พิเศษสุดเจ้าค้า~ ย้ายที่อยู่เอิ๊กส์ >___<
.....................................ไม่สามารถบอก % ได้ - -" ................................
การพบกันของเราสอง
บนเนินเขาที่เงียบสงบ มีต้นไม้เวทย์อยู่ต้นหนึ่งที่ถูกปลูกขึ้นด้วยเด็กหญิงตัวน้อยเมื่อนานมาแล้ว ต้นไม้เวทย์นั้นจะเติบโตได้จากความรักและการเอาใจใส่ของผู้ปลูก เด็กหญิงผู้รักในธรรมชาติจึงสามารถทำให้ต้นกล้าน้อยเป็นพฤกษาใหญ่ได้ ทุกวันร่างเล็กของเธอจะบินขึ้นไปเล่นบนกิ่งก้านแข็งแรง และพูดคุยด้วยอย่างรักใคร่เป็นเช่นนี้เรื่อยมา
จากวันเป็นเดือนและจากเดือนเป็นปี เด็กหญิงผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเช่นเดียวกับเรือนผมก็กลับกลายเป็นสาวงามที่ชายหนุ่มต่างลุ่มหลง แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ไม่เคยละเลยต้นไม้เวทย์ของเธอแม้แต่วันเดียวและแล้วในวันที่ท้องฟ้าสีคราม
“รอข้านานมั้ย เพื่อนรัก” เสียงใสของเธอเอ่ยขึ้นทักอย่างเป็นกิจวัตร มือบางพยายามประคองถังน้ำใบโตไม่ให้หก
“โทษทีนะที่มาช้า เพื่อเป็นการไถ่โทษเดี๋ยวข้าจะรดน้ำให้เจ้าเอง” เธอยิ้มก่อนจะใช้ขันที่พบมาด้วยตกน้ำแล้วสาดลงไปที่โคนต้นไม้ แต่แล้วร่างเล็กก็ถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงตะโกนลั่น
“เฮ้ย!”
แกร๊ง
น้ำใสในถังหกกระจายชุ่มพื้นดินพร้อมกับน้ำใสๆที่ไหลรินจากดวงตา หญิงสาวถลาตัวเข้าไปโอบลำต้นไว้แน่น
“ข้าขอโทษข้ารุนแรงกับเจ้าไปใช่ไหมเพื่อนรัก ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้า.... ข้า.....” ปากอิ่มพร่ำขอโทษต้นไม้เวทย์อย่างไม่ขาดสาย
“ฮึกๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ”
“ไม่ตั้งใจก็ดี ข้าไม่ถือโทษหรอก” เสียงของต้นไม้ (?) ตอบทำให้ปากอิ่มหยุดชะงัก
“เจ้าพูดได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน” หญิงสาวถามขึ้นอย่างฉงน มือเรียวเริ่มคลำไปทั่วลำต้นใหญ่เพื่อแสวงหาที่มาของเสียง
“ทำไมข้าจะพูดไม่ได้?” เสียงเรียบเช่นเมื่อครู่ดังต่อ แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เสียงนั้นกลับดังมากจากข้างหลังของเธอ!
ใบหน้านวลหันไปยังต้นต่อของเสียงและภาพที่พบคือ ร่างเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำ ผมสีน้ำเงินดุจท้องสมุทรลู่ลง ชุดสีขาวโปร่งแนบกับเนื้อหนังทำให้เห็นแผงอกขาวผ่องกับกล้ามเนื้อกำยำชวนหลงไหล ยั่วยวนยิ่งนักแต่พอมองต่ำลงมาหญิงสาวก็ถึงกับร้องลั่น
“กรี๊ด!!” เสียงกรี๊ดที่เล่นเอาร่างเปียกปอนของผู้ถูกทำร้ายเมื่อครู่แทบหูหนวก โชคยังดีที่มือหนาของเขายกขึ้นมาอุดหูไว้ทัน
“ไอ...ไอ... วิปริต! ไร้ยางอาย ไอ...พวกชอบโชว์ อย่าเข้าใกล้ข้าน้า กรี๊ด ใครก็ได้ช่วยด้วย!” หญิงสาวเอามือปิดหน้าปิดตาพลางหันหนีไปอีกทาง นางกล่าวลั่นจนชายหนุ่มเกิดอาการสงสัย แต่แล้วพอดวงตาคมสีครามมองไปยังร่างกายของตนก็ถึงกับนึกออก
วันนี้เขาใส่ชุดขาว...ทั้งตัว...
“คนผีทะเล โรคจิต วิตถาร ลามก
” สาวเจ้าก็ยังคงพูดไม่หยุดปาก ดวงหน้าของนางแดงจัดเสียยิ่งกว่าลูกตำลึง ชายหนุ่มที่รู้ตัวก็หน้าแดงไม่แพ้กัน ปากเรียวของเขาเริ่มบริกรรมคถาแล้ววูบเดียวร่างทั้งร่างก็มีสายลมสีฟ้าหมุนไปรอบตัวก่อนจะลอยหายไปพร้อมกับความเปียกชื้นบนร่างกาย มือหนาเสยผมสีน้ำเงินขึ้นแล้วมองไปยังสาวงามที่ยังคงประณามเขาไม่เลิกลา
“เจ้าหยุดพูดเป็นไหม” คำพูดไร้เยื่อใยไล่เลือดบนใบหน้านวลได้อย่างชะงัด หญิงสาวหันกลับมาปะทะกับชายหนุ่มก่อนเอ่ยอีกครั้ง
“จะให้ข้าหยุดพูดได้ไงกัน อีตาวิปริต!” สาวสวยแผดเสียงก้องชี้นิ้วด่า
“ก็เจ้าสาดน้ำใส่ข้าเอง” ชายหนุ่มยกมือขึ้นกอดอกทิ้งร่างพิงไปยังต้นไม้ที่อยู่ข้างหลัง เรียกนัยน์ตาคู่สวยของสาวน้อยให้เบิกกว้างอย่างโกรธแค้น
“อย่ามาพิงเพื่อนรักของข้านะ!!” มือเรียวบางผลักไสให้ร่างสูงออกจากต้นไม้แต่กลับไร้ผล มือหนาของชายหนุ่มรวบแขนเรียวที่พยายามผลักเขาให้อยู่นิ่ง ก่อนจะพลิกกดร่างเล็กไว้กับต้นไม้ ดวงหน้าคมจ้องมองไปยังใบหน้าของหญิงสาวที่ขึ้นสีแดงฉานอีกครั้ง
“ปะ...ปล่อยข้า!” เธอเริ่มขัดขืนอีกครั้งแต่ก็อย่างว่ามีหรือแรงของสตรีจะสู้บุรุษได้ ดวงตาสีครามจับจ้องมายังเธออยู่ครู่ใหญ่ ทั้งคู่นิ่งเงียบไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว มีเพียงเสียงของสายลมที่พัดผ่านเท่านั้น จนหญิงสาวหมดความอดทน
“จะปล่อยข้าได้รึยัง?” เสียงใสเอ่ยเบาพร้อมดวงหน้าที่เบือนหนี ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยใกล้ชิดกับชายคนใดมากเท่านี้มาก่อนเลยแล้วยิ่งอยู่นานแบบนี้หัวใจเจ้ากรรมก็ชักจะเต้นไม่เป็นจังหวะซะแล้วสิ
“องค์หญิง พระองค์อยู่ไหน ตอบหม่อมฉันทีเพคะ” เมื่อได้ยินเสียงคนหญิงสาวก็รียร้องลั่นทันที
“นีน่า ช่วยข้าด้วย~” ไม่ว่าเปล่าหญิงสาวเริ่มดิ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มเมื่อเห็นดังนั้นก็รีบผละออกจากร่างบาง มุมปากของเขากระตุกยิ้ม
“องค์หญิงงั้นรึ ข้าไธรัส แล้วพบกันใหม่” ชายหนุ่มพึมพำคถาบางบทแล้วจู่ๆปีกสีขาวเฉกเช่นวิหกก็งอกออกมากลางหลัง แล้วร่างนั้นก็ทะยานขึ้นฟ้าหายไปอย่างรวดเร็ว
“องค์หญิง!” นางสนมที่วิ่งหากระโจนเข้าไปกอดเจ้าหญิงของตนไว้แน่น หญิงสาวโอบตอบนีน่าเช่นกัน ใบหน้าหวานจ้องมองขึ้นไปบนฟากฟ้าที่ร่างสูงของใครบางคนหายลับไป
ไธรัส.... เจ้าเป็นใครกัน...
วันเวลาผ่านไปได้ไม่นาน
“ช่างงดงามอะไรเยี่ยงนี้” เสียงพร่ำเฟ้อของหญิงวัยกลางคนนามนีน่าดังขึ้นเมื่อเห็นร่างของเจ้าหญิงที่ยืนอยู่ริมระเบียงเป็นภาพที่งามยิ่งนัก เด็กสาวที่เธอเฝ้าทะนุทนอมในที่สุดนางก็สามารถกลายเป็นเจ้าหญิงที่งดงามจนได้
ร่างบางของหญิงสาวในชุดอาภรณ์สีเงินหรูหราขับกับสีผิว ผ้าแพรยาวกล่อมเท้ากำลังระยิบระยับรับยามต้องแสงจันทร์ เรือนผมสีน้ำตาลเข้มถูกม้วนเป็นลอนประดับยอดด้วยมงกุฎเพชร ดวงหน้าแม้จะอยู่ภายใต้หน้ากากแต่ยังงามราวกับภาพวาดหันมามองยังต้นเสียง หญิงสาวไม่สิเจ้าหญิงผู้เป็นดุจเพซรน้ำงามแห่งดินแดนนาซีล...
“กระหม่อมดีใจจริงๆที่มีวันนี้ โฮ~” ร่างของผู้ตัดชุดทรุดลงไปร้องไห้กับพื้นหลังจากเห็นเจ้าหญิงองค์น้อยของตน ดวงหน้างามของหญิงสาวส่ายหน้าเบาๆก่อนจะเดินไปพยุงแม่นมของเธอขึ้น
“นีน่า เจ้าร้องไห้แบบนี้บ่อยๆ ไม่เบื่อบ้างรึไรกัน” เสียงพูดอย่างระอาของเด็กสาวเรียกให้แม่นมนีน่าร้องหนักเข้าไปอีก
“กะ...ก็...หม่อมฉันปลื้มหนิเพคะ ฮือ~”
เอาเข้าไป
“จริงสิ องค์หญิงเพคะ ราชาทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าค่ะ” หลังจากร้องไห้อยู่นานนีน่าก็เอ่ยปากอีกครั้ง คำกล่าวที่เรียกดวงตาของผู้ถูกตามให้เบิกกว้างก่อนขาเรียวจะรีบกระโจนออกไปนอกระเบียงกว้าง
“โธ่ ทำไมเจ้าพึ่งบอกกันล่ะ เจอกันในงานแล้วกัน” สิ้นเสียงร่างบางก็กระโดดวูบจากชั้นลอยดิ่งลงสู่พื้นพสุธาและลงอย่างสวยงาม ใครจะไปรู้กันว่าหญิงงามแห่งแคว้นจะทำตัวแบบนี้
ถ้าไม่รีบมีหวังโดนพ่อเล่นงานแน่
หัตถ์ทั้งสองรวบชายกระโปรงยาวขึ้นพลางรีบวิ่งตรงไปยังสวนกุหลาบแสงจันทร์ที่สามารถตัดผ่านห้องโถงใหญ่ได้ แต่ทันทีที่ย่างเท้าเข้าไป เธอกลับรู้สึกผิดจากเดิม ทำไมคืนนี้กลิ่นกุหลาบถึงได้หอมกรุ่นเยี่ยงนี้ ร่างบางของเดินสาวหยุดนิ่งข้างพุ่มกุหลาบสีสด มือเรียวเด็ดกุหลาบที่เรืองแสงสีนวลขึ้นดม จริงสิ ปกติเธอใช้ทางหนียามเช้าเสมอแต่กุหลาบแสงจัทร์จะผลิบานก็ต่อเมื่อจัทน์เต็มดวง มือเรียวอีกข้างลูบไปยังกลีบนิ่มของดอกไม้อย่างหลงไหล
“เฟเมล!!” เสียงทรงอำนาจทำให้เธอสะดุ้งโหยงก่อนจะนึกขึ้นได้ มือบางปล่อยกุหลาบงามหล่นพื้นก่อนจะออกวิ่งด่วนจี๊เพื่อไปหาบิดาของเธอ
ภายใต้แสงจันทร์ร่างโปร่งของใครบางคนเดินออกจากเงาไม้ใหญ่ ผ้าคลุมสีนิลสะบัดตามแรงที่ลมที่ปะทะ มือหนาเอื้อมลงหยิบกุหลาบขึ้นพินิจมอง ริมฝีปากเรียวเผยยิ้มก่อนจะจุมพิษไปยังบุปผาให้มือ...
