ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องค์หญิงใบ้ (ไม่ใช่เสียหน่อย)

    ลำดับตอนที่ #1 : ข้า คือ องค์หญิงใบ้เเห่งวังหลวง

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 60


      สวัสดี พวกเจ้าเหล่านักอ่านทุกคน ข้ามีนามว่า
    เฟิ่งซูเซียน เป็นน้องสาวแท้ๆเพียงคนเดียวของฮ่องเต้ มีพระนามว่า เฟิ่งเซียนซิ่น ขึ้นครองราชย์เมื่อมีอายุเพียง 15 ปี ส่วนตอนนั้นข้าอายุเพียง 6 ปี
    ตัวข้าเคยเป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยที่เเสนซุกซนคนหนึ่ง แต่แล้ว เมื่อข้าอายุได้ 5 ปี ก็มีความทรงจำหนึ่งไหลเข้ามาในหัวของข้า ความทรงจำของหญิงผู้หนึ่ง
    ซึ่งมีนามว่า โรส ทุกคนมักเรียกขานนางว่า กุหลาบเลือด นางเป็นนักฆ่าที่เก่งกาจ เพราะได้รับการฝึกตั้งแต่อายุ 2 ปี นางฆ่าคนไปนับไม่ถ้วน แต่แล้วเมื่อนางอายุ 27 ปี นางก็ตาย เพราะองค์กรนักฆ่าเห็นว่านางเป็นอันตรายจึงฆ่านางทิ้ง และนางก็คือ ข้า ที่เกิดใหม่แล้ว ในชาติก่อนข้าที่มีนามว่าโรสนั้นชอบอ่านนิยายมาก เป็นเเนวสืบสวน ผจญภัย เอาตัวรอด
    เล่ห์เหลี่ยมของนางสนมในวังหลวง ซึ่งเป็นนิยายจีนโบราณทั้งหมด อ้อ ยังมีนิยายกำลังภายในทุกชนิดด้วยนะ ข้ายังคงจำเรื่องราวที่อ่านได้ทุกเล่ม เพราะไม่ว่าอะไรเพียงผ่านตาข้าครั้งเดียวข้าก็จำได้ไม่มีลืม
    ข้าที่ได้รับรู้ความทรงจำในชาติที่เเล้วจึงเปลี่ยนจากเด็กน้อยผู้น่ารักชอบซุกซนเป็นเด็กน้อยเงียบขรึมเย็นชา พูดน้อยเเทบนับคำได้ ทุกคนในวังจึงเรียกข้าว่าองค์หญิงใบ้ อา พวกเขาทำให้ข้าคิดได้ว่า พูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ สู้ไม่พูดเลยและเอาเวลาไปคิดและมโนเสียดีกว่า ดังนั้นข้าจึงเรียนภาษามือเพื่อใช้ในการสื่อสาร และนั่นทำให้ทุกคนในวังต้องเรียนตาม เพราะไม่งั้นพวกเขาคงสื่อสารกับข้าไม่รู้เรื่องแน่ หึๆๆ
    เอาล่ะ จบการแนะนำตัวแต่เพียงเท่านี้ 

    ตอนนี้ข้าอายุได้ 9 ปีแล้วล่ะนะ

      "เซียนเอ๋อร์ มาเดินเล่นรึ หืม"ฮ่องเต้เซียนซิ่นเอ่ยถามน้องสาวตัวน้องเพียงคนเดียวของพระองค์ ตอนนี้ทั้งสองอยู่ในอุทยานหลวง ซูเซียนหันไปมองผู้เป็นพี่ชายของตนแล้วพยักหน้า ฮ่องเต้ยกมือลูบลงบนหัวน้อยๆของนางแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู

    "เหตุใดเจ้าจึงไม่พูดกันนะเซียนเอ๋อร์ เจ้าอายุเพียง 9 ปีเท่านั้นเองนะ ข้าอยากให้เจ้ากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนจังนะเซียนเอ๋อร์"
    ซูเซียนตอบเป็นภาษามือกลับไป
    'เพราะมันเปลืองน้ำลายเจ้าค่ะ' 
    "เอ่อ เซียนเอ๋อร์ มันก็เกินไปนะ อย่างน้อยน้องน่าจะพูดหน่อยก็ดี"

    ฮ่องเต้หัวเราะเเห้งๆ แล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
    นางกำนัลและขันทีที่ตามขบวนเสด็จของทั้งสองพระองค์ต่างลอบถอนหายใจไปตามกัน

    'ไม่ได้เจ้าค่ะ เดี๋ยวมันติดเป็นนิสัย ข้าจะเผลอพูดเอาได้ ไม่สมฉายา องค์หญิงใบ้กันพอดี'
    "โธ่ เซียนเอ๋อร์ น้องไม่เห็นต้องสนใจคำพูดของผู้อื่นเลยนี่นา"

    ซูเซียนเพียงมองฮ่องเต้ด้วยความระอาแล้วก็ไม่สนใจอีก หันไปเดินชมนกชมไม้ต่อ

    "เซียนเอ๋อร์ รอพี่ด้วย"

