the queer's story เรื่องรวของผม ; like a dark soul - นิยาย the queer's story เรื่องรวของผม ; like a dark soul : Dek-D.com - Writer
×

    the queer's story เรื่องรวของผม ; like a dark soul

    ชีวิตของ เทสตัน ลอยส์ จะสงบสุขดีถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมเพื่อนสาวของเขา ชีวิตเขาจะเรียบง่ายถ้าไม่ถูกการตามล่า และชีวิตเขาจะไม่ตกอยู่ในอันตราย ถ้าเขาไม่ใช่ไดม่อน!?!?!?

    ผู้เข้าชมรวม

    45

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    45

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  8 ต.ค. 57 / 00:00 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    Insurer ?

     

    แสงสีจากทุกๆสารทิศจากด้านบน สาดส่องลงมายังภายในกล่องขนาดใหญ่แห่งนี้ หรือจะเรียกให้ถูกคือสิ่งที่รวบรวมความมันส์ ความสนุก ความมัวเมาในตัณหาได้อย่างครบครัน….. คงไม่มีใครไม่รู้หรอกว่าสถานที่แห่งนี้มันคือแหล่งรวมอโคจรชัดๆ แต่ใครสนล่ะ พวกเขา สนแค่ความสุขเท่านั้นล่ะ ไม่งั้นชีวิตก็ไม่มีสีสันเลยน่ะสิ!!!

    สายน้ำหลากสีไหลลงมาตามความโค้งเว้าของแก้วตามด้วยเสียงแก้วกระทบกันดังมาแว่วมาจากทางเคาน์เตอร์  เสียงเพลงฮิตถูกเปิดดังกระหึ่มพอๆกับเสียงพูดคุย กรี๊ดกราด และอื่นๆ จนแทบจะบอกไม่ได้ว่าเสียงจากแหล่งไหนดังกว่ากัน บางร่างก็เต้นส่ายสะโพก โชว์สัดส่วนเว้าโค้งน่าสัมผัสอยู่บริเวณเวทีที่มีนักร้องสาวสวยร้องอยู่ บางส่วนจับกลุ่มนั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน และอีกหลายๆส่วนแสดงความรักกันอย่างไม่อายสายตาผู้อื่น

    นัยน์ตาสีเขียวสดกวาดตามองพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบๆที่เจ้าตัวคิดว่ามันไม่เห็นจะสนุกตรงไหน จะไม่มาที่แบบนี้แน่ถ้าเพื่อนสาวตัวดีของเขาฉุดกระชากลากถูให้ออกมาจากหน้าจอคอมบ้าง มือเรียวกระดกน้ำสีฟ้าใสแจ๋วเข้าไปภายในครั้งเดียว ก่อนจะสั่งบาร์เทนเดอร์ให้เอามาอีกแก้ว เจ้าตัวพลิกกายให้หันมาดีๆตามแรงดึงจากด้านหลัง แม้วงหน้าได้รูปจะแลดูหงุดหงิดเล็กๆก็ตาม

    …..” ให้มันได้อย่างนี้สิ เวลามาที่แบบนี้ที่ไรต้องคอยตะโกนจนแทบจะเสียงหายตลอด นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เขาเกลียดที่แบบนี้

    “ฮะ? นายพูดว่าอะไรนะ?!

    “ไป เต้น ด้วย กัน มั้ย!!!!!!” คนถูกเสนอเสมองผ่านไหล่กว้างออกไป คนไม่ค่อยเยอะมาก….. เอาซักหน่อยก็ดี อยากรู้เหมือนกันว่าการส่ายสะโพกไปมามันน่าสนุกตรงไหน เจ้าของวงหน้าหล่อกวาดสายตาพินิจคนตรงหน้า ดวงตาสีอำพันเฉกเดียวเดียวกับเรือนผมที่ถูกเสยขึ้นไป แม้จะมีปอยผมเคลียวงหน้าอยู่บ้าง หนวดเคราที่ขึ้นอยู่ประปรายส่งผลห็คนตรงหน้าดูดีมากเข้าไปอีก ร่างสูงถูกสวมทับโดยแจ็คเก็ทหนังสีดำกับกางเกงยีนส์ขาเดปได้รูป มือหนาประคองแก้วเบียร์เอาไว้…. แก้วเบียร์ที่มีร่องรอยการเติมซ้ำแล้วซ้ำเล่า มิน่าล่ะเขาถึงได้เห็นเลือดฝาดจางๆบนแก้ม หมอนี่ท่าทางจะเมาแฮะ นึกยังไงชวนคนหน้าตาไม่น่าคบอย่างเขาไปเต้นด้วยกันล่ะเนี่ย ความคิดเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน เสียงนุ่มเพียงเอ่ยกล่าวไปอย่างไม่ยี่หระ