ร่างของกษัตริย์อาดัสนั่งหงุดหงิดอยู่บนบังลังก์งามในห้องโถง นี่เขาเรียกให้นีน่าไปตามนางตั้งนานแล้วนะ ทำไมนางถึงยังไม่โผล่มาอีก ดวงตาคมของราชาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างบานโต ครู่เดี๋ยวก็มีร่างบางที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ชุดงามแลดูรุ่มร่ามไปถนัด เจ้าหญิงเฟเมลคนงามกำลังวิ่งเหยาะๆเข้ามา ยิ่งดูก็ยิ่งเครียด พระองค์ทำอะไรผิด เหตุใดธิดาของเขาถึงกลายเป็นแบบนี้ ถ้าไม่ติดที่นางกระโปรงแล้วล่ะก็ ดูยังไงนี่ก็บุรุษชัดๆ
“มาช้าจริง มัวไปทำอะไรอยู่หึ?” ผู้เป็นใหญ่กล่าวเสียงขุ่นหลังร่างบางถอนสายบัว ดวงหน้าหวานเงยขึ้นสบพระบิดาก่อนส่งยิ้มแห้งๆมาให้
“เด็จพ่อก็ ลูกเป็นสาวเป็นนางก็ต้องขอเวลาแต่งองค์ทรงเครื่องหน่อยเป็นธรรมดาเพคะ”
“ไหลไปเรื่อยเชียวนะเจ้า นิสัยเจ้าทั่วทั้งอาณาจักรเค้าก็รู้กันดี ถ้าเจ้าไปพูดแบบนี้กับคนอื่นเข้ามีหวังเขาได้เอาไปหัวเราะกันสิไม่ว่า เจ้าเล่ห์เสียจริง” กษัตริย์แห่งนาซีลส่ายพระพักตร์อย่างเบื่อหน่ายปนระอา
“สงสัยความกระล่อนจะอยู่ในกรรมพันธุ์เพราะข้าได้มาจากเด็จพ่อหนิเพคะ” เสียงใสเจื้อยแจ้วว่าไปนั่น ทำเอาคนถูกกล่าวหาถึงกับกุมขมับ
“ยอกย้อนข้าได้ไงกัน เฟเมล ข้าเป็นพ่อเจ้านะ”
“โธ่ รักดอกจึงหยอกเล่นไงเพคะ เด็จพ่อก็ทำงอนไปได้ แก่แล้วขึ้งอนขึ้นนะเพคะ” ร่างเล็กในชุดหรูเดินเข้าไปโอบกอดผู้เป็นพ่อ แก้มเนียนแอบอิงที่ไหล่หนาพลางอย่างออดอ้อน ดวงเนตรคมแลมองการกระทำของลูกสาวก็แย้มยิ้ม นิสัยนางเมื่อมารดาไม่มีผิด
“ถ้าแม่เจ้าไม่รีบจากไป เจ้าคงเป็นกุลสตรีมากกว่านี้” เฟเมลเงยหน้าขึ้นจากร่างของบุรุษ คิ้วเรียวขมวดเข้าเป็นปม จู่ๆพ่อของเธอก็พูดเรื่องความเป็นกุลสตรีแสดงว่า...
“เด็จพ่อกำลังคิดหามเหสีใหม่อยู่เหรอ ข้าไม่ยอมนะ!!” เจ้าหญิงเริ่มแผดเสียงลั่นกรอกหูพระบิดาจนเขาเกือบตกเก้าอี้
..................................ต่อตรงนี้อ่า..............................
“ข้าไม่ยอมจริงๆด้วย เด็จพ่อบ้าที่สุด!!” ยังไม่วายเอื้อมมือมาทุบอีกนั่น กษัตริย์อาดัสถอนใจเฮือกใหญ่กับบุตรสาวของตน
“เจ้าก็รู้ดีว่าข้ารักเจ้ากับแม่เจ้าเพียงใด ถ้าไม่รักคงไม่ปล่อยให้เจ้าอยู่จนโตหรอก”
“แล้วไป” ปากที่เคยมุ่ยกลับมาเป็นปกติดังเดิม มือเล็กเริ่มทำการปัดฝุ่นผงที่เกาะกุมอยู่ทั่วกระโปรงยาว สงสัยเธอคงคิดผิดที่ไปใช้ทางลัดผ่านสวนนั้นแต่อย่างน้อยก็ได้เห็นอะไรดีๆเหมือนกัน
อาดัสมองลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนผู้ถอดรูปลักษณ์ของมารดานางมาทุกระเบียบนิ้วอย่างรักใคร่ ใครจะไปหลงคนอื่นลง มุมปากของพระองค์เผยยิ้มแต่แล้วก็กลับจางหายไปยามเมื่อทหารวิ่งเข้ามา
“เรียนท่านอาดัส พิธีคืนนี้พร้อมแล้วพะยะค่ะ” บุรุษภายใต้ชุดสีกรมท่าย่อกายต่อหน้านายเหนือหัวพลางกล่าว ราชาเมื่อได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยเสียงเข้มตอบพร้อมโบกมือไล่
“ขอบใจเจ้ามาก เจ้าไปได้แล้ว” ผู้น้อยรับคำเขาทำความเคารพอีกครั้งก่อนออกไป เมื่อทหารผู้นั้นจากไป เด็กสาวที่อยู่ด้วยก็เริ่มเหล่ไปยังพระบิดาจอมขี้เก๊กที่เมื่อครู่ยังแกล้งงอนอยู่แท้ๆ
“เจ้ามองข้าทำไม เขาเรียกก็ไปสิ” กษัตริย์อาดัสกระแอมเบาๆ ร่างโปร่งลุกขึ้นพร้อมก้าวเดินโดยไม่ลืมที่จะพ่วงองค์หญิงคนงามไปด้วย ทำเอาเฟเมลถึงกับหลุดยิ้มออกมาให้กับอาดัสราชาขี้เก๊กหน้าตายแห่งนาซีล...
เสียงแตรทองดังขึ้นอย่างพร้อมเพียงเมื่อร่างของทั้งสองย่างกรายเข้าสู่พรมสีสด ผู้เป็นจ้าวแห่งนาซีลแต่งกายประดับอย่างเต็มยศ พระพักตร์ที่แม้จะผ่านโลกมานานแต่ดูราวกับชายหนุ่มมาดนิ่งก็ไม่ปาน ร่างกายกำยำแสดงถึงความแข็งแกร่งอาจหาญที่เป็นประจักษ์ครั้งต่อสู้กับข้าศึก มือหนากุมคทาด้ามยาวไว้อย่างน่าเกรงขาม มงกุฏเพชรที่แวบวับเสริมบารมียิ่งนัก
เบื้องหลังพระองค์ ร่างบอบบางของเจ้าหญิงทรงเดินเคียงคู่พระบิดา ริมฝีปากแย้มยิ้มรับการเคารพของข้าราชบริพารทั้งสองข้า มือบางยกขึ้นโบกเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย แม้แสงไฟจะมีเพียงเรืองๆ แต่ใบหน้างามของหญิงสาวภายใต้หน้ากากวาว ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มที่ไม่ถูกบดบัง ฉายแววสดใสดุจแสงตะวัน
หญิงสาวที่เป็นดุจแสงแห่งนาซีล...
........................................................................................................................
เสียงพูดคุยกันของผู้ร่วมงานสร้างความครึกครื้นในกับวังหลวงที่มักจะเงียบสงบ แต่ในอีกมุมหนึ่งของห้อง เฟเมลเดินไปทางหน้าต่างกว้างมองแสงจันทร์ที่ทอแสงสีนวลไปทั่วฟ้า ทำให้ค่ำคืนนี้ดูสว่างไสว คืนที่ฟ้าไร้ดาวมีเพียงจันทราที่ประกายเด่นท่ามกลางความมืดมิด
นานเท่าไรแล้วที่ท่านจากเธอไป ราชินีผู้ทรงเมตตาที่จากไปในวันที่ท้องฟ้าไร้ดาว มีแต่แสงเรืองของดวงจันทร์สาดส่อง เด็จแม่
ลูกคิดถึงท่านเหลือเกิน
ดวงหน้าหวานดูหมองลงไปขนัด เปลือกตานวลปิดลงเมื่อระลึกถึงอดีตแห่งความข่มขื่น กษัตริย์ต้องเสียสละความสุขของตนเพื่อประชาชน และแม่ของเธอก็ได้ทำเช่นนั้น แม่ยอมพลีชีพเพื่อปกป้องพระบิดาของเธอ แม่ทำเพื่อให้ชาวนาซีลมีวันนี้ วันที่อาณาจักรของเรารุ่งเรือง น้ำตาแห่งความเศร้าถูกปาดออกอย่างรวดเร็ว หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองฝากฟ้าสีครามเข้มก่อนเผยยิ้ม
เด็จแม่ หลับให้สบายนะเพคะ
“เจ้ามองอะไรอยู่?” เสียงนุ่มดังที่ขึ้นข้างตัว ทำเอาเฟเมลถึงกับสะดุ้งหันขวับกลับไปหาต้นเสียงพลางอุทานเสียงเบา
“เจ้าคนลามก
เมื่อวันก่อน” คำเรียกชื่อที่ทำเอาคนลามกถึงกับหน้าแตกเพล้ง
“ไธรัส...ไม่ใช่ลามก” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนิ่งแล้วเอนตัวพิงกำแพงหนาพลางกอดอก
ดวงตากลมโตมองสำรวจชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งก่อนอุทานขึ้นอีกครั้ง
“นาย...เป็นซาตานใช่มั้ย” ครานี้ไธรัสถึงกับอยากเอาหัวฟาดกับกำแพงเสียงจริง ถ้าไม่เห็นว่าเป็นผู้หญิง (สวย) เขาต้องฆ่านางแล้วเอาหมกป่าไปแล้วแน่ๆ
“นี่มันงานแฟนซี ไม่เห็นจำเป็นที่ข้าต้องแต่งชุดเจ้าชาย” น้ำเสียงบ่งบอกโทสะของเขาได้ดีทีเดียว คนฟังก้มหน้างุดพลางคิด
“อืม... แต่ถ้าข้าจำไม่ผิดนี่มันเป็นงานหน้ากากแฟนซีนะ ไม่ใช่ชุดแฟนซี” แตกรอบสอง ดวงตาสีน้ำเงินคมกริบเหลือบมองไปทั่วห้องกว้างเมื่อคนตรงหน้ากล่าวจบ
ถูกของนาง...
ทุกคนในห้องโถงต่างแต่งชุดราตรีไม่ก็ชุดสูทประดับยศ แต่นี่เขากลับ... แต่งสูทสีรัตติกาลไว้ข้างในแล้วใส่ผ้าคุมสีเข้มทับอีกชั้น ดูเผินๆมันก็ไม่เท่าไรแต่ไอ้ปีกที่ยื่นๆออกมากลางหลังรูปร่างคล้ายค้างคาวนี่สิที่ผิดจากคนอื่นไปโข
ชายหนุ่มซ่อนสีหน้ากระแอ้มแก้เขินพลางปลดกระดุมผ้าคลุมออก ใจก็ประณามไปถึงเจ้าองค์รักษ์คนสนิทที่หลอกกันลงคอ เจ้าหญิงที่มองการกระทำของบุรุษตรงหน้าก็พยายามกลั้วหัวเราะจนตัวสั่น เล่นเอาชายหนุ่มถึงกับจ้องอย่างคาดคั้นให้หยุด
ร่างสูงถอนหายใจเฮือกก่อนลากหญิงสาวให้เดินมาออกจากห้องโถง ร่างบางที่ไม่ทันตั้งตัวจึงต้องเซเดินตามเขาไปโดยปริยาย
อีตานี่จะพาเธอไปไหนกัน !!
..ต่อๆ..............................................
ร่างบางถูกฉุดกระชากกลับมาที่สวนกุหลาบอีกครั้ง เฟเมลมองหน้าบุรุษข้างตัวอย่างสงสัย เขาพาเธอมาที่นี่ทำไม แต่แล้วก็ต้องยิ่งทวีคูณเข้าไปอีกเมื่อเจ้าคนพิลึกเดินไปเด็ดดอกกุหลาบสีนวลมาให้ สีนวล สีแห่งความ ....
