ระบำอัคคี
เพลิงสีแดงส้มไหวระริกฉาบท้องฟ้า โทนสีแดงชาดตัดกับห้วงนภายามค่ำคืน เสียงร้องไห้ คร่ำครวญ หวาดกลัวราวกับเป็นบทเพลงเร้าให้เปลวไฟโหมกระหน่ำเริงระบำอย่างเริงร่า ผลาญพล่าทำลายทุกอย่างให้ราบสูญ ลุกลามกลืนกินทุกสรรพสิ่งจนหมดสิ้นสมความตั้งใจของมัน
ผู้เข้าชมรวม
97
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บทที่ 1 ชะตากรรม
เพลิงสีแดงส้มไหวระริกฉาบท้องฟ้า โทนสีแดงชาดตัดกับห้วงนภายามค่ำคืน เสียงร้องไห้ คร่ำครวญ หวาดกลัวราวกับเป็นบทเพลงเร้าให้เปลวไฟโหมกระหน่ำเริงระบำอย่างเริงร่า ผลาญพล่าทำลายทุกอย่างให้ราบสูญ ลุกลามกลืนกินทุกสรรพสิ่งจนหมดสิ้นสมความตั้งใจของมัน
เมื่อไร้ซึ่งลมและเชื้อเพลิง ลีลาอ่อนช้อยของเปลวไฟก็ค่อย ๆลดน้อยถอยลงไป เหลือเพียงธุลีละออง เถ้าสีเทาปนกับหมอกควัน คุกรุ่นลอยตัวคละคลุ้งในอากาศ มองไม่ออกว่าสิ่งที่เหลือเคยเป็นสิ่งใด อะไร หรือใคร รอแค่เพียงไม่นานไฟมรณะก็มอดดับลงหมด ใครบางคนที่มองสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเรียกว่าบ้านผ่านม่านน้ำตา ไม่เหลืออะไรเลย
ปณาฬีก้มตัวลงหมอบต่ำใต้ดงเข็มริมหน้าต่าง ทีแรกตั้งใจจะมาขออนุญาตป้าพาน้องไปเที่ยวสวนสัตว์วันพรุ่งนี้ แต่กลับได้ยินถ้อยคำสนทนาอันไม่คาดคิด เหงื่อกาฬพากันไหลทุกรูขุมขนเมื่อถ้อยคำร้ายกาจพรั่งพรูออกมาจากคนที่เธอเรียกว่าป้า
“เราก็ทำให้มันเหมือนอุบัติเหตุสิ เหมือนคราวพ่อกับแม่ของมัน แค่นี้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดก็จะตกเป็นของเรา”
“จะดีหรือแม่อุ่น คราวพ่อแม่เขา เราก็ทำไปทีหนึ่งแล้วนะ สงสารเด็กตาดำ ๆมันเถอะ อีกไม่กี่ปีเงินก็ตกเป็นของเราแน่ๆ”
อุ่นเรือนค้อนขวับคนแย้งทันควัน ร่างอวบอ้วนลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงไปยังสามี ยกมือขึ้นฟาดลงบนใบหน้าผอมแหลมเสียงดังสนั่น
“ปากดีนักนะ กว่านังน้ำ มันจะบรรลุนิติภาวะก็อีกตั้งสองปี ป่านนั้นคนที่บ่อนมาลากคอแกกับฉัน ฆ่าหมกป่าตายโหงไปเกิดใหม่แล้ว ดีไม่ดี มันมีผัวไป เราก็ชวดสมบัติกันพอดี หรือแกมีทางอื่นฮะ ไอ้แก่”
เสียงขู่ตะคอก พร้อมใบหน้าทะมึงทึงของภรรยา ทำเอาภาสกรที่กลัวภรรยาที่มีรูปร่างสูงใหญ่อวบอ้วนกว่าตนเป็นเท่าตัวถึงกับรีบย่นคอ หดตัวซุกเก้าอี้ตามเดิม ใจจริงมิเคยคิดร้ายทำลายใครถึงชีวิต แต่ด้วยต้องจำยอมเออออไปด้วยสภาพน้ำท่วมปาก
