อาถรรพ์สุสานรถไฟ - อาถรรพ์สุสานรถไฟ นิยาย อาถรรพ์สุสานรถไฟ : Dek-D.com - Writer

    อาถรรพ์สุสานรถไฟ

    ผู้เข้าชมรวม

    1,035

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    1.03K

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  หักมุม
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  4 พ.ค. 50 / 23:13 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      อาถรรพ์สุสานรถไฟ

      รถไฟเคลื่อนที่ออกจากชานชลาช้าๆ เสียงล้อรถไฟบดรางเหล็กสีแดงสนิมดังเป็นจังหวะเดียวกับจังหวะการเต้นของหัวใจของเด็กชาย ตุบๆๆ เด็กจ้องไปที่เป้าหมายตาไม่กระพริบ และหันกลับไปมองกลุ่มเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอีกสามสี่คนนอกรั้วที่เป็นเด็กเร่ร่อนพเนจรอยู่แถวนั้นด้วยกัน ทันทีที่เด็กตัวใหญ่ที่ดูเหมือนหัวหน้ากลุ่มส่งสัญญาณมือ     

      วิ่งอย่างรวดเร็วไปที่ตู้โทรศัพท์ เหยียดแขนไปคว้ากระเป๋าสีแดงสดที่วางอยู่กับพื้น ฝรั่งตัวใหญ่หัวโล้นเจ้าของกระเป๋าโวยวายด้วยภาษาที่เด็กชายไม่เข้าใจ จุดหมายปลายทางอยู่ที่รั้ว เจ้าหน้าที่สถานีเสื้อสีกากีวิ่งไล่เข้ามาใกล้ เด็กชายตวัดมือโยนกระเป๋าข้ามรั้ว แล้วรีบปีนข้ามไป พวกที่รอดูอยู่เมื่อได้กระเป๋าแล้วก็รีบวิ่งคนละทิศละทาง

      เด็กชายวิ่งมาหลบอยู่ตรงซอกตึกที่มีขยะส่งกลิ่นเหม็นทั้งๆที่มีป้าย 'ห้ามทิ้งขยะบริเวณนี้' ติดหราอยู่ เสื้อเทาเต็มไปด้วยรอยคราบสกปรกเก่าขาดเปียกเหงื่อชุ่ม เขารอจนแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาทันแล้วจึงออกเดินไปยังจุดนัดพบ

      จุดนัดของพวกเขายังอยู่ในเขตสถานีรถไฟซึ่งคนในแถบนั้นเรียกกันว่า 'สุสานรถไฟ' ที่โล่งกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยหัวรถจักรไอน้ำและโบกี้ไม้ ซึ่งส่วนใหญ่ควรไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์แล้วทั้งนั้น ชาวบ้านแถบนี่ไม่กล้าย่างกรายเข้ามาในสถานที่แห่งนี้หรอก อาจจะเป็นเพราะกลิ่นอายของมันหรือเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา ดูเหมือนสุสานรถไฟจะขยายอาณาเขตเรื่อยๆกัดเซาะเขตแดนชุมชนเหมือนน้ำเซาะตลิ่งจนกลายเป็นความหวาดกลัวของผู้คนแถบนั้น

      เด็กชายเดินย่ำกรวดหินจนตีนระบม ผ่านซากสัตว์ต่างๆที่มาล้มตายเอาแถวนี้ แสงไฟริบหรี่ในตู้โบกี้เก็บสินค้าสมัยสงครามโลกครั้งที่สองส่องบอกจุดหมาย

      ภายในโบกี้ไม้เก่าแก่ เด็กชายยืนอยู่บนพื้นไม้กระดานที่มีรูโหว่พอจะมองไปเห็นพื้นดินด้านล่าง

      "เอ็งทำได้ดีมากไอ้ดำ"เด็กหัวโจกตัวโตที่พวกนั้นเรียกว่า 'พี่กล้า' ชมเด็กมาใหม่

      ความจริงเด็กชายไม่ได้ชื่อดำแต่ด้วยความที่ผิวของเขาดำจนไหม้ทุกคนจึงเรียกเอาอย่างนั้น

      "นี่เป็นส่วนของเอ็ง" พี่กล้าพูดยิ้มฟันเหลือง พร้อมกับยื่นถุงพลาสติกสีดำใบใหญ่ให้ ขนแขนที่โผล่ผ่านเสื้อเชิ้ตแขนยาว เป็นขนที่ดกดำและยาวกว่าคนทั่วไป