ชายหนุ่มย่อกายลงต่อหน้าเธอ มืออุ่นทั้งสองเอื้อมมากุมมือเธอไว้ยิ่งก่อให้เกิดความฉงนมากขึ้น บุรุษร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นสบพระพักตร์แสงจันทร์เผยให้เห็นดวงหน้าคมของเขา นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มดั่งมหาสมุทรกำลังสื่อความหมายที่เธอไม่เข้าใจ
“เฟเมล...” เสียงทุ้มนุ่มเรียกชื่อเธอแผ่วเบา “ข้ามีเรื่องจะต้องบอกเจ้า ที่จริงแล้วข้าคือ...”
ฟิ้ว
ไธรัสเบิกตากว้างก่อนจะกระโจนเข้าหาร่างสตรีเบื้องหน้าเป็นผลให้ทั้งสองคนล้มลงกับพื้น มีดสั้นที่ควรปักถูกขั่วหัวใจของเจ้าหญิงนั้นลอยไปปักอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่แทน ชายหนุ่มมองไปยังพุ่มไม้ที่เคลื่อนไหวด้วยแววอาฆาต มือขวาเอื้อมหยิบมีดสั้นหลังสาบเสื้อพร้อมขว้างกลับไปที่พุ่มไม้ แต่กลับไร้ซึ่งการตอบสนอง เจ้านั่นหนีไปแล้ว !
“อะ....ไอ.....” เสียงใสเครือเบื้องล่างรั้งสติให้เข้าสนใจสตรีในอ้อมทันที ใบหน้าสวยกำลังแดงจัดเหมือนครั้งที่นางสาดน้ำใส่เขา ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตกลับโตหนักเข้าไปใหญ่เมื่ออยู่ในสภาพนี้ ปากอิ่มสั่นระริกอย่างหาคำพูดไม่ออก นิ้วเรียวภายใต้ถุงมือยาวกำชายกระโปร่งสีเงินไว้แน่ นางช่างดู... ตลก...
ไธรัสยกมืออุบปากกลั้นหัวเราะแทบไม่ทัน คนตลกมองหนุ่มเพี้ยนที่เอามือกุมปากพลางหลบหน้าลืมความโกธรของตนไปสิ้น หมอนี่เป็นโรคจิตแน่ๆ ท่านพ่อนะท่านพ่อก็บอกแล้วว่าอย่าอนุญาตให้สร้างโรงพยาบาลไว้แถวนี้ !
“นี่ เจ้าบ้า จะลุกออกไปได้รึยัง?” เสียงแปดหลอดดังลั่นทำเอาหูของเขาแทบชา มือหนายันตัวขึ้นจากร่างบาง พอยื่นมือไปให้นาง สาวเจ้ากลับทำหน้ามุ่ยแขกเขี้ยวใส่พลางปัดมือเขาอย่างไม่แยแสก่อนพยายามดันตัวเองขึ้น ไธรัสได้แต่เกาหัวแกรกๆ กับอารมณ์ของคนตรงหน้า เขาไปทำอะไรให้นางเคืองกัน นี่เขาพึ่งช่วยชีวิตนางนะ
“ข้าไม่ฟังอะไรทั้งนั้น” เฟเมลขัดขึ้นใส่หนุ่มมาดนิ่งที่กำลังจะออกเสียง “เจ้ามันผีทะเล!!” น้ำตาหยดน้อยไหลรินสู่พสุธาเล่นเอาใจของเขากระตุกวูบมือบางถอดรองเก้าแก้วคริสตัลออกแล้วขว้างใส่หน้าเขาดังผลัวะ
“ข้าไม่อยากเจอเจ้าอีกแล้ว!!” เจ้าหญิงตะคอกลั่นแล้ววิ่งหนีจากไปทิ้งให้ร่างสูงยืนงุนงงกับเหตุการณ์ที่พึ่งพบเจอ
นางเป็นอะไรเนี่ย!!!!
.........................................................................
ร่างบางเดินหน้ามุ่ยปาดน้ำตาเป็นระยะมุ่งกับสู่ห้องบรรทมของตนโดยมิสนใจใครทั้งสิ้น ในใจก็คิดถึงเจ้าคนสติไม่สมประกอบที่นอกจากจะทำให้เธออับอาย ล่วงเกิน ยังมีน่ามาหัวเราะเยาะเธออีกนั่น!
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น เจอกันครั้งหน้าเราได้เห็นดีกันแน่!!
ร่างโปร่งเงยมองแสงไฟบนชั้นสองของปราสาทที่พึ่งส่องสว่างขึ้น เงาของร่างบางเผยแก่สายตาของบุรุษมาดครึม เรียกให้มือของเขากำรองเท้าใสที่พึ่งกระแทกหัวเมื่อครู่อย่างแค้นเคือง เขาทำอะไรผิดงั้นรึนางถึงได้ฝากรองพระบาทคู่งามมาจารึกบนศีรษะของเขาเยี่ยงนี้!
คิดแล้วแค้น คราวหน้าเราได้เห็นดีกัน!!
ปากเรียวผิวปากวี๊ด ชั่วครู่เสียงกุบๆก็ได้ยินชัดขึ้นแสงจันทร์สีนวลส่องสะท้อนร่างสง่าสีขาวของอาชาที่ซึ่งมีเขาเงินสวยเด่นกลางใบหน้า ไธรัสสัมผัสอานบนหลังยูนิคอนเบื้องหน้าก่อนจะกระโดดวืดขึ้นขี่ ชายหนุ่มกระตุกสายสีน้ำตาลเบาฉุดให้ม้าในตำนานวิ่งทะยานสู่ฟากฟ้าสีคราม ใบหน้าหล่อเหลาต้องแสงจันทร์เผยความทนงหันกลับไปมองหน้าต่างห้องที่มีร่างของใครคนหนึ่งอีกครั้งก่อนหายลับไปภายใต้แสงจันทา....
ตลาดแห่งโนเวียที่มักจะครึกครื้นกับแลวุ่นวายไปถนัด เสียงพูดคุยฮือฮาดังไปทั่วถนนกว้างคับคั่งไปด้วยผู้คนจากต่างแคว้น ตามผนังของอาคารบ้านเรือนเต็มนั่นไปด้วยแผ่นประกาศสำคัญซึ่งถูกประทับตราด้วยรูปของดาบเงินกับมีดสั้นที่ไขว้กันอยู่อย่างสง่า ประกาศที่เรียกให้ผู้คนพากันแวะเวียนมายังดินแดนแห่งนี้
“ประกาศเทศกาลนีเวกรีนและการประลองยุทธ์” เสียงใสติดห้าวดังขึ้นขณะไล่สายตาไปพบกับแผ่นกระดาษใหญ่ มุมปากเรียวได้รูปยิ้มอย่างปิติ นึกไว้ไม่ผิดว่าต้องให้คนทั่วไปสมัครได้ โชคยังดีเสียด้วยที่เธอสูงเกิน 165 ว่าแล้วเจ้าตัวก็เริ่มโหร้องดีใจเหมือนคนบ้าดึงดูดสายตาคนรอบข้างได้ดีนัก แต่ไม่นานเสียงใสก็ถูกกลืนหายไปเมื่ออ่านมาถึงประโยคสุดท้ายที่ทำเอาถึงกับชะงัก ใบหน้างามจากยินดีเปลี่ยนเป็นนิ่งแล้วดูย่ำแย่ลงเหมือนจะร้องไห้ออกมาเสียตรงนั้น....
ทำไมของรางวัลถึงได้เป็นสตรีได้ล่ะ! ไหนนีน่าว่าของรางวัลเป็นผงวิเศษชุบพฤกษาไง! แล้วแบบนี้เพื่อนรัก(ต้นไม้) ของเธอก็ไม่มีวันกลับมาแล้วสิเนี่ย ไม่น้า~
เมื่ออาทิตย์วันที่แล้ว.....
“ฮือๆ ไม่นะเพื่อนรัก ข้า....ข้าเสียใจจริงๆ...ฮึก ข้าควรเอาใจใส่เจ้าให้มากเสียกว่านี้ ฮือ ข้าขอโทษฟื้นกลับมาเถอะน้า โฮ~” องค์หญิงเฟเมลคนงามแห่งนาซีลทรงกรรแสงหน้าต้นกล้าน้อยที่เหี่ยวเฉาอย่างหมดสภาพ เพราะข่าวร้ายที่บังเกิดแก่เพื่อนรักของเธอ เผอิญเมื่อวันก่อนเธอไปเล่นที่ริมน้ำจนเป็นไข้ กว่าจะฟื้นตัวก็ปาเข้าไปถึงสามวัน ทำให้คนไม้เวทย์ของเธอไร้ซึ่งการดูแล เพื่อนยากของเจ้าหญิงน้อยจึงย้อนกลับเป็นต้นกล้าน้อยและตายลงในที่สุด
นีน่า แม่นมคนสนิทลูบหลังของหญิงสาวที่เหมือนลูกแท้ๆของตนอย่างปลอบประโลม แต่นางกลับดูท่าจะร้องหนักเข้าไปใหญ่ น้ำตาใสๆนั่นทำเอาหญิงวัยกลางแทบขาดใจ เธอไม่ควรทำเยี่ยงนี้แต่...
“องค์หญิง... เคยทราบเรื่องเทศกาลนีเวกรีนมั้ยเพคะ” ใบหน้าหวานติดโทรมมองเธอเก็บเสียงสะอื้นก่อนพยักหน้ารับเบา
“งั้นองค์หญิงของกระหม่อมเคยได้ยินเรื่องงานประลองยุทธ์ไหมเพคะ” คราวนี้ศีรษะน้อยส่ายหัวนิดๆ นีน่าพยุงร่างบางขึ้นพร้อมปาดน้ำอุ่นๆให้
“ทุกปีที่โนเวียจะมีการประลองเพคะ ทั้งนักเวทย์ นักรบ นักดาบต่างพากันไปแข่งขันกันหมด แล้วองค์หญิงทราบมั้ยเพคะว่าของรางวัลครั้งนี้เป็นสิ่งใด?” หญิงสาวที่ตั้งใจฟังส่ายหัวดุ๊กดิ๊กอีกครั้ง หญิงวัยทองนามนีน่าจึงหันซ้ายแลขวาก่อนโบกมือเรียกหญิงสาวให้เข้าใกล้พลางกระซิบ
“หม่อมฉัน....ได้ยินว่ากษัตริย์ซีเรสจะมอบผงชุบพฤกษาให้ผู้ชนะการประลองเพคะ!!”
ดังประการฉะนี้เจ้าหญิงน้อยจึงแอบหนีออกจากวังนาซีลฝ่าฟันฝูงทหารยามและเหล่าองค์รักษ์เดินทางตรงดิ่งถึงโนเวียอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ทันการแข่งขัน..
......................................................................................................
ร่างบางยังคงยืนแน่นิ่งอยู่หน้าป้ายแผ่นใหญ่ดุจวิญญาณหลุดออกจากร่าง บางคนก็หยุดดู บางก็เอาไม้ไปแหย่แต่กลับไร้ผล เธอยังคงนิ่งเงียบเหมือนรูปปั้นไม่มีผิดเพี้ยนจนกระทั่ง
โครม
“โอ๊ย~” เฟเมลโอดครวญดังลั่นเมื่อร่างของตนถูกกระแทกอย่างจังจนกระแทกล้มลงกับพื้น มืบางคล้ำบั้นท้ายที่ระบมเบาๆ รังสีอำมหิตก่อตัวขึ้นและปากเรียวก็เริ่มทำงาน
“นี่เจ้าน่ะ ทำไมเดินไม่รู้จักดูตาม้าตาระ...” ปากเรียวอ้าค้างทันทีเมื่อประสบกับชายหนุ่มตรงหน้า นิ้วเรียวที่หมายชี้หน้าประณามค้างนิ่ง ดวงตากลมโตเบิกกว้างก่อนจะแผดเสียงลั่น
“เดย์!!”
............................................................................................................
