝันสารภาพรัก”

       

       

       

      ..ที่แปลกขึ้นไปอีกคือ .. วันนี้คยูฮยอนไม่ลงมะเหงกบนหัวเขาหรือด่าสาดเสียเทเสียเหมือนทุกครั้งเวลาชางมินพูดล้อเล่นแบบนี้ ..

       

       

       

      “เฮ้ยคยู... อย่าบอกนะว่า..”

       

      “ชางมิน  มึงฟังนะ  ฟังให้ดีๆ ....”  คยูฮยอนสูดหายใจลึกราวกับกำลังจะพูดเรื่องคอขาดบาดตาย “...ชเวซีวอน ขอเบอร์กู”

       

       

       

      ห้องทั้งห้องเงียบจนชางมินแทบจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงของเพื่อน  เขาเชื่อเหลือเกินว่าเมื่อกี้ตอนเข้าห้องมาถ้าคยูฮยอนมันกรี๊ดได้มันคงทำไปแล้ว

       

       

       

      ... เพราะหน้าคยูฮยอนตอนนี้เหมือนอยากจะกรี๊ดด้วยความตื่นเต้นดีใจที่หนุ่มหล่อมาขอเบอร์.. เหมือนจริงๆ ...

       

       

       

      “เดี๋ยว ใจเย็นนะครับคุณโจคยูฮยอน  กูไม่เคยเห็นมึงชอบผู้ชายคนไหน ... หรืออย่างน้อยก็ไม่เคยเห็นมึงชอบผู้ชาย  แล้วนี่ชเวซีวอน ...ผู้ชายหล่อรวยที่เพิ่งจะเจอกันแล้วมองตากันไม่กี่ครั้งมาขอเบอร์นี่มึงตื่นเต้นขนาดนี้?  อย่าบอกนะว่าตอนสอนหมากรุกในชมรมนี่พี่ซีวอนมองตามึงจนมึงท้อง”

       

      “เหี้ยชางมิน  กูไม่ใช่ปลากัด...”  ด่าเพื่อนให้สมกับเป็นโจคยูฮยอนไปแล้ว แต่ก็อดคิดไม่ได้ .. “..แต่ถึงไม่ท้อง  สายตาเขาก็ทำกูรู้สึกแปลก ๆ ว่ะ  กูไม่สงสัยแล้วว่าทำไมสาว ๆ ชอบคนแบบนี้  .. แม่ง.. จีบเก่งเป็นบ้า”

       

      “ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่ายิ้มให้มึง  ถามมึงเรื่องกระเป๋า  ให้ปากกามึง  แล้วก็ให้มึงสอนเขาเล่นหมากรุกเนี่ยนะ”

       

      “เออ ... กูถึงได้บอกไงว่า.. จีบเก่ง”

       

       

       

      พูดแล้วคยูฮยอนก็หน้าแดงเสียเอง  ชางมินอยากจะเอากระจกให้ส่องเสียจริง ๆ เพื่อนรักจะได้รู้ตัวสักทีว่าตัวเองเป็นเอามากแค่ไหน 

       

       

       

      นั่นไง ... พูดไม่ทันขาดคำ  คยูฮยอนก็หันโทรศัพท์ที่โชว์สายเรียกเข้าชื่อชเวซีวอนให้เขาดูด้วยท่าทางตื่นเต้น  ทำยังกับตัวเองเป็นสาวรุ่นแรกรัก

       

       

       

      “ครับ .. พี่ซีวอน”

       

       

       

      โอย...เสียงหวาน ๆ แบบนั้นชางมินฟังแล้วขนลุก  เขารู้ว่าสองคนนั้นเจอกันในชมรมและเวลาเรียนวิชาในห้องเรียนรวมบ่อยครั้งจนเปลี่ยนคำเรียกให้สนิทกันแล้ว  แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่า “พี่ซีวอน” ที่ออกจากปากคยูฮยอนเมื่อครู่ฟังดูเลี่ยนเกินจริงอยู่ดี

       

       

       

      “มึงเป็นเอามากนะคยู”

       

       

      ชางมินพูดหน่าย ๆ หลังจากคยูฮยอนวางสาย  ทว่าเพื่อนสนิทกลับไม่สนใจสักนิด 

       

       

       

      “มึงเงียบเลยชางมิน  รู้ไหมเมื่อกี้พี่ซีวอนว่ายังไง”

       

      “อืม ว่าไง”

       

      “เขาชวนกูไปดินเนอร์เว้ย  ถึงจะบอกว่าเพื่อขอบคุณเรื่องที่สอนหมากรุกก็เหอะ แต่แค่สอนตามหน้าที่ในชมรมก็ไม่เห็นต้องหาเรื่องไปกินข้าวสองต่อสองปะวะ  มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ ๆ มึงว่ามะ”

       

       

       

       

      ... คยูฮยอนมันเป็นเอามากจริง ๆ ...

