Dawn n' Night อรุณดับ-ราตรีกระจ่าง - นิยาย Dawn n' Night อรุณดับ-ราตรีกระจ่าง : Dek-D.com - Writer
×

    Dawn n' Night อรุณดับ-ราตรีกระจ่าง

    เรื่องราวของการต่อสู้เพื่อปกป้องโลก จากเหล่าจตุอาชาแห่งวันสิ้นโลก ในวันที่พระเจ้าได้พิพากษา เราจะเลือกความมืดเพื่ออยู่รอดหรือแสงสว่างเพื่อสูญสิ้น

    ผู้เข้าชมรวม

    119

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    119

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  2 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  17 มิ.ย. 60 / 21:20 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    Prologue Dawn of Night

     

                    เพลิงสีแดงฉานลุกโหมย้อมให้คำคืนนี้ไม่ได้มีแต่สีดำอีกต่อไป เสียงกรีดร้องของคนที่อยู่ภายในอาคารดังระงมออกมาคลอไปกับเสียงไซเรนรถดับเพลิงและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่หลุมล้อรถของพวกเขามาอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับแจ้งจากผู้เห็นเหตุการณ์ ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงแห่งความวุ่นวายในยามค่ำคืนนี้ เหตุการณ์ที่เป็นโศกนาฏกรรมนี้ถูกทำให้แย่ลงด้วยหญิงสาวคนหนึ่งที่พยายามจะวิ่งเข้าไปข้างในอาคารหลังนั้น

                    “ไม่ได้นะครับคุณ!” เสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังขึ้นพร้อมกับตัวเขาและเพื่อนในกองอีกคนเข้ามารวบตัวของหญิงสาวที่พยายามจะวิ่งเข้าไปในกองไฟที่ลุกโหมอย่างรุนแรงนี้

                    “ปล่อยชั้นนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้!” เธอหวีดร้องอย่างคนเสียสติ “น้องชายของชั้น อานนท์ยังอยู่ข้างใน” เสียงของเธอแหบพร่าลงพร้อมกับน้ำตาแห่งความเป็นห่วงและความกลัวไหลริน เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากเจ้าหน้าที่ที่แข็งแรงทั้งสองคนนี้ แต่ด้วยเรี่ยวแรงของเธอ ประกอบกับการที่เธอเสียสติไปเพราะความตกใจนั้น ยิ่งทำให้เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เท่าที่ควรอีกด้วย

                    “อานนท์!!!” เธอหวีดร้องเสียงดัง ก่อนที่จะเป็นลมล้มพับไปเพราะเหนื่อยล้าจากการหวีดร้องและร้องไห้ไปพร้อมกับ เจ้าหน้าที่ที่กักตัวเธอไว้นั้นต้องรีบพาเธอไปที่รถพยาบาลเพื่อดูอาการเบื้องต้นก่อน พวกเขาให้คำมั่นกับตัวเองในตอนนั้นเลยว่า เขาจะต้องช่วยเหลือคนออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

     

                    ตูม!!! เสียงระเบิดดังออกมาจากตัวอาคารชั้นบน กลุ่มควันไฟขนาดใหญ่เกาะกลุ่มกันเป็นมวลก่อมะเร็งขนาดใหญ่ มันทำให้ผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ในอาคารสูงใหญ่กว่า 20 ชั้นนี้ได้เลย ความโกลาหลของภายนอกนั้นเทียบไม่ได้กับภายในอาคารเลย เมื่อไม่ได้มีเพียงแต่ไฟไหม้เท่านั้นที่จะคร่าชีวิตของผู้คนที่อยู่ที่นี่ มันยังมีชิ้นส่วนของอาคารหลังนี้ ที่พร้อมจะถล่มลงมาเพื่อฝังกลบมนุษย์ทั้งเป็นได้ในทันทีที่พร้อมอีกด้วย

                    เหล่าผู้คนที่ยังเหลือรอดและติดอยู่ภายในอาคารหลังนี้นั้น ต่างพากันแยกย้ายไปหาทางออกที่พอจะเป็นไปได้ แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับพบว่า ตึกหลังนี้นั้นตอนนี้...ไม่สิ ตั้งแต่แรกเลยต่างหาก ที่มันเป็นอาคารโศกนาฏกรรมตั้งแต่ถูกสร้างขึ้นมา เนื่องจากตอนนี้ทางหนีไฟนั้น ถูกมวลไฟกลุ่มใหญ่นั้นลุกไหม้ปิดตายทางหนีไปเรียบร้อยแล้ว มันเป็นอุบัติเหตุที่รอตัวจุดชนวนการเกิดอยู่แล้ว