      เด็กชายรับมาโดยไม่ได้เปิดดูข้างใน เขาไว้ใจหัวหน้าคนนี้ ตัวสูงใหญ่กว่าเด็กคนอื่น แขนขาเต็มไปด้วยรอยแผลที่เขาได้ฟังจากคนอื่นว่าพี่กล้าคนนี้ผ่านประสบการณ์ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดมาอย่างโชกโชน และของที่เขาได้มาในถุงดำก็หนักเอาการ พี่กล้าไม่ได้เอาเปรียบเขา

       "เมื่อถึงเวลาเอ็งก็จะเป็นพวกเราโดยสมบูรณ์"พี่กล้าพูดขึ้นพร้อมกับจุดบุหรี่สูบ กลิ่นควันคละคลุ้งอบอวล ม่านควันค่อยๆลอยผ่านตะเกียงเหมือนเมฆบังพระอาทิตย์ เด็กชายเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศรอบตัวที่หนาแน่นขึ้นอย่างผิดปกติ เขากะเอาว่าตอนนี้น่าจะประมาณสามทุ่ม พี่กล้าก้มหน้าอัดควันลงปอดส่วนคนอื่นๆก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป มันเงียบ เงียบจนได้ยินเสียงของหนูวิ่งหาที่ซ่อน เสียงหมาหอนดังขึ้นมา เด็กชายขนลุกซู่

      "วันนี้พวกเอ็งนอนที่นี่ละกัน" พี่กล้าพูดด้วยเสียงต่ำ

      "ไอ้ดำเอ็งนอนตรงนี้ เอาละแยกย้ายไปนอนกันได้แล้ว" หัวหน้ากลุ่มชี้ไปที่ม้านั่งข้างๆ ทุกคนแยกย้ายกันตามที่ทางของตน

      เขาชอบเด็กแถวนี้ ทุกคนดูเป็นมิตรยกเว้นไอ้เหยิน ที่เรียกว่าเหยินเพราะฟันที่เหมือนหัวจอบของมัน มันส่งสายตาอิจฉาทุกครั้งที่พี่กล้าทำดีกับดำเป็นพิเศษ ดำรู้สึกได้ว่ามันกำลังมองมาแต่เขาไม่สบตาหรอกไม่อยากมีเรื่อง

      ม้านั่งไม้ยาวพอดีตัวเด็กชาย เขานอนตะแคงแต่เปลือกตายังไม่ปิดสนิท มองไปยังม้านั่งข้างๆเห็นเงาสะท้อนของพี่กล้าพาดยาวผ่านเพดาน คนคนนี้ไม่เหมือนเด็ก ความรู้สึกเหมือนกับอยู่กับพ่อ พ่อที่เขาจำได้ลางๆเมื่อนานมาแล้ว ในฝันคืนนั้น เขาเห็นแม่ เห็นพ่อ ขี่จักรยานอยู่กลางทางเดินป่า เต็มไปด้วยกรวดและต้นไม้แห้งๆสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยหนาแหลมคม เขาพยายามออกแรงปั่นอย่างสุดชีวิตเพื่อไล่ตามพ่อแม่ให้ทัน ไม่ใกล้ขึ้นเลย ระยะห่างเท่าเดิม ตะโกนเท่าไรทั้งสองก็ไม่หันมา ตึง! ชนบางอย่าง สะดุ้งตื่น มืดมองไม่เห็นอะไร แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงสะเทือนของการสั่นเมื่อครู่นี้ เสียงเด็กกระชิบกระซาบกัน แต่ไม่มีใครกล้าลุกออกไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นข้างนอก ทุกอย่างเงียบ เงียบสงัดเหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เสี้ยวจันทร์ส่องแสงราวกับเป็นรอยยิ้มแห่งฟากฟ้า เสียงแมลงวันดังหึ่งๆอยู่ข้างนอก การเน่าเปื่อยจากความตายมีให้เห็นทั่วไปในบริเวณนี้

      เด็กชายผิวสีดำขลับเหมือนความมืดรัตติกาล เขาตื่นเอง รู้ตัวว่าตื่นสายเพราะในโบกี้รถไฟที่เขานอนอยู่ไม่เหลือใครแล้ว เด็กทุกคนต่างมีหน้าที่ของตน แสงแดดยามเช้าแยงตา เด็กชายออกไปข้างนอก ไปทำงานที่พี่กล้าสั่งเอาไว้