“ฉันก็แค่สงสารเด็กมัน โดยเฉพาะหนูมะลิ พึ่งจะสามขวบเอง กำลังน่ารักจ้ำม่ำ ช่างเจรจา แม่อุ่นทำลงเหรอ”
“หนอย ยังจะมาเถียง ทำไมกูจะทำไม่ลง มันไม่ใช่หลานแท้ ๆของกูซะหน่อย มึงก็รู้ แม่มันไม่ใช่น้องสาวแท้ ๆ ของกู อีเด็กสองคนนั่นจะเป็นจะตายก็เรื่องของมัน ยิ่งฟังมึงพูดอย่างนี้กูยิ่งหมั่นไส้ มึงอย่านึกว่ากูไม่รู้นะว่ามึงแอบรักแม่มันมานานแล้ว แต่อีลดามันไม่เอามึง หนอยทำมาเป็นรักลูกคนเคยแอบรัก รักมันมากนัก ได้ กูจะไว้ชีวิตมัน กูจะพาอีน้ำไปขายซ่อง ส่วนอีมะลิกูจะเลี้ยงเอาไว้ใช้งาน พอมันโตเป็นสาวกูจะส่งไปอยู่ซ่องเดียวกับพี่มัน ถ้าพี่มันรอดตายจากโรคเอดส์นะ”
เมื่อเห็นว่าไม่มีทางโน้มน้าวใจภรรยาได้ ภาสกรจึงเลี่ยงถามคำถามอื่นเพื่อไม่ให้ตัวเองเจ็บตัว
“แล้วแม่อุ่นจะลงมือเมื่อไหร่ล่ะ?”
“พรุ่งนี้”
“หา! ทำไมเร็วอย่างนั้นล่ะแม่อุ่น?”
“ไอ้ผัวโง่เอ้ย ขืนทิ้งไว้นาน นังน้ำมันไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเราก็ซวยน่ะสิ เท่าที่ฉันเอาเงินอุดปากไอ้ทนายหน้าเลือดเอาไว้มันก็แค่ถ่วงเวลาไว้ได้ระยะหนึ่งเท่านั้นแหละ ตอนนี้เราต้องรีบชิงลงมือ เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ฉันใจร้อนอยากได้เงินไปใช้หนี้กับไปแก้มือเร็ว ๆ”
ถ้อยคำราวกับสำรากจากคนที่ต่อหน้าทำเป็นพูดดี แต่ลับหลังมุ่งร้ายถึงชีวิต ทำให้เด็กสาวอ่อนต่อโลกหวาดกลัว ไม่อยู่รอฟังจนจบ รีบวิ่งกลับไปที่เรือนไม้สองชั้น อันเป็นบ้านของเธอทันที
เมื่อกลับมายังเรือน ทั้งหลังเป็นไม้สักทองเพราะความชื่นชอบส่วนตัวของบิดา หญิงสาวรีบเก็บเสื้อผ้าทั้งของตนรวมทั้งของน้องสาวด้วยน้ำตาอาบแก้ม หนทางชีวิตข้างหน้าช่างดูมืดมน จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องไปเพราะภัยกำลังใกล้มาถึงตัว แม้แต่ทนายสมหวัง ที่เคยคิดว่าเป็นคนดีก็กลับไม่ใช่ วงศาคณาญาติก็ไม่มีเหมือนคนอื่นเขา หนำซ้ำ บ่าวทาสบริวารที่จะหันไปพึ่งก็ไม่มีเหลือ เมื่อถูกป้าไล่ออกตั้งแต่บิดามารดาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อต้นปี เงินรวมทั้งบริษัทของบิดา เธอคงไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้ แต่ยังมีทรัพย์สมบัติบางส่วนของมารดาที่เคยบอกที่ซ่อนเอาไว้
