ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Empire Online ภาค มหาสงครามดาวเบสเทีย

    ลำดับตอนที่ #93 : ตอนที่ 82 เมืองหลวงเวนิส

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.89K
      32
      9 ก.พ. 58

    ตอนที่ 82

         พวกดาร์คเดินทางผ่านตามเมืองต่างๆเข้ามาจนมาถึงเมืองเวนิสอันเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรลูเวนิส เมืองเวนิสเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบลุ่มใกล้กับปากแม่น้ำ มีความอุดมสมบูรณ์ตลอดทั้งปี เมื่อพวกดาร์คมาถึงทั้งหมดก็ได้รับการต้อนรับให้เข้าไปในเมืองได้ทันที เมื่อเดินเข้าเมืองมาสิ่งที่พวกดาร์คพบเห็นคือสถาพของชาวเมืองที่อยู่กันอย่างลำบากแร้นแค้น ตามทางมีขอทานอยู่เต็มไปหมด น้อยมากที่จะเห็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุข และเมื่อเข้ามาแล้วพวกดาร์คถูกพาไปที่ศูนย์บัญชาการทหารในเมือง มีเพียงแค่ดาร์คกับเบลอนเท่านั้นที่ถูกพาตัวไปที่ราชสำนัก

         พวกราฟเดินมาถึงหน้าตึกศูนย์บัญชาการทหารที่ใหญ่เด่นสะดุดตา มีลักษณะเหมือนพระราชวังของราชสำนัก ความสวยงามและความใหญ่โตเรียกได้ว่าเป็นรองแค่พระราชวังของกษัตริย์เท่านั้น เมื่อพวกราฟเดินเข้ามาก็มีทหารที่ดูจะมียศสูงเดินเข้ามา

         "พวกทหารที่มาถึงนี่ทั้งหมดขอให้ประจำการอยู่ในเมืองนี้ไปก่อนจนกว่าจะมีคำสั่งต่อไป ส่วนทหารอาสาสมัครที่มาจากถิ่นอื่นขอให้มารวมกันทางนี้"จากนั้นพวกราฟต่างก็เดินแยกออกไปรวมเป็นกลุ่มเล็กๆอีกกลุ่ม100กว่าคนได้ ส่วนเทียแมทกับเฟนีย่าที่ยังอยู่ที่เดิมนั้นกำลังคุยกันอยู่ทางโทรจิต

         'ท่านเฟนีย่า ข้าเป็นห่วงดาร์คที่เข้าไปในพระราชวังของพวกมนุษย์จัง'เทียแมทเอ่ยอย่างเป็นห่วง

         'เจ้าจะห่วงทำไมกัน'

         '
    ก็ท่านลองคิดดูสิ พวกเราหนีกันมาที่เมืองหลวงของอาณาจักร ไม่คิดจะอยู่ตามเมืองชายแดนที่เมืองยังไม่ถูกตีแตก ข้าคิดยังไงพวกมันคงมีเหตุผลเป็นร้อยแปดที่จะเอาผิดพวกดาร์คได้'เรื่องที่เทียแมทพูดมาเป็นเรื่องจริง เพราะพวกดาร์คผ่านทางเมืองต่างๅเข้ามาที่เมืองหลวงไม่ยอมช่วยรับมือข้าศึกตามชายแดน แต่เฟนีย่ากลับตอบว่า


         'ไม่เป็นไรหรอกนาเทียแมท พวกดาร์คอาจจะมีความผิดอย่างที่เจ้าว่า แต่โทษที่ดาร์คจะได้รับต้องทำให้เกิดประโยชน์แก่เขาแน่นอน รวมถึงการชิงบัลลังค์ราชินีมังกรของเจ้ากลับมาด้วย'เทียแมทได้ยินแล้วในหัวก็มีแต่ความสงสัย

         'ท่านหมายความว่ายังไง'เฟนีย่าไม่ตอบ

         'เดี๋ยวเจ้าก็รู้ คิกคิกๆๆ..'เทียแมทได้แต่เพียงมองหญิงสาวตรงหน้าที่ดวงตาเต็มๆปด้วยความเจ้าเล่ห์และแผนการนับพันอย่างไม่อาจจะเข้าใจหรือตามความคิดเธอทันได้