ร้านอาหารเล็กริมถนนที่อัดแน่นไปด้วยฝูงชนนานาแคว้นมีร่างสูงสะดุดตาของทั้งสองนั่งจิบชากันอยู่หน้าร้าน
“อ้อที่แท้เจ้าก็มาเพราะ‘เพื่อนรัก’ ของเจ้าตายเองหรอกหรือ” ชายหนุ่มผู้พูดเสมองเพื่อนเก่าที่พยักหน้างึกๆรับอย่างเศร้าใจ
“ว่าแต่เจ้าเถอะมาที่นี่ได้อย่างไรกัน หือ? ท่านเจ้าชาย”
คนถูกเรียกชื่อสำลักน้ำชาพรืดไอค๊อกแค๊กพร้อมตะครุบปากคนพูดปากมากเสียแทบไม่ทัน ดวงตาสีมรกตจ้องเธออย่างหาเรื่องหลังจากมองซ้ายขวาสำรวจว่ามีผู้ใดได้ยินรึไม่
“เจ้าจะบ้ารึไง!? ทหารวังธาร์เซทเดินกันให้ขวักก็เห็นกันอยู่!” เขากระซิบ
“อือ เอาอือเอ้าออดไออ่อนอี๊!” หญิงสาวที่กำลังจะหมดลมกล่าวอู้อี้ชี้ไม่ชี้มือไปที่มือของเขาดุจใกล้จะขาดใจเต็มทน เดย์ริ นิวส์ เจ้าชายรัชทายาทจึงรีบคลายมือออก
เฟเมลสูดหายใจเข้าปอดอย่างเต็มแรงก่อนหันไปส่งยิ้มแห้งให้คนข้างตัว เธอมองสำรวจสักนิดและจริงอย่างเขาว่าเพราะนอกจากทหารของวังนาซีลแล้วทหารวังธาร์เซทก็เยอะไม่แพ้กัน ป้ายที่ติดตามผนังนอกจากเป็นใบประกาศเรื่องเทศกาลแห่งเกียรติยศแล้วยังมีรูปของหนุ่มหล่อผมนิลสั้นและสาวน้อยชุดฟู่ฟ่องติดเด่นหล้าไปทั่วเช่นกัน พอดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเสมองยังท้องถนนก็ยังพบทหารบางนายเดินติดประกาศต่ออีกนั่น ดูท่าเตรียมประกาศมาเป็นพัน...
หญิงสาวถอนใจเบาหันไปสบหน้าเพื่อนซี้ที่ไม่ได้พบกันเกือบแรมปี ครั้งงานหน้ากากแฟนซีคราก่อนเข้าก็ไม่ได้ไปเพราะติดธุระขุนนางคนสนิทโกงภาษีข้าวเปลือก มันก็ดีอยู่หรอกที่ได้พบกันอีกแต่เธอไม่นึกเลยว่าต้องมาเจอกันในสภาพแบบนี้
“ตกลงจะตอบได้รึยัง” สาวหางม้าผมน้ำตาลในเสื้อเชิ้ตสีครามกับกางเกงสีนิลกล่าวขึ้นเร่งคนตอบ มือเรียวคนของเหลวสีชาในแก้วอย่างเซงๆ ชายหนุ่มที่กำลังจิบชาวางแก้วลงพลางเอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่มีอะไร เบื่อๆ เลยชวนเพื่อนมาเที่ยว” เฟเมลเลิกคิ้วขึ้นอย่างฉงน
“เพื่อน??” เสียงสูงพูดทวนคำ ตั้งแต่เธอรู้จักกับเขามาตั้งนานไม่ยักจะเห็นนายนี่มีเพื่อนสักคนเลย (ยกเว้นเธอ)
“อืม” เดย์ริพยักหน้ารับแล้วเติมก้อนน้ำตาลลงในแก้วชาของตนอีกก้อน ขณะที่อีกฝ่ายคิ้วผูกกันเป็นปม
“เพื่อนไหนกัน?”
“เดี๋ยวข้าจะแนะนำให้รู้จักแล้วกัน” หนุ่มมาดเข้มดื่มกาแฟสีเข้มก่อนเอ่นต่อ “แต่ไม่รู้ว่าจะเข้ากับเจ้าได้รึเปล่า เจ้านั่นมันหน้าตาย”
“งั้นรึ แล้วตอนนี้เพื่อนที่ว่าของเจ้าไปไหนซะล่ะ”
“อ้อมันไปลงสมัครประลองยุทธ์อยู่น่ะ ว่าแต่เจ้าเถอะจะลงสมัครด้วยรึ” นัยน์ตาสีเขียวสบหน้าหวานของเพื่อนที่นับวันยิ่งงามขึ้นราวเทพธิดา หญิงสาวส่ายหน้าเล็กน้อย
“ไม่ล่ะ สู้ทำไมข้าไม่อยากได้สตรี”
“งั้นเราไปกันเถอะ สงสัยมันจะรอจนเมื่อยแล้ว” กล่าวจบร่างโปร่งก็ขวักเหรียญเงินวางทิ้งไว้บนโต๊ะและออกเดิน
ร่างทั้งสองเมื่อเดินคู่กันกลับดูสะดุดตาผู้พบเห็นยิ่งนัก บุรุษผมสีนิลเข้มรับเข้ากับใบหน้าคม ดูสง่ายิ่ง ดวงตาสีมรกตน่าหลงไหลเมื่อสามารถพิชิตใจเหล่าหญิงสาวผู้พบเห็น ร่างกายสูงโปร่งกำยำเยี่ยงนักรบแต่ผิวกับดูขาวซีดเสริมให้เขาดูดีเป็นทวี ส่วนสตรีร่างบางข้างๆก็งามใช้น้อยแม้จะแต่งกายเยี่ยงบุรุษก็ตามที เส้นผมยาวถูกรวบเป็นหางม้าปอยผมน้ำตาลปลงลงใบหน้าหวานเล็กน้อยยิ่งทำให้เจ้าหล่อนดูน่ารัก ริมฝีปากอิ่มยิ้มเล็กๆเมื่อเห็นสิ่งที่เจ้าตัวน่าสนใจ นัยน์ตาสีเดียวกับเกศากำลังฉายแววตื่นเต้นไปกับเหล่าร้านค้านานับริมทางเดินกว้าง ใบหน้าเนียนและผิวนวลเปล่งปลั่งที่ต้องแสงแดดยามเช้าดูราวกับภาพวาดของจิตรกรมือฉมัง
ผู้คนเริ่มจับจ้องจนพวกเขารู้สึกได้ ทั้งคู่จึงเร่งฝีเท้าเดินไปยังลานรับสมัคร เดย์ริมองซ้ายแลขวาก่อนเดินดิ่งเข้าไปใต้ร่มไม้ใหญ่ซึ่งปราศจาคคน เธอเดินมาไปไม่ห่างแต่ขาเรียวก็กลับหยุดนิ่งเมื่อพบร่างของใครบางคนกำลังนอนหลับอยู่บนกิ่งไม้ยาว
“รอนานมั้ย ไธรัส”
คนด้านบนก้มหน้าลงเล็กน้อยยิ่งเหมือนตอกย้ำเธอกับความคิดที่เป็นจริง!!
อีตาผีทะเลในงานบ้าบอนั่น!!
..............................................................ต่อๆๆกันเถอะ..................................................
“ช้า” เสียงเย็บเยียบดังจากหนุ่มที่พลิกตัวกลับไม่นอนต่อ ท่าทางเขายังไม่เห็นเธอ งั้นเธอต้องรีบชิ่ง!!
ขาเรียวบางค่อยๆย่องออกจากร่มไม้ใหญ่แต่ร่างบางกลับถูกฉุดรั้งด้วยคนที่ไม่ได้พบกันแรมปี เธอดิ้นขลุกในอ้อมแขนแกร่งที่โอบรอบคอระหงไว้
“ปล่อยช้าซะ ถ้าเจ้ายังอยากเป็นสหายกับข้า” เสียงกระซิบขู่เบาดังรอดไร้ฟันของปากเล็กทำเอาคนโอบถึงกับงุนงง
“อะไรของเจ้า?” เขากระซิบถาม
“เอางี้เจ้าแค่ปล่อยข้าและไม่เอ่ยนามข้าก็พอแล้ว” ชายหนุ่มยกมืออีกข้างเกาหัวแกร๊กๆ
“เฟเมล ท่าทางเจ้าจะบ้า” เดย์ริหลุดเสียงก้องทำเอาเพื่อนในอ้อมแขนถึงกับแผดเสียงลั่น “ไอ้เพื่อนทรย๊ศ!!” หญิงสาวกระทืบพระบาทของคนตัวสูงทำให้แขนของเดย์ริปล่อยร่างบางออกฉับพลัน เฟเมลที่หลุดออกมาได้เตรียมวิ่งด้วยความเร็วสูงแต่สิ่งที่ไม่อยากเผจิญกลับบังเกิดขึ้นจนได้
“ว่าไงแม่หญิงคนงามแห่งนาซีล” บุรุษร่างสูงอยู่ในชุดเสื้อยืดสีนิลเช่นเดียวกับกางเกง ผมสีน้ำเงินเข้มพร้อมดวงตาคมสวยส่อแววเยือกเย็นปรากฎขึ้นเบื้องหน้า
ซวยแล้ว เพื่อนรักของข้า~ วิญญาณเจ้าอยู่แห่งใด มาช่วยข้าจากมัจจุราชที~!!
* แม่นางเอกของเรากำลังอัญเชิญวิญญาณต้นไม้~ <MISSTY>
“โอ๊ย เฟเมลเจ้าต้องติดเชื้อจากโรงพยาบาลแถวบ้ามาแน่ๆ อู๊ย เหยียบมาได้” เดย์ริเพื่อนทรยศผู้ถูกทำร้ายนั่งคลำฝ่าเท้าครางโอดครวญใส่ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นกลายเป็นสายตาอาฆาตพร้อมปลิบชีพเขาทุกเมื่อ
“เดย์ เจ้าเงียบไปเล๊ย” เธอตวาดลั่น
“เจ้าจะตะคอกเพื่อนข้าทำไม” ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยเสียงเย็นพร้อมสบดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมองมาพอดี
“แล้วเจ้าจะทำไม?” น้ำเสียงใสกล่าวอย่างหาเรื่อง มือบางกอดอกแน่นคล้ายนักเลง ดวงตาทั้งสองจ้องประสานกันนิ่งดุดันดุจมีประกายไฟแวบขึ้น แววตาของทั้งคู่ลุกโชนดั่งมีกองเพลิงสุมอยู่ภายใน
“วันนั้นเจ้าปารองเท้าใส่ข้าทำไม” ร่างสูงกล่าวว่าไปอีกเรื่อง
“ข้าตะคอกใส่เดย์เพราะมันขัดขวางการหนีของข้า” หญิงสาวก็ว่าไปนั่น
“หยุดกวนประสาทสักที” เสียงเรียบเย็นดังออกจากปากได้รูป
“ข้าไม่ได้กวนประสาท แต่เจ้ากำลังเปลี่ยนเรื่อง!” ปากอิ่มดูท่าจะไม่ยอมแพ้
“ข้าถามว่าเจ้าปารองเท้าใส่ข้าทำไม” คนย้อนอดีตยังคงยึดติดกับคำถามเก่า
“โว้ย! ทำไมเจ้าต้องย้อนถามเรื่องที่มันผ่านมาแล้วด้วยเล่า” น้ำเสียงหงุดหงิดก็เริ่มขึ้น
“ข้าสงสัย ข้าช่วยเจ้าแต่เจ้าทำร้ายข้า” หนุ่มคนเก่าก็ยังรักษามาดนิ่งได้ยอดเยี่ยม
“ก็เจ้าลวนลามข๊า” แต่ท่าทางหญิงสาวจะสติแตกไปเสียแล้ว
“ตอนไหน”
“เจ้าพุ่งใส่ข้าทำให้ข้าล้ม!” แม้ชายหนุ่มจะเอ่ยเสียงเบาแต่เธอกลับกำลังตะโกนใส่เหมือนคนบ้า...
“มีคนลอบทำร้ายเจ้า”
“โว้ย! นั่นมันชีวิตข้า เจ้าจะช่วยหาพระแสงอะไร!”
“เพราะถ้าเจ้าตายโลกคงเงียบเหมือนป่าช้า...”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด....หยาบคาย!!”
เจ้าชายแห่งธาร์เซทนั่งมองการทะเลาะของสาวเอะอะกับหนุ่มเสียงนิ่งไปพลางกินข้าวโพดคั่วไปพลาง ทำตัวเป็นผู้ชมที่ดีอย่างไร้ที่ติจนเริ่มมีคนทำตาม และแล้ว....