ปณาฬีฉวยเอาถุงสร้อยทอง เครื่องเพชรต่าง ๆที่มารดาเคยสะสมไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิต ห่อใส่ถุงผ้าเก่า ๆยัดลงไปในกล่องเหล็กที่ถูกเทขนมภายในทิ้งจดหมด จนปัญญาที่จะคว้าเอาไปด้วยได้เพราะคงไม่พ้นนำภัยปล้นชิงมายังตัวเองและน้อง บรรจุห่อหีบเรียบร้อยก็แฝงความมืดแอบลอบลงเรือนอีกครั้งเพื่อซ่อนกล่องสมบัติในที่มิดชิด
ใครบางคนที่หลบซ่อนอยู่ในเงามืด ยกมุมปากขึ้นยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวที่เฝ้าติดตามมาร่วมปี แบกน้องสาวใส่หลังพร้อมกับยกกระเป๋าเสื้อผ้าไปด้วยอย่างทุลักทุเลออกจากบ้านในเวลาตีสอง ด้วยความดีใจที่งานได้ลุล่วงไปอีกขั้นหนึ่ง จึงรีบต่อสายโทรศัพท์ไปหาคนที่จ้างวานทันที
“นายครับ เด็กที่นายให้ผมเฝ้าไว้ หนีออกจากบ้านตามแผนเราแล้วครับ”
เสียงปลายสายหัวเราะอย่างพึงพอใจ ก่อนจะสั่งให้อีกฝ่ายดำเนินตามแผนต่อทันที
“พี่น้ำจ๋า จะไปเที่ยวไหน?”
เพราะไม่รู้จะพาน้องไปที่ไหน ปณาฬีจึงเลือกพาน้องเข้ามาอาศัยนอนใต้ร่มศาลาวัดแห่งหนึ่ง โดยตัวเองแทบไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะต้องคอยปัดยุงที่เข้ามากัดน้อง เจ้าตัวเล็กที่ตื่นจากการหลับใหลเร็วกว่าปกติเพราะคันคะเยอทั้งตัว เอ่ยถามพี่สาวเพราะเห็นข้างตัวพี่มีกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ ความเข้าใจตามประสาเด็กคือพี่น่าจะพาไปเที่ยว คำถามของน้อง ทำเอาปณาฬีน้ำตาไหลพรากขึ้นมาอีกครั้ง โอบกอดน้องแนบอกพลางสะอื้นไห้จนตัวโยน
“พี่ก็ไม่รู้จ๊ะ หมูอ้วนของพี่”
ร่างอ้วนกลมยืดตัวขึ้นกอดคอพี่สาว ยกนิ้วมือขาวป้อมเช็ดน้ำตาพร้อมกับยิ้มหวานให้
“โอ๋ อย่าร้องนะ นิ่งซะนะ”
คำปลอบไร้เดียงสา บวกกับรอยยิ้มของน้องพลอยทำให้จิตใจที่ท้อแท้ ฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นสะพายบนไหล่เดินจูงมือพาน้องไปล้างหน้าล้างตาเพื่อเตรียมพาไปหาอาหารเช้ารับประทาน ต่อด้วยการหาที่พัก อาจจะเป็นห้องเช่าราคาย่อมเยาว์ย่านปลอดภัยที่ไหนซักแห่ง
หลังจากอิ่มหนำกับมื้อเช้าเป็นข้าวมันไก่รสชาติเข้าขั้นอร่อย แต่ราคาไม่แพง มือบอบบางหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเตรียมจ่ายค่าอาหาร โดยไม่ได้ระแวดระวังว่ามีสายตาสี่คู่กำลังมองมาด้วยตาลุกวาวเมื่อเห็นแบงค์สีม่วงเป็นปึก ปณาฬีหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะบรรจงเช็ดแก้มน้องที่เปื้อนเม็ดข้าว