      ตั้งแต่มีแก็งเด็กขโมยกระเป๋านักเดินทาง ก็ต้องมีการว่าจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้น เดชพนักงานใหม่เข้างานไม่กี่อาทิตย์ เสื้อสีกากีที่เขาสวมผ้ายังแข็งเป็นมัน จีบกางเกงแหลมเปี้ยบ รองเท้าหนังขัดมันเงาดำปลาบเหมือนกระจกเงา ปีกหมวกที่ต้องหันไปด้านข้างและการเคี้ยวไม้จิ้มฟันอยู่ตลอดเวลาของเขาบ่งบอกยี่ห้อความเป็นนักเลงได้เป็นอย่างดี ทั้งคนและสัตว์แถวนี้กลัวเขาเพราะความเป็นคนไม่มีเมตตา เป็นคนอำมหิตที่นิยมความรุนแรง

      เป็นความภูมิใจของเดชที่เดี๋ยวนี้ที่สถานีที่เขารับผิดชอบไม่มีสิ่งสกปรกน่ารำคาญลูกตาเหลือแม้แต่ขอทาน เขาไล่ตะเพิดไปหมด แต่.......มัน.....มันเพียงคนเดียวที่ยังกล้าต่อกรกับเขา เขาเห็นหน้ามันแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ก็เกินพอที่จะจำมันได้อย่างขึ้นใจ ร่างกายของมันกับเขาใหญ่ไล่เลี่ยกัน แต่มันเป็นเด็ก ประกายตาแบบเด็กๆของมันท้าทายเขา เมื่อวานเขาก็เหมือนจะเห็นมัน มันรออยู่นอกรั้ว ฝรั่งเสียงเอะอะโวยวาย เขารีบวิ่งไล่ตามไอ้เด็กเปรตตัวดำนั้นทันทีที่มันฉกกระเป๋า แต่ไม่ทัน ไอ้เด็กห่ะนั้นมันเร็วยังกับลิง เขากัดฟันกรอดด้วยความโกรธ

      ขณะกำลังเดินตรวจรอบสถานี นั่นไง! เขาจำได้ ไอ้เด็กดำมันยืนอยู่อีกฟากถนน หน้าแผงขายผลไม้ เขาตอนนี้ก็เย็นใกล้เลิกงานแล้ว เดชตามเจ้าเด็กนั่นอยู่ห่างๆ มันเข้าไปในร้านรับจำนำ ตามดูไปเรื่อยๆ ที่ต้องการไม่ใช่คนนี้ เขาต้องการหัวโจกพวกมัน เจ้าตัวโตนั่น ดังนั้นเขาต้องอดทน

      เดชตามไปจนออกจากเขตชุมชน คนน้อยลงเรื่อยๆ จากถนนลาดยางเริ่มเปลี่ยนเป็นดินแดงและลูกรัง เดินไม่สะดวกนักเพราะใส่รองเท้าหนังพื้นแข็ง เขาจำทางนี้ได้ มันเป็นทางที่เข้าไปในที่ๆไม่มีใครอยากเข้ามา....ไม่มีอะไรเลยนอกจากซากรถไฟ มันเป็นอีกดินแดนหนึ่งที่ถูกกล่าวขวัญว่าชั่วร้าย กลิ่นของมัน บรรยากาศของมัน เขามองไปรอบๆเขตสุสานอันกว้างใหญ่ เอ๊ะ!!หรือว่ากูคิดไปเองว่าซากรถไฟนับวันมันจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

      เขากลัวที่จะเข้าไปในพื้นที่แห่งนี้ เด็กตัวดำนั่นเดินหายไปในความมืดของรัตติกาล กลืนไปกับความมืดจนทำให้เดชคิดว่ามันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ก็ได้ เด็กเหล่านี้อาจเป็น...... เป็นไปไม่ได้! เขาสลัดความคิดขี้ขลาดนั้นทิ้งไป กูชื่อเดช แม้แต่ลูกปืนกูยังไม่กลัวนับประสาอะไรกับ....