       

       

       

       

      คยูฮยอนได้ยินทุกคำที่ชางมินว่า  ทั้งว่าออกมาเสียงดังและแอบด่าอยู่ในใจ  เชื่อเถอะ..ไอ้เพื่อนรักมันต้องด่าว่าเขา “เยอะ” แต่เขาก็เชื่อว่าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองถึงขนาดนั้น  ไม่ต้องพูดถึงหน้าตาน่ารักโมเอ้เป็นที่หมายปองของทั้งหนุ่มทั้งสาวก็ได้  แค่ดูพฤติกรรมของซีวอนก็ชัดออกขนาดนั้นไม่ใช่หรือ  ถึงแม้ก่อนหน้านี้คยูฮยอนจะไม่เคยคิดคบผู้ชาย  แต่ถ้าซีวอนยังทำตัว “เหมือนกำลังจีบ” เขาอยู่อย่างนี้ต่อไปละก็  ... มันก็ไม่แน่

       

       

       

      คิดแล้วก็ยิ้มพลางยกขาพาดโต๊ะเอนหลังเล่นเกมอย่างสบายอารมณ์  บ่ายนี้ไม่มีใครเข้าชมรมและคยูฮยอนก็เลิกเรียนเร็วเขาจึงมานั่งเล่นเกมเรื่อยเปื่อย  แน่ละ .. ไม่มีใครเล่นหมากรุกด้วย  แต่ก็ไม่แน่  ถ้าหากซีวอนลงเรียนไม่ต่างจากเขานักละก็ซีวอนก็จะเป็นคนเดียวในชมรมที่ว่าง และ..คยูฮยอนอาจจะได้คู่เล่นหมากรุกเป็นสมาชิกใหม่ที่เขาสอนเองกับมือก็ได้

       

       

       

      ไม่นึกว่าแค่คิดเล่น ๆ ... แต่เพียงไม่ถึงห้านาทีต่อมาชเวซีวอนก็มายืนยิ้มจนเห็นลักยิ้มข้างแก้มอยู่ที่ประตูห้องชมรม

       

       

       

      ...พร้อมดอกลิลลี่ช่อโตในมือ...

       

       

       

       

       

      “คยูฮยอน  พี่นึกแล้วเชียวว่าต้องอยู่ที่นี่”

       

      “อะ..เอ่อ  พี่ซีวอน  มีอะไรเหรอครับ”

       

       

       

      คยูฮยอนเอาเท้าที่พาดโต๊ะลงโดยอัตโนมัติ  มองช่อลิลลี่สลับกับหน้ายิ้มหล่อของซีวอน  ตาย...ตายละ  ซีวอนถือดอกไม้ช่อนั้นแล้วเดินตรงมาหาเขา  ยัง..ยังไม่พอ  ยังยิ้มแล้วยื่นให้อีกต่างหาก

       

       

      มือเรียวรับดอกไม้ช่อใหญ่นั้นอย่างอึ้ง ๆ หัวใจเต้นแรงแทบระเบิดออกมานอกอก

       

       

       

      คนให้ไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มแล้วเดินจากไป  ทิ้งให้คยูฮยอนยืนใจเต้น  หน้าร้อนตัวร้อนราวกับคนเป็นไข้  สิ่งเดียวที่บอกว่าเขาไม่ได้กำลังฝันก็คือช่อดอกไม้ที่อุ้มอยู่ในอ้อมแขน  ดอกลิลลี่สีขาวจัดช่อสวยงามราคาไม่น้อยส่งกลิ่นอ่อน ๆ บอกคยูฮยอนว่าซีวอนแวะมาให้ดอกไม้เขาจริง ๆ

       

       

       

      ... ไม่แค่ทำตัว “เหมือนกำลังจีบ” แล้วละ ... ชเวซีวอนกำลังจีบเขาแน่ ๆ !! …

       

       

       

      ... และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ คยูฮยอนคิดว่าเขาชักเริ่มมีใจให้ผู้ชายคนนั้นแล้วเสียด้วยสิ...

       

       

      .........

       

       

       

       

      คยูฮยอนใช้เวลาสองสามวันต่อมาโดยนับวันคอยให้ถึงวันเสาร์ ... วันที่ซีวอนชวนเขาไปกินข้าวเพื่อเลี้ยงขอบคุณที่สอนหมากรุกให้  ทว่าเขากลับรู้สึกเหมือนเป็นการนับวันคอย “ไปเดท” เสียมากกว่า  ชางมินปวดหัวกับเล็คเชอร์ที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากวาดรูปเล่นเรื่อยเปื่อยผสมตัวอักษรสองสามตัวที่ประกอบได้เป็นคำว่า “ชเวซีวอน”ที่คยูฮยอนยื่นให้  แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากด่าเพื่อนว่า “เยอะว่ะ” แล้วก็คืนเจ้าของไป

       

       

       

      “เฮ้ยกูถามจริง ๆ นะคยูฮยอน  นี่เขาจีบมึงหรือมึงแอบไปปิ๊งเขาก่อนกันแน่วะ”

       

      “กูเปล่า  กูก็เพิ่งรู้จักเขาตอนมึงบอกชื่อเสียงเรียงนามในคาบนั้นไง”

       

       

       

      พูดพลางจัดทรงผมในกระจกเป็นครั้งที่เท่าไรก็จำไม่ได้  ชางมินมองเพื่อนแต่งตัวแล้วส่องกระจกในห้องเขามาเป็นชั่วโมง ๆ ด้วยความหมั่นไส้ตงิด ๆ ไอ้นี่มันตกลงใจชอบซีวอนตั้งแต่เมื่อไรทำไมเขาไม่เห็นรู้เรื่อง  เห็นมาบอกให้ฟังทุกวัน ๆ ว่าสงสัยพฤติกรรมชเวซีวอน  กลัวว่าตัวเองกำลังถูกจีบอย่างนั้นอย่างนี้  แล้วทำไมมันลงเอยที่คยูฮยอนยืนส่องกระจกเช็คเสื้อผ้าหน้าผมก่อน “ไปเดท” อย่างที่มันว่าได้ล่ะ