หัวเราะเมื่อน้องแกล้งทำปากจู๋ แก้มอ้วนกลมขาวน่ารักน่าชังจนคนเป็นพี่อดใจไม่ไหวก้มหน้าลงไปหอมแก้มฟอดใหญ่ จังหวะนั้นเองที่มิจฉาชีพวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วคว้าเอากระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นเตรียมวิ่งหนีไป แต่หญิงสาวเองก็ไวไม่แพ้กัน ยื้อยุดฉุดกระชากกับคนร้ายไปมา โดยไร้การช่วยเหลือใด ๆจากคนภายในร้านข้าวที่ก็ดูเหมือนตกใจกับเหตุการณ์จนทำอะไรไม่ถูก
“ปล่อยนะ”
เพราะมีเงินติดตัวอยู่เพียงก้อนเดียวภายในกระเป๋าทำให้หญิงสาวยอมเสี่ยงตายยื้อกระเป๋า จนเมื่อโจรเองก็เห็นจวนตัว เมื่อเจ้าของร้านข้าวมันไก่ ที่เดินกลับมาจากไปเอาเงินทอนเห็นเหตุการณ์รีบถือมีดอีโต้สับไก่หวังเข้ามาช่วย
“เฮ้ย! มึงมัวชักช้าเดี๋ยวพ่อมึงก็มาหรอก”
คนร้ายอีกคนที่กำลังบิดมอเตอร์ไซด์รอหน้าร้านตะโกนบอกเพื่อน เจ้าโจรที่กำลังแย่งกระเป๋ากับปณาฬีจึงชกมาที่ใบหน้าของหญิงสาวเข้าอย่างจัง เจ็บจนเห็นดาวเห็นเดือนมันเป็นอย่างนี้นี่เอง มือไม้อ่อนจนปล่อยให้กระเป๋าหลุดมือไป แล้วทุกอย่างรอบตัวก็ดับวูบลง
เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าแรกที่เห็นคือป้าเจ้าของร้านข้าวมันไก่ ที่กำลังกวัดแกว่งยาดมเหนือจมูกเธอไปมา
“เป็นไงบ้างวะอีหนู? โธ่เอ้ย! ซวยจริง ๆ เลยเอ็ง แถวนี้เค้าอยู่กันมาร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครถูกกระชากกระเป๋า”
ป้าเจ้าของร้านเปรยกึ่งเห็นใจ กึ่งโทษความซวยของหญิงสาวเอง ปนาฬีใจหายวาบสิ่งแรกที่นึกถึงคือน้องสาวตัวน้อย ก่อนจะโล่งใจเมื่อน้องกำลังนั่งดูดน้ำหวานสีเขียว ไม่ไกลนัก โดยไม่รู้เลยว่าต่อไปนี้หนทางข้างหน้าในชีวิตของทั้งคู่อยู่ในสภาพที่เรียกว่าทางตัน หญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมาเมื่อนึกถึงเงินก้อนที่วาดหวังเอาไว้ว่าคงช่วยให้มีที่ซุกหัวนอนได้นับปีหากรู้จักใช้จ่ายอย่างประหยัด
“ไม่ต้องเสียดายหรอกเว้ยอีหนู เงินน่ะหาใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ ดีเท่าไหร่แล้วที่มันไม่มีอาวุธ ว่าแต่บ้านอยู่ไหนล่ะเดี๋ยวจะพาไปส่ง”
แม้จะหน้าตาบึ้งกึ่งดุ แต่ป้าเจ้าของร้านก็มีน้ำใจประเสริฐกว่าลูกค้าในร้านที่แต่งตัวดีหลายคน ที่ไม่แม้แต่จะเข้ามาถามไถ่ รับรู้แค่ว่าคนถูกกระชากกระเป๋าแล้วไง ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