         ดาร์คกับเบลอนที่ถูกพาตัวมาที่พระราชวังที่ประทับของกษัตริย์นั้นได้เดินผ่านประตูเข้ามาโดยที่มีทหารกับขุนนางตามมาคุมราวกับเป็นนักโทษ ตามทางเดินที่พวกเขาผ่านเต็มไปด้วยของประดับในพระราชวังที่หรูหราฟุ่มเฟื่อยเกินจำเป็นจำนวนมาก แตกต่างจากที่เขาเห็นนอกพระราชวังอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานดาร์คกับเบลอนก็เดินเข้ามาในท้องพระโรง เมื่อเข้ามาแล้วก็เห็นบรรดาขุนนางกำลังยืนแยกเป็นกลุ่มสองด้านซ้ายกับขวาของท้องพระโรง คงเป็นพวกฝ่ายบุ๋นกับฝ่าบบู๊แน่นอน และยังมีคนทีอยู่ในชุดสีขาวล้วนคงเป็นพวกบักบวชชั้นสูง ตรงกลางด้านในสุดดาร์คก็เห็นกษัตริย์ผู้นั่งอยู่บนบังลังค์ทองคำเหลืองอร่าม หน้าตายังหนุ่มน่าจะอายุมากกว่าเค้าแค่ปีสองปี มีผมสีทองและดวงตาสีฟ้า สวมใส่ชุดที่ทองที่ตัดเย็บอย่างประณีตพร้อมทั้งเพรชประดับ ดาร์คกับเบลอนก็ต้องเดินมายืนตรงกลางในฐานะที่ถูกเรียกให้มาเข้าเฝ้า

         "คำนับองค์ราชา"ขุนนางคนหนึ่งพูดขึ้นมา หลังจากนั้นทุกคนในห้องก็คำนับต่อราชาตรงหน้าทันที ส่วนดาร์คก็ต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้นั้นเอง

         "ลุกขึ้นได้"กษัตริย์หนุ่มพูดแล้วทุกคนก็ยืนขึ้นมาทันที สายตาของราชามองมาที่ดาร์คกับเบลอน เช่นเดียวกับขุนนางทั้งหลาย

         "พวกเจ้าทั้งสองคนมีคสามผิดที่หนีทัพมาจนถึงเมืองหลวง มีอะไรจะกล่าวไหม"ราชาพูด ก่อนที่เบลอนจะตอบว่า

         "กาบทูลองค์ราชา กองทัพของเราพ่ายแพ้เสียทีข้าศึกเพราะกลยุทย์ของพวกมันและแม่ทัพใหญ่ของเราก็ตายในการรบ ทำให้บรรดาแม่ทัพต่างแตกแยกเรื่องอำนาจในการคุมกองทัพ ข้าจึงเลือกพาทหารถอยหนีกลับไปที่เมืองทาซา แต่เมืองทาซาเองก็ถูกข้าศึกยึดได้ก่อนแล้ว พวกข้าจึงต้องถอยทัพหนีเข้ามาที่นี่พะยะค่ะ"เบลอนกล่าวอย่างไม่ติดขัด ทำให้ราชาตรงหน้าชะงักไป แต่ก็มีขุนนางคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา

         "การที่ท่านจะถอยทัพหนีนั้นชอบแล้ว แต่การที่ท่านถอยทัพมาถึงเมืองหลวงนี่มันดูเกินความจำเป็น พวกท่านไม่ช่วยรักษาชายแดนที่ยังเป็นของเราอยู่ กลับคิดจะเอาตัวรอดไม่ถือเป็นเรื่องเลวร้ายหรือ"เบลอนนิ่งไปเพราะไม่อาจจะเอ่ยอะไรออกมาคัดค้านได้ พวกขุนนางต่างแสยะยิ้มกันใหญ่ เพราะแทบทั้งหมดต่างก็เป็นขุนนางที่รับสินบนได้ตำแหน่งไม่สมกับความสามารถทั้งนั้น และโดยปกติแล้วพวกขุนนางหรือแม่ทัพที่จนตรอกจะต้องยอมจ่ายเงินให้กับเหล่าขุนนางหรือมอบอะไรก็ตามที่คนคนนั้นต้องการ เพื่อรอดจากสถานการณ์นี่ให้ได้ แต่ทันใดนั้นดาร์คก็พูดขึ้น