       

       

       

      “บางทีอาจเพราะว่าที่ผ่านมากูไม่เคย..  แล้วกูก็อาจจะชอบความรู้สึกของคน “ถูกจีบ” ก็ได้ว่ะ  ก็..เพิ่งรู้ว่าถูกจีบแล้วมันรู้สึกดีแบบนี้”

       

       

       

      ชางมินไม่รู้จะตอบอะไรนอกจากถอนหายใจ .. มองคยูฮยอนหยิบกระเป๋าสะพายเตรียมออกไปเจอซีวอน

       

       

       

      “กูไปนะชางมิน”

       

      “เออ  โชคดีเว้ย”

       

       

       

       

      ชเวซีวอนยืนยิ้มหล่อคอยเขาอยู่หน้าห้างที่นัดกันเอาไว้  คนอายุมากกว่าถามคยูฮยอนว่าอยากกินอะไรแล้วก็พาไปที่ร้านสุกี้ตามใจคยูฮยอน

       

      “ไม่ต้องตามใจผมขนาดนั้นหรอกครับ  ถ้าพี่ซีวอนไม่อยากกินก็..”

       

      “ไม่ได้หรอก  พี่เลี้ยงคยูฮยอนเพื่อขอบคุณที่สอนหมากรุกให้นะ  ยังไงก็ต้องตามใจให้เต็มที่”

       

      ว่าแล้วก็ยิ้ม  รินน้ำแล้วส่งให้  จังหวะที่รับแก้วมือเรียวสัมผัสกับมืออุ่นพอดีคยูฮยอนจึงสะดุ้งเล็กน้อย  เด็กหนุ่มยกน้ำขึ้นดื่มอย่างเขินอาย  ไม่รู้เมื่อกี้ซีวอนตั้งใจแตะโดนมือหรือเปล่า  แต่ดูจากท่าทีสบาย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งยังคำพูดเมื่อครู่ คยูฮยอนคิดว่าถ้าซีวอนไม่ได้พยายาม “เนียน” จีบเขา  ก็คงเป็นเพราะซีวอนเองก็เขินไม่น้อย  เอาแต่อ้างว่าเลี้ยงเพื่อขอบคุณอยู่นั่นแหละ  แล้วที่ลวกกุ้งหอยปูปลาแล้วตักให้เขาเสียเต็มจานนี่คืออะไร

       

      .. ไม่ใช่เพราะอยากจะเอาใจหรอกหรือ ..

       

       

      “คยูฮยอนชอบกินอาหารทะเลใช่ไหม  กินเยอะ ๆ เลยนะครับ”

       

      “เอ่อ .. แล้วพี่ซีวอนไม่กินเหรอฮะ”

       

      “ไม่เป็นไรครับ  ก็คยูฮยอนชอบนี่นา  กินเถอะ  ยังมีลูกชิ้นมีผักอีกตั้งเยอะ  พี่กินพวกนี้ก็ได้ครับ”

       

       

       

      คยูฮยอนก้มหน้าอมยิ้มกับกุ้งตัวโตในจาน  รู้สึกหัวใจพองโตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

       

       

       

      ………….

       

       

       

      “ขอบคุณที่มาส่งนะครับพี่ซีวอน”

       

      “ไม่เป็นไรครับ”

       

       

       

      ซีวอนยิ้ม ... ยิ้มที่ทำให้โลกของคยูฮยอนสดใสขึ้นเท่าตัว  ถ้าหากหัวใจของเขาเป็นลูกโป่งละก็ ตอนนี้มันคงจะพองโตจนแทบระเบิดแล้วกระมัง  คยูฮยอนชอบมองเวลาซีวอนยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่ข้างแก้ม  ชอบมอง...และอยากมองไปอีกนาน ๆ

       

       

       

      “งั้นพี่ไปก่อนนะ”

       

       

       

      คยูฮยอนยกมือโบกตอบซีวอนที่กำลังโบกมือลาพลางเดินถอยหลัง  เสียดาย..วันนี้ซีวอนยังไม่ขอคบ  แต่ก็คงไม่นานนี้หรอก  อีกไม่นาน..ซีวอนคงจะขอเขาเป็นแฟน

       

       

       

      ..และเมื่อถึงวันนั้น  คยูฮยอนจะไม่ลังเลที่จะตอบตกลงแน่ ๆ...

       

       

       

      “อ้อ  คยูฮยอน”

       

       

       

      ซีวอนหยุดถอยหลัง  ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้

       

       

      “ครับ?”

       

       

       

       

      “งานปาร์ตี้บายเนียร์ของคณะปีนี้  คยูฮยอนมีใครควงไปงานหรือยัง”

       

       

       

       

      ตากลมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย  หัวใจเต้นโครมครามน่ากลัว  ไม่คิด...ว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้

       

       

       

      ...ปกติงานปาร์ตี้บายเนียร์ของคณะจะเป็นเสมือนงานอวดคนรักของเหล่านักศึกษาคณะบริหาร  ถ้าควงใครไปก็เท่ากับประกาศว่าเป็นแฟนกัน...

       

       

       

      คยูฮยอนได้ยินเสียงตัวเองตอบออกไปเบาและสั่นเหลือเกิน

       

       

      “ย..ยัง .. ไม่มีครับ”

       

       

      “งั้น..”

       

       

       

      ซีวอนลูบท้ายทอยอย่างเก้อเขิน  คนมีลักยิ้มยิ้มให้เขาอีกแล้ว...