    “โทษทีนะ แต่ขอบายดีกว่า เชื่อเถอะ นายจะหมดสนุกเลยถ้าอยู่กับฉัน” เทสตันหมุนตัวกลับไปยังเคาน์เตอร์อีกครั้ง ยังไงๆเขาก็ไม่มีรสนิยมหาสัมพันธไมตรีในที่แบบนี้อยู่แล้ว แต่หาได้ทำอย่างใจหวัง มืออีกคนฉวยต้นแขนของเขา ก่อนจะออกแรงดึงที่ไม่ช่ว่าจะน้อย จนทำให้เขาจำต้องลุกไปตามแรง

    “เฮ้ ทำบ้าอะไรไม่ทราบ บอกว่าไม่คือไม่สิ ฉันไม่ชอบคนขี้ตื้อ” นายตาสีสดจ้องมองอีกฝ่างด้วยความวาวโรจน์ เพื่อนก็ไม่ใช่ คนรู้จักยิ่งแล้วใหญ่ มีสิทธ์อะไรมาสั่งไม่ทราบฃแต่อีกฝั่งหาได้สะทกสะท้าน มิหนำซ้ำยิ้มให้เขาอย่างละมุน

    “ชักถูกใจแล้วสิ” ร่างสูงเพียงเอ่ยเบาๆจนไม่มีใครทันได้ยิน  เรืยวตาสีอำพันมองร่างที่สะบัดมือของเขาอย่างไม่ไยดีก่อนจะหันมามองเขาอีกครั้งอย่างเอาเรื่อง เหมือนแมวเลยแฮะ

    “อ่าๆ โอเคครับ ไม่เอาก็ไม่เอา” ชายหนุ่มพูดอย่างว่าง่าย นั่นทำให้เทสตันผ่อนความแค้นเคืองลงไปบ้าง

    “ขอบคุณที่ยังคุยกันรู้เรื่อง แล้วขอเชิญให้นายไปไ…….” ก่อนจะพูดจบ ร่างของชายหนุ่มราวกับถูกสะกด วงหน้าหล่อของอีกคนยื่นใกล้เข้า จ้องลึกเข้าไปยังนัยน์ตาของเขาอย่างถือวิสาสะ เทสตันรู้สึกว่า คนๆนี้มีอะไรบ้างอย่างที่พิเศษ บางอย่างที่ทำให้เขาแทบลืมหายใจ

    “มีปัญหาเมื่อไหร่สนใจติดต่อเราได้นะครับ” ความคิดนั้นหายไปฉับพลัน เจ้าของเสียงยิ้มละไม ยัดเยียดนามบัตรกระดาษแข็งสีขาวสะอาดบนมือของเขา เทสตันขมวดคิ้ว จนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสับสนและหงุดหงิด

    ไอ้หมอนี่ มาขายประกันชีวิตในผับเนี่ยนะ??!!

    “สวัสดีค่ะสุดหล่อ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าค้า” ราวกับเสียงสวรรค์ ร่างอรชรใส่เสื้อเดรสสั้นสีฟ้าย่างกรายเข้ามาในบทสนทนาของพวกเขา หญิงสาวหันไปสั่งเครื่องดื่มแบบเทสตัน เมื่อได้มันมา วงหน้ารูปไข่ที่ถูกคลอเคลียด้วยเรือนลอนสีน้ำตาลเข้มเหมือนกับเขาหันมาจ้องผู้แปลกหน้าด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตร แหงล่ะ ดพื่อนสนิททั้งคน ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่าคนอย่างเขามันน่าเสวนาซะที่ไหน

    “ไม่มีไรมากหรอก ก็แค่พวกเมาค้างแล้วมาขายประกัน” เทสตันเหน็บแนม ก่อนจะเคลื่อนกายเข้าไปใกล้เพื่อนสนิท ร่างสูงเพียงกลั้วหัวเราะกับคำกล่าวของอีกฝ่าย เจ้าของผมสีบลอนด์เริ่มถอย