         "ข้าต้องขอบอกว่าการที่เราถอยทัพมาถึงเมืองหลวงนั้นเป็นเพราะทหารในกองทัพเราที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่มาจากเมืองหลวงพะยะค่ะ"เมื่อดาร์คพูดทำให้ทุกสายตาต่างมองมาที่ดาร์คกันหมด

         "เจ้าหมายความว่ายังไง"ราชาถามขึ้นมา

         "ทหารจากเมืองหลวงต่างอยากกลับมาที่เมืองหลวงัวนิสแห่งนี้กันทั้งนั้น และตอนนั้นพวกเราก็ไม่สามารถตัดสินไเ้ว่าใครมีอำนาจเด็ดขาดที่จะสั่ง แต่เนื่องจากคนส่วนใหญ่อยากกลับไปที่เมืองตัวเอง พวกเราจึงตกลงมาที่นีพะยะค่ะ"ดาร์คตอบจริงครึ่งและโกหกอีกครึ่งหนึ่ง เป็นความจริงที่ต่างก็อยากกลับบ้านเกิดตัวเอง อำนาจในตอนนั้นอยู่กับดาร์คและเบลอน เมื่อทั้งสองรู้เรื่องนี่จึงพาทัพเดินกลับมาที่เมืองหลวง

         "เจ้าจะหาว่าทหารจากเมืองหลวงเวนิสของเราต่างรักตัวกลัวตาย จิตใจอ่อนแอและฝีมือด้อยกว่าพวกเมืองขึ้นอย่างเจ้ารึไง"ราชาตะโกนเสียงดังด้วยความโกรธ เช่นเดียวกับขุนนางปม่ทัพฝ่าบบู๊ที่ไม่พอใจกันมาก แต่ดาร์คไม่หลัวสายตาที่มองมาเพราะอย่าหวังว่าพวกมันจะได้อะไรจากเค้าไปแม้แต่นิดเดียว

         "เกรงว่าจะใช่พะยะค่ะ"ดาร์คพูดเสียงเรียบ แต่นี่ถือเป็นการด่าว่าร้ายราชสำนักอย่างรุนแรง

         "ทหาร จับไอ้เด็กนี่ไปขังคุกซะ"เมื่อราชาพูดแล้ว บรรดาทหารก็กรูกันเข้ามาจับตัวดาร์ค แต่ก่อนที่จะได้เข้าถึงตัวดาร์คก็ร่ายเวทก่อนที่สายฟ้าจะซ๊อตเข้าใส่ทหารที่วิ่งเข้ามา พวกมันโดนแล้วล้มลงไปนอนกับพื้น ร่างกายสั่นไปหมดเป็นการบอกอาการชาได้เป็นอย่างดี

         "องค์ราชาเห็นรึยังว่าทหารในวังที่ควรทำหน้าที่ปกป้องพระองค์อ่อนแอถึงขั้นแพ้เด็กอายุ16อย่างข้า"ดาร์คกล่าวออกมาอย่างไม่กลัวเกรง ทุกคนต่างตกใจที่ดาร์คกล้าทำเรื่องแบบนี้ในท้องพระโรง เบลอนเองก็คิดว่าที่หลานสาวเล่ามาเธอคงรู้ไม่หมดซะแล้ว เด็กนี่ซ่อนความร้ายกาจเอาไว้มากมาย นอกจากความฉลาดและไหวพริบ ยังมีนิสัยที่ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจใคร แม้แต่กับองค์ราชาก็ตาม ตัวราชาตอนนี้ได้แต่สั่นด้วยความโกรธคนตรงหน้าที่กล้าขนาดนี้ แต่อีกใจก็กลัวคนตรงหน้าว่าจะทำอะไรเค้ารึเปล่า เพราะทหารในห้องก็ล้มไปกันหมด และถ้าไอ้เด็กนี่กล้าขนาดจะเข้ามาทำร้ายเค้าขึ้นมาก็ไม่มีใครช่วย ความกลัวจึงเข้ามาครอบงำจิตใจ บรรดาเหล่าขุนนางในห้องก็แทบไม่กล้าทำอะไรเพราะตังเองต่างไร้ความสามารถ มีเพียงบางคนเท่านั้นที่กล้าพอ