    แต่ก่อนที่ฮ่องเต้จะได้ตามน้องน้อยของตนไปก็มีเสียงเรียกขัดขึ้นก่อน

    "ฝ่าบาทเพคะ"

    ฮ่องเต้หันไปมองยังเสียงเรียก ก็พบว่าเป็นหลินกุ้ยเฟยที่ตอนนี้มีอำนาจมากที่สุดในวังหลังเพราะยังไม่มีการเเต่งตั้งฮองเฮานั่นเอง

    "ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี
    หมื่นๆปี"
    "ลุกขึ้นเถอะ สนมรัก มีเรื่องอะไรรึจึงเรียกเราไว้"
    "มิมีอันใดเพคะ หม่อมฉันเพียงอยากพูดคุยกับฝ่าบาทเท่านั้นเพคะ"

    กึด
    ฮ่องเต้รู้สึกว่าเส้นเลือดที่ขมับปูดโปนขึ้นมา บังอาจนัก
    บังอาจมาขัดเวลาแห่งความสุขในการอยู่ร่วมกับเซียนเอ๋อร์ของข้า ช่างบังอาจนัก(ฮ่องเต้ซิสค่อนเรอะ)

    "เราคงทำให้เจ้าต้องผิดหวัง เพราะตอนนี้เรามีธุระสำคัญต้องไปจัดการ"

    ใช่ สำคัญมาก ข้าต้องไปหาเซียนเอ๋อร์เพราะงั้น ไสใบหน้างามๆของเจ้าไปให้ไกลจากข้าเสียเถอะ

    "เช่นนั้นหม่อมฉันขออภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันทูลลา"

    พูดจบหลินกุ้ยเฟยก็เดินจากไปพร้อมขบวนเสด็จด้านหลัง มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ คิดในใจว่า
     นังซูเซียน เพราะมัน ฝ่าบาทจึงปฏิเสธข้า ข้าเกลียดมัน ข้าเกลียดมันยิ่งนัก
     ถึงจะคิดแบบนั้น เเต่ใบหน้าก็ยังคงรักษารอยยิ้มอ่อนโยนไว้ได้อยู่ สตรีวังหลังช่างน่ากลัวนัก...
      
      "เซียนเอ๋อร์ รอพี่ด้วย"ฮ่องเต้พูดกับซูเซียนพร้อมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น จนในที่สุดก็ตามขบวนของซูเซียนทัน
     ซูเซียนเหลือบตามองฮ่องเต้ที่เดินอยู่ข้างๆ แล้วกลับไปสนใจทางเดินข้างหน้าต่อ 
     ฮ่องเต้มองไปยังซูเซียนแล้วนึกบางอย่างได้จึงกล่าวขึ้นมา

    "เซียนเอ๋อร์ อีกไม่กี่วันก็จะวันเกิดเจ้าเเล้วนะ เจ้าอยากได้อะไรเป็นของขวัญ บอกพี่มาได้เลยนะ"
    ซูเซียนเมื่อได้ยินดังนั้นก็นึกขึ้นได้ หันไปหาฮ่องเต้เเละตอบกลับด้วยภาษามือ

    'ข้าอยากคุยกับท่านตามลำพังเจ้าค่ะ'
    "หืม ได้สิ...พวกเจ้าถอยออกไปห่างๆและห้ามมองเราพูดคุยกับองค์หญิง ใครฝ่าฝืน เราจะควักลูกตา"

    ประโยคหลังหันไปพูดกับขันทีและนางกำนัลด้วยเสียงเหี้ยม พวกขันทีและนางกำนัลได้ยินดังนั้นจึง
    รีบทำตามที่สั่งทันที

    "เอาล่ะ ไม่มีใครมาฟังพวกเราแล้ว เจ้าพูดเถอะ"
    'เงาทั้งสี่ของท่านยังอยู่เจ้าค่ะ'

     ฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจรวมถึงเงาทั้งสี่ก็เช่นกัน
    เป็นไปได้อย่างไร ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นี่ เเล้วนางรู้ได้อย่างไรกัน
    ซูเซียนมองใบหน้าและแววตาสับสนของฮ่องเต้จึงยิ้มมุมปากนิดๆแล้วตอบกลับไป

    'เห็นข้าเป็นเด็กอายุเพียงเท่านี้ แต่ข้าก็เป็นวรยุทธ์นะเจ้าคะ หึๆๆ'
    "ว่าไงนะ ได้อย่างไรกัน เจ้าไปฝึกมาตอนไหน แล้ววิชาที่ฝึกเล่า เจ้า.."
    'ใจเย็นๆเจ้าค่ะ ข้าเริ่มฝึกตั้งแต่อายุได้ 5 ปี ฝึกวิชาตัวเบา หนึ่งอาทิตย์, วิชาก้าวพริบตาสิบวัน, วิชาพรางเงาสองเดือน, วิชาเนตรกระจ่างสามเดือน, วิชาฟันดาบตัดจันทรา หกเดือน, วิชาร่ายรำกระบี่ เมฆาคล้อย หนึ่งปี, วิชากำแพงแก้ว สองเดือน, วิชาหงส์ร่ายรำ
    สามเดือน, วิชาอาวุธลับ เก้าเดือน ก็มีเพียงเท่านี้เเหละเจ้าค่ะ ข้าเริ่มฝึกวิชาพลางเงาก่อนแล้วค่อยเเอบออกไปฝึกตอนกลางคืน จึงไม่มีใครรู้ว่าข้าเป็นวรยุทธ์
    และที่ข้าบอกท่านเพราะข้าไว้ใจท่านและเงาของท่านนะท่านพี่'

