ฉินจูหลิง องค์หญิงผู้ฟั่นเฟือน - นิยาย ฉินจูหลิง องค์หญิงผู้ฟั่นเฟือน : Dek-D.com - Writer
×

    ฉินจูหลิง องค์หญิงผู้ฟั่นเฟือน

    ความวุ่นวายในวังหลวงการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นมีให้เห็นถ้วนทั่ว ไม่ว่าจะเป็นขุนนาง หรือแม้กระทั่งสนม แต่มีเพียงองค์หญิงสามฉินจูหลิงผู้ฟั่นเฟือน ที่ไม่เดือดร้อนใครวันทั้งวันนางเอาแต่ปลูกดอกไม้และเล่นสนุก

    ผู้เข้าชมรวม

    525

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    23

    ผู้เข้าชมรวม


    525

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    จำนวนตอน :  4 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  2 พ.ย. 65 / 20:29 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


    คืนกลางฤดูหนาวอันเงียบสงัด หิมะสีขาวโปรยปรายลงมาทับถมกองกันเต็มพื้น สายลมหนาวพัดโชยอ่อนทำให้เย็นยะเยือก เวลานี้ตำหนักหนิงหลงก็ขาวโพลนได้ด้วยหิมะหนา

    “องค์หญิงสาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าตำรายาพวกนี้ต่อไปจะเป็นประโยชน์กับเจ้า” พระสนมลี่จูทรงสอนพระธิดาตัวน้อยนามว่า “ฉินจูหลิง” ที่ขณะนั้นมีพระชันษาเพียง 10 ชันษาเท่านั้น

    “เพคะเสด็จแม่ แต่เหตุใดหม่อมฉันจึงจำเป็นต้องท่องตำราพวกนี้ด้วยเล่า” องค์หญิงตัวน้อยตรัสถามพระมารดา

    “เจ้าเป็นหญิง จึงจำเป็นต้องมีความรู้ติดตัว ต่อไปภายภาคหน้าจะได้ไม่มีใครกังขาหรือมาดูถูกความสามารถของเจ้า ตำรายานี้เป็นของท่านตาท่านเป็นราชาทิพย์โอสถเชียวนะ” พระสนมลี่จูตรัสกับพระธิดาองค์น้อย

    “ถ้าหม่อมฉันท่องจนหมดนี้ คงเก่งกว่าคนอื่นๆ ทั่วปฐพีนี้เป็นแน่”

    “ฮ่าๆ องค์หญิงสามเจ้านี่ช่างไม่ถ่อมตัวเสียเลย” พระสนมลี่จูกล่าวก่อนจะทรงลุกขึ้น

    “ท่านแม่จะเสด็จแห่งใดหรือเพคะ”

    “แม่จะไปหอไห่หรงเพื่อเอาตำรา และบัญชีเบี้ยหวัดมาทำรายงานถวายเสด็จพ่อของเจ้าเสียหน่อย”

    “หม่อมฉันไปด้วย”

    “ไม่ได้หรอกองค์หญิงสาม อากาศข้างนอกหนาวเย็นเจ้านั่งรอแม่ตรงนี้แหละ ประเดี๋ยวก็มาแล้ว”

    “เพคะ” องค์หญิงน้อยตอบก่อนจะก้มหน้าก้มตาท่องตำรายาต่ออย่างขมักเขม้น

    เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปนานราวครึ่งชั่วยาม องค์หญิงน้อยเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย เหตุเพราะพระมารดาหายไปนาน ประจวบกับมีเสียงบริวารตะโกนโหวกเหวกโวยวายเสียงดัง พร้อมกับเสียงหวีดร้องอื้ออึง

    “ไฟไหม้หอไห่หรง ช่วยดับไฟที ไฟไหม้”

    “หอไห่หรง เสด็จแม่”

    องค์หญิงน้อยลุกออกจากหอตำราและวิ่งออกจากตำหนักไปยังหอไห่หรง ที่ขณะนั้นเปลวเพลิงสีแดงฉานได้ลุกท่วมและเผาไหม้หอไห่หรงให้จมลงไปในกองเพลิง

    องค์หญิงสามวิ่งอ้อมไปทางด้านหลังที่ตนเคยไปเล่นซ่อนแอบเพื่อมองหาพระมารดา แต่ทว่าภาพที่เห็นนั้นสร้างความตกใจมากกว่าไฟที่โหมกระหน่ำ

    ชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำกำลังกระหน่ำแทงพระสนมลี่จู พระโลหิตสีแดงไหลอาบลงสู่พื้นจนแดงฉาน