         "องค์ราชาพะยะค่ะ กระหม่อมเห็นสมควรที่จะอภัยโทษให้เขานะพะยะค่ะ"เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ราชาหนุ่มหันไปมอง ก็เห็นขุนนางฝ่ายบู๊ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับขุนนางรอบกายบางคยที่ท่าทางจะสนับสนุน

         "หมายความว่ายังไง"ราชาถามอย่างไม่พอใจ

         "เด็กคนนี้มีผลงานมากมายนะพะยะค่ะ แม้ว่าจะพึ่งถูกเกณฑ์มาก็ตาม"จากนั้นก็มีขุนนางหลายคนที่พอจะมีความสามารถไกลเกลี่ยพูดขึ้นรายงานถึบความดีความชอบที่ดาร์คทำไว้ จนๆปถึงเบลอนที่รายงานเรื่องที่ดาร์คทำการถอยทัพมาและยังใช้กลยุทธ์วางกับดักจนพวกมันเสียกำลังไปเป็นพันได้ ข้อมูลทั้งหมดต่างเป็นความจริงทั้งสิ้น ทำให้ราชาแทบจะพูดอะไรไม่ออก

         "เอ่อ...เนื่องจากเราเห็นแก่ความดีที่เจ้าได้ทำมา เพราะฉะนั้นเรื่องทั้งหมดเราจะไม่ถือสา รวมถึงเรื่องที่พวกเจ้าถอยทัพมาที่เมืองนี่ด้วย"ราชาเอ่ยปากพูดกับดาร์คอีกครั้งที่น้ำเสียงเรียบนิ่งกว่าเดิม

         "ขอบพระทัยพะยะค่ะ"ดาร์คกระทำคำนับ บรรดาขุนนางส่วนใหญ่ต่างไม่พอใจที่เห็นดาร์คได้รับการอภัยโทษ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา เมื่อจบเรื่องแล้วดาร์คกับเบลอนก็มายืนอยู่ตรงขุนนางฝ่ายบู๊ก่อนที่ราชาจะหันมาพูดเรื่องอื่น

         "ตอนนี้สถานการณ์การรบเป็นยังไงบ้าง"แล้วก็มีขุนนางคนหนึ่งพูดขึ้น

         "พวกผู้เล่นบุกกันเข้ามาไม่หยุดจากทางด้านตะวันตกและตะวันออกครับ ส่วนกองทัพของผู้เล่นสายที่บุกเข้ามาที่เมืองหลวงเราจากทางใต้นั้นถูกกองทัพที่เมืองอาโดรเซียตีแตกพ่ายไปแล้วครับ"ดาร์คได้ยินแล้วชะงักไปแล้วยิ้มที่มุมปาก

         "เรื่องนั้นพวกเจ้าก็รายงานข้าเมื่อวันก่อนไปแล้วจะพูดอีกทำไม"

         "กระหม่อมขอกล่าวว่าเราควรส่งกำลังเสริมไปไว้ที่เมืองนั้นพะยะค่ะ"ขุนนางอีกคนพูดขึ้น ราชาหนุ่มมีท่าทีเห็นด้วย แต่ดาร์คก็พูดอีกครั้ง
    ข้าเห็นว่าไม่สมควรพะยะค่ะ การที่กองทัพเพียงหยิบมือเดียวสามารถทำลายกองทัพผู้เล่นไดันั้นหมายความว่าพวกเขามีผู้บัญชาการที่มีความสามารถในการวางแผนการรบเป็นอย่างดี การแบ่งกำลังไปเสริมที่นั้นเป็นเรื่องที่สูญเปล่า และพวกท่านคิดจะส่งแม่ทัพจากเมืองหลวงไปคุมแทนเหมือนที่ทำให้เมืองทาซาแตกรึพะยะค่ะ"ดาร์คพูดแล้วมองขุนนางฝ่ายบู๊ที่พูดขึ้น ต่างก็ไม่กล้าจะพูดอะไรอีก