    “เปล่าครับสุดสวย ผมแค่รู้สึกสนใจเพื่อนคุณเท่านั้นเอง เดี๋ยวขอตัวไปไปเต้นกับเพื่อนก่อนนะครับ” คล้ายคำอนุญาต สาวสวยคนเดียวในวงสนทนาเพียงยิ้มบางให้ ไม่แม้จะเอ่ยปากลาหรือถามไถ่ชื่อทั้งสิ้น เพราะสัญชาตญาณของเธอคอยเตือนไว้ว่า คนๆนี้ อันตราย

    “เฮ้ๆ จ้องอยู่ได้ คิดจะงาบไอ้นั่นไปกินคืนนี้เหรอไง เตือนไว้ก่อนว่าอย่าเลยจูดี้” จู่เสียงของคนข้างกายก็ดังขึ้น ดวงตาใสมองมาทางเธออย่างจริงใจ เป็นดวงตาที่ไม่คิดจะปกปิดอะไรทั้งสิ้น ก็นะ จะเอาอะไรมากกับคนที่วันๆใช้ชีวิตอยู่แต่หน้าจอคอมกับกาแฟ ถ้าไม่คิดจะระวังตัวแบบนี้คงไม่แปลกนัก

    เจ้าของชื่อส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอกับคำจิกกัดที่แลดูจะแรงไปนิดสำหรับคนธรรมดา นี่ยังแค่เบาๆนะ ไม่แปลกใจเลยที่ชายหนุ่มจะมีเพื่อนสนิทหรือเพื่อนในชีวิตเพียงคนเดียว

    “เขาสนใจนายต่างหาก และอีกอย่าง ฉันไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้นได้ย่ะ” จูดี้ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเขา เสียงเพลงยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ในนี้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง แทบไม่มีใครสนใจว่าโลกภายนอกจะเป็นเช่นไร เวลาจะเดินไปอีกเท่าไหร่ ทุกคนในนี้เพียงต้องการความสุข ชั่วข้ามคืนเท่านั้น พอตะวันสาดส่องพื้นดิน พวกเขาเหล่านี้จะกลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริง ใช้ชีวิตตอนกลางวัน ก่อนจะมาระบายอารมณ์ที่นี่อีกครั้ง แต่ยังมีอีกหลายส่วนที่ถูกดูดเข้าไปยังโลกแห่งความฝัน….. ตลอดกาล

    “บอกตามตรงนะเจ้ด”

    “ว่ามาสิ…..” หญิงสาวจิบน้ำสีฟ้าใสในแก้ว ก่อนจะหันมาฟังผู้เป็นเพื่อนดีๆ

    “ฉันเกลียดที่นี่ชะมัด เมื่อไหร่เราจะได้ออกไป ฮะ  ไอ้หมอนั่นทำฉันประเสียมากกว่าเดิม ให้ตายเถอะอยู่ดีๆก็ชวนฉันไปเต้น พอปฏิเสธเลยขายประกันฉัน? ขอร้องล่ะ ฉันเกลียดที่นี่” เทสตันเอ่ยเสียงเบา และยังแถมบรรยากาศหงุดหงิดเล็กๆ แต่เพียงพอที่จะทำให้เพื่อนสาวได้ยิน เธอเพียงผ่อนลมหายใจช้าๆ รู้อยู่แล้วว่าเทสตันต้องพูดแบบนี้ เธอพยายามพาชายหนุ่มออกไปเข้าสังคมหรือพบเจอผู้คนในที่ต่างๆ แต่สุดท้ายเทสตันก็รับไม่ได้สักที

    “นะ ขอร้องล่ะ ฉันอยากกลับบ้าน….” เสียงอ้อนวอนเพิ่มเติมขึ้นมา หัวทุยที่ถูกปกคลุมด้วยเรือนผมหยิกหยอยสีน้ำตาลก้มงุด เลี่ยงการสบสายตากับคนตรงหน้า ใครอยากจะขัดล่ะ เห็นๆอยู่ว่าตัวดีข้างกายเขาดูมีความสุขขนาดไหนที่ได้เต้นสะบัดหน้าเวที แต่เขาเองก็ไม่ไหวดหมือนกัน อยู่ในนี้เขาแทบอยากจะอาเจียนอาจเป็นเพราะกลิ่น เสียง หรือคนรอบข้างก็ไม่รู้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกจูดี้ เจ้าขายประกันนั่น บรรยากาศรอบๆตัวเจ้านั่น ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ย้ำมานิดหน่อยจริงๆ

