ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แซว ม๊า ขายไอติม ตอน 1

    ลำดับตอนที่ #1 : เปิดร้าน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 48
      0
      26 ม.ค. 54

    ม๊าแก่แล้วก็ฟุ้งซ่านอยากทำนู่นนี่

    เห็นเขาขายของก็อยากขายบ้าง

     

    ม๊าเห็นเราทำโครงการ Scoop The Love

    ทำไอติมไปเลี้ยงเด็กด้อยโอกาสตามสถานที่ต่างๆ

    ม๊าก็เลยดึงดันบอกว่าให้ผมทำไอติมให้ม๊าขายบ้าง

    ทั้งที่ก็ไม่เคยเชื่อมือกันว่าเราทำอร่อยหรือเปล่า

    ก็ยื้อกันมาจนถึงปีนี้

    เราจึงยอมออกเงินซื้อตู้ไอติมและทำไอติมไปให้ม๊าขายที่หน้าบ้าน

     

    เราเริ่มขายเมื่อวันที่ 20 ม.ค. (ม๊าเขาถือฤกษ์วันเปิด หาเองเสร็จสรรพ)

    เปิดขายวันแรกผมก็สะสางงานส่วนตัวไปช่วยม๊าขายที่หน้าบ้าน

    เริ่มขายตอนบ่าย 2 โมงเย็น ไปจนกระทั่งปิดร้าน 5 โมงครึ่ง

    ซึ่งก็ขายดีมาก เด็กๆ ซื้อกันเยอะ เพราะเราขายราคาเพียงลูกละ 15 บาทเท่านั้น

    จำได้ว่าวันแรกขายไปได้ไม่ต่ำกว่า 100 ลูก

    คนแถวนั้นฮือฮากันใหญ่ที่เราทำไอติมขายเอง

    หน้าตาดีแบบโรยโอรีโอด้วยนะแถมไม่ใช่ไอติมกะทิ

    คนแก่มักจะคิดว่าไอติมทำเองต้องเป็นไอติมกะทิน่ะ

    อาเจ๊ก อาอึ้มแถวบ้านก็จะมานั่งคุยเรื่องไอติมโฟร์โมสต์สมัยโบราณให้ฟังอยู่นั่น

     

    พอเด็กๆ และใครต่อใครมาซื้อ แล้วบอกว่าอร่อยมาก

    ม๊าก็เริ่มคิดว่าอร่อยมากตามเค้า

    จากเดิมไม่เคยจะกล้ากินไอติมที่เราทำ

     

    ขายๆไปเพื่อนแถวบ้านมาทักม๊า บอกว่าขายถูกไปเดี๋ยวอยู่ไม่ได้ น่าจะขายให้แพงกว่านี้..

    เอาแล้ว ทีนี้ม๊าก็มาบอกผมว่าจะขึ้นราคา

    ผมก็บอกว่า

    เราตกลงกันแล้วนี่ว่าจะขายในราคาให้เด็กซื้อทานได้

    เพราะผมก็ยังอยากให้เด็กๆได้ทานไอติมที่ดีที่สุดเท่าที่ผมทำได้อยู่ แต่ไม่อยากให้ฟรี

    เพราะเด็กเหล่านี้ไม่ใช่เด็กด้อยโอกาส

    ก็พอจะมีเงินอยู่บ้าง

    ม๊าก็ดูเหมือนจะเข้าใจ

    แต่เผลอทีไรก็บ่นจะขึ้นราคาทุกที

     

    แต่พอเวลาตักนะ

    ม๊าจะตักไอติม ลูกใหญ่มากกกก

    ผมก็จะถามว่าทำไมตักลูกใหญ่จัง

    ม๊าก็บอกว่าม๊าไม่ได้คิดว่าม๊าขายของ

    ม๊าคิดว่าตักแจกเพราะม๊าไม่ได้ออกเงินค่าทำ

    เวลาตักก็กลัวเขากินไม่สะใจ

    ผมก็บอกว่าถ้าเราขาดทุนจนทำไม่ไหวก็ต้องเลิกขายนะ

    เพราะผมเหนื่อยมาก

    กลางวันต้องทำงานส่วนตัว

    ตกบ่ายต้องรีบไปช่วยม๊าขาย

    เลิกจากร้านต้องวิ่งไปซื้อของ

    รีบกลับบ้านไปทำไอติมมาเพิ่มเพราะมันขายหมดทุกวันตั้งแต่เปิดร้าน

    แทนที่ม๊าจะเข้าใจ กลายเป็นเมื่อวานก่อนม๊าไม่ยอมตักไอติม บอกว่าตัวเองตักลูกใหญ่ไป

    ผมก็บอกว่า

    อ้าว..นี่ร้านม๊า ถ้าม๊าไม่ตักแล้วต่อไปใครจะขาย

    ผมไม่ได้มาขายให้ทุกวันนะ

    ม๊าบอก..เอ็งตักไปก่อน

    การสนทนาเป็นอันยุติ !!

