ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Kingdom War Online สงครามแห่งอำนาจ

    ลำดับตอนที่ #21 : บทที่ 19 แม่ทัพคนใหม่

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.37K
      54
      1 ก.พ. 59

    บทที่ 19

    ปีK.W.994 เดือน 6 วันที่ 8

         ภายในห้องโถงใหญ่ของเมืองบราโก้ เมื่อหลายเดือนก่อนห้องโถงนี่ไร้เครื่องประดับตกแต่ง แต่เวลานี้ห้องโถงมีความงดงามมาก ประดับไปด้วยโคมลอยที่ทำจากเพชรพลอย พื้นถูกเปลี่ยนเป็นอิฐสีเทาอย่างดี เสาในห้องโถงเคลือบด้วยทองคำ

         แต่ตอนนี้บรรยากาศในห้องโถงไม่สู้ดีนัก อาโรนนั่งบัลลังก์เจ้าเมืองโดยที่เบื้องล่าง นอกจากเหล่าขุนนางที่ยืนในแถวซ้ายขวาแล้ว ยังมีบาทหลวงชุดสีขาวพร้อมทั้งคณะนักบวชยืนเบื้องหน้าเค้า บาทหลวงกำลังอ่านคำประกาศ

         "เจ้าเมืองบราโก้ อาโรน ได้ทำการดูหมิ่นเหยียดหยามเทพแห่งแสงเลโอเนีย ด้วยการยึดทรัพสินต์และที่ดินของโบสถ์ ข่มเหงรังแกและสั่งฆ่าเหล่านักบวชในเมืองไบชีน่าและดารูน องค์พระศาสดาเรียกร้องให้อาโรนคืนทรัพสินต์และที่ดินให้แก่โบสถ์ ปล่อยเหล่านักบวชที่อยู่ในคุก ให้ทางศาสนจักรส่งข้าหลวงมากำกับดูแลเมืองไบชีน่าและดารูน กองทัพคาออสต้องถอนกำลังทหารจากเมืองทั้ง2"

         สีหน้าเหล่าขุนนางคาออสล้วนไม่พอใจศาสนจักรเลโอเนีย แทนที่จะบอกว่าเป็นข้อเรียกร้อง เรียกว่ามาเพื่อแย่งเมืองไปมากกว่า เผ่าปีศาจและอสูรส่วนมากเป็นพวกไร้ศาสนา และนับถือเทพแห่งสงครามอาเรสกับเทพแห่งสติปัญญาอาเธน่า โดยที่เรื่องนี้เป็นเพียงความเชื่อแต่ไร้ศาสนจักรเหมือนเลโอเนีย เพราะเจ้าแคว้นเผ่าปีศาจและอสูรไม่ต้องการให้มีศาสนามายุ่งเกี่ยวการเมือง แต่ปัญหานี่ก็มาเยือน จากศาสนาที่พวกเขาไม่ได้นับถือ แต่ประชาชนในเมืองทั้ง2มีเผ่าอื่นอาศัยอยู่ด้วย มีทั้งที่นับถือและไม่นับถือ

         "องค์ศาสดาคงไม่ลืมนะว่าฉันสามารถฆ่านักบวชในคุกนั้นได้สบาย"อาโรนขู่กลับ

         "ก็ลองดูสิ กองทัพศาสนจักรนับแสนจะบุกมาถล่มพวกเจ้าทันที"บาทหลวงพูดอย่างไม่เกรงกลัว

         "ก็ลองดูสิ ถ้าบุกมา เราก็จะประหารนักบวชพวกนั้นซะ นักบวชคนนึงมีค่าเท่ากับความเชื่อถูกบั่นทอนไป ฉันจะเริ่มจากบาทหลวงชอบเทศน์ก่อน เพราะไม่ชอบไอ้พวกนี่"อาโรนย้อนคืน

         "การเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ไว้เป็นเรื่องจำเป็น"เสียงแข็งกร้าวของบาทหลวงทำให้อาโรนรู้ว่าพวกนักบวชที่จับตัวไวัใช้ต่อรองไม่ได้แล้ว งั้นจับฆ่าเลยดีกว่า

         "ข้าขอถามหน่อยท่านบาทหลวง เหล่านักบวชแห่งศาสนจักรควรจะยุ่งอยู่แต่กับศาสตราและเผยแพร่ความเชื่อเท่านั้น ทำไมพวกท่านถึงมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกด้วย"

         อาโรนถามแล้ว บาทหลวงและคณะนักบวชก็ชะงักไป ไม่เคยมีใครกล้าถามพวกเขาตรงๆแบบนี้ เหล่าขุนนางคาออสเห็นเจ้าเมืองของพวกเขาพูดก็ต่างส่งเสียงสนับสนุนไปตามๆกัน สักพักบาทหลวงก็พูด

         "ประชาชนไอโรเนียยากจนและไร้การศึกษา พวกเราศาสนจักรต้องเข้ามาให้ความช่วยเหลือและปกครองประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุข นี่เป็นประสงค์ของเทพแห่งแสงสว่าง"

         อาโรนได้ยินแล้วเงียบไป แต่ยังแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่า เบื่อฟังเรื่องไร้เหตุผลแบบนี้มาก

         "ถ้างั้นข้าก็คิดว่าศาสนจักรปกครองเวเนเซียมายาวนานเกินไปแล้วนะ ควรจะส่งมอบให้เป็นของเจ้าแคว้นไอโรเนียตามเดิมได้แล้ว"อาโรนกำลังพูดถึงคนที่ไม่มีตัวตน เพราะเชื่อสายตระกูลเจ้าแคว้นไอโรเนียนั้นสิ้นไปนานแล้ว

         "พวกเขาตายไปหมดแล้ว"

         "ก็ตั้งใหม่ซะก็สิ้นเรื่อง แต่ห้ามเอาศาสนามาเกี่ยวข้อง"

         "เมืองเวเนเซียเป็นต้นกำเนิดของศาสนาเลโอเนีย จะไม่ให้ยุ่งเกี่ยวได้ไงกัน"

         น้ำเสียงบาทหลวงดังขึ้น เขาเริ่มหมดความอดทนกับการโต้เถียงกับเด็กหนุ่มตรงหน้า คำพูดเมื่อกี้ของอาโรนบอกกลายๆว่าจะเข้ายึดครองเวเนเซีย