      เดชเดินย่ำกรวดท่ามกลางความมืด มีเสียงกรุบหินกรวดบดสีกันในทุกก้าว ผ่านซากสัตว์ทั้งหมาแมวที่เน่าเปื่อยทั้งแมลงวันทั้งหนอนทั้งตอมทั้งไชกันยั้วเยี้ย เดชเดินเลี่ยงซากเหล่านั้นด้วยความรังเกียจ กลัวเปื้อนรองเท้า

      มันเงียบจริงๆ ไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงลมพัดหวีดหวิว เขาลืมนึกถึงขนาดของสุสานรถไฟซึ่งกว้างใหญ่กว่าตัวสถานีที่เขาทำงานอยู่หลายสิบเท่า กูจะหาพวกมันเจอได้ยังไง ยุงก็เริ่มออกหากินบินวนเป็นพายุขนาดย่อมเหนือหัวของเขา ขณะที่กำลังปัดแมลงรำคาญที่ไต่ตามแขน หางตาเขาก็เหลือบไปเห็นแสงไฟ แสงอ่อนๆในโบกี้รถไฟ รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าที่เหี่ยวย่น ฟ้าร้องดังสนั่น ใครจะรู้ว่าอีกไม่นานรอยยิ้มนั้นจะส่งเสียงกรีดร้องดังเป็นอีกตำนานของสุสานแห่งนี้

      เด็กชายรู้สึกเหมือนมีคนตามมาตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว แต่หันไปครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่เห็นใคร คงเป็นอย่างที่แม่ของเขาบอกว่า 'คนที่ทำความชั่วจะมีบาปเหมือนเงาตามตัว' นี่คงเป็นบาปที่ตามเรามา ตลอดทางเด็กชายเดินผ่านเขาเห็นซากสัตว์เลี้ยงเน่าเปื่อยที่เต็มไปด้วยแมลงวันและหนอน มากจนรู้สึกว่าดินแดนแห่งนี้เหมือนจะเป็นสุสานจริงๆมากกว่าจะเป็นเพียงสุสานรถไฟเสียอีก สักพักเขาก็เริ่มเดินเร็วขึ้นแล้วเปลี่ยนเป็นการวิ่งเมื่อเห็นก้อนเมฆสีแดงบนฟ้า เสียงฟ้าร้องดังสนั่น แน่นอนเขาไม่อยากให้เงินที่ได้มาด้วยความยากลำบากเปียกฝน

      กลับมาที่เดิมอีกครั้ง ในโบกี้รถไฟไม้เก่าผุกับแสงสลัวจากตะเกียงน้ำมัน เด็กชายกวาดตาไปรอบๆก็พบกับบรรยากาศเดิมๆ บรรยากาศที่แปลกสำหรับเด็ก ไม่มีการหัวเราะเล่นกันเหมือนเพื่อนเก่าๆ การทำงานอย่างเป็นระเบียบเหมือนแมลง เหมือนมดงาน เขามาอยู่ที่นี่ได้หลายวันแล้ว แต่ก็คุยกับเพื่อนใหม่นับครั้งได้ และแต่ละครั้งที่คุยกันก็จะมีแต่เรื่องของพี่กล้า นี่เขาหลงเข้ามาอยู่ในลัทธิอะไรหรือเปล่า เขาเริ่มไม่แน่ใจ

      มองผ่านม่านควันไปรอบห้อง กลุ่มเด็กทางทิศตะวันออกติดกับประตูกระชับไพ่ในมือนิ่งเศษเหรียญกับขี้บุหรี่กระจายเกลื่อนโต๊ะ พี่กล้าจับกลุ่มคุยกับอีกสองสามคนรวมทั้งไอ้เหยินที่รวมเรียกว่าเป็นมือดี งานที่พวกเขาทำทุกวันนี้นับวันจะใหญ่ขึ้นทุกที เด็กชายรู้สึกว่าเขาก้าวเข้ามาในโลกของอาชญากรรมเต็มตัว แต่ยังมีบางอย่างที่เขาเองยังคาดไม่ถึง

      ตั้งแต่พ่อแม่ของเขาหายไปจากบ้านพร้อมกันในคืนวันหนึ่ง เขาก็ออกจากบ้านตามหาทั้งสองด้วยการขอทานเขาบ้าง ขอวัดบ้าง จนมาถึงสถานีรถไฟนี้ละที่นอกจากเจ้าถิ่นจะไม่ขับไล่ไสส่งเขาแล้ว  ยังเชิญเขาเข้ามาร่วมกลุ่ม เขาไม่รังเกียจงานขโมยเล็กๆน้อยๆหรอก ตราบใดที่มันยังทำให้เขาอิ่มท้อง เขาเองยังสงสัยกับงานที่พี่กล้าให้เขาทำ 'วันนี้เอ็งไปเดินเล่นแถวๆสถานี จำคนที่ไล่จับเอ็งได้ไหม' 'นั่นละไปเสนอหน้าให้มันเห็น'เสียงฝนกระทบหน้าต่าง ลมเย็นๆลอยเข้ามาช่วยไล่ควันบุหรี่ให้จางลง