    จูดี้ลูบเรือนผมเขาอย่างแผ่วเบา แม้ทั้คู่จะมีสถานะเป็นเพื่อนกัน แต่สำหรับเขา จูดี้ ฟลาวน์ เปรียบเสมือนพี่สาวและทุกๆอย่างในชีวิตชายหนุ่ม และเจ้าตัวก็คิดแบบนั้นเช่นกัน แม้จูดี้จะมีความสุขกับกิจกรรมในนี้มากเท่าไหร่ แต่ถ้าอีกคน อีกคนที่แทบจะเป็นหัวใจอีกดวงของเธอ ไม่มีความสุข เธอย่อมสามมารถสละความสุขของเธอให้อีกคนสบายใจได้อยู่แล้ว ว่าแล้วหญิงสาวลุกขึ้นเป็นสัญญาณกรอนุญาต

    “ก็ได้ แต่ต้องสัญญากันก่อน…. ว่าจะไม่นั่งกินหมึกแทนข้าว ไม่จ้องแต่หน้าจอคอม และออกกำลังกายเสียบ้าง”

    “กาแฟ ไม่ใช่หมึก เจ้ด”

    “เหรอ แต่เห็นบางวันนายใส่หมึกแทนน้ำตาลนะ”

    “ให้ตายเถอะ” เทสตันกลั้วหัวเราะ พลางลุกขึ้นตามหญิงสาว

    “สัญญา?

    อืม จะพยายาม” ยิ้มอ่อนๆไปให้ จูดี้ดูมีท่าทีใจชื้นขึ้นเดินนำเทสตันไป

    ชายหนุ่มแอบเสมองไปรอบๆว่าเจ้าขายประกันนั่นไปเมาอยู่ที่ไหน ก็พบว่าไปนั่งคุยกับผู้ชายและผู้หญิงอีกสองสามคน ไม่มีท่าทีเมากันแม้แต่น้อย เทสตันแค่นลมหายใจ ก่อนจะเลิกสนใจกลุ่มบุคคลนั้น เพราะเขารู้สึกว่าอยากจะอาเจียนเต็มที จึงรีบเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อนสนิท

     

    เรียวตาสีอำพันเหลือบมองร่างสูงที่เดินตามหลังหญิงสาวใส่ชุดเดรส ก่อนจะปรากฎรอยยิ้มคมคายบนวงหน้าได้รูป

    ยังไงนายต้องให้ฉันช่วยแน่….. น้องใหม่

     

    “ฟู่”

    “ที่นี่มันแย่มากเลยเหรอ?

    “มันเป็นอะไรที่บัดซบมากต่างหาก” เทสตันกล่าวตอบ เจ้าตัวรู้สึกรำคาญเจ้ากางเกงหนังสีดำบ้านี่ที่สุด ถ้าไม่ถูกจำยัดใส่ เขาคงไม่มีวันใส่มันแน่ เวลาจะนั่งสักที ต้องคอยระวังไม่ให้ปริทุกที อย่างเช่นตอนนั่งในรถคราวนี้ก็เหมือนกัน

    “จ้าๆ พ่อเด็กเนิร์ด อะไรมันจะดีเท่าเจ้าหน้าจอสี่เหลี่ยมกับน้ำหมึกยามเช้ากันล่ะ?

    “กาแฟ จู้ด ใครจะบ้ากินน้ำหมึกเข้าไป”

    แล้วใครประสาทหลอนหยิบขวดหมึกมากระดกกินเมื่อวาน?” เทสตันแทบอยากจะเอาหัวชนหน้าต่าง ก็ตอนนั้นมันมึนนี่ ใครจะไปรู้บ้างว่าชีวิตโปรแกรมเมอร์มันรันทดขนาดไหน ตอนนั้นเห็นอะไรขวางหน้าก็เอามากินระบายอารมณ์เท่านั้นเอง(?)