         "ข้าเห็นด้วยกับที่เจ้าพูดดาร์ค เพราะฉะนั้นทางเราจะไม่ส่งกำลังไปเสริมที่นั้น เจ้าคงเหนื่อยมากแล้ว เจ้ายังเด็กอยู่จงไปพักผ่อนเถอะ"ดาร์คคำนับก่อนที่เดินออกจากท้องพระโรงไป เมื่อดาร์คไปแล้วราชาก็ตัวสั่นก่อนที่จะยกมือทุบใส่บัลลังค์

         "ตึง"เสียงมือทุบใส่บัลลังค์เสียงดัง

         "เลิกประชุม!!!"สิ้นเสียงราชาก็ลุกออกจากบัลลังค์กลับไปที่ตำหนักของตน ทางผ่ายขุนนางบุ๋นบู๊ต่างก็เดินออกจาหท้องพระโรงไป



         ดาร์คเดินออกจากพระราชวังมาแล้วก็เดินกลับมาที่ศูนย์บัญชาการทันที เมื่อเข้ามาดาร์คก็ต้องถามทหารในนั้นเล็กน้อยว่าพวกเทียปมทอยู่ที่ไหนกัน เมื่อดาร์คทราบก็เดินไปที่ห้องรับแขกในตึกทันที ดาร์คเดินมาถึงหน้าห้องแล้วก็เปิดประตูเข้าไป

         "กลับไปที่อาณาจักรเถอะค่ะท่านอาเรีย"

         "องค์ราชาสั่งมาแล้วนะครับท่านเอมิลี่ ท่านมิยุ"

         สิ่งที่ดาร์คเห็นก็คือสองชายหญิง ที่คนหนึ่งเป็นหญองสาวเอลฟ์อีกคนเป็นชายหนุ่มดาร์คเอลฟ์กำลังมองเด็กสาวทั้งสามคนด้วยความเครียด และดูเหมือนพวกเธอจะไม่ยินยอม ดาร์คเข้าไปถามราฟ

         "เกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย"

         "ก็คนของพ่ออาเรียกับเอมิลี่น่ะสิที่บอกให้ลูกสาวเขากลับไปอาณาจักรเดี๋ยวนี้เลย แต่พวกเธอไม่ยอมกลับนี่สิ"ดาร์คมองชายหญิงทั้งสองที่ดูท่าจะพยายามกล่อมคนตรงหน้าสุดฤทธิ์ แต่ดูท่าจะไม่เป็นผลเลย

         "ไม่เอา ถ้ากลับไปแล้วฉันก็อาจไม่ไดัมาที่นี่อีกแล้วน่ะสิค่ะ"อาเรียพูดอย่างไม่ยอม พ่อของเธอยอมตามใจเธอทุกอย่างก็จริง แต่เรื่องความปลอดภัยของเธอย่อมมาเป็นที่หนึ่ง และถึงอาเรียไม่ยอมเขาก็จะลากตัวกลับอยู่ดี

         "ข้าก็ไม่อยากกลับเหมือนกัน"เอมิลี่พูดบ้าง เธอเองก็อยากอยู่กับเพื่อนเธอต่อ ถ้ากลับไปที่อาณาจักรที่อยู่คนละทวีป บางทีเธออาจไม่ได้มาอีกแล้วก็เป็นได้

         "ถ้ายังงั้นก็ช่วยไม่ได้นะครับ"ชายหนุ่มดาร์คเอลฟ์พูดปล้วหยิบอัญมณีกลมๆสีแดงใสเหมือนลูกแก้วขึ้นมาวางบนโต๊ะ เช่นเดียวกับหญิงสาวเอลฟ์แต่ของเธอเป็นสีฟ้า และไม่กี่วินาทีต่อมามันก็ส่องแสงออกมาก่อนที่จะฉายภาพของบุรุษทั้งสองออกมา ซึ่งก็คืออาโดสกับอาคาสนั้นเอง

         "อาเรียกลับมาที่บ้านเดี๋ยวนี้ งานนี้ไม่ว่าลูกจะพูดยังไงพ่อก็ต้องพาตัวกลับ"