         "ได้แน่ ถ้าพวกศาสนจักรมันเลิกทำตัวโลภมาก เอาแต่ครอบครองอำนาจทั้งที่คำสอนศาสนาห้ามยุ่งเกี่ยวเรื่องทางโลก"อาโรนวกกลับมาเข้าเรื่องเดิม แต่คำพูดของอาโรนคราวนี้ ทำให้เส้นเลือดปูดขึ้นมาที่หน้าผากของบาทหลวง

         "พอได้แล้วเจ้าเมืองบราโก้ เจ้าจะยอมรับข้อเสนอของศาสนจักรไหม ไม่อย่างงั้นเจ้าจะต้องพบกับความพิโรธของเทพแห่งแสง"

         อาโรนเงียบไปพักนึง ก่อนจะตอบว่า

         "ข้ายอมรับข้อเสนอของพวกท่าน เชิญบาทหลวงและคณะเวเนเซียไปพักผ่อนก่อน"

         "ข้าจะเขียนสาส์นแจ้งถึงศาสนจักรให้ส่งคนมารับตำแหน่งที่เมืองไบชีน่าและดารูน"บาทหลวงเห็นอาโรนยอมทำตามก็ยิ้ม ไม่มีใครกล้าหือกับศาสนจักรอยู่แล้ว อาโรนไม่ตอบเพียงพยักหน้า จากนั้นคณะทูตศาสนจักรก็เดินออกจากห้องโถงไป

         เมื่อพวกมันไปแล้ว บรรยากาศรอบตัวอาโรนก็เปลี่ยนไป

         "ลอรัส พอไอ้บาทหลวงนั้นส่งสาส์นไปเมื่อไหร่ ให้นำทหารเข้าล้อมที่พักพวกมันไว้ทันที อย่าให้พวกมันไปไหนได้"

         "ครับหัวหน้า"ลอรัสยิ้มรีบไปทำตามคำสั่ง เหล่าขุนนางคาออสต่างแสยะยิ้ม

         ภายหลังจากอาโรนเปิดให้สามัญชนเข้ารับราชการ และขับไล่คนเก่าหัวโบราณออกไป ทำให้ขุนนางในหัวเมืองที่อาโรนปกครองส่วนมาก เป็นขุนนางรุ่นใหม่ที่มีความคิดจะทำลายอำนาจศาสนจักรอยู่แล้ว ในช่วงการสอบอาโรนก็เป็นคนคุมเอง ทำให้ไม่ต้องห่วงว่าจะมีพวกขุนนางที่เป็นพวกศาสนาเลโอเนียหลงเข้ามา แน่นอนว่าผู้ครองเมืองไบชีน่ากับดารูนจะปฎิเสธข้าหลวงที่พวกนั้นส่งมา

         "สั่งให้ทุกหัวเมืองจัดเตรียมพลให้พร้อมรับศึกตลอดเวลา เราจะสั่งสอนเวเนเซียให้รู้สำนึก"

         "ครับ/ค่ะ!!!!"

         อาโรนต้องการจะยึดเมืองเวเนซียซะเดี๋ยวนี้ ด้วยกำลังทหารของ4หัวเมืองที่เขาครอบครอง ที่มีถึง150,000คนย่อมสามารถทำได้ แต่ตอนนี้เขายังยุ่งอยู่กับการยกเลิกระบบทาส ซึ่งอาจทำให้ขุนนางเก่าที่ถูกปลดไปก่อกบฎได้ อาโรนจึงยังไม่เคลื่อนพล เขาเลยใช้ช่วงเวลานี้ดูว่าเวเนเซียจะทำยังไง

         ภายหลังการประชุม อาโรนพร้อมกับทหารที่ตามอารักขากว่า50นายขี่ม้าออกจากเมือง ห่างจากเมืองบราโก้ไปทางเหนือไปเพียงเล็กน้อย มีภูเขาขนาดใหญ่หลายลูกเรียกเป็นวงกลมอยู่ พวกเขาเข้าไปในภูเขา ซึ่งด้านนอกและทางขึ้นเขามีทหารคาออสกว่า3,000คนคอยซุ่มอยู่

         เมื่อเขาขี่ม้าขึ้นมาบนยอดเขาแล้ว ก็จะเริ่มมองเห็นด้านในของภูเขานี้ที่เป็นพื้นที่ราบกับเนินเขาเตี้ยๆ มันกว้างมากพอให้ตั้งค่ายทหารกว่า50,000คนและฝึกทหารลับๆได้สบาย ตอนนี้มันจึงกลายเป็นสถานที่ฝึกทหารใหม่50,000คน ให้พร้อมสำหรับการรบครั้งหน้า กองทัพใหม่ที่กำลังฝึกนี่เป็นทหารAIทั้งหมด ไม่ใช่ผู้เล่นเลย เพราะอาโรนไม่อยากให้ข่าวแพร่ในโลกแห่งความจริง ส่วนแม่ทัพก็มีเพียงไม่กี่คนที่เป็นผู้เล่น ซึ่งเขาวางใจให้คุมทหารฝึกหัดเหล่านี้

         ภายหลังจากอาโรนยึด2หัวเมืองทางเหนือของแคว้นไอโรเนียและลดอำนาจนักบวช ก็ทำให้เมืองทางใต้ของไอโรเนียไม่พอใจ เมืองเหล่านี้ประชากรส่วนใหญ่เป็นเผ่ามนุษย์ และเผ่ามนุษย์ก็เป็นเผ่าที่ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้ผู้ศรัทธาในศาสนาเลโอเนียมีมาก

         แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอดีต ความเชื่อในศาสนากำลังเสื่อมถอย ตอนนี้แคว้นไอโรเนียกลายเป็นแคว้นที่ยากจน ถ้าไม่นับเมืองทางเหนือ4เมืองที่ยังพอใช้ชีวิตอยู่ได้ เมืองทางใต้3เมืองชาวเมืองต่างหิวโหยอดอยาก เมืองพวกนี้แค่เขาซื้อใจชาวเมืองด้วยเสบียงอาหารที่ซื้อจากหัวเมืองอื่นของคาออสก็พอที่จะเข้าปกครอง ปัญหาเขาจึงเหลือแต่เมืองหลักกับหัวเมืองเหนืออีกหนึ่งเมืองที่ชายแดนประชิดกันอยู่