       

      .

       

      .

       

      “งั้นก็...  รีบหาซะนะครับ”

       

       

      “อะ..”  คยูฮยอนอ้าปากค้าง  เกือบหลุดคำว่า “อ้าว” ออกไปแล้ว  ทว่าสติที่เกือบหลุดเพราะถูกประโยคเมื่อครู่ของซีวอนตีหัวเข้าอย่างจังจนมึนตึ้บก็ยังบังคับให้เขาถามคำถามออกไปได้ ... แม้จะตะกุกตะกักเต็มที

       

       

      “แล้ว..แล้ว พี่ซีวอน..ละครับ”

       

       

      สมองค่อย ๆ เรียบเรียงเรื่องราวเกี่ยวกับซีวอนให้ปะติดปะต่อเป็นรูปเป็นร่าง  เขายังหาไม่เจอด้วยซ้ำว่าตัวเองต่อจิ๊กซอว์เรื่องทั้งหมดผิดตรงไหน

       

       

       

      “พี่จะพาแฟนไปน่ะครับ  แต่ไม่รู้เขาจะยอมมารึเปล่า  เห็นเอาแต่บ่นว่าตัวเองแก่ ไม่เหมาะจะมางานแบบนี้  แต่พี่ว่าไม่เห็นจะแก่ตรงไหนเลย  ก็แค่เพิ่งเข้าทำงานสองสามปีเท่านั้นเอง”

       

       

       

      พูดไปก็เขินไป .. เล่นเอาคยูฮยอนปั้นหน้าไม่ถูก  โอเค..เขาเคยเห็นท่าทางเขิน ๆ ของซีวอนมาบ้าง  แต่ไม่ใช่เขินเพราะพูดเรื่องแฟนตัวเองแบบนี้

       

       

       

      “พูดถึงก็โทรมาพอดีเลย  งั้นขอตัวนะคยูฮยอน  เจอกันในชมรมนะ”

       

       

       

      ซีวอนโบกมือสองสามทีแล้วหันหลังกลับ  คยูฮยอนยังทันเห็นใบหน้ายิ้มอาย ๆ ของซีวอนขณะรับโทรศัพท์ก่อนจะหันหลังเดินไปโดยไม่สนใจเขาอีก  แว่วเสียงหวาน ๆ ที่ใช้พูดกับ “แฟน” มากระแทกหัวใจให้เจ็บเล่น

       

       

       

      “ครับคุณคังอิน  อะไรกัน  อย่าคิดนะว่าจะไปทำงานต่างจังหวัดแล้วจะเอามาเป็นข้ออ้างได้น่ะ  คราวที่แล้วคุณก็ทำผมเจ็บแทบเดินไม่ไหวไปหลายวันแล้วนะครับ”

       

       

      ……

       

       

      คยูฮยอนเดินคอตกมาเจอภาพบาดตาบาดใจเย็นวันอังคารนั้นเอง  เมื่อวันเสาร์...เขารู้สึกว่าคำอวยพรขอให้โชคดีของชางมินไม่ได้ช่วยอะไรเลย  คยูฮยอนกลับห้องพร้อมอาการช็อค .. และยังช็อคค้างกระทั่งมาเจอชางมินในคาบเรียนวันนี้

       

       

       

      หลังจากชางมินเฝ้าถามและโบกไม้โบกมือหน้าเขาเวลาเขาเหม่ออยู่หลายต่อหลายครั้ง  เพื่อนรักที่เงยขึ้นมองตามคยูฮยอนไปที่ทางเท้าหน้าคณะก็เริ่มเข้าใจโดยไม่จำเป็นต้องอธิบายแม้แต่คำเดียว

       

       

       

      ชเวซีวอนเดินเข้าสู่อ้อมกอดของผู้ชายตัวโตใส่สูทที่จอดรถรอรับอยู่หน้าคณะ  คนที่คยูฮยอนเคยคิดว่าจีบเขากำลังเอียงแก้มให้เจ้าของอ้อมกอดหอมเอาตามใจชอบ

       

       

       

      “ชางมิน”

       

      “หือ?”

       

       

       

      ชางมินหันมองเพื่อนสนิทที่กำลังหรี่ตามองภาพนั้นด้วยสีหน้าอธิบายยาก

       

       

       

      “ทำไมจู่ ๆ กูก็ อกหักจากคนที่กูคิดว่าเขาแอบชอบกูวะ”

       

       

      “ก็เพราะ..”  ชางมินเว้นวรรค  โอบบ่าเพื่อนแล้วตบเบา ๆ

       

       

       

       

       

       

       

      “..ที่ผ่านมามึงคิดไปเองทั้งนั้นไงล่ะคยูฮยอน”

       

       

       

      ..........

       

      From Siwon’s side..

       

       

      “เอ้า  มาสายอีกคนแล้ว  คุณสองคนมานั่งแถวหน้าสุดนี่เลยมา”

       

       

      ซีวอนเดินไปนั่งแถวหน้าสุดตามที่อาจารย์สั่ง  เห็นแล้วว่าผู้ชายตัวบาง ๆ เจ้าของกระเป๋าสวยถูกใจคนนั้นก็เดินตามมาด้วย  แน่ละ..เขาจำผู้ชายคนนี้ได้  แม้จะยังไม่รู้จักชื่อก็ตาม  กระเป๋าสะพายแบบนั้นแม้ไม่ใช่ของแพงแต่ทั้งแบบและสีสวยถูกใจเขานักซีวอนจึงเล็งเอาไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจ้าของมันเดินเข้าห้องเรียนรวมแห่งนี้มาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

       

       

       

      “เอ่อ  โทษนะครับ  ไหน ๆ คุณก็นั่งเหม่ออยู่พักนึงแล้ว  ผมถามอะไรนิดนึงได้ไหมครับ”

      .