      เดชแนบใบหน้าเข้ากับหน้าต่าง สายฝนสาดเขาจนตัวเปียกปอน มองเห็นได้ถนัดและแน่ใจว่าเด็กๆจะไม่สำเหนียกการมาเยือนของแขกไม่ได้รับเชิญคนนี้เลย

      เขาเห็นเด็กตัวใหญ่ได้ถนัด มันนั่งขวาสุดทางทิศตะวันตก แสงไฟจากตะเกียงส่องให้ดวงตากลมโตของมันเปล่งประกาย บุหรี่ที่คีบไว้ในมือมันส่งสายควันเป็นลำยาวรายล้อมตัวมันเหมือนงูตัวใหญ่ เด็กตัวดำนั่นนั่งอยู่ไม่ไกลนัก นับรวมทั้งพวกที่เล่นไพ่อยู่อีกด้านหนึ่งด้วยก็เป็นสิบสามคน เลขสวย เขาฉุกคิดอะไรบางอย่าง ขนลุกซู่ เปียกและหนาว อยากจะจามออกมาแต่ต้องกลั้นเอาไว้ พวกมันไม่รู้ตัวและไม่มีวันได้รู้ตัว เขาจะรอจนพวกมัน นอนหลับก่อน

      เขาเดินย่ำแอ่งน้ำไปหลบฝนอยู่ที่โบกี้ฝั่งตรงข้าม มีกลิ่นเหม็นอับของฉี่หนูผสมกับกลิ่นสนิมเหล็ก เดชจุดบุหรี่ขึ้นไล่ยุงที่หึ่งใกล้หูน่ารำคาญ พร้อมกับมองไปที่ฝั่งตรงข้ามแสงไฟอ่อนๆจากตู้รถไฟที่มองดูเหมือนหนอนผีเสื้อตัวใหญ่หรี่ลง แต่ฝนยังตกไม่หยุด ละอองฝนทำบุหรี่ชื้นดูดไม่ขึ้น เขาสบถเบาๆ ฟันกระทบกันด้วยความเย็นจากลมและเสื้อผ้าที่เปียกชื้น ไฟสีแดงจากเถ้าบุหรี่ทำให้เขาย้อนนึกถึงเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว วันที่เขาจัดการขั้นเด็ดขาดกับพวกขอทานโสโครก

      ในวันนั้นแอบตามขอทานขาด้วนไปที่เพิงพัก มีเพียงลังกระดาษกับแผ่นไม้ป้ายโฆษณา เชื้อไฟอย่างดีทั้งนั้น ง่ายนิดเดียวที่จะจัดการเผาพวกมัน ตอนเช้าวันต่อมาหนังสือพิมพ์เขียนข่าวช่องเล็กๆเกี่ยวกับไฟไหม้สลำที่ไม่มีใครสนใจ แต่ขอทานพวกนั้นหายไปตลอดกาล

      เสียงฟ้าฝ่าดึงเดชกลับเข้าสู่ปัจจุบัน  แสงไฟยังคงอยู่ แต่ฝนซาลง เขาเอนกายพิงหลังกับม้านั่งโดยที่ยังคาบบุหรี่อยู่ในปาก เสื้อผ้าเริ่มแห้ง ลมเย็นเอื่อยๆพัดเข้ามา เสียงกรนเบาๆดังจากปากที่เปิดอ้า

      เด็กชายเห็นพี่กล้าเหลียวมองไปนอกหน้าต่างไปที่โบกี้ฝั่งตรงข้าม พอมองตามไปยังจุดที่หัวโจกมอง มีเสียงแสงไฟจุดเล็กๆ เพียงจุดเล็กๆจริงๆมองผ่านม่านฝนออกไปถ้าไม่เพ่งตามองจริงๆจะไม่สามารถเห็นได้เลย พี่กล้ามองไปยังเบื้องบน เมฆก้อนใหญ่ค่อยๆเคลื่อนบังแสงจันทร์

      "ถึงเวลาแล้ว ไอ้ดำตามข้ามา ตอนนี้จะเป็นพิธีรับเอ็งเข้าเป็นพวกเรา"

      "พวกเอ็งก็ตามมาด้วย"พี่กล้าหันไปสั่งพวกที่กำลังล้อมวงเล่นไพ่กัน พวกมันทำหน้าเจื่อนเหมือนไม่อยากทำตามคำสั่ง โดยเฉพาะไอ้เหยินที่ดูจะหงุดหงิดเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างไรทั้งหมดก็ทำตามคำสั่ง ปกติพวกนี้ไม่กล้าขัดพี่กล้าอยู่แล้ว ดำมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง

      หัวหน้านำพวกเขาเดินไปถึงตู้โบกี้ที่มีแสงกระพริบ ดำได้กลิ่นบุหรี่จางๆลอยมาจากข้างใน ทำให้เดาได้ว่าพนักงานการรถไฟคนนั้นอยู่ในนี้อย่างแน่นอน พี่กล้ากระดิกนิ้วเรียกไอ้เหยิน ไอ้เหยินเหมือนรู้งานหยิบซองสีน้ำตาลเล็กๆออกมาห่อแล้วจุดให้หัวหน้าสูบแล้วพ่นควันเข้าไปในตู้รถไฟ กลิ่นของมันรุนแรงจนดำต้องอุดจมูกเริ่มรู้สึกเวียนหัวและตาพร่ามัว ดำมองไปรอบๆเห็นคนรอบตัวกำลังเปลี่ยนไปตัวใหญ่ขึ้น หรือกำลังกลายร่างกันแน่?

      เดชที่กำลังนอนสบายอยู่สะดุ้งตื่นจนหมวกตกทันทีที่ได้ยินเสียงหวูดรถไฟ  มองไปรอบๆเห็นแสงสีอร่ามของโคมระย้าอาบแผ่นไม้สักเหลืองทอง เสียงเปียโนจากแผ่นเสียง เสียงหัวเราะสนุกสนานของโต๊ะอื่นๆ ทั้งชายหญิงแต่งตัวสวยงามตามแบบฝรั่งโบราณ

      "จะรับไวน์หรือวิสกี้ดีครับ" บริกรไว้หนวดผมทาน้ำมันเรียบแปล้ ค่อมตัวถาม

      เดชไม่ตอบ เขาไม่เข้าใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น หรือเขาฝันไป รู้สึกสะเทือนเล็กน้อย รถไฟขบวนนี้กำลังวิ่งอยู่ เขาไม่เคยเห็นรถอย่างนี้มาก่อน เขาจำได้แล้ว เขาเผลอหลับไปในโบกี้เก่าๆที่สุสานรถไฟ แต่เมื่อหันไปมองบริกรอีกครั้ง เนื้อบนใบหน้าของชายไว้หนวดเหี่ยวหลุดหายไป ผมจากสีดำกลายเป็นขาวหลุดร่วงไปเผยให้เห็นกะโหลกศีรษะ ดวงตาลึกโบ๋เต็มไปด้วยหนอนสีขาว โครงกระดูกกำลังเสยะยิ้มหัวเราะจนกระดูกฟันร่วงพลู

      เดชหวีดร้องสุดเสียง ผลักโครงกระดูกที่อยู่ตรงหน้าตกกระแทกพื้นแตกและเอียดเหมือนผงแป้ง ผู้โดยสารที่แต่งตัวสวยงามเละไปด้วยเลือดและหนองเดินค่อยๆลุกขึ้นมาจับตัวเขา เดชทั้งผลักทั้งถีบแต่พวกมันเหมือนศพที่ไม่มีความรู้สึก เขาไม่สามารถขยับตัว ได้แต่ส่งเสียงหวีดร้อง แต่ก็เงียบเสียงลงทันทีที่เขาสังเกตเห็นสิ่งที่พึ่งก้าวเข้ามาในขบวนรถไฟ

      ช่วงหัวถึงไหล่ของมันเป็นขนยาวแข็งสีดำ สองตาสีแดงไร้ความรู้สึกกลมโตเต็มหัว สี่ขาหลังจิกพื้นสองขาหน้าที่เต็มไปด้วยขนแหลมกำง้าวรูปจันทร์เสี้ยวเงินวาบวับ มันเป็นแมลงวันที่ตัวโตเท่าม้า มีอยู่หลายตัว มันค่อยๆทยอยกันบินเข้ามาปีกเสียดสีกันดังหึ่งๆ สายลมที่ผ่านปีกใสของมันมีกลิ่นของความตาย เดชนับมันได้เป็นสิบตัว ที่ยังเป็นมนุษย์ในที่นี้คงมีเพียงแค่ตัวเขาเองกับเด็กดำที่พวกมันพึ่งหามเข้ามา