         "เอมิลี่ ลูกควรรู้ถึงฐานะตัวเองซะบ้าง กลับมาที่บ้านของเจ้าซะ เจ้าก็ด้วยมิยุ"

         เสียงของทั้งสองดังขึ้นมาทันที ชายหญิงตรงหน้ายืนขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่พวกเอมิลี่ก็ต้องรีบยืนแล้วหยิบอาวุธออกมาเตรียมตัวป้องกันเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายจะบังคับพาตัวกลับไปให้ได้ ทางพวกดาร์คก็ไม่มีสิทธิจะเข้าไปกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่น

         "กลับไปดีกว่านะพวกเธอน่ะ"ดาร์คพูดขึ้นมาทำให้ทั้งสามเลิกคิ้วสูง แน่นอนว่าคนอื่นๆก็แปลกใจมากเช่นกัน

         "ทะ..ทำไมล่ะดาร์ค ก็พวกเรา.."สิ่งสำคัญที่สุดก็คืออาเรียกลัวจะไม่ได้เจอดาร์คอีก และอีกสอนคนก็เช่นเดียวกัน

         "นี่เป็นสงครามของอาณาจักรนี่ พวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง พวกนายก็ด้วย"ดาร์คพูดเสียงเย็นชาก่อนจะหันไปบอกพวกราฟเช่นกัน ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ

         'เอาแบบนี้จริงเหรอเจ้านาย'เดธไซธ์ถามขึ้น

         'ใช่ ฉันไม่อยากให้พวกเขามีอันตรายกัน'ดารฺคตอบ สองมังกรสาวก็มองดาร์คอย่างเข้าใจ เพราะถ้าให้พูดก็คือพวกราฟถือเป็นเพื่อนกลุ่มแรกของดาร์คนั้นเอง

         "เห็นไหมอาเรีย ขนาดเจ้าดาร์คมันยังพูดแบบนี้ลูกกฌยอมกลับเถอะลูก"อาโดสได้ทีก็พูดขึ้น อาเรียมีสายตาเศร้าพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เอมิลี่กับมิยุนิ่งเงียบไป คนอื่นที่เหลือก็พูดไม่ออก

         "เพล้ง"อยู่ดีๆเอทิลี่ก็หยิบคฑาขึ้นมาก่อนที่จะฟาดใสแก้วสีฟ้าที่ฉายภาพอาโดสจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนที่เธอจะหันมามองดาร์คด้วยสายตาโกรธเคือง ทั้งๆที่ดาร์คน่าจะรู้ว่าพวกเธอคิดยังไงกับเคัาแต่ก็ยังพูดแบบนี้อีก

         "นายพูดแบบนี่ก็ดี ฉันจะไม่พูดอะไรกับนายอีกแล้ว และไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก พวกนายไป"เอมิลี่พูดแล้วสาวเท้าเดินออกจากห้องพร้อมกับมิยุที่ตามไปด้วย เช่นเดียวกับคนอื่นที่เดินออกจากห้องไปด้วยความสับสนในใจหรือคิดไม่ตก ชายหญิงสองคนก็รีบตามมาเจ้าหญิงของตนไปอย่างรีบร้อน ภายในห้องเหลือเพียงดาร์ค เทียแมท เฟนีย่า และอัญมณีที่ฉายภาพอาคาสเท่านั้น

         "ให้สองคนนั้นพาตัวพวกเขาไปส่งที่บ้านด้วยนะครับ หรือไม่ก็พาไปที่เมืองอาโดรเซีย"ดาร์คหันมาพูดกับอาคาส เขามองดาร์คอย่างครุ่นคิด

         "ดาร์ค เจ้าเป็นใครกันแน่"แต่ดาร์คก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรเลย
    "เอาเถอะ เจ้าไม่ต้องตอบข้าก็ได้ แต่จากที่ข้าดูท่าทีของเจ้าเมื่อกี้ดูเหมือนเจ้าจะเป็นห่วงพวกนั้นไม่น้อยเลยนะ ใจแข็งพูดแบบนั้นออกไปนับว่าเล่นละครเก่งไม่ใช่น้อย"เทียแมทได้ยินอาคาสพูดแล้วไม่พอใจ ชักดาบออกมาเตรียมจะฟันอัญมณีทิ้ง