      .

      “กระเป๋านี่สวยดี  ซื้อจากไหนเหรอครับ”

       

       

       

      ซีวอนยิ้ม  รู้สึกเขินนิด ๆ ที่จู่ ๆ ก็ถามถึงกระเป๋าของคนที่ไม่เคยรู้จักกัน

       

       

       

      “อะ..เอ่อ .. เมียงดงน่ะครับ”

       

       

       

      ตอบเสร็จเจ้าตัวก็ก้มหน้ากดดินสอยิก ๆ ซีวอนเข้าใจดีว่าคงไม่อยากยุ่งกับเขามากนัก  แต่เสียงกดดินสอกรี๊กๆก็ออกจะน่ารำคาญสักหน่อย  นอกจากจะทำลายสมาธิในการเรียนของเขาพอควรแล้วยังไม่เกิดประโยชน์ต่อเจ้าตัวสักนิด  ดินสอนั่นไส้หมดแล้ว  กดเท่าไรก็คงไม่มีอะไรออกมา

       

       

       

      “ผมว่า  ดินสอคุณคงไส้หมดแล้วมั้งครับ  ไม่เห็นมีอะไรออกมาเลย”

       

       

       

      บอกไปแล้วก็นึกขำท่าทางลนลานหาเครื่องเขียนในกระเป๋าของคนข้างตัวจนความรำคาญเมื่อครู่คลายจางไป  แน่นอน...ซีวอนถูกอบรมมาดีพอที่จะไม่แสดงกิริยารำคาญหรือหัวเราะคนอื่นออกมาอย่างชัดเจนไร้มารยาทเช่นนั้น  และเขาก็เป็นคนมีน้ำใจพอที่จะยื่นปากกาของตัวเองให้อีกฝ่าย

       

       

       

      และเมื่อหมดคาบเขาก็ปฏิเสธที่จะรับปากกกาด้ามนั้นคืน  เหตุผล..นอกจากน้ำใจแล้ว  ปากกาด้ามนั้นก็ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร  เป็นปากกาที่บริษัทพ่อเขาทำเป็นของขวัญปีใหม่แจกพนักงาน  ที่บ้านยังมีเหลืออีกเป็นกระบุงด้วยซ้ำ 

       

       

       

      ซีวอนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนนั้นต้องทำหน้าอึ้งและซาบซึ้งประหนึ่งเขาให้ของดีมีราคาขนาดนั้นด้วย

       

       

      ...........

       

       

       

      ซีวอนเดินตามประธานชมรมหมากกระดานไปที่ห้องชมรม  แม้ก่อนหน้าจะเล่นอะไรไม่เป็นเลย แต่เขาก็หมายมั่นปั้นมือจะเล่นหมากรุกให้เป็นจากการเข้าชมรมนี้   เหตุผล...มีข้อเดียว  เขาอยากให้พ่อของคังอินยอมรับ

       

       

       

      พ่อของคังอินไม่ค่อยชอบใจเท่าไรที่ลูกชายคบหากับผุ้ชายด้วยกันแทนที่จะเป็นสาวสวยสักคน  แม้จะไม่ได้ต่อต้านอย่างรุนแรง  แต่ทุกครั้งที่ไปที่บ้านคังอินซีวอนก็ไม่อยากรู้สึกประดักประเดิดกับพ่อของคังอินอย่างที่เป็นอยู่  เขารู้มาว่าพ่อของคังอินชอบเล่นหมากรุก  และถ้าหากเขาสามารถเป็นคู่เล่นหมากรุกกับพ่อคังอินได้ บางทีซีวอนอาจทลายกำแพงอคตินั้นและทำให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับได้ไม่ยาก

       

       

       

      “สวัสดีครับ  ฝากตัวด้วยนะครับ”

       

       

       

      ซีวอนโค้งทักทายทุกคนหลังจากประธานชมรมแนะนำตัวเขาเรียบร้อย  เผลอจับสายกระเป๋าสะพายเล็กน้อยด้วยความประหม่าเมื่อสายตาทุกคู่ในห้องจับจ้องเขาเป็นจุดเดียว  โดยเฉพาะผู้ชายคนที่เขาเคยถามเรื่องกระเป๋าในห้องเรียนรวมเมื่อวันก่อน  แอบเห็นด้วยหางตาว่าผู้ชายหน้าตาน่ารักคนนั้นมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า  บางทีอาจจะคิดว่าเขาเป็นคนแปลก ๆ ที่ทักทายคนแปลกหน้าด้วยคำถามตลกที่ว่าซื้อกระเป๋าที่ไหนกระมัง

       

       

       

      แต่สำหรับซีวอน  เขาไม่รู้สึกว่านั่นเป็นคำถามตลก  เขาชอบเรื่องแฟชั่น  และไม่ลังเลที่จะถามไถ่แล้วหาซื้อของถูกใจมาไว้กับตัว  กระเป๋าใบนั้นเขาไปเมียงดงเย็นวันเดียวกับที่ถามเพื่อไปตามหาแล้วก็ซื้อมาไว้ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว  เพียงแต่เมื่อเช้ารีบมากจนยังไม่ทันได้เปลี่ยนกระเป๋าเท่านั้นเอง

       

       

       

      “ซีวอนชอบเล่นหมากกระดานประเภทไหนล่ะ  หมากรุก  หมากฮอส  โกะ  หรือว่าบริดจ์?”