         เขาเดินผ่านจุดที่มีทหารซุ่มอยู่ มีแม่ทัพสองคนรีบออกมาต้อนรับเขาทันที

         "ยินดีต้อนรับค่ะเฟต/อาโรน"สองสาวเรียกชื่อเขาต่างกัน สาวที่เรียกชื่อจริงเฟตโดนอีกคนตำหนิ

         "ซายะ อย่าเรียกชื่อจริงนายท่านในเกมส์สิ"หญิงสาวผมดำยาวที่ชื่อซายะไม่สนใจคำพูดของสาวผมแดงเลย แต่พูดกับเขาต่อ

         "วันนี้มาตรวจการฝึกซ้อมเหรอค่ะ"

         "ใช่"ตอนนี้มีทหารด้านหลังอาโรนที่กำลังมองสองแม่ทัพสาวคนใหม่อย่างสนใจ เพราะพวกเธอสวยมาก

         ซายะหันไปถลึงตาใส่ พวกมันรีบก้มหน้าลงกันหมด เพราะสายตาเย็นชาและน่ากลัวมาก แต่ยังไม่เลิกมองอีกคน

         "พี่ชานะ ฉันจะพาเฟตไปที่ค่าย พี่อยู่เฝ้าตรงนี้แล้วอย่าเข้าใกล้พวกผู้ชายล่ะ"ซายะหันไปสั่งพี่สาวตัวเอง

         "ได้จ๊ะ แต่เธอก็ไม่ควรใกล้ชิดอาโรนมากไปนะ เดี๋ยวมิโอเรียจะโกรธอีก"

         "ไม่สน รีบไปกันเถอะค่ะ"

         ซายะรีบเดินนำหน้าเฟตไป เขายิ้มที่มุมปาก

         ชานะเป็นหญิงสาวร่างเล็ก สูงไม่ถึง160 มีผมสีทองทรงทวินเทลและดวงตาสีฟ้าใส ใบหน้ารูปไข่น่ารัก สวมชุดนักบวชสีขาว เธอเป็นพี่สาวของนินจาสาวซายะและเป็นคนที่ยิ้มเก่ง อ่อนหวานและเข้ากับคนอื่นง่าย แถมยังหัวอ่อนอีกต่างหาก ผู้ชายหลายคนจ้องจับเธอ แต่ซายะเป็นบอดี้การ์ดขวางทางไว้

         ซายะเป็นหญิงสาวร่างสูงโปร่งเกิน180 มีผมสีดำเรียบยาวถึงกลางหลัง ดวงตาสีลาเวนเดอร์ มีใบหน้าเรียวสวยและหุ่นดีไม่แพ้อาเดล เธอสวมชุดนักฆ่าสีดำออกเทารวบรัดประจำอาชีพเธอ เห็นแบบนี้ถ้าอาโรนไม่ยืนยันเองคงไม่มีใครเชื่อว่าเป็นน้อองสาวชานะและเธออายุแค่19ปีเท่านั้น ทำให้ผู้เล่นชายหลายคนอยากได้เธอเป็นแฟนกันถ้วนหน้า แต่แล้วพวกเขาต้องเปลี่ยนความคิด เพราะเธอเป็นคนที่เย็นชาและเงียบมาก เธอมักแผ่จิตสังหารใส่ผู้ชายที่ชอบมาลวนลามเธอกับพี่สาวตลอด ยกเว้นอาโรนที่เธออนุโลมให้

         ทำไมเขาถึงรู้เรื่องพวกเธอดีนัก เพราะพวกเธอเป็นลูกของเพื่อนสนิทแม่ที่เสียไปแล้วด้วยโรคชรา ตอนนี้พวกเธอก็ทำงานให้กับอาโรนและแวะมาเยี่ยมเป็นบางครั้ง ทั้งสองเล่นเกมส์KWOอยู่คลาส4ทั้งคู่ และเป็นผู้เล่นอิสระ ก่อนหน้านี้พวกเธอเคยถูกชวนเข้าสหพันธ์แต่ปฎิเสธไป ชานะสังกัดสมาคมนักบวช ซึ่งเป็นสมาคมอิสระที่ไม่ขึ้นกับอาณาจักรใด มีนโยบายต่อต้านสงครามและมีสาขาอยู่ทุกแคว้น รวมถึงไอโรเนีย สำหรับผู้กระหายสงคราม สมาคมนี้เป็นสิ่งขวางหูขวางตา รวมทั้งอาโรน

         ส่วนซายะเป็นผู้เล่นฉายเดี่ยว เธอเคยชนะหัวหน้าสมาคมนักฆ่าได้ และเพราหัวหน้านินจาคนนี้นิสัยไม่ดี ชอบรังแกลูกน้อง และไม่ยุติธรรม ตามกฎสมาคมนักฆ่า ถ้าหัวหน้าแพ้ลูกน้องก็มีสิทธิสั่งปลดได้ คนในสมาคมจึงปลดเขาออกและเชิญซายะรับตำแหน่งแทน ซายะปฎิเสธไป รองหัวหน้าสมาคมจึงรับตำแหน่งแทน แต่ซายะยังมีอิทธิพล เธอได้รับฉายาว่า นักฆ่าสาวไร้พ่าย และเป็นผู้เล่นสายอาชีพนักฆ่าที่เก่งเป็นลำดับต้นๆของเกมส์

         พอพวกเธอรู้เรื่องที่อาโรนมาเล่นเกมส์นี่ด้วย และได้เป็นเจ้าเมืองบราโก้ ซายะก็มาเข้าร่วมด้วย และพาชานะติดมาแบบกึ่งบังคับ ซายะประหลาดใจเมื่อเจอมิโอเรียอยู่ที่นี่ด้วย ทั้งสองรู้จักกันในโลกจริง และไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ หลายครั้งที่ทั้งคู่ทะเลาะกันหนัก มีแต่ชานะกับอาโรนที่พอห้ามได้

         อาโรน ซายะและนายทหารเข้ามาในค่าย เหล่าทหารรีบคุกเข่าทำความเคารพ เขาผายมือให้ทหารลุกขึ้นยืนก่อนจะลงจากหลังม้า เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลวิ่งเข้ามา