“หนูไม่มีบ้านจ๊ะป้า พ่อแม่ตายหมดแล้ว หนูกำลังจะพาน้องไปหาบ้านเช่าอยู่ แต่ตอนนี้เงินที่มีไม่เหลือแล้วจ๊ะ”
“เฮ้อ น่าสงสารจริงเอ็ง ป้าก็ไม่รู้จะช่วยยังไงดี”
“คุณครับ นี่ครับ กระเป๋าของคุณ”
ปณาฬีหันไปยกมือไหว้พลเมืองดีอีกคนที่มีน้ำใจ อุตส่าห์วิ่งไปเก็บเสื้อผ้า ของใช้ที่สองคนร้ายโยนทิ้งไว้ให้ไม่ไกลนักมาคืนให้
“ขอบคุณค่ะ”
“มันเอาไปแต่เงินครับ พวกเสื้อผ้าของใช้ก็น่าจะยังครบดี แหมคนสมัยนี้ใจมันร้ายจริง”
พลเมืองดีคนดังกล่าวบ่นพึมพัม
“อ้าว แล้วเอ็งจะทำยังไงต่อล่ะอีหนู เอ็งมีเพื่อนกับเค้าบ้างมั้ย?”
คำว่าเพื่อนที่ออกจากปากของป้าเจ้าของร้านมันไก่ ทำให้ดวงตาหญิงสาววาบขึ้นด้วยความหวังอีกครั้ง
“มีจ๊ะ “
“เออ ถ้างั้นก็ลองไปหาเพื่อนดู เผื่อเค้าจะช่วยอะไรเอ็งได้มั่ง เอ้านี่ตังค์ค่าข้าว ป้าไม่คิดละกันอีหนู”
“ ขอบคุณมากจ๊ะ ป้า”
ปณาฬียกมือขึ้นพนมไหว้พร้อม ยิ้มให้ในน้ำใจไมตรีของหญิงวัยกลางคนร่างอวบ ก่อนจะสูดปาก เมื่อเจ็บร้าวบริเวณคางที่ถูกชกรับเอาเงินห้าร้อยบาทสุดท้ายมา ตัดสินใจเดินไปหาน้องสาวเพื่อพาเดินทางต่อหวังไปอาศัยเพื่อนรักที่อยู่อีกจังหวัดหนึ่ง
“เอ่อ แม่หนู”
เสียงเรียกของพลเมืองดีที่เก็บกระเป๋าให้ทำให้ปณาฬีหันไปมองด้วยสายตาเป็นคำถาม
“คะ?”
“อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ ฉันฟังเรื่องหนูที่ไม่มีญาติแล้วก็สงสาร เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน นี่นามบัตรของฉัน ถ้าหนูเดือดร้อนไม่มีที่ไป ไปทำงานเป็นคนงานที่ไร่เจ้านายฉันก็ได้นะ ฉันจะช่วยพูดให้ ค่าแรงอาจจะแค่ขั้นต่ำแต่ก็มีที่พักพร้อมข้าวสามมื้อให้ ถ้าแม่หนูสนใจน่ะนะ”
ปณาฬีพนมมือไหว้รับเอานามบัตรสีฟ้าเรียบ ๆจากคนแปลกหน้าที่หยิบยื่นให้ความช่วยเหลือมาใส่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ ลึกๆ ยังคงหวาดระแวงในน้ำจิตน้ำใจมนุษย์ ขนาดคนที่เห็นหน้ากันตั้งแต่เกิดยังคิดทำลายชีวิตช่วงชิงเอาสมบัติ นับประสาอะไรกับคนที่พึ่งพบกันจะไว้วางใจได้ซักแค่ไหน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ให้ ขอให้มีความสุขกับการอ่าน ขอบคุณค่ะ
รัตนวิมล
ผลงานอื่นๆ ของ รัตน์วิมล ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ รัตน์วิมล
ความคิดเห็น