         "เจ้าน่ะหุปปากไปเลย"เทียแมทพูดออกมา อาคาสก็ยอมเงียบตามที่เธอว่า

         "คุณอาคาส เรื่องของพวกเอมิลี่น่ะ..."ดาร์คเอ่ยขึ้น

         "เรื่องของลูกสาวข้าน่ะไม่ต้องห่วงหรอก เธอก็แค่โกรธชั่ววูบจนพูดออกมาเท่านั้นเอง เดี๋ยวกลับมาที่บ้านข้าก็คงอยากกลับมาขอโทษเจ้าที่พูดไปเมื่อกี้เองแหละ ส่วนคนอื่นข้าว่าเดี๋ยวก็คิดได้เองว่าที่เจ้าทำเพราะเป็นห่วง"อาคาสพูดอย่างรู้ทันดาร์คขึ้นมาซะก่อน

         "ขอบคุณครับ แต่ผมมีอีกเรื่องที่จะถาม"อาคาสได้ยินแล้วชะงัก
    "อะไรรึ"

          "อาณาจักรดาร์คเอลฟ์ของคุณมีค้าขายกับแาณาจักรลูเวนิสแห่งนี้รึเปล่าครับ"อาคาสเลิกคิ้วสูง คิดไม่ตกว่าดาร์คจะถามเรื่องนี้ไปทำไม
    "อาณาจักรข้าค้าขายกับอาณาจักรลูเวนิสด้วย ส่วนใหญ่เป็นพวกเครื่องประดับนะ แต่ตอนนี้อาณาจักรลูเวนิสซื้อพวกอาหารกับอาวุธเป็นจำนวนมากเลยเพราะขาดแคลน"

         "แล้วอาณาจักรเอลฟ์ค้าขายด้วยรึเปล่า สินค้าที่ขายเหมือนกันไหม และจำนวนที่ขายมาให้อาณาจักรนี่คิดเป็นจำนวนเท่าไหร่"อาคาสยิ่งฟังเริ่มยิ่งคิดหนักมากขึ้น เด็กนี่ต้องการอะไร

         "อาณาจักรเอลฟ์ของอาโดสมันก็ค้าขายกับพวกเจ้าเช่นกัน สินค้าที่ขายให้ก็เหมือนกันหมด ถ้าคิดแล้วพวกอาหารและอาวุธที่อาณาจักรลูเวนิสได้นำเข้าจากพวกข้าคือ40ส่วน100เลยทีเดียว ส่วนพวกเอลฟ์น่าจะแค่30ส่วนร้อย"อาคาสพูดอย่างภูมิใจที่อาณาจักรลูเวนิสซื้อจากพวกเขามากกว่า ดาร์คทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนที่จะพูดว่า

         "ผมมีเรื่องจะขอร้องครับ"อาคาสชะงักเมื่อดาร์คพูดว่าขอร้อง แปลว่าที่จะขอคือเขาอาจทำตามที่พูดไม่ได้

         "เจ้าต้องการอะไรบอกมา"อาคาสถามเสียงเย็นชา ดวงตาสีแดงยิ่งดูโหดเหี้ยมมากขึ้น

         "ผมต้องการให้คุณ..."



         ในตำหนักของราชาแห่งอาณาจักรลูเวนิส ราชาหนุ่มกำลังนั่งรับประทานอาหารกับหญิงสาวที่อายุประมาณ40กว่าๆ เธอสวมใส่ชุดเสื้อผัาหรูหรา มีผมสีทองนัยตาสีฟ้าเช่นเดียวกับราชา ใบหน้ายังดูสวยงามแม้จะแก่ลงมาก ใบหน้าบ่งบอกถีงความมั่นใจในตนเองและความหยิ่งยโส

         "ไอ้เด็กนั้นมันกล้าทำแบบนั้นเชียวรึลูกแม่"เธอเอ่ยขึ้นมา

         "ใช่ครับท่านแม่ ผมละอยากจะฆ่ามันจริงๆ"ราชาพูดอย่างโกรธแค้น

         "แล้วทำไมไม่ทำละลูก"