“ค่ะ ผู้ลงสมัครช่วยตามมาทางนี้ด้วยค่ะ” ละครของทั้งสองจึงถูกปิดฉากลงท่ามกลางความเสียดายคนดูนับสิบโดยเฉพาะหนุ่มที่นั่งอยู่นานสุด
“เดย์ เห็นทีข้าคงต้องกลับเสียแล้วล่ะ ที่นี่ไม่มีสิ่งที่ข้าต้องการแต่กลับมีสิ่งที่อยากผลักไสเสียนี่” ดวงตากลมเหล่กัดคนมาดเย็นข้างๆเพื่อนเก่า
“งั้นรึ แล้วเจ้าจะเดินทางกลับอย่างไรล่ะ?” ใบหน้างามนิ่งลงสนิทก่อนจะหงิกงอเธอลืมขากลับไปเสียสนิทเลย เงินที่เตรียมมาก็หมดเสียแล้วด้วย เดย์ริมองหน้าเพื่อนสาวอย่างรู้ทัน
“รอข้าแข่งเสร็จ เดี๋ยวเราค่อยกลับด้วยกัน” เฟเมลส่งยิ้มหวานให้เขา
“แห๊ะๆ เจ้าหนิไม่เคยเปลี่ยนเล๊ย รู้ใจข้าจริงๆเลยนะ 555+” คนหมดตังค์หัวเราะแห้ง แล้วพวกเขาก็ค่อยเดินตามกลุ่มของคนอื่นไป
.....................ต่อกัน!!............................
“แห๊ะๆ เจ้าหนิไม่เคยเปลี่ยนเล๊ย รู้ใจข้าเสียจริงๆ 555+” คนหมดตังค์หัวเราะแห้ง แล้วพวกเขาก็ค่อยเดินตามกลุ่มของคนอื่นไป
ร่างสูงที่รั้งท้ายผู้สมัครหยุดกึก ดวงตาสีน้ำเงินเข้มคมมองตรงไปยังพุ่งไม้ที่อยู่ไม่ห่างอย่างไม่ไว้ใจ แต่พอจะเดินเข้าไปใกล้เสียงใสก็ดังขัดส่งประโยคด่าทอออกมาแบบไม่ยั้ง จนขายาวต้องล้มเลิกความตั้งใจมุ่งกลับไปยังหญิงงามที่ยืนแว๊กๆอย่างไม่อายใคร
ทั้งหมดเดินตรงเข้าไปในปราสาทงามของเมืองแห่งสายน้ำ โดยมีสายตาของใครคนหนึ่งจับจ้องอยู่...
“เรย์ เจ้าจะไม่ประลองจริงรึ งานนี้อนุญาตให้สตรีแข่งขันได้นะ” เพื่อนเก่าของเธอถามขึ้นระหว่างเดินตรงไปยังลานกว้าง
“ไม่หรอก ข้าอยากได้แค่ผงชุบพันธุ์พืช” สาวผมเข้มตอบเสียงเอือยก่อนถอนใจแผ่วเบา
“เอาน่า ลงเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ” หนุ่มผมนิลส่งนัยน์ตาสีเขียวใสแจ๋ววิงวอนร่างบาง
“คิดเร๊อะว่าข้าจะอ่อนข้อให้เจ้าเหมือนวันวาน” รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้าเนียน
“โธ่ เฟเมล เจ้าลงไปเถอะ” เดย์ริยังคงรบเร้าไม่เลิกราจนเด็กสาวผมสีอ่อนรำคาญ
“อะไรกันนักเล่า! ข้าไม่ลงแล้วจะทำไม! อนาคตลูกข้าจะต้องมาตกระกำลำบากกับงานบ้านี่แทนข้ารึไรกัน!” เฟเมลหันไปประชดใส่เขาเสียดังลั่นจนบุรุษมาดนิ่งต้องเดินเข้ามาห้ามทัพ
การแข่งขันเริ่มขึ้น ณ ลานกว้าง การต่อสู้ของเหล่าบุรุษและสตรีต่างน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก แต่ละคนเชี่ยวชาญกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นหญิงร่างเล็กที่พึ่งฟันสตรีนักกล้ามล้มอย่างไม่ยากเย็นหรือเด็กชายร่างเตี้ยที่คุณสมบัติเปี่ยมล้นเอาชนะนักดาบร่างเปรตไปได้ด้วยเวลาเสี่ยววินาทีแล้วยังมีคนผมเงิน นัยน์ตาสีเลือดคล้ายแวมไพร์ที่นั่งคุยเล่นกับเธอฆ่าเวลาเมื่อครู่เขาสามารถใช้เวทย์อ่านใจได้อีกด้วย งานเทศกาลนีเวกรีนนี่ก็สนุกกว่าที่เธอคาดไว้เสียอีก
ขณะนี้ผู้เข้าแข่งเริ่มลดน้อยลงไปทุกขณะ กลางลานประลองกว้างมีร่างสูงสง่าหล่อเหลาและบุรุษหน้าบากตัวโตกำลังโค้งคำนับเตรียมการต่อสู้กันอยู่ การโค้งที่สง่างามของเขาเรียกเสียงจากผู้ชมได้อย่างกึกก้องทำเอาเจ้าหญิงถูกกับหน้างอ แค่ชายหนุ่มขยับเสียงกรี๊ดกร๊าดของเหล่าสตรีก็ดังลั่นจนแสบแก้วหูไปหมด น่ารำคาญจริงๆ
แต่ที่เห็นจะกรี๊ดดังที่สุดก็คงไม่แพ้หนุ่มหน้าหล่อที่ประทับข้างกษัตริย์ซีเรสแห่งโนเวีย แถมยังไม่พอส่งสายตาแทะโลมไธรัสอีกนั่น! เห็นแล้วน่าหมั่นไส้จริงๆ แต่ก็เสียดายความหล่อของเจ้าชายหนุ่มเสียมากกว่า เฮ้อ~ ไม่น่าเบี่ยงเบนทางเพศเล๊ย และราวกับคนถูกนินทาจะมีประสาทสัมผัสที่ 8 ทำให้เขามองตรงมายังสาวงามที่จับจ้องอยู่แต่แรกทั้งคู่สบตากันนิ่งก่อนเจ้าชายจะส่งสายตาประหลาดมาให้หล่อน
‘ข้าไม่สนใจคนน่าเกลียดอย่างเจ้าหรอก’ (แม่นางเอกเราช่างเก่งกล้า มีวิชาอ่านภาษาตาได้ซะด้วย!!)
หญิงสาวที่เห็นสายตาแบบนั้นก็ถึงกับตาโตจ้องเขม่งไปยังใบหน้าหล่อแล้วตอกกลับ
‘อย่างเจ้าใครเขาจะไปสนลง’ และดูเหมือนความบ้าของทั้งคู่จะพอๆกันทำให้เจ้าชายซีต้าส่งสายตาต่อมาอีกว่า
‘เจ้าเป็นใคร!บังอาจมาก!’ หญิงสาวยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบกลับ
เอ่อ....ไม่ใช่ความผิดข้านะ
กรี๊ดดดดดดดดดดดด
เสียงร้องของเหล่าสตรีทำให้เธอพึ่งรู้ว่าการแข่งนั้นจบลงแล้วและผู้ชนะรอบนี้จะเป็นใครเสียอีกเล่าหากมิใช่ไธรัส หนุ่มรูปงามจากอาซาเรส ดูซิ มั่วแต่ทะเลาะกับนายโรคจิตเลยไม่ทันรู้ความสามารถของเขาเลย เห็นเจ้าเดย์ริเล่าว่าเก่งนักเก่งหนา
ไธรัสหันมองคนที่นั่งชมอยู่ในที่นั่งรับรองผู้เข้าแข่งอย่างอภิสิทธิ์ พบดวงตาใสแจ๋วของสาวหน้าตาน่ารักที่จ้องมองมา มุมปากเรียวได้รูปจึงส่งยื้มบาดใจไปให้เธอเรียกเสียงกรี๊ดจากผู้คนให้ดังขึ้นอีกระลอก (และดังเป็นพิเศษเมื่อเจ้าชายหันกลับมากรี๊ดกับรอยยิ้มบาดลูกตานั่น)
เฟเมลเบนหน้าหนีอย่างไม่เข้าใจ รอยยิ้มของเขา... พอเหล่มองอีกครั้งเธอก็แทบหลบสายตาอ่อนโยนนั่นเสียไม่ทัน เลือดในกายสูบฉีดแรงขึ้นอย่างฉับพลันและเหนือสิ่งอื่นใดเสียงตึกตักรัวเร็วที่ดังจากทรวงอกยิ่งคล้ายจะบอกให้รู้ถึงความหมายของมัน
ความรู้สึกนี้ มันคืออะไรกัน!
ณ ลำธารริมปราสาทงาม
เจ้าหญิงน้อยกำลังเดินทอดน่องอยู่ริมธารน้ำใส ท้องฟ้าไร้เมฆดูสดใสเป็นพิเศษถือเป็นวันดี ร่างบางหยุดลงริมทางเธอค่อยๆก้มลงและเด็ดดอกไม้ต้นน้อยขึ้น ใบหน้าหวานเปื้อนรอยยิ้มช่างดูงดงามราวเทพธิดาก็มิปาน
“สวยจัง” เสียงใสอุทานขึ้นพร้อมมองสิ่งบอบบางที่อยู่ในมือพลางเอ่ยต่อ
“เอาไปให้อีตาลามกดีมั้ยน้า...อุ๊บ” แต่แล้วเสียงของเฟเมลถูกปิดลงด้วยมือหยาบกร้านของใครบางคน ดอกไม้จิ๋วหล่นลงกับพื้นหญ้าแล้วลำคอระหงก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง บางสิ่งที่คล้ายแท่งเหล็กเย็นซึ่งพร้อมจะเสียดแทงทุกเมื่อ
ไม่นะ โจรเรียกค่าไถ่!!
แขนเรียวพยายามดิ้นให้หลุดพ้นและร่างก็ต้องหยุดชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงกระซิบที่ดังจากเบื้องหลัง
“เจ้าหญิงเฟเมล ท่านอย่าได้หาเรื่องใส่ตัวเลย ข้าต้องการเพียงแค่เงินเท่านั้น หากท่านขัดขืนอย่าหาว่าข้าเตือน!” เสียงกระซิบขู่ดังลอดออกจากผ้าปิดปากสีทะมึน หากเธอยอมทำตามไปเธอก็อาจจะมีทางรอด
ไม่น่าหนีเรียนวิชาเวทมนต์เลยเรา
ร่างบางถูกฉุดกระชากไปตามทางเรื่อยจนถึงประตูวังแต่ทหารวังก็ยังคงยืนคุมกันอยู่อย่างแน่นหนาแถมยังมีทหารวังอาซาเรสและธาร์เซทมายืนพูดคุยกันอยู่อีกนั่น โจรเรียกค่าไถ่จึงเริ่มดูลนลานขึ้น หญิงสาวลอบมองเขาเป็นระยะเพื่อหาจังหวะหนี
ร้องเลยดีมั้ย...ไม่ล่ะ เดี๋ยวกลายเป็นยิ่งแย่
ส่งสัญญาณเหรอ... ไม่ได้มือโดนมัดเรียบ
ส่งสายตาหรือ... ไม่ง่ะเดี๋ยวหาว่าหนูอ่อย
จะทำอย่างไงดีเนี่ยเรา!!
..