         "ยินดีต้อนรับครับท่านอาโรน คุณซายะ"ฟรานกล่าว ตอนนี้เขาสวมชุดเกราะระดับยศแม่ทัพแล้ว

         อาโรนได้ให้เขาทำงานของแม่ทัพช่วงแรก คือปราบปรามกลุ่มโจรที่มาจากทางใต้ของไอโรเนียนับหมื่นคนหลายต่อหลายครั้ง กลุ่มโจรพวกนี้คงได้รับการสนับสนุนจากเวเนเซียให้มาสร้างความปั่นป่วนในเขตปกครองเขา อาโรนสั่งให้ฆ่าตายให้หมดอย่าให้เหลือ โจรมากมายล้มตายหนีกลับไปทางใต้ จากนั้นก็แทบไม่มีกลุ่มโจรเข้ามาในเขตปกครองของเค้าอีกเลย

         "การฝึกทหารเป็นยังไงบ้างฟราน"อาโรนถาม ขณะที่ทั้งคู่เดินไปดูการฝึกของพวกทหาร

         "ตอนนี้ก็ได้ประมาณ6ส่วนแล้วครับ ที่เราต้องการตอนนี้ก็คือเวลา"

         เขาให้มิโอเรียไปคอยดูแลเมืองดารูน เพราะทางใต้ของเมืองไบชีน่ามีเทือกเขาขวางกั้น เดินทางได้ลำบาก แต่เส้นทางเมืองดารูนกับทางใต้เป็นพื้นที่ราบ จึงน่าจะโดนบุกก่อนเมืองอื่น เขาต้องการให้ทหารพร้อมเต็มอัตราซะก่อนที่สงครามจะเริ่ม

         อาโรนกับฟรานมองดูการฝึกของทหารคาออสกองพันหนึ่งที่สวมใส่ชุดเกราะหนาทั้งตัวและถือดาบใหญ่เป็นอาวุธ เป็นหน่วยทหารใหม่ที่อาโรนจัดตั้งขึ้นมา ดาบที่พวกนี่ใช้ฟันเกราะธรรมดาขาดเป็นสองท่อนได้สบาย

         นอกจากทหารเกราะหนักแล้ว ก็ยังมีทหารเกราะเบาที่ใช้สำหรับก่อกวนข้าศึก พลธนูแบบใหม่ที่ใช้หน้าไม้ซึ่งยิงได้ไกลขึ้น ทั้งหมดเป็นสิ่งที่อาโรนยังไม่เผยให้ใครเห็น

         "ท่านอาโรน/เจ้าเมือง!!!"

         ระหว่างที่เขากับฟรานดูการฝึกของทหารอยู่ เหล่าแม่ทัพก็เดินเข้ามาหาอาโรน

         "ข้าได้ยินว่าพวกเจ้ากระหายออกศึกแล้วสินะ"อาโรนยิ้ม มองดูแม่ทัพแต่ละที่คัดเลือกเข้ามาใหม่ ส่วนใหญ่มาจากสามัญชนหรือทาส ดีกว่าแม่ทัพรุ่นเก่าที่ส่วนมากเป็นแค่ขุนนางมีชื่อ

         "หลายเดือนมานี่นับแต่ท่านครอง4เมือง เอาแต่ให้เราฝึกทหาร เมื่อไหร่จะให้เราได้ออกศึกสักทีละครับ ผมเบื่อจะแย่แล้ว"

         คนที่ถามเป็นเด็กผู้ชายอายุราว12-13 สวมชุดไปรเวทธรรมดา ไร้อาวุธใดๆ มีผมสีเงินและดวงตาสีเขียวอ่อนดูขี้เล่น

         "ทนอีกนิดเดียวน่าราฟ"มือนึงเข้ามาตบหัวเด็กผู้ชาย ราฟเอามือกุมหัวมองผู้ชายด้านหลัง

         "ฉันเจ็บนะไพโตร"ราฟพูด มือของเขาปรากฎเคียวที่เป็นศาสตราประจำตัวขึ้นมา

         ชายหนุ่มด้านหลังราฟ เป็นชายหน้าตาอายุ25ปี มีผมสีแดงและดวงตาสีเดียวกัน มีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเข้มมาก มีดาบสองเล่มสะพายไว้ด้านหลัง

         "โอ๊ะ จะหาเรื่องกันเหรอ"ไพโตรเริ่มชักดาบออกมา

         "หยุด!!!!"อาโรนพูดคำเดียวทั้งสองก็เก็บศาสตราของตัวเองไป

         "ข้าเห็นด้วยกับราฟ"อีกเสียงนึงดังขึ้น ทำให้อาโรนหันไปมองแม่ทัพเจ้าของเสียงนี้ที่ยืนอยู่ข้างไฮเกล

         กาดิส เป็นชายหนุ่มอายุราว20ปี มีผมสีเงินยาวระต้นคอและดวงตาสีฟ้า เป็นคนตัวไม่สูงเท่าไหร่ ด้านหลังสะพายดาบ2เล่มไว้

         "ฉันก็เห็นด้วยค่ะ"ซายะที่เดินตามหลังอาโรนเงียบๆกล่าวขึ้น

         "หืม ถ้ากาดิสกับซายะยังพูดแบบนี้ แสดงว่าทุกคนหมดความอดทนแล้วสินะ"

         "ครับ/ค่ะ"แม่ทัพใหม่ทุกคนพูดพร้อมเพรียงกัน อาโรนได้แต่ถอนหายใจ

         ราฟ ไพโตรและกาดิส พวกเขาทั้งสามเป็นผู้เล่นทั้งนั้น จะเบื่อหน่ายขนาดนี้ก็ไม่แปลก เพราะเข้ามาก็ได้แต่ฝึกเสริมทักษะทางด้านร่างกาย ตอนนี้ขนาดAIก็ยังเริ่มเบื่ออยากเลิกฝึก เพราะตอนนี้กองทัพใหม่พร้อมเต็มที่แล้ว อย่างน้อยก็ควรส่งพวกเขาไปประจำการที่เมืองใดเมืองหนึ่ง

         "เฟรเมีย จาเนีย พวกเธอสองคนคิดว่ายังไงบ้าง"อาโรนหันไปมอง2แม่ทัพสาวที่ยังนิ่งเงียบ พวกเธอเป็นแม่ทัพเอลฟ์เพียง2คนในกองทัพ พวกเธอเป็นพี่น้องที่ได้รับฐานะสามัญชน พ้นจากการเป็นทาส และมาสมัครทหารได้เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพ

         "ข้าคิดว่า ตอนนี้ท่านอาโรนยังไม่ต้องการออกศึก เพราะเสบียงอาหารยังไม่พร้อม แต่อีกฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ท่านมาเพราะคิดจะส่งพวกเราไปรับศึก"เฟรเมียกล่าว เธอเป็นหญิงสาวร่างสูงโปร่งอายุ25ปี แต่เป็นเผ่าเอลฟ์คงมากกว่านั้น มีผมสีม่วงอ่อนยาวสลวยและมีดวงตาสีฟ้าคราม สวมใส่ชุดจอมเวทสีม่วงปกปิดร่างกายไว้ แต่ด้วยใบหน้าที่งดงามของเธอ ก็ทำให้ชายหนุ่มทั้งหลายหลงใหลกันแล้ว

         "จริงเหรอครับ"ราฟได้ยินแล้วถามอาโรน

         "ใช่ เฟรเมีย"อาโรนยื่นกระดาษเล็กแผ่นนึงไปให้เฟรเมีย เธอรับไปอ่าน แม่ทัพคนอื่นก็พากันชะโงกดู

         "กองทัพเวเนเซียระดมพลที่เมืองซาวอย รวบรวมกำลังได้เกือบ200,000"เธออ่านแล้วมองหน้าอาโรน

         "ท่านได้ข่าวนี้มาได้ยังไงค่ะ"

         "ข่าวลับ ฉันได้สร้างหน่วยข่าวกรองลับขึ้นมาเหมือนกันนะ ตอนนี้มีคนหน่วยนี้กระจายอยู่ทั้งแคว้นไอโรเนีย โซลแลนด์และคาออส อีกไม่นานฉันก็กะว่าจะส่งไปที่อีเดนอีกแคว้นหนึ่ง"

         อาโรนขยิบตาให้ซายะซึ่งเป็นผู้นำหน่วยนี้ขึ้นตรงกับเขา เธอหน้าขึ้นสีแดงเล็กน้อย

         หน่วยลับนี่อาโรนสร้างขึ้นมา โดยคนพวกนี้ก็คือเหล่าข้ารับใช้ของอาโรนในโลกจริงนั่นเอง คนพวกนี้ได้รับเงินเดือนเพิ่ม แลกกับเล่นเกมส์นี้ เขาสร้างหน่วยนี่ขึ้นตั้งแต่เมื่อ2ปีก่อน เพื่อให้คอยสืบข้อมูลผู้ว่าจ้าง เขาจะได้คิดว่าควรรับงานดีหรือไม่ ไม่นึกว่าจะได้ใช้ประโยชน์ในศึกแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูล อาโรนให้พวกมันใช้คลาสและอัพสกิลสำหรับสืบข้อมูลอย่างเดียว ความสามารถด้านการต่อสู้ไม่ค่อยมีนัก เขากำชับไว้อีกว่าถ้าหากพวกนั้นคิดทรยศ ครอบครัวพวกมันจะต้องตาย 

         "แล้วจะทำยังไงค่ะ"

         "พวกมันคิดจะลอบกัดเรา แต่เราจะบุกพวกมันก่อน เธอมองเรื่องนี้ออกได้ ฉันจะแต่งตั้งเธอเป็นแม่ทัพใหญ่ คุมกองทัพคาออส100,000คน ยกทัพไปยึดเมืองซาวอยมาซะ"

         เฟรเมียได้ยินแล้วคุกเข่าลง

         "ข้ายินดีรับบัญชาค่ะ"เฟรเมียกล่าว แม่ทัพคนอื่นรู้สึกเสียดายไปตามๆกัน

         "กาดิสเป็นแม่ทัพหน้า ราฟ ชานะ ซายะและไพโตรเป็นรองแม่ทัพ ฟรานเป็นที่ปรึกษา ที่เหลือเธอจะเอาแม่ทัพคนไหนไปก็ได้"

         เหล่าแม่ทัพรู้ว่าตัวเองจะได้ออกศึกซะทีก็ดีใจ แต่อาโรนก็จ้องเขม็งทำให้พวกมันหยุดทำอาการดีใจซะที เพราะเขารำคาญ เหล่าแม่ทัพพากันเงียบเสียงลง

         "ถ้างั้น ข้าจะให้จาเนียเป็นรองแม่ทัพด้วยนะค่ะ"เฟรเมียพูด อาโรนมองน้องสาวของเฟรเมีย เธอเป็นเด็กสาวเอลฟ์ที่มีผมสีทองยาวระต้นคอและมีดวงตาสีฟ้า ใบหน้าเธอดูเรียบเฉยมาก และตั้งแต่ที่เขาถามก็ไม่พูดอะไรเลย มีดาบเรเปียเป็นอาวุธ

         "ได้ เธอจะร่วมทัพด้วยไหมจาเนีย"

         หญิงสาวตายด้านพยักหน้าไม่ตอบอะไร ถือเป็นการเสียมารยาทต่อเจ้าเมือง แต่อาโรนกับแม่ทัพคนอื่นชินแล้ว จาเนียตอบเสร็จแล้วเดินจากไป

         "ทุกคน ต้องขอโทษแทนน้องสาวของฉันด้วยนะค่ะ"เฟรเมียรีบผงกหัวกล่าวขอโทษ

         "มะ..ไม่เป็นไรครับ"พวกไพโตรและแม่ทัพคนอื่นเห็นใบหน้างามที่เศร้าของเฟรเมียก็รีบพูดขึ้น แต่เฟรเมียชักสีหน้าไม่พอใจหันมามองทางพวกเขา

         "ข้าไม่ได้ถามพวกเจ้า"เฟรเมียพูดแล้วหันกลับไปยิ้มให้อาโรน เห็นได้ชัดว่าเธอมีคนในดวงใจแล้ว

         "ไม่เป็นไรครับ

         "วันนี้ข้าว่างสนใจไปทานอาหารเย็นด้วยกันไหมค่ะ"เฟรเมียยิ้มให้ อาการอยากแกล้งพวกแม่ทัพและมิโอเรียเริ่มโผล่ อีกทั้งอาโรนคิดว่าเฟรเมียสวยน่าจับกด...น่าจีบอยู่แล้ว ปล่อยไปก็เสียดาย