         "มันเป็นนักเรียนในเมืองอาโดรเซียครับ"ใบหน้าผู้เป็นมารดาบึ้งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

         "เมืองอาโดรเซียอีกแล้วเหรอ ทัพที่ทำลายกองทัพสายหนึ่งได้ก็เป็นพวกมัน"เธอเอ่ยด้วยความชิงชัง

         "ข้าเกลียดพวกอาโดรเซียท่านแม่ เราปล่อยให้พวกมันที่เป็นเมืองขึ้นมีอิสระมากจนเกินไป เราควรจะแต่งตั้งขุนนางไปเป็นข้าหลวงไปปกครองเมืองและขึ้นตรงต่อเรา ไม่ใช่ให้ผอ.ที่เป็นเจ้าของโรงเรียนอาโดเน่ควบตำแหน่งแบบนี้"

         "ถ้าทำได้อย่างที่ลูกพูดก็ดีไป แต่พวกเขามีการปกครองแบบนี้มานานแล้ว ถ้าพวกเขาเกิดต่อต้านขึ้นมาล่ะ"

         "พวกมันไม่มีสิทธิต่อต้าน ข้าคือราชา ราชาผู้ปกครองอาณาจักรลูเวนิสและทวีปโรบาเดียแห่งนี้ ถ้าผู้ปกครองเมืองของพวกมันคิดกบฏข้าจะสั่งให้ประชาชนจัดการมันซะ ส่งกองทัพหลวงเข้าไปคุมเมือง"

         "แต่เจ้ารุกรานเมืองของพวกเค้า คิดว่าประชาชนในเมืองนั้นจะอยู่ข้างเจ้าหรือผู้ปกครองเดิมของตนกันล่ะ

         "ต้องอยู่ข้างข้า และพวกมันไม่มีสิทธิเลือก แต่ข้าสั่งให้พวกมันทำ"มารดาราชายกมือขึ้นมาจับใบหน้าของผู้เป็นลูก

         "ราชาที่ดีควรรู้ว่าควรจะสงวนกำลังตอนไหนและเข้าทำลายศัตรูเมื่อใด"คำนี้ทำให้ราชาหนุ่มยิ้มขึ้นมา

         "ถ้างั้นท่านแม่ก็เห็นด้วย พวกอาโดรเซียเป็นศัตรูของเรา"

         "ลูกรักจ๊ะ ใครก็ตามที่ไม่อยู่ข้างเรา มันคนนั้นก็เป็นศัตรูของเรา"แม่ลูกต่างยิ้มให้กัน มีความต้องการที่จะคงอำนาจของพวกตนเอาไว้

         "แล้วเด็กที่มันมาทำเรื่องเสื่อมเสียในท้องพระโรงละลูก"มารดาถามขึ้นมา

         "ข้ากำลังหาทางฆ่ามันอยู่ท่านแม่ แต่ท่าทางมันจะมีฝีมือไม่ใช่
    น้อย"ราชามีสีหน้าเครียดขึ้นมา เพราะจะทำให้ราชสำนักเสื่อมเสียได้ถ้ามีข่าวว้ากันว่ามีคนถูกทางราชสำนักฆ่าทิ้ง


         "ไม่ต้องห่วงลูกแม่ แม่จะหาทางจัดการเจ้าเด็กนั้นเอง โดยที่มือลูกไม่ต้องเปื้อนเลือดสักหยดเดียว"เมื่อราชาได้ยินที่ผู้เป็นมารดาพูดก็พลันมีสายตาวาวโรจน์ขึ้นมา คิดอยากให้ถึงตอนนั้นเร็วๆใจจะขาด
    ____________________________________________________
    ต้องขอโทษด้วยนะครับเกี่ยวกับที่ผมเลือกให้พวกราฟจบบทบาทในภาคหนึ่งเพียงเท่านี้ แต่เนื้อเรื่องส่วนที่เหลือจะเป็นของพวกตัวหลักอย่างดาร์คแล้วครับ แต่แน่นอนว่าทั้งหมดจะมีบทบาทในภาคต่อมาแน่นอนครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×