    “เอาเถอะ ฉันยอมละ ขับรถเถอะคุณพี่ นี่จะปาไปตีสองแล้วนะ ขับรถไหวรึเปล่าเนี่ย?” เทสตันเอียงคอไปยังตำแหน่งคนขับ เจ้าของรถเพียงหัวเราะหึ ก่อนเหยียบคันเร่งแทบจะสุดแรงเกิด กลับรถเล็กน้อย ก่อนจะขับบึ่งสู่ถนนใหญ่

    “คนอย่างฉันมีคำว่าไม่ไหวด้วยเหรอ?” หลายๆคนคงเห็นประโยคนี้เป็นเพียงความอวดดีหรือการโชว์พาวน์เท่านั้น แต่สำหรับคนที่อยู่บนรถทั้งสองแล้ว ต่างรู้ดีว่ามันแฝงไปด้วยความหมายหลายๆอย่าง

    จากที่จะเอ่ยปากด่าเป็นชุด ทำให้เทสตันเพียงประคองสีหน้าหงุดหงิดเล็กๆเอาไว้ โทษฐานออกรถเร็วจนเขาแทบจะหลบสายตาตำรวจจากการไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยแทบไม่ทัน

    “คนเมื่อกี้น่ะ เขาให้อะไรกับนายงั้นเหรอ ขอฉันดูหน่อย” จูดี้เอ่ย ก่อนที่มือเรียวสวยจะเอื้อมไปหรี่เสียงเพลงลง

    “ไอ้ขายประกันนั่นน่ะเหรอ ให้นามบัตรมาล่ะมั้ง” ชายหน่มควานหาเข้าไปในเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำ เมื่อเจอสิ่งที่ต้องการ จึงยื่นไปให้อีกคน

    เนื่องจากหยุดไฟแดงตรงสี่แยก รถมินิคูเปอร์ชะลอความเร็ว ก่อนจะหยุดในที่สุดเพื่อเคารพกฎจราจร แม้ในถนนจะมีเพียงรถอีกสองถึงสามคันก็ตาม

    หญิงสาวเอื้อมไปรับ พลิกกับหน้าหลังอยู่หลายรอบ พร้อมกับขมวดคิ้ว มือเรียวปัดปอยผมที่เคลียหน้าออกไป

    “กระดาษเปล่าไม่ใช่เหรอ”

    “หืม?

    “นี่มันกระดาษเปล่านี่” เทสตันเอื้อมมือไปรับกระดาษคืน พร้อมๆกับค่อยๆกวาดสายตาตามตัวอักษร

    “สำหรับเด็กใหม่เท่านั้น มันเขียนอย่างเนี้ย” เสียงนุ่มกล่าวออกไป พร้อมๆกับไม่เข้าใจข้อความที่ตัวเองอ่านออกมา

    “นายกินไปกี่แก้วเนี่ยเทส?” รถเริ่มออกตัวอีกครั้ง คราวนี้เส้นทางของเขาเป็นทางตรงอย่างเดียวแล้ว อีกเพียงอึดใจ ก็ถึงคอนโดที่พวกเขาอาศัยอยู่

    “ฮ้า?

    “นายเมา” จูดี้กล่าวสรุปพร้อมเลี้ยวรถเข้าไปภายในอาคารจอดรถ

    “ฉันไม่ได้เมานะ มันเขียนอย่างนี้จริงๆ” ชายหนุ่มมองคนข้างกาอย่าางไม่เข้าใจ จูดี้เลือกที่จะจอดรถชั้นเดียวกับที่พวกเขาอาศัยอยู่ หรือชั้นสิบห้า เมื่อดับเครื่องอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดวงตาสวยเฉี่ยวตวัดมองมายังอีกคน

    “ถามจริงกินไปกี่แก้ว ถึงได้เบลอแบบนี้ ปะ รีบไปนอนเลย” ไม่ต้องให้พูดซ้ำ เทสตันรีบออกจากรถ โดยไม่ลืมที่จะสอดบัตรนั้นลงแจ็คเก็ทเมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิททำท่าแถบจะอุ้มเขาออกจากรถอยู่แล้ว

    ผู้หญิงอะไรน่ากลัวเป็นบ้า??!!

    เมื่อเห็นว่าพูดไปคงไม่ฟัง จึงตัดสินใจบอกปัดๆไปว่าเมาจริง ก่อนจะเดินเข้าไปยังตัวคอนโดใกล้ๆกับจูดี้

    ตลอดระยะเวลาที่เดินไปยังห้องตัวเอง มือเรียวลูบบัตรใต้แจ็ดเก็ทตลอดทาง แม้ว่าจูดี้จะขอใหทิ้งมันไป เพราะในความคิดของเธอ มันแค่กระดาษแข็งเปล่าๆเท่านั้น แต่มีบางอย่างที่ทำให้เขาไม่คิดจะทิ้งมันบางอย่างคอยย้ำเตือนในหัวเขาเสมอว่า

    มันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคต

     

     

     

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น