บุรุษรูปงามหันซ้ายแลขวามองรอบทิศหาร่างบางที่เมื่อครู่ยังนั่งมองการต่อสู้ของเขาอยู่หยกๆ นี่เขาก็เดินออกมาไกลจากห้องรับรองแล้วนะแต่ทำไมยังไม่เจอคนปากดีอีกล่ะ นางไปไหนกัน? พอมองย่างเข้ารอบที่ร้อย นัยน์ตาสีครามเข้มก็หยุดกึกและหรี่ลงใกล้พุ่มไม้ไหวติง ร่างสูงเดินฝ่าฝูงชนตรงดิ่งเข้าไป มือหนายื่นเข้าใกล้พุ่มไม้เตี้ยและกระชากสิ่งนั้นออกมาอย่างรุนแรง
“โอ๊ย~ ข้าเจ็บนะท่าน”
“มาร์ส?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจก่อนมือหนาจะปล่อยร่างองครักษ์คนสนิทให้หล่นลงพื้นดังปั๊กอย่างไม่ใยดี
“อ๊าก! บั้นท้ายข้า~” หนุ่มหน้ามนร้องลั่นอย่างเจ็บปวดมือของเขากุมสิ่งที่พึ่งจูบธรณีอย่างจัง น้ำตาใสเล็ดออกจากนัยน์ตาเรียวสีทองพลางจ้องคนเป็นนายอย่างตัดพอ หนุ่มผมดำค่อยๆพยุงตนขึ้นโดยปราศจากการช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้น
คนใจดำ~
“มาทำไม?” คำถามเย็นชาดุจติดลบพร้อมสายตาเย็นเยือนถูกส่งมาเป็นการทักทาย
“ก็มาคุมความประพฤติของใครแถวนี้ที่แอบหนีตามเพื่อน ออกตามหาหัวใจซะไกล.. อ๊าก!” เสียงพูดถูกขัดด้วยพระบาทงามของเจ้านายตนที่เหยียบเต็มแรงใส่เท้าของเขาทำเอาคนเจ็บถึงกับน้ำตาพราก
“เท้าข้า~” ชายหนุ่มร้องลั่นโหยหวน มือก็คลำฝ่าเท้าใต้บู๊ทสีเข้มยกใหญ่
คนประทุษร้ายมองอย่างเฉยชาและ...เมินออกเดินตามหา หัวใจ ต่อทิ้งไว้แต่หนุ่มน้อยร่างผอมที่มองตามอย่างเคียดแค้น
“รอข้าด้วยสิท๊าน~” แต่อย่างว่าเขาเป็นเบี้ยล่างของเจ้านาย มีหรือจะกล้าตอบโต (ได้อายุสั้นกันพอดี)
เจ้าชายไธรัสแห่งอาซาเรสหยุดและหันกลับมารอองครักษ์ชั่วครู่ก่อนเดินต่อ รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนต่ำศักดิ์ที่ได้เป็นถึงเพื่อนของเจ้าชาย... เพราะแบบนี้สินะเขาถึงไม่ยอมออกห่างจากหมอนี่
ทั้งสองเดินเข้าไปในเขตผู้เข้าแข่งแล้วนั่งรอการแข่งขันต่อแล้วก็หยุดลงบนที่นั่งแถวนั้น บุรุษผมนิลมองรอบด้านอย่างตื่นเต้นกับความยิ่งใหญ่ของเทศกาล ช่างแตกต่างกับคนข้างตัวที่กำลังนั่งกุมมือหน้านิ่งราวฟ้ากับดิน แต่ภายใต้ความนิ่งเฉยใครจะไปรู้ได้ว่าจิตใจของเทพบุตรคนนี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่
นางไปไหน? ทำไมยังไม่มา? หรือว่าจะอยู่กับเดย์... อย่างไรเสียก็ขอให้เป็นอย่างงั้นเถอะ...
“อ้าว! มาร์สมาได้ไงเนี่ย?!” เสียงทักเรียกสายตาของทั้งคู่ให้เงยสบ
“ท่านเดย์ ไม่ได้พบกันเสียนาน สบายดีมั้ยขอรับ!” มาร์สเอ่ยทักกับเพื่อนสนิทของเจ้านาย เดย์ริมองเขาชั่วครู่ก่อนตอบ
“สบายดีสิ ว่าแต่ไธรัสเจ้ามองหาอะไรอยู่? แล้วเฟเมลล่ะไปไหน?” พอสิ้นเสียงร่างโปร่งก็รีบรุกขึ้นและวิ่งจากไปอย่างไม่ตอบกลับ เดย์ริมองร่างของเพื่อนซี้อย่างงุนงง ก่อนมองคนข้างตัวที่ได้ชื่อว่าเป็นองครักษ์เอกอย่างสงสัย แต่หนุ่มผมดำก็ได้แต่หลับตาส่ายตัวอย่างไม่เข้าใจเช่นกัน
หรือว่า...!!
อัพเพิ่มเน้
“ท่านจะดิ้นรนไปถึงไหน ท่านก็รู้อยู่ว่ามันไร้ประโยชน์!!” เสียงกระซิบขู่ดังขึ้นข้างหู ดวงตาโตของสาวงามเหล่มองอาวุธเย็นที่ประชิดเข้ากลางหลังอีกครั้งก่อนมองชายโฉดอย่างเย็นชา
“ แต่ในเมื่อที่แห่งนี้มีทหารยามอยู่เต็มไปหมด เจ้าล่ะจะเอาตัวรอดได้อย่างไร”
วาจาของนางเหมือนฉุดให้โทสะของเขาให้เริ่มคุกรุ่น โลหะเย็นจากกลางหลังถูกเลื่อนขึ้นไปถึงท้ายทอยแล้วพลักร่างบางตรงหน้าให้เดินต่อ
เฟเมลซึ่งไร้หนทางที่จะขัดขืนจึงได้แต่เดินไปตามตรอกแคบๆที่เงียบสงัด...
ไธรัส... เดย์ริ.... หรือใครก็ได้โผล่ออกมาช่วยข้าที~
ในขณะเดียวกัน
ร่างสูงวิ่งออกจากราชวังมุ่งไปสู่ตลาดที่ไร้ผู้คนสัญจร ผมสีครามพริ้วตามความเร็วของฝีเท้าที่ยังคงรักษาระดับแม้จะวิ่งมานานเกือบชั่วโมงแล้ว นัยน์เนตรสีเข้มมองผ่านตัวเมืองเพื่อหาเธอผู้มีผมสีน้ำตาลทองอย่างกระวนกระวายใจ
บางครั้งร่างโปร่งก็หยุดแวะถามหาเธอผู้นั้นแต่กลับไม่มีใครพบเห็นแม้แต่น้อย ทำไมเขาถึงไม่รีบออกมา... ทำไมถึงคาดสายตาจากนาง.... เขามันช่างโง่ยิ่งนัก ก็รู้อยู่ว่าอันตรายแต่กลับยอมปล่อยให้นางเดินเล่นไปทั่ว รู้ทั้งรู้ว่าทหารของนาซีลกำลังตามหา แต่เขากลับไม่ส่งตัวนางกลับคืนเพียงแค่เพราะ....อยากเห็นรอยยิ้มน่ารักนั้นนานๆ เขามันเห็นแก่ตัวที่สุด!!
ขาเรียวสาวเท้าเร่งความเร็วขึ้นและเริ่มวิ่งเข้าออกตรอกซอยเป็นพัลวัน
“แหกๆ” เสียงหอบเบาดังลอดออกจากปากบางของเขาเล็กน้อย ไธรัสหยุดวิ่งพร้อมเอนตัวพิงกำแพงอย่างหมดแรง แขนแกร่งยกขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าออกก่อนเงยขึ้นมองฟากฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี
ตะวันกำลังจะตกดิน...
ว่าแล้วเจ้าชายแห่งอาซาเรสก็เริ่มออกวิ่งต่ออย่างสุดชีวิตแม้ร่างกายจะอ่อนแรงแค่ไหน แต่เพื่อตามหาเธอผู้นั้น เขาต้องทำ!
เสียงหอบเป็นระยะๆของชายหนุ่มเริ่มรุนแรงขึ้นตามลำดับ บัดนี้ท้องนภากำลังจะเป็นสีครามแล้ว หนุ่มผมน้ำเงินยืนหอบแหก แขนทั้งสองกุมหัวเข่าอย่างเหนื่อยล้าอยู่กลางถนนสายสุดท้ายของเมือง ทหารวังนาซีลและธาร์เซทยังคงเดินตระเวนอยู่กันคับคลั่งเพื่อตามหาคู่หูคนสำคัญ ผู้ชนยังคงเบาบางเพราะต่างพากันไปร่วมงานประลอง ณ วังหลวง กันหมด
เหนื่อยเหลือเกิน นางอยู่แห่งใดกันแน่.... ภูติแห่งสายน้ำโปรดช่วยนางด้วยเถอะ
ไธรัสตัดสินใจจะออกวิ่งอีกครั้ง แต่แล้วดวงตาคมก็สบกับบางสิ่ง ร่างหนาของชายฉกรรจ์ภายใต้ผ้าคลุมสีทะมึนกับสาวผมสีน้ำตาลอ่อน ไม่ผิดแน่!!
คิดได้ดังนั้นเขาก็รีบวิ่งออกตรงไปยังทั้งสองทันที โดยที่เจ้าชายหนุ่มไม่ทันสังเกตถึงสายตาอ่อนโยนซึ่งทอดมองเขาจากบนต้นไม้ใหญ่ริมทาง
“โชคดีนะ...หนุ่มน้อย” แล้วร่างนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมโดดดิ่งลงสู่แม่น้ำเย็นเชียบแห่งโนเวีย
.
“ใกล้จะออกจากตัวเมืองแล้ว องค์หญิงท่านคงรู้นะว่าควรทำอย่างไร” เสียงกระซิบเบาของบุรุษร่างโตดังขึ้นอีกครั้งรวมทั้งโลหะเย็นที่แทงเข้าเอวบางเล็กน้อยเหมือนยำในสิ่งที่เขาต้องการ ส่งผลให้ใบหน้าหวานต้องรีบพยักหน้ารับอย่างเจ็บปวด
ถ้าข้ารอดไปได้ อย่างหวังได้อยู่ดูโลกนี้ต่อไปเลย!
แต่ก่อนที่เฟเมลจะเดินผ่านประตูเมืองอยู่ๆร่างของเธอก็ถูกกระชากอย่างแรงแล้วมือหนาก็กดเรือนผมสวยลงทาบกับอกกว้างดวงหน้างามเงยขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไธรัส...” เสียงใสอุทานแผ่วเบาหัวใจรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมากถนัด รอด... รอดแล้วเรา~ แต่ทำไมหัวใจของเธอถึงได้เริ่มเต้นไม่เป็นส่ำซะแล้วล่ะ!!
อัพต่อ เอิ๊กๆ...............................
นัยน์เนตรที่มักเฉยชาบัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นดุจไฟบรรลัยที่ลุกโชน ใบหน้าคมแน่นิ่งแต่กลับสยอบทุกความเคลื่อนไหวได้อย่างชะงัด อ้อมแขนแกร่งกระชับแน่นเหมือนย้ำแสดงความเป็นเจ้าของร่างเล็กที่ใครหลายคนต่างตามหากันอยู่
ไธรัสก้มมองสตรีในอ้อมกอดแล้วก็เริ่มสำรวจร่างกายบอบบางที่แสนห่วงหาด้วยดวงตาไหววูบ
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงแผ่วกระซิบเบาอย่างอ่อนโยนทำเอาสาวน้อยหน้าแดงถึงกับรีบส่ายพักตร์เป็นพัลวัน
สองสหายผู้ซึ่งวิ่งออกตามหาเช่นเดียวกันแหวกทางฝูงชนที่ยืนมุ่งกันอยู่แล้วตรงดิ่งไปยังร่างสูงผมครามแสนสะดุดตา
“เฟเมล!” หนุ่มเจ้าของตาสีมรกตร้องเรียกเพื่อนสาวที่ทำเอาเขาแทบใจหายใจคว่ำ
มุมปากเรียวของร่างสูงกระตุกยิ้มเล็กแก่เพื่อนก่อนผลักร่างบางส่งให้เจ้าชายแคว้นธาร์เซท มือหนาของเดย์ริเข้าพยุงเธออย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นดังนั้นใบหน้าคมจึงหันกลับไปสบชายชกรรจ์ในผ้าคลุมสีนิลเข้ม รอยยิ้มอ่อนโยนถูกกลืนกินด้วยรังสีอาฆาตในชั่วพริบตา ความกลัวเริ่มก่อตัวทั่วบริเวณเพียงเพราะชายคนนี้เท่านั้น!!
“เจ้าเป็นใครมายุ่งอะไรกับเมียข้า!!” ชายชกรรจ์ตวาดว่าโมเมไปนั่น ซึ่งเขาหารู้ไม่เลยว่าคำพูดนั้นกลับกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นยอดที่ช่วยให้ไฟที่สุมอยู่ในใจของเขาเริ่มลุกโชนมากยิ่งขึ้น
“เมียเจ้า...แต่คนรักข้า!” หญิงสาวต้นเรื่องสะดุ้งโหยง ดวงหน้างามจากเผือดสีกลับแดงซ่านทันทีที่ได้ยิน
คะ....คนรัก!?! นี่หมอนั่นคิดอะไรอยู่กันเนี่ย!
“จะบ้าเหรอ นั่นเมียข้านะ คืนนางมาเดี๋ยวนี้!!” โจรยังคงไม่เลิกลากุเรื่องราวต่อ ยิ่งได้ยินเขาก็ยิ่งทนไม่ได้
“หรือนี่เป็นชู้ของเจ้า นางตัวดี กลับไปข้าจะเฆี่ยนให้หลากจำ!” พูดไม่พอยังทำท่าเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวร่างเล็กที่เกาะชายเสื้ออีกสองหนุ่มแน่น
โว้ย! สุดจะทดแล้ว~
เปรี๊ยะ เส้นโทสะของไธรัสขาดลงในที่สุด...