       

      “คือที่จริง...ผมเล่นอะไรไม่เป็นเลยน่ะครับ  ถ้าไม่เป็นการรบกวน  ผมอยากจะขอให้ช่วยสอนหมากรุกให้หน่อย..”

       

      “อ้าว  จริงเหรอ ไม่เป็นไร  ชมรมเราต้อนรับทุกคน  เล่นไม่เป็นก็ฝึกได้ จริงไหม.. อืม  งั้นให้คยูฮยอนสอนก็แล้วกัน  รายนั้นเขาถนัดหมากรุกที่สุดน่ะ  อยู่ชั้นปีเดียวกันคณะเดียวกันด้วยนี่ ใช่ไหมคยูฮยอน”

       

      “อะ  เอ่อ  ครับพี่”

       

       

       

      ซีวอนยิ้มให้แล้วย้ายตัวเองไปนั่งตรงข้ามคนที่ประธานชมรมมอบหมายให้สอนหมากรุกเขา  เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าผู้ชายคนนี้ชื่อคยูฮยอน  คยูฮยอน ... ที่เจอกันโดยบังเอิญหลายครั้งแม้แต่ที่นี่  แม้จะมีท่าทางแปลก ๆ กับเขา และดูเหมือนคิดอะไรในใจตลอดเวลา แต่คยูฮยอนเล่นหมากรุกเก่งจริง ๆ  ซีวอนทำความเข้าใจกับเกมหมากกระดานยาก ๆ แบบนี้ได้อย่างรวดเร็วภายใต้การสอนของคยูฮยอน  ครั้นเมื่อลองเล่นไปเรื่อย ๆ จนไม่ต้องพึ่งคำแนะนำของคนสอน คยูฮยอนก็เอ่ยชมซีวอนว่าทำได้ดีทีเดียว

       

       

       

       

      ..ต้องลองเอาไปเล่นกับพ่อของคังอินดูสักตั้งแล้ว..

       

       

       

       

      “โอ้โห  เธอนี่เก่งไม่เบานะซีวอน  ฉันไม่ได้เล่นหมากรุกแล้วรู้สึกสนุกขนาดนี้มานานแล้ว”

       

       

       

      ชายสูงวัยตบบ่าซีวอนอย่างถูกอกถูกใจ  รอยยิ้มของคนเป็นพ่อที่ส่งมาให้ “เพื่อนรู้ใจของลูกชาย” ทำให้คนเป็นลูกชายที่เพิ่งกลับจากงานแล้วนั่งจิบน้ำเย็นอยู่ใกล้ ๆ รู้สึกดีไปด้วย  คังอินยิ้มจนตาหยี  ยิ่งเมื่อยื่นมือไปบีบกระชับมือคนรักที่นั่งอยู่ตรงข้ามพ่อของเขาแล้วพ่อไม่ได้ทำตาขวางใส่เหมือนเมื่อก่อนอีกก็ยิ่งใจชื้นขึ้นเป็นกอง

       

       

       

      ซีวอนเก็บหมากที่เล่นเสร็จใส่กล่องขณะที่บิดาของคังอินยกจอกน้ำชาขึ้นจิบ  บางทีความรักของลูกชายที่เขาเห็นเป็นเรื่องน่าขายหน้าในสังคมอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างนั้น  เขารู้ว่าคังอินโตเป็นผู้ใหญ่ รู้กาลเทศะพอที่จะไม่ทำให้ตัวเองและตระกูลต้องอับอาย

       

       

       

      เรื่องนี้ .. คนเป็นพ่ออย่างเขาควรวางใจให้ลูกชายได้ทำตามหัวใจของตัวเองเต็มที่  มีความสุขอย่างที่ต้องการเสียที

       

       

       

      “คังอิน”

       

      “ครับพ่อ”

       

      “ถ้ามีเวลาละก็  พาพ่อไปรู้จักที่บ้านของซีวอนบ้างนะ  ต้องรบกวนลูกชายเขามาเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนพ่ออีกนาน  เราไม่ไปทำความรู้จักเขาสักหน่อยจะน่าเกลียด”

       

       

       

      คังอินหันมาสบตากับซีวอน  ก่อนจะอมยิ้มตอบบิดา

       

       

       

      “ได้ครับพ่อ  ว่าแต่  พ่อจะให้ซีวอนมาเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนอีกนานแค่ไหนครับ”

       

       

       

      คราวนี้พ่อเสหลบตาลูกชายที่มองมายิ้ม ๆ คำตอบของเขาบอกได้เป็นอย่างดีว่าแผนการฝึกเล่นหมากรุกของชเวซีวอนได้ผลดียิ่งกว่าอะไร ...

       

       

       

      “ก็จนกว่าแกจะไม่อยากเจอหน้าซีวอนแล้วนั่นแหละ”

       

       

       

      ... พ่อของคังอินยอมรับเขาแล้ว ...

       

       

       

      .........

       

      “ครับ  พี่ซีวอน”

       

      “คยูฮยอนเหรอ  คือพี่อยากจะเลี้ยงข้าวขอบคุณเรื่องที่คยูฮยอนช่วยสอนหมากรุกให้พี่น่ะ  วันเสาร์ตอนเย็นว่างไหมครับ”

       

      “อะ...เอ่อ  ว่าง  ว่างสิครับ..” 