         "วันนี้ข้าไม่มีธุระด่วนอะไร ตกลง เจอกันคืนนี้นะครับ"เฟรเมียยิ้มกว้าง หัวใจพองโต

         "ด้วยความยินดีค่ะ ฟราน ฝากจัดการเตรียมทัพแทนฉันที อีก2วันเคลื่อนทัพ"เฟรเมียมองเด็กนุ่มอย่างเขินอายเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป

         "ครืนนนน!!!!"ซายะมองเฟรเมียที่เดินจากไปด้วบสายตาหงุดหงิด และแผ่จิตสังหารออกมาอย่างไม่ปิดบัง เพราะรู้ว่าเฟรเมียมีเป้าหมายเดียวกับเธอ

         "ซายะ เที่ยงแล้วไปหาอะไรกินไหมครับ"เฟตพูดแค่นั้น จิตสังหารเธอก็สลายไป

         "ค่ะ"

         อาโรนกับซายะเดินไปที่โรงอาหารของกองทัพ ท่ามกลางสายตาอิจฉาของแม่ทัพชายหลายต่อหลายคน ยกเว้นกาดิสที่ดูจะไม่สนใจ เห็นอาโรนเป็นเด็กอายุ17ก็เถอะ แต่มีผู้หญิงมาติดเยอะเลย เรื่องนี้ขุนนางในบราโก้รู้กันดี และอีกเรื่องที่รู้คือ

         "เรื่องนี้มิโอเรียกับเกรเซียรู้ไหมเนี่ย"กาดิสถามฟราน 

         "ท่านเกรเซียรู้แหละ แต่ก็ปล่อยไป มันเป็นธรรมชาติของผู้ชายอยู่แล้วที่จะมีผู้หญิงหลายคน"ฟรานกล่าว ในโลกนี้การมีเมียหลายคนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ในโลกจริง เรียกว่าสำหรับผู้ชายตระกูลโดรานุส จะมีเมียน้อยสักกี่คนก็ไม่มีปัญหา ที่อาโรนมีอยู่ถือว่าน้อยมากด้วยซ้ำ แต่ในใจฟรานก็พอทราบว่าเพราะเกรเซียกับอาโรนรู้จักกันไม่นาน ถ้าสนิทกันมากกว่านี้....

         ฟรานหยุดคิดเรื่องนี้ ก่อนจะรีบไปจัดเตรียมทัพให้พร้อมออกศึก

         ทางด้านจาเนีย หลังจากแยกกับแม่ทัพคนอื่นๆแล้วก็เดินมาฝึกกวัดแกว่งดาบอยู่ตามลำพัง ไม่มีทหารหรือแม่ทัพคนไหนมาคุยกับเธอ ตอนแรกก็มีอยู่บ้าง แต่เพราะเธอเงียบเป็นคนใบ้ทำให้ในที่สุดก็ไม่มีใครสนใจจะมาคุยด้วย

         แต่ถึงอย่างงั้นทหารทั้งหลายก็จ้องหญิงสาวตาไม่กระพริบ ทวงท่าร่ายรำดาบของเธอนั้นสมบูรณ์แบบมาก ในยามที่เหล่าแม่ทัพซ้อมดาบกัน คนที่ได้อันดับหนึ่งก็คือ จาเนีย ที่ล้มคู่ต่อสู้ทุกคนด้วยฝีมือที่ห่างชั้น

         จาเนียคิดว่าพี่สาวเธอน่าจะคุยกับเจ้านาย(อาโรน)เสร็จแล้ว เลยหยุดซ่อมเพลงดาบ เธอเก็บดาบเข้าฝัก

         "เธองั้นเหรอ แม่ทัพเอลฟ์ใบ้ที่ว่า"เสียงผู้ชายดังมาจากด้านหลัง

         จาเนียหันไปมองก็เห็นว่าเป็นแม่ทัพร่างใหญ่ ท่าทางอันธพาลคนนึง เธอไม่เคยเห็นหน้าคนคนนี้มาก่อน น่าจะพึ่งมาใหม่เมื่อวานนี้ เขาเดินเข้ามาพร้อมกับลูกน้องกว่า20คนด้านหลัง ดูจากท่าทางแบบนี้แล้ว น่าจะเป็นพวกมาจากอีกโลก(ผู้เล่น)

         เธอไม่สนใจคำทักทายของพวกมันและเดินหนีไป แต่แม่ทัพคนนั้นวิ่งเข้ามาคว้ามือเธอ

         "หมับ!!!!"จาเนียโดนจับตัวแล้วดวงตากระตุกวูบนึง

         "จะไปไหนเล่ายัยสาวใบ้ เดี๋ยวพี่จะช่วยสอนให้รู้จักวิธีเสพสุขให้เองดีไหม"

         แม่ทัพอันธพาลมองจาเนียด้วยสีหน้าหึ่นๆ แม้จาเนียจะมีสีหน้าตายด้านตามเดิม แต่คิ้วที่ขมวดเข้าหากันทำให้รู้ว่าเธอกำลังโกรธเคือง

         "ปล่อย"จาเนียพูดขึ้น นี่เป็นครั้งแรกไปรอบหลายปีที่เธอเปิดปากคุยกับคนอื่นนอกจากพี่สาวเธอ ด้วยความโมโห

         "โอ้ พูดได้เหมือนกันนี่ นึกว่าเป็นใบ้ซะอีก แต่ถ้าข้าไม่ปล่อยแล้วเจ้าจะทำอะไรข้าล่ะ"แม่ทัพอันธพาลแสยะยิ้ม ลูกน้องเข้ามาปลดอาวุธจาเนียไปและตัวหัวหน้าเอื้อมมือไปโอบเอวเอลฟ์สาว โดยที่พวกมันไม่สนใจสายตาของเหล่าทหารทั้งหลายแถวนั้น ที่ต่างพยายามร้องห้ามพวกนี้ด้วยความเป็นห่วง

         "ข้าเตือนแล้วนะ"

         "ซูมมมมม!!!!.....เปรี้ยงงงง!!!!!...ฉัวะๆๆๆ........"26,855!32,768!........