      พวกมันสองตัวจับเดชกดคุกเข่า แง่งแหลมของมันจิกลึกลงในหัวไหล่ เขาเจ็บปวดจนร้องลั่น เจ้าสัตว์สยองเงื้อขึ้นง้าวคมกริบกระทบแสงไฟเป็นประกายอยู่เหนือศีรษะ เขาหลับตาแน่นปี๋ ปากพึมพำสวดมนต์ ง้าวเงาวับตวัดลงมาอย่างรวดเร็ว เดชเปิดตาออก เขายังไม่ตายแต่เจ็บแปลบที่ช่องท้อง รู้ตัวอีกทีแมลงวันปีศาจสองตัวก็กำลังพยายามยัดเด็กชายเข้าไปในช่องแผลที่ท้อง เขาเจ็บจนลิ้นจุกปากร้องไม่ออก ปัสสาวะนองพื้น น้ำตาซึมจนหมดสติ

      เดชตื่นขึ้นด้วยความเจ็บปวดจากสิ่งที่กำลังดิ้นอยู่ในช่องท่อง เขาไม่มีแรงขยับแขนขา ไม่มีแรงแม้แต่จะร้องขอความช่วยเหลือ เด็กในท้องดิ้นแรงขึ้นเรื่อยๆสร้างความทรมานให้เขาอย่างมหาศาล ความเจ็บปวดตอนนี้คงมากกว่าการคลอดลูกสักร้อยเท่าได้ อีกทั้งยังน่าขยะแขยงที่มีอะไรสักอย่างมาอาศัยอยู่ในตัว

      ในลักษณะนอนหงายเขามองขึ้นมาไม่เห็นขาตัวเองเพราะท้องที่โตเหมือนเอาตู้เย็นมายัดไว้หนังตึงเปล่งแทบจะปริออกมา เขายังเห็นรอยผ่าที่ยาไว้ด้วยของเหลวที่ดูเหมือนขี้ผึ้งหนืดๆ เมื่อเห็นสภาพตัวเองตอนนี้แล้วรู้สึกเวทนา อยากฆ่าตัวตายแต่ไม่มีแรงแม้แต่จะกัดลิ้น รู้แล้วว่าเวรกรรมมีจริงแล้วมันตามสนองในชาตินี้ ถ้าเขาไม่อาฆาตไม่ตามเด็กคนนี้มาก็คงไม่เป็นอย่างนี้ ตอนนี้ได้แต่นึกขอให้คนที่เขาเคยได้ก่อบาปเอาไว้ให้อโหสิกรรม น้ำตาใสๆก็ไหลตามรอยแก้ม เมื่อเดชสำนึกผิดทันใดนั้นก็เหมือนเจ้ากรรมนายเวรได้รับรู้และต้องการส่งเดชไปชดใช้กรรมต่อในภพหน้า ประตูรถไฟเลื่อนเปิดออกมา

      เป็นเด็กฟันเหยินหนึ่งในลูกสมุนของไอ้หัวโจกย่องเข้ามาโดยถือมีดในมือ พร้อมกับยื่นข้อเสนอที่เหมือนสวรรค์ทรงโปรดมาให้

      "ข้าจะให้เอ็งได้ไปสบาย เอ็งเข้าใจไหม"เด็กเหยินกระซิบถาม

       เดชทำได้เพียงพยักหน้า ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอ

      "ข้าสัญญาว่าจะปาดคอเอ็ง แต่ก่อนที่ข้าจะทำอย่างนั้น ข้าต้องช่วยมันออกมาก่อน เอ็งห้ามร้องเดี๋ยวลูกพี่ข้ารู้เข้าใจไหม? "

      เดชเหงื่อซึมเพราะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถึงจะกลัวแต่ก็พยักหน้าตกลง

      มีดแหลมปักหน้าท้องค่อยๆกรีดเอาแผลเก่าออกตามยาวเลือดไหลนอง เด็กชายผิวดำที่ตอนนี้ย้อมไปด้วยเลือดสีแดงหลุดออกจากรอยเปิดท้องกลิ้งลงมานอนแผ่กับพื้น ไอ้เหยินไม่จำเป็นต้องปาดคอตามสัญญาเพราะเดชสูญเสียเลือดมากเกินไปจนตายพ้นทรมานสมใจแล้ว

      เมื่อดำพื้นจากการฟักตัว เขาตกใจเมื่อเห็นศพของพนักงานรถไฟคนนั้นนอนตายอย่างสยดสยองโดยทั้งตัวเขาเปรอะเปื้อนแห้งกรังไปด้วยลิ่มเลือด เมื่อสงบสติลงได้ไอ้เหยินก็อธิบายทุกเรื่องราวที่เขาจำได้เพียงลางๆ เป็นเรื่องน่าสยดสยองเกินกว่าจะเชื่อว่าเกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้