    “ส-เสด็จแม่ฮือๆ” องค์หญิงสามตรัสออกมาด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบา ชายชุดดำทั้งสองเห็นว่าพระสนมลี่จูสิ้นพระชนแล้วก็โยนร่างของนางนั้นเข้ากองไฟ

    “ไฟไหม้ ทางนี้รีบดับไฟเร็วเข้า รีบสาดน้ำเข้าไป” เสียงข้ารับใช้ตะโกนดัง ทำให้คนโฉดชั่วสองคนนั้นรีบหนีไป

    “เสด็จแม่ ช่วยด้วยช่วยเสด็จแม่ของข้าที ช่วยด้วย เสด็จแม่ฮือๆ ไม่นะไม่กรี๊ดดดด”

    “องค์หญิง อย่าพะยะค่ะ องค์หญิง” เสียงของหวังเจินเรียกพร้อมกับคว้าตัวองค์หญิงน้อยไม่ให้วิ่งเข้าไปในกองเพลิงที่กำลังลุกไหม้

    “ท่านแม่ทัพหวัง ช่วยเสด็จแม่ด้วย ช่วยเสด็จแม่ของข้าด้วย” องค์หญิงน้อยอ้อนวอนให้แม่ทัพหวังเข้าไปช่วยพระสนมลี่จู หากแต่มันช้าเกินไปเสียแล้ว ร่างของพระสนมถูกเปลวเพลิงกลืนกินจนมอดไหม้ไปต่อหน้าต่อตายากที่จะช่วยเอาไว้ได้

    “กรี๊ดดดด เสด็จแม่ ไม่นะกรี๊ดดด”

    วันเวลาแห่งความทุกข์โศก มันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน แต่ไม่ใช่สำหรับองค์หญิงสามฉินจูหลิง 13 ปีแล้วหลังจากเกิดเหตุไฟไหม้ในครั้งนั้น แม้ว่าหอไห่หรงจะถูกลบหายไปจนไม่เหลือซาก แต่ภาพความเจ็บช้ำในวันนั้นมิอาจจะเลือนหายจากใจองค์หญิงน้อยได้

    องค์หญิงสามฉินจูหลิงแห่งตำหนักหนิงหลง บัดนี้เติบโตเป็นสาวสะพรั่ง พระศิริโฉมงดงาม แต่ทว่าทรงมีพระสติฟั่นเฟือนกลายเป็นคนไร้สติสัมปชัญญะ แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะทรงให้หมอมารักษา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ก็มิได้ช่วยให้องค์หญิงฟื้นพระสติได้

    แม้กระนั้นองค์จักรพรรดิฉินก็มิได้ทรงทอดทิ้งพระธิดา ยังทรงค้ำชูอุปถัมภ์มิได้ขาดตกบกพร่องแต่ประการใด

    ตำหนักหนิงหลง เป็นตำหนักต้องห้ามและไม่เคยมีผู้ใดอยากเข้ามากล้ำกราย เพียงเพราะมันเป็นที่พำนักขององค์หญิงสามผู้บ้าใบ้ไร้สติ แต่ทว่ามันไม่เคยเงียบเหงา ถึงแม้ตำหนักหนิงหลงจะมีข้ารับใช้เพียงไม่กี่คน แต่มันก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

    “ถิงถิง เอาผีเสื้อเร็ว ถิงถิง เอาผีเสื้อ เอาผีเสื้อ”

    “องค์หญิงเพคะ ไม่ไล่จับผีเสื้อแล้ว หม่อมฉันเหนื่อย” นางกำนัลถิงถิงกล่าว ขณะที่ช่วยองค์หญิงสามไล่จับผีเสื้อตรงสวนกลางตำหนักหนิงหลง

    “เอ๋ นี่หนอนนี่นา เจ้าหนอนเอ๋ยเจ้ากินยอดดอกกุหลาบเสด็จแม่ข้าอีกแล้วนะ แต่ เอ๊ะ หนอนจะเป็นผีเสื้อหรือไม่นะถิงถิง”

    “เพคะองค์หญิง ผีเสื้อคือหนอน หนอนคือผีเสื้อ” นางกำนัลถิงถิงกล่าว องค์หญิงสามจับหนอนแก้วตัวเขื่องสีเขียวออกจากยอดกุหลาบพันปีของพระสนมลี่จูและชูให้ถิงถิงดู

    “เหวอ องค์หญิง น่าเกลียดน่ากลัวจริงเพคะ มันมีตาด้วย อึ๋ยส์”

    “เอ๋ เจ้ากลัวงั้นหรือ” องค์หญิงสามทรงตรัสถามนางกำนัลคนสนิท และเหมือนจะไวทันความคิด ถิงถิงเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของผู้เป็นนาย

    “ถิงถิง”

    “อย่านะเพคะองค์หญิง”

    องค์หญิงสามจับหนอนแก้วเอาไว้แล้ววิ่งไล่ถิงถิงๆ ไปโดยรอบสวนดอกไม้ใจกลางตำหนักหนิงหลง

    “ว้ายองค์หญิง ไม่เพคะ หม่อมฉันเกลียดหนอนไม่นะเพคะไม่เอาองค์หญิง หม่อนฉันไม่เอาว้ายยยย” ถิงถิงร้องลั่นพร้อมวิ่งหนีออกมานอกตำหนัก

    ปึ่ก!!