       

       

       

      ปลายสายเว้นวรรคไปนิดหนึ่ง  ซีวอนได้ยินเสียงคล้ายใครบางคนกรีดร้องดีใจแบบพยายามให้ไม่มีเสียง  แต่ยังไม่ทันได้สงสัยอะไรมากคยูฮยอนก็กล่าวต่อ

       

       

       

      “แต่ว่า.. เรื่องแค่นี้เอง  พี่ซีวอนไม่เห็นต้องขอบคุณอะไรขนาดนั้นเลยนี่ครับ”

       

      “ต้องขอบคุณสิ  ต้องขอบคุณมากเชียวละ  ถ้าไม่มีคยูฮยอนพี่แย่แน่ๆ”

       

       

       

      ละล่ำละลักบอกขอบคุณคนสอนหมากรุกจากใจจริง  ความจริงเขาคิดว่าเลี้ยงข้าวยังอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำสำหรับคนที่ทำให้พ่อของคนที่เขารักยอมรับเขาได้ในที่สุด  แต่ซีวอนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากวิธีนี้ 

       

       

       

      “เอาเป็นว่า  วันเสาร์เจอกันนะครับ  ขอบคุณคยูฮยอนอีกครั้งนึงนะ  ขอบคุณมาก”

       

      “ครับ  ไม่เป็นไรครับ”

       

       

       

       

      วางสายไปแล้วซีวอนยังยิ้มค้างเผื่อแผ่มาถึงคนรักที่นั่งซ้อนด้านหลังเอาคางเกยบ่าเขาเอาไว้  คังอินยิ้มตอบ  ถามเบา ๆ เพราะริมฝีปากอยู่ใกล้หูเสียจนซีวอนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นของอีกฝ่าย

       

       

      “ว่าไงครับ  จะไปเลี้ยงขอบคุณเด็กคนนั้นเหรอ”

       

      “ครับคุณคังอิน”

       

      “นี่ขนาดวันเสาร์ผมยังไม่ได้ไปต่างจังหวัดซีวอนยังไปเดทกับคนอื่น  แบบนี้ตอนผมไม่อยู่สองสามวันจะไว้ใจได้รึเปล่าก็ไม่รู้”

       

      “เดทอะไรกันครับ  คุณคังอินก็รู้ว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับเด็กคนนั้น  อีกอย่างเขาถือเป็นผู้มีพระคุณของเราสองคนเลยนะ”

       

      “ยกย่องกันจัง”

       

       

      คังอินเฉียดจมูกลงข้างแก้มคนในอ้อมกอดแล้วกดลงตรงตำแหน่งลักยิ้มเสน่ห์ของเจ้าตัว

       

       

      “ล้อเล่นน่ะครับ  ผมรู้หรอกว่าสำหรับซีวอน  ถ้าไม่ใช่คนรักกันยังไงก็ไม่ใช่เดท”

       

       

       

      พูดจบก็ทำท่าจะเลื่อนริมฝีปากมาจูบ  ทว่าถูกซีวอนยันอกเอาไว้เสียก่อน

       

       

       

      “เดี๋ยวครับ  พรุ่งนี้ที่งานเลี้ยงบริษัทคุณคังอินจะจัดงานเลี้ยงให้คนที่ได้เลื่อนขั้นใช่ไหมครับ  ผมจะไปแสดงความยินดีด้วย”

       

      “ใช่  แต่ว่าซีวอนไม่มีเรียนเหรอครับ”

       

      “มีครับ  แต่จะไปหาคุณคังอินก่อน  ก็..แฟนผมได้เลื่อนขั้นทั้งทีนี่นา”

       

       

       

      จมูกโด่งถูกคนตัวโตบีบอย่างหมั่นเขี้ยว  คังอินบรรจงจูบแล้วค่อย ๆ ดันตัวคนรักลงนอนกับโซฟา  ตั้งใจว่าต่อให้พรุ่งนี้ทั้งเขาและซีวอนตื่นไปงานเลี้ยงเล็ก ๆ ที่บริษัทจัดให้นั่นไม่ทันเขาก็ไม่เสียดาย

       

       

       

       

      ... ทว่าอย่างไรเสีย  วันรุ่งขึ้นคังอินก็ตื่นทันไปทำงาน  และซีวอนก็ตื่นทันไปซื้อดอกลิลลี่จัดช่อสวยเพื่อเอาไปแสดงความยินดีกับคนรัก ...

       

       

       

       

      ร่างสูงวิ่งเอาดอกกุหลาบช่อโตมาวางข้างดอกลิลลี่ในเบาะหลังรถแล้วก็นั่งนิ่งอยู่หลังพวงมาลัย  ซีวอนไปหาคังอินมาแล้ว  และก็พบว่าลิลลี่เป็นดอกไม้ชนิดเดียวที่คังอินรับเอาไปถือไม่ได้จริง ๆ คนรักของซีวอนแพ้กลิ่นดอกลิลลี่อย่างรุนแรง  แม้เพียงครู่เดียวที่เขาถือเข้าไปหาคังอินยังได้กลิ่นแล้วเวียนหัวจนต้องหาที่นั่ง  ซีวอนรู้สึกผิดจนต้องขับรถออกมาซื้อดอกไม้ช่อใหม่  แต่เมื่อมองไปยังลิลลี่สีขาวสวยช่อเดิมก็ยังรู้สึกเสียดาย

       

       

       

      ... พลันนึกอะไรขึ้นได้  อย่างไรเสียบ่ายนี้เขาก็ต้องเข้าเรียนอยู่แล้ว  ก่อนหน้านั้นแวะไปดูที่ห้องชมรมหน่อยก็ไม่น่าจะเสียเวลานัก...