         ลมพายุพัดออกมาจากรอบตัวจาเนีย ใบมีดลมคมกริบฉีกร่างกายของพวกทหารอันธพาลอย่างไร้ความปราณี พวกทหารรีบผนึกลมปราณป้องกัน แต่ระดับพลังเทียบกันไม่ติด

         "อ๊ากกกกกก!!!!!"เหล่าทหารร้องอย่างเจ็บปวด ชุดเกราะคาออสชั้นดีถูกตัดเป็นชิ้นๆ รอยแผลเริ่มปรากฎบนร่างของพวกมัน สายลมเริ่มพัดรุนแรงขึ้นทุกที พวกมันยิ่งร้องเจ็บปวดกันมากขึ้น พวกทหารที่ไม่เกี่ยวข้องรีบถอยห่างหรือหาที่หลบ แต่ก็มีหลายคนโดนลูกหลง

         "ขะ..แขนข้า อ๊ากกกก แขนข้ากำลังจะขาดแล้ว!!!!"ทหารอันธพาลคนนึงร้องขึ้น แต่จาเนียไม่สนใจ

         "จาเนียหยุดนะ!!!!!"เฟรเมียเดินมาถึงพอดี เห็นน้องสาวเธออาละวาดอยู่ก็รีบร้องห้าม

         "ซูมมม........!!!!!"สายลมเบาลง และหยุดลงในที่สุด สีหน้าจาเนียที่โกรธเกรี้ยวกลับมาเป็นปกติ

         "ค่ะท่านพี่"จาเตียเดินไปเก็บดาบเธอมาเหน็บไว้ตามเดิม

         เฟรเมียมองน้องสาวสลับกับพวกที่โดนน้องสาวเธอโจมตีจนได้รับบาดเจ็บหนัก สุดท้ายก็หันไปถามทหารที่เป็นพยานเห็นเหตุการณ์

         "เกิดอะไรขึ้น"อย่างน้อยเธอก็มั่นใจว่าจาเนียไม่ได้เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน น้องสาวเธอไม่ใช่คนแบบนั้น ถึงจะพอเดาได้ว่าพวกมันเข้ามาลวนลามจาเนียแน่ แต่ก็คงต้องถามตามมารยาท

         "คือว่า..เมื่อกี้ท่านแม่ทัพกับทหารพวกนี้คิดจะเข้าไปลวนลามคุณจาเนีย พวกเราพยายามห้ามแล้วนะครับแต่พวกเขาไม่ฟัง พอท่านแม่ทัพจะโอบเอวจาเนีย เธอก็เลยโกรธขึ้นมา"

         เฟรเมียฟังที่พวกทหารพูดแล้วหันไปมองแม่ทัพอันธพาลที่มีร่องรอยขีดข่วนบนร่างหลายแห่ง แต่ถือว่าบาดเจ็บน้อยกว่าคนอื่นมาก มันลุกขึ้นมายืนมองจาเนียด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ก่อนที่จะต้องหันมามองเฟรเซียที่เดินเข้ามาใกล้

         "ท่านแม่ทัพ ท่านต้องส่งรายงานให้กับท่านอาโรนภายใน3วันนี้ และเลิกประพฤติตัวเช่นนี้มิฉะนั้น......"

         "ย๊ากกกกก!!!!!!"แม่ทัพอันธพาลไม่ยอมฟัง พุ่งเข้าใส่เฟรเมียเงื้อดาบยักษ์เข้าใส่

         "เปรี้ยงงงงงง!!!!!"แต่ดาบที่กำลังจะฟันลงมากลับถูกคทาของเธอหยุดเอาไว้อย่างง่ายดาย พลังเวทมหาศาลแผ่ออกมาจากร่างเธอ

         "เปรี๊ยะๆๆ....เพล้งงงง!!!!"ดาบยักษ์ของแม่ทัพอันธพาลปริแตกและแตกเป็นเสี่ยงไปในทที่สุด แม่ทัพอันธพาลเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงปนหวาดกลัว ในชั่วพริบตานั้น ก็มีเวทสายลมเข้ามาพันธนาการร่างเขาไม่ให้ขยับไปไหนได้

         'การที่แกไปหาเรื่องเฟรเมียน่ะ ร้างแรงยิ่งกว่าหาเรื่องจาเนียอีกนะ'ไฮเกลกับกาดิสที่มองอยู่คิดแบบเดียวกัน

         "กลายเป็นผงธุลีไปซะเถอะนะค่ะ"เฟรเมียส่งรอยยิ้มมัจจุราชให้กับแม่ทัพอันธพาล คทาทาบอกของแม่ทัพอันธพาล

         The Wing Explosion

         "ตูมมมม!!!...อ๊ากกกกกกก!!!!!!!"

         ร่างกายของมันค่อยๆระเบิดเป็นชิ้นๆอย่างช้า ทำให้มันต้องทนรับความเจ็บปวดเจียนตายอยู่นาน ก่อนที่หัวใจของมันจะโดนแรงอัดระเบิดสายลมหายไป ตัวมันแน่นิ่งกับพื้นและระเบิดหายไปทั้งตัว

         "เอาล่ะ ที่นี่ข้าอยากถามว่าพวกเจ้าจะเขียนรายงานส่งท่านอาโรนว่ายังไง"เฟรเมียชี้คทาไปทางพวกลิ้วล้อทั้งหลายที่ตอนนี้ตัวสั่นด้วยความกลัว

         "พะ..พวกเราจะเขียนว่าเราเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนครับ เราจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว โปรดยกโทษให้เราสักครั้งหนึ่งเถอะครับ"

         "ก็แค่นี้แหละ กาดิส ฝากจัดการต่อด้วยนะ"เฟรเมียเดินไปหาน้องสาวเธอ

         กาดิสเดินเข้าไปหาพวกที่ทำผิดกฎทหาร ทหารพวกนั้นถูกจับมัดและโดนพาตัวไปขังไว้รอลงอาญา

         "กลับบ้านกันเถอะจาเนีย"

         "คืนนี้พี่จะไปเดทกับเจ้านายเหรอค่ะ"

         "พี่บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเรียกเจ้าเมืองว่าเจ้านาย เราไม่ได้เป็นทาสใครแล้วนะจาเนีย"เฟรเมียพูดด้วยความเหนื่อยใจ