    ใช่แล้วล่ะ นางนำเอาวิชายุทธ์ที่เคยอ่านในชาติที่เเล้วมาดัดแปลงนิดหน่อยและใช้มันฝึก ซึ่งร่างนี้ช่างยอดเยี่ยมนัก เพราะไม่ว่านางจะฝึกอะไร ก็ไม่เป็นปัญหาต่อร่างกายที่ยังเด็กอยู่ของนางเลยซักนิด

    พูดจบก็ยิ้มให้ฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชายที่ตนรักและไว้ใจ

    "เจ้า..เจ้า เป็นปีศาจรึอย่างไรกัน พี่ฝึกวิชาตัวเบายังใช้เวลาถึงสองเดือน เจ้ามันขี้โกงที่สุด ชิ"

    พูดจบก็งอนตุ้บป่องแก้มพอง มันจะน่ารักมากหากเด็กอายุไม่เกินสิบขวบทำ ไม่ใช่ชายหนุ่มผู้มีหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ ซูเซียนมองและยิ้มอย่างขำขัน
    จากนั้นจึงเริ่มต้นสนทนาด้วยภาษามืออีกครั้ง

    'ของขวัญวันเกิดของข้า ข้าอยากได้หน่วยเงาทมิฬที่ท่านดูเเลอยู่เจ้าค่ะ'

    ฮ่องเต้เลิกงอนแล้วหันมาสนใจซูเซียนอีกครั้ง

    "แต่เจ้ายังเด็กนัก อีกอย่างเจ้าเป็นสตรี"
    'ความรู้ของข้าอาจมีมากกว่าท่านเสียอีกนะท่านพี่
    อีกอย่างข้ารู้จักวิธีการปกครองคนดี อายุของข้าไม่สามารถใช้เป็นตัววัดความสามารถของข้าได้หรอกนะเจ้าคะ ถ้าเทียบความรู้ที่ข้ามี ก็คงเทียบเท่าผู้มีอายุ
    สี่สิบได้ละนะ อีกอย่างหนังสือทุกเล่มในหอสมุดหลวง
    ข้าก็อ่านครบหมดแล้วภายในหนึ่งปีนะเจ้าคะ ท่านทำแบบข้าได้รึไม่เล่าท่านพี่'

    ฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้นก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก มองซูเซียนด้วยความตกใจ สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา

    "เฮ้อ เข้าใจแล้วๆ ข้าจะยกหน่วยเงาทมิฬให้เจ้า"
    "ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้ารักท่านพี่ที่สุด เพราะงั้นข้าจะคอยช่วยเหลือท่านเอง ฟอด"

    ซูเซียนเขย่งตัวขึ้นกระซิบข้างหูฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชาย
    แล้วหอมแก้มหนึ่งทีเพื่อเป็นการขอบคุณ จากนั้นจึงวิ่งกลับไปยังตำหนักของตน ทิ้งให้ฮ่องเต้ยืนค้างตกตะลึงอยู่เพียงผู้เดียว โดยมีขันทีและนางกำนัลที่อยู่ห่างออกไปมองมาด้วยความงงงวย
     
     ฮ่องเต้เอามือจับที่แก้มตนเองเบาๆแล้วยิ้มอย่างมีความสุข คิดในใจว่า 
      นางพูดกับข้า ทั้งที่ไม่เคยพูดกับใครเลยตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน แถมนางยังหอมแก้มข้าด้วย ข้าจะไม่ล้างหน้าเลยตลอดไป อุวะฮ่าๆๆ(เอิ่ม ไปซะแระ)

     ซูเซียนกลับมายังตำหนักของตนก็ได้เวลาทานข้าวพอดี นางกำนัลยกสำรับมาให้นาง นางจึงใช้เข็มเงิน
    ตรวจสอบพิษในอาหาร ปรากฏว่ามีสีดำขึ้นที่เข็มเงิน

    'นำออกไปเสีย ข้ากินไม่ลง'
    "เพคะ องค์หญิง"

    หึ ช่างกล้านัก ที่มากระตุกหนวดเสืออย่างข้า

    ไม่ว่ามันจะเป็นใคร


    หากกล้าทำร้ายข้าและผู้ที่ข้ารัก

    ข้าจะทำให้มันตกนรกทั้งเป็น...

    แต่ตอนนี้ ไปหาไรกินก่อนดีกว่า ข้าหิวจัง
    .
    .
    .

    ***********************************************
    จบแล้วค่า~ ติ ชม ได้หมดน้า~ เป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ อิอิ


      


     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×