                    ในขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด บนยอดของอาคารสูงลิบหลังนี้นั้น มีร่างของคนสองคนกำลังประจันหน้ากันอยู่ แต่จะเรียกว่าประจันหน้าก็คงไม่ถูกนัก เพราะพวกเขาไม่ได้มีเจตนาจะมีเรื่องกันในเวลาที่ทุกอย่างกำลังถึงจุดจบแบบนี้แน่นอน ทั้งคู่ยืนอยู่ตรงกลางของพื้นที่บนดาดฟ้านั้น และทั้งสองคนดูแตกต่างกับในเชิงอารมณ์อย่างสิ้นเชิง

                    คนหนึ่งเป็นเด็กชายที่ดูๆแล้วเพิ่งจะอยู่แค่ประถมตอนปลายเท่านั้นเอง เด็กคนนั้นกำลังตกอยู่ในความหวาดผวาอย่างมาก จิตใจของเขาตกอยู่ในความกลัวถึงขีดสุด จากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่กำลังเกิดขึ้นนี้นั้น ได้บั่นทอนใจสู้ของเด็กหนุ่มจนแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว และยังต้องเผชิญหน้ากับบุคคลเหนือความคาดหมายตรงหน้าของเขาอีกด้วย

                    เขาเป็นบางอย่างในเสื้อคลุมสีเทาหม่นขาดๆที่มีหมวดเสื้อคลุมปิดบังใบหน้าอยู่ ร่างกายของเขาดูซูบเหลือซากศพไม่มีผิด กลิ่นกายที่อธิบายไม่ถูกนั้นลอยมาเตะจมูกของเด็กหนุ่มผ่านสายลมเย็นยะเยือกที่ไม่รู้ว่าแผ่ออกมาจากตัวของคนตรงหน้าของเขา หรือเพราะเขาอยู่ที่สูงจึงมีลมพัดแรงแบบนี้กันแน่ ในมือของเขานั้นถือเคียวขนาดใหญ่ที่มักจะเห็นอยู่ตามหนังสือเกี่ยวกับทูตแห่งยมโลกของทางตะวันตกอย่าง...

                    “ยมทูต” เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าไม่เข้าใจและหวาดกลัวออกมาเห็นๆ เขาค่อยๆถอยหลังเพื่อหวังถอยห่างจากคนประหลาดตรงหน้าของเขา

                    “ใช่แล้วเจ้าหนู ข้าคือยมทูต” มือข้างที่ไม่ได้จับเคียวเล่มยักษ์ไว้นั้นยกขึ้นและแบมือออกทำให้เห็นกระดูกมือสีขาวโพลน ก่อนที่ดวงไฟสีแดงฉานเหมือนไฟที่โผล่ออกมาจากเบ้าตาที่ไม่มีลูกตาของใบหน้าที่เป็นเพียงกะโหลกเท่านั้น จะแสดงให้เด็กหนุ่มเห็นสิ่งที่ไม่น่าจะมีอยู่จริง รูปร่างของเหล่าคนตายที่ล่วงลับไปแล้วนั้น ต่างอยู่ในเพลิงวิญญาณในเบ้าตานั้น และครู่หนึ่งที่เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนเห็นแม่ผู้ล่วงลับของเขาไปแล้วด้วย

                    “ไม่จริง...ยมทูตมันเป็นแค่เรื่องหลอกเด็กให้กลัว เพื่อจะได้ไม่ทำสิ่งไม่ดี”

                    “แม้จะปรากฏอยู่ต่อหน้าแล้ว แต่เจ้าก็ยังคงไม่เชื่อ” ยมทูตเอ่ย “เช่นนั้นก็ไม่แตกต่างกับคนอื่นๆที่ข้าเจอ เจ้าหนูข้าจะขอเสวนาภาษาคนเป็นกับเจ้าครั้งเดียวเท่านั้น...” ยมทูตเข้าประชิดตัวของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็วเพียงแค่เขากะพริบตาเท่านั้นเอง ไม่ทันที่เขาจะถอยหลังด้วยความตกใจ มือกระดูกของยมทูตก็คว้าเข้าที่ลำคอของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว พละกำลังอันมหาศาลนั้นทำให้ตัวของเขาลอยขึ้นสูงเหนือพื้นอย่างไม่มีหนทางหลบหนีได้เลย ร่างของเด็กหนุ่มแทบจะแน่นิ่งทันทีที่มือของยมทูตสัมผัสถูกตัวของเขา