“บังอาจ! เจ้าแตะต้องนางยังไม่พอพูดจาสามหาวอีกหรือ........ เตรียมรับบทลงโทษที่สาสมได้เลย!” เสียงกร้าวที่ไม่มีผู้ใดเคยประสบดังก้องทั่วทิศ ท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนตะวันที่ควรจะทอแสงสีส้มดังเช่นทุกวันกลับหายลับไปอย่างน่าประหลาด เมฆครื้มสีเข้มก่อตัวขึ้นไวราวโกหก แล้วสาดฟ้าก็ฟาดลงมาใกล้จุดของผู้สัมเดงเวท เสียงหวีดร้องดังระงมพร้อมกับประชาชนที่เริ่มวิ่งเอาตัวรอดหลบสายฟ้าที่เกิดจากอารมณ์ของเทพบุตรรูปงาม
สายฝนเริ่มโปรยปรายลงสู่ท้องปฐพี ทำให้ทุกคนต่างพากันหยุดมองฝากฟ้าแต่หยาดฝนที่ควรเป็นน้ำสีใสสะอาดตากลับส่งกลิ่นคาวคุ้ง องค์รักษ์เอกสัมผัสสิ่งที่โปรยปรายลงมาอย่างหนักหน่วง มาร์สลิ้มรสน้ำสีแดงสดพร้อมเบิกตากว้างอย่างตะลึง นี่มันฝนเลือด!! เจ้านายของเขากำลังจะ....!
“ท่านเดย์ เจ้านายข้ากำลังสติแตก~” คำพูดของมาร์สทำให้เดย์ริถึงกับผงะ ใบหน้าหล่อดูตกใจเอาการจนหญิงข้างๆอดถามเสียไม่ได้
“แล้ว....?” ดวงตาใสจ้องหนุ่มทั้งสองเข็นหาคำตอบ ดวงตาสีเขียวสบดวงตาสีนิลชั่วครู่
“เวลามันสติแตก มันจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป” เดย์ริว่า
“ถ้าปล่อยไปนานๆ ด้านมืดของนายท่านจะครอบงำจิตวิญญาณของท่าน นายท่านจะกลายเป็นปีศาจอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งไม่ใครสามารถหยุดท่านได้ เว้นเสียแต่....” หนุ่มผมนิลกล่าวแล้วหยุดลง
“เว้นแต่อะไรล่ะ!?”
“รอให้นายท่านได้ในสิ่งที่หวัง และในตอนนี้สิ่งที่ท่านต้องการก็คือการลงโทษที่สาสมแก่ชายผู้นั้น...”
เจ้าหญิงเฟเมลถึงกับชาไปทั้งตัว ไธรัสกำลังจะปลิดชีพโจรผู้นั้น!! ว่าไปมันก็สาสมแล้วล่ะบังอาจมาทำเธอ 555555555+ เอ้ย! ไม่สิ เรื่องนี้เธอเป็นนางเอก งั้นเธอต้องห้ามเขาไว้!
(แม่ของนางเอกต่างหาก <<MISSTY - -“)
แล้วไวเท่าความคิดเด็กสาวก็รีบวิ่งฝ่าสายฝนเลือดไปยังหนุ่มผู้กำลังจะเปลี่ยนร่างเป็นปีศาจ
“ข้ากลัวแล้วคร้าบบ” เสียงโหยหวนอย่างเหน็ดเหนื่อยจากการหลบสายฟ้าฟาดนับครั้งไม่ถ้วนเพียงแค่คนตรงหน้ากระดิกปลายนิ้ว
ทำไมผลของการลักพาตัวเจ้าหญิงถึงกลายเป็นเยี่ยงนี้เนี่ย! รู้งี้เชื่อพ่อ ไม่ทำซะเลยยังดีกว่า~
“จ๊าก!” เขากระโดดหลบสายฟ้าอย่างหวุดหวิด น้ำตาเริ่มเล็ดด้วยความหลาดกลัวที่ยากเกินบรรยาย ร่างกายทรุดลงคุกเข่ากับพื้นพร้อมมือที่ประสานกันแน่น
“ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถอะ” โจรปากกล้าเมื่อครู่กำลังหลับตาปี๊ของชีวิตเด็กรุ่นน้อง มือก็เริ่มลั่นแรงขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องดังโครมคร้าม ไธรัสมองคนเบื้องหน้าอย่างสมเพชแววตาเฉยชาเหมือนมีดคมกริบที่ปลิดชีพได้เพียงการสบตา ร่างกายของทั้งคู่ชุ่มไปด้วยสายโลหิตที่ยังหลั่งไหลโดยไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดเสียน้อย
“สิ่งมีชีวิตอย่างเจ้า สมควรตาย!” ว่าแต่สายฟ้าก็ฟาดใส่คนน่าสมเพชซึ่งหมดแรงที่จะหนีแต่แล้วดวงตาสมเพชเมื่อครู่ก็ต้องเบิกกว้างเมื่อร่างบางพุ่งเข้าผลักโจรแล้วเอาตัวเข้ารับแทน
“เฟเมล!” เสียงของไธรัสดังลั่นไปทั่วสารทิศ
ใบหน้าเนียนหลับตาแน่นเตรียมรับความเจ็บปวดจากสายฟ้าที่กำลังจะปะทะ
แต่เอ๋? ไม่รู้สึกเจ็บอย่างที่คาดแห๊ะ หญิงสาวหรี่ตาเล็กมองแต่กลับไร้ซึ่งแสงวาบแบบเมื่อครู่ มือบางคลำร่างกายอย่างสำรวจแล้วจึงหันไปหาต้นเสียงสถบจากเจ้าของพลังเมื่อกี้
“เจ้าหยุดสายฟ้า?” เฟเมลเอ่ยพรางลุกขึ้นมองคนที่กุมขมับแน่นเหมือนระงับอารมณ์
“ขวางทำไม?”
“เอ๋?” หญิงสาวตอบรับหน้าตาเหลอหลา
“ข้าถามว่าเจ้าจะขวางทำไม!!” เสียงตะคอกทำเอาร่างเล็กถึงกับสะดุ้งมองหนุ่มปีศาจนิ่งออกส่งยิ้มแห้ง
“ก็....ก็ ข้าไม่อยากให้เจ้าฆ่า...”
“ทั้งๆที่มันกำลังจะทำร้ายเจ้าเนี่ยนะ” เสียงทุ้มขัดขึ้น
“......”
“ไม่รู้เลยรึไงกัน ว่าข้าตกใจแค่ไหนที่เห็นเจ้าเข้ามาขวาง”
“......”
“รักมันอย่างงั้นรึ!”
“บ้า! ใครจะไปรักโจรกันเล่า!” เสียงหวานตอกกลับอย่างเหลือทน
“......”
“เจ้ารู้ตัวมั้ยว่ากำลังจะฆ่าคน!!”
“ก็มันบังอาจมาแตะต้องเจ้า” ไธรัสเริ่มเอ่ยเบาลงในขณะที่อารมณ์ของหญิงสาวกลับฉุดไม่อยู่
“ข้าไม่อยากให้เจ้าทำร้ายใคร ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย!! แล้วจะฆ่าเขาไปทำไม เจ้าน่ะมีหัวใจบ้างมั้ย เห็นมั้ยว่าเขากลัวขนาดไหน แต่ละคนเขาก็มีเหตุที่ต้องทำด้วยกันทั้งนั้นแหละ!!”
“แต่ข้าทนไม่ได้ที่มันทำร้ายเจ้า...ทำร้ายคนที่ข้ารัก!!” คำตะโกนของชายหนุ่มทำให้สาวคนถูกสารภาพถึงกับชะงัก
“ข้ามีความสุขทุกครั้งที่อยู่ใกล้เจ้า ใจเต้นทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มเจ้า และ โมโหทุกครั้งที่เจ้าอยู่กับชายอื่น” เสียงของเขาเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ แต่กลับเรียกโลหิตในกายเฟเมลให้พุ่งพล่าน
“เจ้าทำให้ข้ากลายเป็นเยี่ยงนี้!!” ชายหนุ่มก้มหน้านิ่งอย่างสิ้นหวัง นางคงเกลียดเขาเข้าไส้เสียแล้วล่ะ...
“ข้าก็เหมือนกัน!!” เสียงหวานฉุดให้หนุ่มหน้าคมมองเธออย่างตกตะลึง เฟเมลก้มหน้างุดมองเท้าตนนิ่งก่อนเอ่ยต่อ
“ใจเต้นที่เห็นรอยยิ้มเจ้า เขินอายเมื่อเห็นสายตาเจ้า... ข้าก็เป็น!!” สิ้นคำคนพูดก็ถึงกับตกใจเมื่อได้รับอ้อมกอดอุ่นวาบไปทั่วกาย มือเรียวบางค่อยๆยกขึ้นกอดตอบชายหนุ่มเบื้องหน้าแม้จะสัมผัสเบาแต่กลับแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งเหลือคนา
เมฆครื้มเลือนหายไปคงเหลือไว้เพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องร่างของชายหญิงไว้ น้ำฝนหยาดใสเริ่มตกพร่ำดุจจะลบล้างโลหิตที่พึ่งโปรยปราย และชำละล้างความในใจของทำสองให้กระจ่างแจ้ง
เดย์ริ เจ้าชายหนุ่มผมนิลเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตใสกับอง์รักษ์เอกเจ้าของดวงตาและเรือนผมสีทะมึนมองการพลอดรักของทั้งสองอย่างนิ่งงัน แล้วผู้สูงศักดิ์ก็เปิดบทสนทนา
“มาร์ส....”
“ขอรับ....”
“ท่าทางเราจะกลายเป็นหมาหัวเน่าไปเสียแล้วสิ....” ดวงตาสีเขียวเปรยมองลูกน้องของเพื่อนสนิทนิ่ง
“นั่นสิครับ...” ดวงตาสีนิลของผู้น้อยเหล่สบเช่นเดียวกันแล้วทั้งคู่ก็ผ่อนลมหายใจพร้อมกัน
รักกันซะงั้น.....
ทหารที่พากันยกโขยงมาพากันรุมจับตัวร่างชายฉกรรจ์ที่นอนแน่นิ่งสลบตั้งแต่ตอนที่เจ้าหญิงคนสวยผลักเข้าเต็มแรงแล้ว
เจ้าหญิงน้อยจากนาซีลถูกพาตัวกลับบ้านเช่นเดียวกับเจ้าชายแห่งธาร์เซทแล้วงานเทศกาลนีเวกรีนก็ล้มไม่เป็นท่าตั้งแต่มีฝนเลือดตกใส่หน้าเจ้าชายซีต้า.....
ซึ่งพระองค์ก็อาละวาดจนงานแตกไม่มีชิ้นดี........
..................................................................................................
ในที่สุด เจ้าหญิงงามแห่งนาซีลก็ได้รู้ว่าคนที่ตนรักคือเจ้าชายรูปหล่อรัชทายาทคนสำคัญแห่งอาซาเรสที่ใครๆก็ต่างเกรงกลัว
รักของทั้งสองจึงไปด้วยกันอย่างราบรื่น (ติดก็แต่ท่านพ่อตาหวงลูกสาวเล็กน้อย)
ทั้งคู่ตกลงปลงใจที่จะแต่งงานกันแต่ก่อนวันอภิเสษ
.