       

       

       

      ... อย่างน้อยเอาไปให้คยูฮยอนก็ไม่น่าจะเสียหาย  ถือว่าเป็นของขวัญตอบแทนที่สอนหมากรุกให้เพิ่มมาจากการเลี้ยงข้าวก็แล้วกัน...

       

       

      ............

       

       

      “คยูฮยอนชอบกินอาหารทะเลใช่ไหม  กินเยอะ ๆ เลยนะครับ”

       

      “เอ่อ .. แล้วพี่ซีวอนไม่กินเหรอฮะ”

       

      “ไม่เป็นไรครับ  ก็คยูฮยอนชอบนี่นา  กินเถอะ  ยังมีลูกชิ้นมีผักอีกตั้งเยอะ  พี่กินพวกนี้ก็ได้ครับ”

       

       

       

      ตักอาหารทะเลทั้งหมดให้คยูฮยอนแล้วซีวอนก็กลับมาสนใจอาหารในจานตัวเอง  เขาเห็นตั้งแต่ตอนให้คยูฮยอนสั่งแล้วละว่าเจ้าตัวคงจะชอบอาหารทะเลมาก  ซึ่งก็ดีแล้ว ... เพราะซีวอนอยากตามใจอีกฝ่ายให้มากที่สุด  ไม่อยากขัดอะไรเพราะคยูฮยอนถือเป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่งสำหรับความรักของเขาและคังอิน  อีกอย่างก็คือ ... อย่างไรเสียซีวอนก็แพ้อาหารทะเล  แต่พูดออกไปคงทำให้ลำบากใจเปล่า ๆ สู้ไม่พูดแล้วตักให้ทั้งหมดจะดีกว่า

       

       

       

       

      หลังจากจบมื้ออาหารตามใจคยูฮยอนและไปส่งเจ้าตัวถึงหน้าหอพัก  กำลังโบกมือหยอย ๆ จะเดินกลับอยู่แล้วเชียวซีวอนก็นึกอะไรขึ้นมาได้

       

       

       

      “อ้อ  คยูฮยอน”

       

      .

      .

      “งานปาร์ตี้บายเนียร์ของคณะปีนี้  คยูฮยอนมีใครควงไปงานหรือยัง”

       

       

       

      แสงไฟหน้าหอพักของคยูฮยอนส่องให้เห็นว่าเจ้าตัวกำลังหน้าแดงขึ้นไปถึงหู  เมื่อได้ยินเจ้าตัวตอบตะกุกตะกักว่ายัง  ซีวอนก็เริ่มคิดว่าที่หน้าแดงอาจจะเป็นเพราะคยูฮยอนอายที่ยังไม่มีใครควงไปงาน  ซีวอนรู้สึกผิด  แต่เมื่อเริ่มต้นบทสนทนาแล้วก็ควรต้องพูดต่อให้จบ

       

       

       

      “งั้น... รีบหาซะนะครับ”

       

       

       

      ... หวังว่าคำพูดและรอยยิ้มของเขาจะเป็นกำลังใจให้คยูฮยอนบ้าง  อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากให้คยูฮยอนต้องรู้สึกอายที่ไม่มีคู่ควงออกงานอย่างนี้ ...

       

       

       

      “แล้ว..แล้ว พี่ซีวอน..ละครับ”

       

      “พี่จะพาแฟนไปน่ะครับ  แต่ไม่รู้เขาจะยอมมารึเปล่า  เห็นเอาแต่บ่นว่าตัวเองแก่ ไม่เหมาะจะมางานแบบนี้  แต่พี่ว่าไม่เห็นจะแก่ตรงไหนเลย  ก็แค่เพิ่งเข้าทำงานสองสามปีเท่านั้นเอง”

       

       

       

      พูดไปก็เขินไป  แต่เห็นสีหน้าปั้นยากของคยูฮยอนแล้วก็รู้ว่าตัวเองไม่ควรพล่ามอะไรยืดยาวออกไปแบบนั้นเลย  คยูฮยอนคงหดหู่ที่ไม่มีคนควงอยู่แล้ว  ยิ่งมาได้ยินเขาพูดเรื่องแฟนอาจจะยิ่งรู้สึกแย่ก็ได้

       

       

       

      ยังดีที่เสียงโทรศัพท์จากคังอินเป็นเสมือนระฆังหมดยกช่วยชีวิตเอาไว้ได้พอดี

       

       

       

      “พูดถึงก็โทรมาพอดีเลย  งั้นขอตัวนะคยูฮยอน  เจอกันในชมรมนะ”

       

       

       

       

      ยิ้มให้คยูฮยอนแล้วก็เดินจากมาพลางรับโทรศัพท์คนรัก  ซีวอนหวังลึก ๆ ในใจว่าบุญคุณที่คยูฮยอนช่วยสอนเขาเล่นหมากรุกจนทำให้พ่อของคังอินยอมรับเขาได้ในที่สุดจะเป็นกุศลให้คยูฮยอนได้พบเจอคนดี ๆ หรืออย่างน้อยก็ใครสักคนที่คยูฮยอนจะควงไปงานได้บ้าง

       

       

       

       

      ... ยังไงก็ขอบคุณมากนะ  คยูฮยอน...

       

      ..................................EnD....................................

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×