     

    นี่ยังไม่ได้นับเวลาที่ตัวเขาไม่ได้ตัก แต่เขามาคอยยืนสั่งให้ผมตักอย่างนั้นอย่างนี้นะ

    หูย..ทรมานสุดๆอ่ะ

    เหมือนตัวเองกลายเป็นเด็กทำไรไม่เป็น

    ต้องคอยโดนแม่กำกับทุกอย่าง

     

    ยังมีอีกนะครับ

    เรื่องเปิดร้าน ร้านที่ไหนเขาเปิด-ปิดไม่เป็นเวลาบ้าง

    ผมบอกว่าม๊าไม่ต้องเปิดวันเสาร์-อาทิตย์นะ

    เปิดเฉพาะวันธรรมดาตอน บ่าย 2 ถึง 5 โมงครึ่งก็พอ

    จะได้มีเวลาไปหาข้าวให้ป๊ากิน

    ขายคนเดียวมันเหนื่อย ม๊าก็ไม่ฟัง

    วันเสาร์ที่ผ่านมาเปิดขายคนเดียวตอนสายๆ

    ขายไปจนของหมดก็ปิดร้าน,

    ผมถามว่าแล้วเสาร์นี้จะขายไหม

    ม๊าบอก..ไม่ขายต้องไปเลี้ยงหลาน !!

    กลุ้ม..

     

    เมื่อวานก่อน

    ผมไปช่วยขายแต่ไม่ได้เป็นคนเรียกลูกค้า

    เพราะไปผ่าฟัน

    ม๊าก็อายๆ แต่ก็พยายามเรียกลูกค้า

    แต่พอเรียกแล้วลูกค้าไม่กิน

    ม๊าหันมาบ่นกับผมยาวเลยว่าทำไมเรียกก็ไม่กิน ไม่ยอมกินของเราเลย

    ผมก็บอกว่า

    ใครเขาจะกินไอติมกันทุกวัน

    เขาเบื่อก็ไปกินอย่างอื่นบ้าง

    เสร็จแล้วม๊าก็จะไปนั่งนับเงินแล้วก็บ่นว่าขายไม่ดี

    ผมก็บอกว่าถ้าม๊าขายแล้วเป็นทุกข์ เราก็เลิกขายกันเหอะ

    ม๊าก็ไม่ยอม

    แต่ก็บ่น วนเวียนอยู่อย่างนี้

     

    เพลียหัวใจจริงๆ ครับ

    อยากบ่นอีกหลายเรื่อง

    แต่ก็พยายามเข้าใจเขาละครับ

    แต่เวลาเราเหนื่อยมากๆ

    มันก็อยากจะหยุดจะเลิกนะครับ

    ทุกวันนี้ต้องปั่นไอติมจนดึก

    ปั่นไปนั่งทำงานของตัวเองไปด้วย

    วิ่งเข้า-ออก ไป-มา ระหว่างครัวกับโต๊ะทำงาน

    แทนที่งานจะเสร็จเร็วก็กลายเป็นดึกดื่น

    จากที่คิดว่ายอมให้ม๊าขายจะได้สบายใจ

    กลายเป็นเหมือนเขาจะทุกข์ใจ

    พอชวนเลิกขายก็เหมือนจะเสียดายทุกข์มากกว่าเดิม

     

    เมื่อวานเอาอีกแล้ว

    บอกว่าจะไปซื้อขนมปังจากแม็คโครมาขาย

    ผมก็.. "อ้าว..ม๊า !! แล้วไอติมบอมอะ ใครจะขาย?"

    "เอ็งก็ขายไปสิ ช่วยกัน"

    คือยังไงครับ ไอ้ตู้ไอติมนี่มันเป็นหมื่นนะครับ

    เรื่องนี้ผมยังงงๆกะม๊าอยู่เลยยังไม่ได้เคลียร์

    ขอดูก่อนว่าถ้าจะขายจริงนี่สงสัยต้องคุยกันยาว

     

    เอิ่ม..ถ้าใครแวะไป อย่ากระโตกกระตากไปนะครับ

    เราแอบๆมากระซิบกัน

    นึกเสียว่าเห็นแก่หูผมเถอะนะครับ

    นี่ถ้ารู้ว่าโดนพาดพิงสงสัยผมจะโดนบ่นไปตลอดชีวิต

     

    ใครไปซื้อไอติมที่ร้านลองสังเกตุม๊าตักนะครับ

    ตอนนี้ม๊าจะตักน้อยมากจนผมต้องบอกให้ตักเพิ่มเพราะเกรงใจลูกค้ามากๆ ที่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นขาประจำกันทั้งนั้น

     

    แต่พอเวลาผมตักบ้างละก็ อะแน่นอนครับ ม๊าจะมาคอยยืนพากษ์เป็นมวยเด็ดเจ็ดสีเลยทีเดียว

    บางครั้งยังมากระทุ้ง-กระซิบผมต่อหน้าลูกค้าอีกนะว่าผมตักเยอะไป ให้เอาออกอีก

    ผมนะอ๊ายอาย เกรงใจลูกค้ามาก

     

    แต่ก็จริงกับความเห็นที่ว่า ม๊าดูสดใสขึ้นมากครับ

    จะไม่ให้สดใสยังไงละครับ

    เมื่อวาน..

    มีคนมาซื้อไอติม แล้วชวนคุย

    ม๊าตั้งหลักยืนคุยคาตู้ไอติมเลย

    เด็กๆยืนรอซื้อกันเป็นแถว

    ม๊าก็ยังไม่รู้ตัว เมาท์..อยู่นั่น

    จนผมทนไม่ได้ต้องไปบอกเด็กๆว่า

    "เดี๋ยวพี่เอาไอติมไปส่งที่บ้านนะ ม๊าคงจะคุยอีกนาน"

    ม๊าได้ยินเท่านั้นอะ โวยวายหาว่าเราไล่ลูกค้า

    จะบ้าตาย

     

    โอ้ย...กลุ้ม, เหนื่อย

    ใครมีวิธีจัดการ พูดจา เคล็ดลับอะไร ช่วยแนะนำทีเหอะครับ ว่าควรจะพูดบอกกับม๊ายังไงดี

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×