      "พี่กล้าแท้จริงเป็นมนุษย์แมลงวันที่พยายามจะขยายอาณาจักรออกไปโดยจำเป็นต้องเพาะพันธ์มนุษย์แมลงวันใหม่ๆในร่างกายมนุษย์ด้วยกัน"ไอ้เหยินเริ่มเรื่อง

      เมื่อฟังจบดำอ้วกออกมาจนหมดพุงเมื่อรู้ว่าเมื่อไม่กี่นาทีมานี้เขากำลังกินเครื่องในมนุษย์เป็นอาหาร  

      "ถ้าข้าไม่ช่วยเอ็ง เอ็งก็จะเป็นเหมือนข้า เอ็งจะฟักออกมาเป็นแมลงวัน เป็นทาสของพี่กล้าตลอดไป"

      "รู้ไหมว่าทำไมคนแถวนี้ถึงกลัวสุสานรถไฟกันนัก? "ไอ้เหยินถามพร้อมกับคีบหนอนแมลงวันที่ได้จากศพหมาที่นอนเน่าข้างทางขึ้นมา

      เมื่อดำส่ายหน้า เหยินก็ส่งหนอนแมลงวันตัวนั้นมาให้ดู

      "เอาไปดูใกล้ๆ แล้วจะรู้ว่าอาณาจักรของเราแผ่ขยายได้ยังไง"

      ดำรับมันมาดูใกล้ๆ

      "เอาหละข้าต้องไปแล้วเดี๋ยวพี่กล้าสงสัย สุดท้ายข้าจะบอกวิธีที่ทำให้เอ็งออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย"

      ไอ้เหยินได้บอกวิธีหนีจากอาณาจักร โดยทั้งคืนดำได้ทำถุงใส่น้ำใสแจ๋วผูกไว้รอบตัวแล้วซ่อนตัวไว้ ไอ้เหยินบอกว่าเขาต้องรอจนถึงตอนกลางวันที่แดดร้อนเปรี้ยงจึงสามารถเดินออกไปจากสุสานรถไฟได้โดยไม่มีมนุษย์แมลงวันตัวไหนกล้าเข้าใกล้เพราะแมลงวันเกลียดแสงแวบวับที่สะท้อนจากถุงใส่น้ำที่สุด เป็นหลักการเดียวกับที่แม่ค้าทำในตลาด

      และนั่นเป็นความจริง ขณะที่เขาหนีออกไป มวลหมู่มนุษย์แมลงวันทำได้เพียงตั้งวงล้อมในระยะไกล ไม่มีตัวไหนสามารถเข้าใกล้เขาได้ในระยะห้าเมตรจนเขาออกจากเขตสุสาน

      เมื่อย้อนกลับไปคิดดูก็เหลือเพียงสิ่งเดียวที่ดำได้ติดตัวมาจากประสบการณ์ในสุสานรถไฟ มันคือหนอนตัวเล็กๆที่ในตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็น แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้ใกล้เคียงหนอนเลยด้วยซ้ำ เพราะเมื่อดูใกล้ๆจะเห็นว่ามันเคลื่อนที่ด้วยล้อเล็กๆและหัวจักรไอน้ำ และเมื่อเอาแว่นขยายมาส่องดูจะเห็นทั้งหน้าต่าง เบาะเรียงเป็นตับ พัดลมติดเพดาน มันเป็นหนอนรถไฟที่กำลังเติบโตเป็นรถไฟขบวนใหญ่โดยอาศัยกัดกินซากสิ่งมีชีวิตเป็นอาหาร นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมชาวบ้านแถบนั้นถึงรู้สึกว่าสุสานรถไฟได้ขยายกินอาณาเขตของพวกเขาเข้ามาเรื่อยๆ มันกำลังเพาะพันธ์!!

      ไม่นานนักหลังจากนั้นดำก็เข้าไปในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า สำหรับตัวอ่อนรถไฟเมื่อไม่มีซากให้มันกินมันก็ตายโดยเขาเก็บซากของมันไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจตลอดมา ดำพยายามเล่าเรียนจนโตขึ้นมีงานการทำอย่างมั่นคง แต่ถึงแม้เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงวันตายเขาก็ยังไม่เคยนั่งรถไฟให้เหตุการณ์ในวัยเด็กตามมาหลอกหลอนเขาอีกเลย

      แล้วคุณหละ ประสบการณ์เกี่ยวกับรถไฟของคุณเป็นอย่างไร ลองมาแลกประสบการณ์กันไหมครับ 

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×