    “อ๊ะ เจ็บ” องค์หญิงสามเซถลาล้มลงเพราะวิ่งมาชนกระแทกเข้ากับใครบางคนเข้าอย่างจัง

    “เจ้าเป็นใคร” องค์หญิงสามลุกขึ้นพร้อมถามคนตรงหน้า ก่อนจะหันไปเก็บหนอนแก้วขึ้นมาดู

    “อ๊า หนอนผีเสื้อข้าตายเสียแล้ว เพราะเจ้าแท้ๆ เชียว”

    “องค์หญิงกระหม่อมขอประทานอภัยพะยะค่ะ กระหม่อมไม่ทันมอง”

    ถิงถิงเห็นดังนั้นจึงรีบกลับมาดู

    “องค์หญิงทรงเป็นอะไรหรือไม่เพคะ ทรงเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ถิงถิงเอ่ยถามก่อนจะสำรวจร่างกายผู้เป็นนาย

    “ข้าไม่เป็นไร แต่เจ้าหนอนของข้าต้องมาตายไปก่อนได้เป็นผีเสื้อ ฮือๆๆ ถิงถิง ข้าเศร้าใจนัก”

    “ท่านองครักษ์ฟางอี้เฉิน” ถิงถิงกล่าวทักทาย ก่อนจะหันไปปลอบองค์หญิงสาม

    “เจ้าองครักษ์ ในเมื่อเจ้าทำหนอนผีเสื้อข้าตาย เจ้าก็เอามันไปจัดพิธีศพมันอย่างสมเกียรติ และเจ้าก็หาหนอนผีเสื้อมาให้ข้า” องค์หญิงสามตรัสแก่องครักษฟางอี้เฉิน ก่อนจะจับมือเขาขึ้นมาและวางหนอนแก้วที่ตายลงไป

    องครักษ์ฟางอี้เฉินยืนงงเป็นไก่ตาแตก เพราะเรื่องราวเกิดขึ้นไวมาก เขาก้มมองหนอนผีเสื้อในมือ ก่อนจะเดินกลับไปยังเรือนที่พักของตน

    “ฟางอี้เฉิน เจ้าไปไหนมา” หวังจิ้งเอ่ยถามขึ้นมา

    “ข้าเดินไปตรวจตราแถวตำหนักหนิงหลง เจ้ามีธุระอะไรกับข้าอย่างนั้นหรือหวังจิ้ง”

    “ไม่มีอะไร เถียนกงกงต้องการพบตัวก็เท่านั้น แล้วเจ้าถืออะไรมา” หวังจิ้งถาม

    “หนอน”

    “อืมหนอน”

    “ท่านเอามากจากไหน”

    “องค์หญิงสามให้ข้าเอามาจัดพิธีศพให้มันอย่างสมเกียรติน่ะสิ” ฟางอี้เฉินกล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉย หวังจิ้งยกยิ้มขึ้นทันที เพราะรู้กิตติศัพท์ขององค์หญิงสามแห่งตำหนักหนิงหลงดี

    “โดนดีเข้าให้แล้วมั๊ยล่ะฟางอี้เฉิน ใครๆ ก็รู้ว่าตรงนั้นเป็นตำหนักต้องห้ามขององค์หญิงสามผู้ฟั่นเฟือน”

    “นางก็ไม่ได้มีพิษภัยอะไร แค่เล่นซนเหมือนเด็กเล็กๆ เท่านั้น” ฟางอี้เฉินกล่าว ก่อนจะโยนหนอนผีเสื้อทิ้งลงบ่อปลาไป

    “แต่ว่ากันว่านางเกลียดเปลวไฟ เมื่อใดที่นางเห็นมันจะอาละวาดทำร้ายผู้คน” หวังจิ้งกล่าวเสริมขึ้นท่าทางของเขาจริงจัง

    “ฮะ ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวจะทำร้ายผู้คนได้อย่างไร นางออกจะบอบบาง” ฟางอี้เฉินกล่าวตอบก่อนจะเดินไปหาเถียนกงกงด้วยกัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น