“ทำไมเจ้าชอบทำหน้าเหมือนบอกบุญไม่รับนักนะ เห็นแล้วข้าหงุดหงิด!” ว่าที่เจ้าสาวเอ็ดหนุ่มหน้าตายที่ยังคงนอนนิ่งหูหวนลมอยู่บนเตียงนุ่มในห้องหรูของเขาเองและวันนี้ก็เป็นอีกวันที่หญิงงามนามเฟเมลเริ่มวีดแตกเพราะใบหน้าของเขา
มือเรียวจิ้มมุมปากของใบหน้าคมแล้วแยกออกเฉียงขึ้นให้ดูเหมือนรอยยิ้ม
“ยิ้มสิ ยิ้มเป็นมั้ย” เธอพูดพลางขยับนิ้วให้ปากเรียวนั่นได้รูปทรง แต่ดูเหมือนหมาแยกเขี้ยวเสียมากกว่า
ดวงหน้าหวานที่ยามแรกบูดบึ้งแปลเป็นยิ้มแย้มขึ้นมาเมื่อเริ่มมันมือ จากมุมปากเปลี่ยนเป็นขยับหางตาบ้าง แก้มบ้าง หูบ้าง ทำเอาเจ้าของร่างถึงกับขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความรำคาญ (แต่ก็ยังรัก)
“นี่แน่ะๆ ปากจู๋เหมือนปลาบู่” มือนุ่มดันแก้มทั้งสองของชายหนุ่มให้เข้าหากันส่งผลให้ปากเรียวบีบเข้า ดวงตาสีน้ำตาลมองอย่างขำๆก่อนระเบิดเสียงหัวเราะทั้งๆที่ยังไม่ปล่อยมือ
คนนอนชักหมั่นไส้คนตัวเล็กขึ้นมาตะหงิดๆ แล้วจู่ๆความคิดหนึ่งก็บังเกิดขึ้น
หนุ่มผมครามว่าที่เจ้าบ่าวฉุดเจ้าหญิงขี้แกล้งเข้าหาตนอย่างแรงทำเอาร่างบางเซล้มทับใส่เขาอย่างจัง ใบหน้าหวานแนบชิดอกกว้าง เสียงหัวใจของหนุ่มสูงเริ่มเต้นถี่รั่วขึ้นเช่นเดียวกับเธอ แต่พอเฟเมลจะลุกขึ้นก็กลับถูกคนตัวโตกดแผ่นหลังไว้เสียแน่น
“ทะ... ไธรัส! เดี๋ยวมีคนมา” หญิงสาวเอ่ยเสียงกุบๆกับๆแก้มนวลเริ่มแดงซ่าน เรียกรอยยิ้มของคนมาดตายให้ปรากฎ
นางทำให้เขายิ้มได้เสมอ...
แล้วปากเรียวของหนุ่มงามก็ประทับแนบพวงแก้มแดงนั่นอย่างห้ามไม่อยู่ จึงได้รับกำปั้นงามของสาวน้อยไปเสียหลายตุบเป็นของตอบแทน มีหรือเขาจะกลั้นหัวเราะได้
“หวานกันเชียว....” เสียงหวานเล็กทำให้ทั้งคู่หยุดการกระทำลงทั้งคู่ผละออกจากกันก่อนมองไปยังต้นเสียงจากหน้าต่างแขกไม่รับเชิญผู้นั่งมองพวกเขาตาไม่กระพริบ ใบหน้ายิ้มของชายหนุ่มกลับเป็นบึ้งบูดตามเคย ผิดกับหญิงสาวข้างตัวที่เลือดสูบฉีดขึ้นหน้าดุจลูกตำลึงสุก
“มิคาเอล....” เสียงเข้มทุ้มเอ่ยขึ้นคล้ายฉงน
“555+ ข้าคงไม่ได้ขัดจังหวะอะไรพวกท่านหรอกใช่มั้ย?” แล้วหญิงสาวในชุดแสกสีดำวาวก็ลุกขึ้นเดินดิ่งมายังชายหนุ่ม
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน อืม...6 ปีได้มั้ง หล่อขึ้นเยอะนะเรา”นิ้วเรียวไล้ไปตามใบหน้าคม แต่เจ้าตัวกลับไม่แยแส แต่ก็เรียกสายตาสงสัยของว่าทีเจ้าสาวได้ดี
“มีอะไร?”
“โธ่ๆ เพื่อนเก่ามาเยี่ยมทั้งที ทักทายกันแบบนี้ได้ไง” น้ำเสียงตัดพอดังลอดริมฝีปากอิ่มของสาวเปรี้ยว เธอทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเขาก็เริ่มรุกรานไปตามบ่ากว้าง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองอย่างตะลึง
“เจ้าต้องการอะไร...” แต่ไธรัสก็ยังคงรักษาน้ำเสียงได้อย่างไร้ที่ติ มิคาเอลดึงคอของหนุ่มหล่อเข้าใกล้ก่อนกระซิบข้างหู
“ข้าต้องการ...ตัวเจ้า”
“เฮ้ย!!” สาวอีกคนที่ได้ยินถึงกับใจหายวาบ ทว่าคนพูดไร้ยางอายเมื่อครู่กับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียดื้อๆ ส่วนเจ้าชายก็ถอนใจอย่างเบื่อหน่าย
“เลิกเล่นเถอะ เจ้าคงจะมาทวงสัญญา....” น้ำเสียงจริงจังหยุดเสียงหัวเราะดุจแม่มดได้ชะงัก
“เก่งหนิ และสิ่งที่ข้าต้องการคือสิ่งที่เจ้ารักที่สุด” เมื่อได้ยินดังนั้น มือหนาก็รีบรวบร่างบางอีกคนเข้าแนบกายแน่นก่อนส่งสายตาห้ามปราม
“อ้อๆ ไม่ใช่เจ้าหญิงเฟเมลหรอก ถึงนางจะน่ารักถูกใจข้าก็ตาม” คิ้วเรียวของเขาเริ่มขมวดขึ้น มิคาเอลมองใบหน้าเพื่อนเก่าพลางลอบยิ้ม
“ไว้วันเกิดของลูกเจ้า ข้าจะมาเฉลยน้า~ เจอกัน” ว่าจบเธอก็กระโดดออกจากหน้าต่างกว้างของชั้นสาม เฟเมลเบิกตาโพลงกระโจนตามออกมาดูสาวประหลาดเมื่อครู่ที่จู่ๆ ก็กระโดดฆ่าตัวตาย แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้เธอผงะไปชนกับแผ่นอกอุ่นของว่าทีสามีตน
สาวหุ่นบางในชุดแสกลอยมาส่งจูบเล็กน้อยก่อนบังคับไม้กวาดสีเข้มทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรี
“มิคาเอล เป็นว่าทีราชินีแม่มดแห่งวิชชาร์ต ด้วยความที่ว่าเธอเป็นทายาทคนเดียวเช่นเดียวกับข้า เราสองคนเลยจึงได้ศึกษาด้วยกันและสนิทกัน....” คนตัวสูงเอ่ยปากเล่า
“แล้วมีอยู่คราหนึ่ง นางท้าข้าว่าคนอย่างข้าเดี๋ยวก็มีความรัก เราเลยเดิมพันกัน....”
“ห๊า!!”
“ถ้าข้าไม่มีรักนางต้องมอบดาบศักดิ์สิทธิ์ซาเทียน่าของรักของนางให้ข้า แต่ถ้าข้ามีรักข้าจะยอมมอบทุกอย่างให้”
“เจ้ามันบ้า!!”
“ข้าขอโทษ...” หญิงสาวพลิกตัวกลับมองหน้าสำนึกผิดของชายหนุ่มชั่วครู่ก่อนถอนใจเบา
“เอาเถอะ อดีตอย่างไรก็แก้ไขมิได้แล้ว” ดวงตาคมสีน้ำเงินเข้มเงยสบสาวเจ้าของหัวใจอย่างซาบซึ้ง แล้วแขนแกร่งก็โอบเธอผู้เป็นที่รักเข้าหาอ้อมกอด
“เฟเมล... เพราะแบบนี้ไงข้าถึงได้รักเจ้า...”
“แต่ท่านต้องชดใช้” เสียงหวานแลดูกร้าวขัดขึ้น
“ท่านต้องยิ้มตลอดเวลา นี่คือคำสั่งถ้าทำไม่ได้ เราเลิกกัน!!”
“เฮ้ย!?!” คนตัวสูงอุทานลั่นอย่างตกใจแต่ร่างบางกลับไม่สนใจเดินดิ่งจากไปโดยไม่อ่อนข้อใดๆทั้งสิ้น
..............................................................................................................
ปัจจุบัน....
“ฮัดชิ้ว~” ร่างโปร่งที่ประทับอยู่บนโต๊ะหรูจามเสียงดังอย่างไม่รู้สาเหตุ เสียงนั้นดังก้องจนบุตรชายอดเป็นห่วงเสียไม่ได้
แต่พอท่านพ่อเห็นเขา ท่านก็ยังคงยิ้มแป้นอยู่เช่นเคย เหมือนปกติดี...
พอโรเซวาสเดินถัดไปอีกห้องก็ได้ยินเสียงหวานขององค์ราชินีจามดังสมทบอีกระลอก
น่าเป็นห่วงพอกัน
เอ๋? วันนี้ท่านพ่อท่านแม่ทรงเป็นหวัดหรือเปล่าน้า จามบ่อยเชียว?
.........................................................FIN.........................................................
จบๆๆๆ เห๊อะ = =
แต่มาตั้งนาน จบซะทีตอนพิเศษ >w<
คราวนี้จะได้มีเวลาแต่งต่อสักที~
ยังไงก็ขอขอบคุณมากเลยค่ะที่อ่านจนจบได้ ^^
ทั้งหมด 33 แผ่นเจ้าค่ะ!! (เลขสวยเอิ๊กๆ >O<)
ไปก่อนเน้ ขอให้ทุกท่านฝันดีเจ้าค่ะ ^--^
29/04/08
..
เง๊อะๆ >__< อัพต่อ คิดตอนจบแล้ว
ช่วงนี้ยุ่งๆต้องเล่นเกมที่ซื้อมาใหม่ =. .=
โฮะๆๆ ไปล่ะน้า บาย~
............................................27/04/08..............................................
ยิ่งแต่งยิ่งเบลอ @_@
อัพทีละนิด การบ้านยังไม่ได้แตะเลย~
เอิ๊ก ไปอ่านนิยายชาวบ้านก่อนดีกว่า~ >O<
.............................................18/04/08...................................................
อัพวันละนิดชีวิตแจ่มแจ้ง~ >w<
โดดจากโต๊ะการบ้านมาเดี๋ยวต้องรีบทำ T T
เลขไม่เข้าใจ ใจไม่รักเรียน แต่เพื่อนนักเขียน เราจะสู้ต่อไป~
มันเกี่ยวกันมั้ยเนี่ย ยัยมิสตี้ = ="
ไปก่อนนะเจ้าค้า อีกนิดก็จะจบแล้ว.....มั้ง
บะบาย ใกล้สงกรานต์แย้ว >O<
.........................................08/04/08.................................................................
ขอโทดทีอัพไม่ครบ แนะนำไปอ่านตอนล่าสุดก่อน >O<
เด๋วต้องอ่านเตรียมสอบเลขอีก (ขี้เกียจ - 3-)
ขอบคุณทุกคนมากจร้า~ ^--^
............................................07/04/08...........................................................
เย้!!!!! ครบ 1000 แล้ว >w< ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
ยังไงก็ต้องขอบคุณทุกท่านมากคร้าที่เป็นกำลังใจให้ข้าน้อย TwT (ปลาบปลื้มยิ่งนัก)
รักท่านมากมายที่ช่วยให้ข้าน้อยมีวันนี้~
ขอบคุณมากเลยเจ้าคร้า~ ^---^
..........................................05/04/08..................................................................
ป.ปลื้ม จะครบพัน อัพแย้ว >w< เอาตอนพิเศษไปก่อนเน้~
พรุ่งนี้จะมาอัพต่อ(มั้ง) ^^
ขอบคุณทุกท่านมากคร้า~
........................................04/04/08........................................................
นิยายเรื่องนี้ชักงงไม่รู้จาจบเมื่อไรกัน
เอาเถอะ จะพยายามแต่งต่อไป
เพื่ออนาคตที่สดใส -. .-
สู้ตาย!! >O<
......................................05/03/08.................................................
วันนี้สอบเสร็จจบไปหนึ่งวัน (เหลืออีก 2 T T)
เลยมาลงตอนพิเศษให้ก่อนเจ้าค่ะ ^O^
ไม่รู้จะหนุกป่าว ช่วงนี้เครียดจังเลย~
เอาล่ะทั้งนั้นทั้งนี้ ขอให้ทุกท่านทำข้อสอบได้นะเจ้าคะ > 3<
.....................................26/02/08...................................................
มาอัพอีกสักนิด
วันนี้พึ่งไปสอบมาแหละ เอิ๊ก =O=
ข้าน้อยได้ทำด้วยแหละ ปลื้มเน้อ~
พรุ่งนี้ต้องอ่านอีกวันเตรียมสอบอีกรอบ
ตายๆๆๆๆๆๆและตาย X p X
รู้อยู่ว่าแต่งไม่เก่ง แต่เม้นติสักนิดก็ได้น้าเจ้าค้า~
รักทุกท่านเสมอ ^0^
P.S. THX FOR COMING & COMMENT
กรุณาอ่านคอมเม้นที่ 42 ด้วยจะดีมากค่ะ รักท่านคร้า ^---^
หนุกดีนะ
น่าจะแต่งเป็นเรื่องยาว
หนุกๆๆๆๆๆ