                    “ตัวตนของข้าคือความตาย เพียงแค่สัมผัสเจ้าก็จะตายได้ แต่เพราะบางอย่าง...บางอย่างบอกข้ามาว่าเจ้าแตกต่าง” เพลิงในดวงตาของยมทูตลุกโชนอย่างน่ากลัว เปลวไฟเหมือนจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าที่ร้อนแรงกว่าเดิมอยู่แล้ว เห็นได้ชัดถึงความสับสนในตัวของยมทูตตนนี้

                    “และสิ่งนั้น ก็คงทำให้เจ้าไม่ตายเหมือนต้องกายกับข้าดั่งเช่นตอนนี้ มันคืออะไรกันแน่ ข้าอยากจะรู้นัก ทำไมเจ้าไม่ตายเมื่อข้าสัมผัส ข้าไม่สามารถฟันเจ้าด้วยเคียวฟันวิญญาณนี้ได้ด้วยซ้ำไป เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่ ข้าเห็นวิญญาณในตัวเจ้า เป็นมนุษย์ธรรมดา แต่เหตุใด...เหตุใดกัน” เสียงของยมทูตยิ่งเกรี้ยวกราดขึ้น เมื่อเขาไม่สามารถนำพาดวงวิญญาณของเด็กคนนี้ไปกับเขาได้ตามที่ต้องการ ในขณะที่ยมทูตจะบีบคอของเด็กหนุ่มในสิ้นใจเพื่อพาดวงวิญญาณไปนั้นเอง ที่หลังมือของเด็กหนุ่มก็ส่องสว่างขึ้นมา

                    “นั่นอะไร” สัญลักษณ์ไม้กางเขนกลับหัวส่องประกายสีดำสนิทออกมา นั่นทำให้ดวงตาของยมทูตลุกโชนด้วยอารมณ์ที่ต่างออกไป “นั่น...หึๆๆ อะไรกัน เพราะแบบนี้นี่เอง แบบนี้มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่หรือไร ท่านทำได้สุดยอดมาก” ยมทูตเงยหน้าขึ้นฟ้าและใช้นิ้วชี้ของมือที่ถือเคียวนั้นชี้ไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืน “ท่าโหดร้ายมากเลยนะ เป็นผู้สร้างแล้วนึกสนุกอะไรกันถึงได้เลือกวิถีแห่งการทำลายล้างเล่า เบื่อของเล่นชิ้นนี้แล้วรึไร” เสียงของยมทูตเริ่มบ้าคลั่งขึ้น จนมันปล่อยมือออกจากคอของเด็กหนุ่มอย่างไม่รู้ตัว

                    “ไม่ได้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่ยุติธรรม!” เขาตวาดขึ้นฟ้า “การพิพากษาจะไม่มีวันมาถึง แต่ถึงจะมาถึง ข้าก็จะไม่ยอมอยู่ดี บนโลกที่แสนโสมมนี้ ข้ายังเล่นได้ไม่เต็มอิ่มเลยนะ แค่ไม่กี่ร้อยล้านปีเองไม่ใช่รึไง! แล้วท่านที่อยู่มาแต่เอกภพกลายเป็นพหุภพแบบตอนนี้ ท่านคิดจะแย่งของเล่นที่แสนสนุกแบบนี้ไปจากข้า ข้าจะไม่มีวันปล่อยมันให้ท่านเอาไปแน่!” ยมทูตหันมามองที่ร่างของเด็กหนุ่มที่สลบอยู่ก่อนที่ดวงไฟจะลุกวาวอีกครั้งอย่างนึกสนุก

                    เขายกร่างของเด็กหนุ่มที่สลบอยู่ขึ้นก่อนจะยกขึ้นสูงเหมือนโชว์ของเล่นให้ฟ้าดู “จำเอาไว้ สิ่งที่ท่านจะใช้ ชีวิตที่ท่านจะใช้เพื่อเปิดประตูแห่งความวิบัติทั้งสี่ดวงนี้ ข้าจะให้มันกลายเป็นผู้ทำลายความต้องการของท่านเอง และเราจะรู้ว่า อะไรกันแน่ที่น่าเบื่อ โลกโสมมใบนี้ หรือ ท่านเอง ฮ่าๆๆๆๆ!!!

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น