         "กลับกันเถอะท่านพี่"จาเนียไม่ตอบและชวนเธอเดินกลับบ้าน เฟรเมียได้แต่ถอนหายใจและรีบตามไป

         เฟรเมียกับจาเนียเป็นชาวเอลฟ์ในอาณาจักรอีเดน แต่ต่อมาอีเดนแพ้สงครามกับโซลแลนด์ ประชาชนหลายหมื่นถูกกวาดต้อนมาเป็นทาส พวกเธอพลัดหลงกับพี่สาว ทั้งสองเป็นทาสอยู่ในเมืองดารูน เธอโชคดีหน่อยที่ได้เจ้านายดีซื้อไป และได้ทำงานในร้านอาหาร พออาโรนประกาศยกเลิกระบบทาส พวกเธอได้เป็นอิสระ เธอพยายามหาน้องสาวเธอ จนกระทั่งพบน้องสาวที่กลายเป็นนางบำเรอในคฤหาสถ์ขุนนางคนนึง ที่โดนจับประหารเพราะโกงกินบ้านเมือง เดิมทีจาเนียเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว พอเจอแบบนี้เข้าก็ยิ่งพูดน้อยเข้าไปใหญ่ พวกเธอตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่เมืองบราโก้ และสมัครเป็นทหาร เพราะความสามารถที่โดดเด่นทำให้พวกเธอได้ตำแหน่งแม่ทัพมา

         ช่วงเย็นวันนั้น เฟรเมียได้ไปทานอาหารกับอาโรนที่ใส่หมวกและเสื้อผ้าปกปิดหน้าตา ทั้งสองนั่งทานอาหารอยู่ในภัตตาคารระดับ5ดาวของเมืองบราโก้ที่พึ่งกลายเป็นกิจการขนาดใหญ่ได้ไม่นาน ทั้งสองดื่มกินกันจนเริ่มอิ่ม และใช้เวลาที่เหลือส่วนใหญ่คุยกัน

         "ต้องขอบคุณมากนะค่ะที่ช่วยตามหาน้องสาวฉันเจอ"เฟรเมียกล่าว

         "ไปขอบคุณมิโอเรียดีกว่าครับ เพราะเธอเป็นคนสั่งทหารไปรื้อคนบ้านขุนนาง"

         "ท่านอาโรนกับมิโอเรียมาจากต่างโลก ได้ยินว่าพวกท่านเป็นเพื่อนสนิทกันด้วยใช่ไหมค่ะ"เฟรเมียพูดด้วยน้ำเสียงอิจฉานิดๆ อาโรนก็พอเดาออก

         "ใช่ครับ อิจฉาเหรอ"อาโรนยิ้มให้ เฟรเมียได้ยินอาโรนรู้ทันความคิดตนก็หน้าแดงด้วยความเขินอาย

         "เปล่าซะหน่อยค่ะ"

         "ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะพวกเรายังไมได้เป็นแฟนกัน แล้วคุณสนใจไหมครับ"อาโรนเริ่มรุกหนัก เฟรเมียเบิกตากว้างก่อนจะหรี่ตาลง

         "ยังไม่ได้เป็น หมายความว่าใกล้จะเป็นเหรอครับ"

         "ไม่แน่ครับ ในโลกของฉัน ตระกูลเรามีภรรยากี่คนก็ได้เพราะทรงอำนาจที่สุดครับ ในโลกนี้การที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคนถือเป็นเรื่องปกตินี่นา"

         "ก็จริงค่ะ"เฟรเมียยอมรับ ทุกเผ่าในโลกKWOต่างยอมรับเรื่องนี้ แต่เผ่าเอลฟ์นั้นไม่ค่อยชอบกฎนี่นัก ถึงอย่างงั้นในปัจจุบันก็มีเอลฟ์ผู้ชายหลายคนที่มีภรรยามากกว่า1คนแล้ว

         "ว่าแต่ตอนนี้อาโรนมีผู้หญิงที่สนใจกี่คนค่ะ"

         "ถ้าให้นับรวมๆแล้วก็..5คนครับ รวมคุณด้วยนะ"อาโรนตอบไปตามตรง และเน้นคำสุดท้าย

         "ลามกจริงๆเลยนะค่ะคุณน่ะ"เฟรเมียพูด ในขณะที่ริมฝีปากเข้ามาใกล้อาโรน อาโรนก็ตอบรับ

         "ตึงงง!!!!"แต่ก่อนที่ทั้งสองจะจูบกัน เหล้าขวดใหญ่ก็วางลงกลางโต๊ะจนทั้งสองผละออกจากกัน

         "เหล้าบริการพิเศษจากทางเราค่ะ"

         อาโรนได้ยินเสียงพนักงานหญิงที่ดูคุ้นๆหูก็เงยหน้าขึ้น ก็เห็นเกรเซียในชุดพนักงานของร้าย ใบหน้าเธอขึ้นสีแดง และมีกลิ่นเหล้าหึงออกมาจากตัวเธอเล็กน้อย อาโรนสงสัยว่ามาได้ยังไงกัน

         "ขอบคุณ"อาโรนพูดเสียงสั่น จากนั้นเกรเซียก็เดินจากไป

         "ท่านอาโรนเนื้อหอมจังนะค่ะ ท่านเกรเซียก็ชอบท่านอาโรนเหมือนกันนี่นา ไหนใครบอกว่าทั้งสองพึ่งรู้จักกันไม่นานไง ดูสิ ดื่มเหล้าเพราะโกรธที่เห็นอาโรนจะจูบฉันแน่"เฟรเมียไม่เครียดเรื่องจูบและหันมาพูดอาโรนกับเกรเซีย เพราะเธอสนใจมากกว่า

         เกรเซียที่เดินไปไกลได้ยินเฟรเมียพูดแทงใจดำก็ถึงกับถลึงตามอง ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว เธอเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว กลับออกมาในชุดจอมเวทของเธอตามเดิม ยื่นชุดที่เธอยืมคืนให้พนักงานของร้าน

         "ขอบคุณมากค่ะ"

         "มะ..ไม่เป็นไรค่ะ"พนักงานสาวพูดด้วยความประหม่า เกรเซียเดินออกไปทางประตูหลังร้าน

         เกรเซียเป็นลูกค้าประจำร้านของภัตตาคารนี่ เธอมานั่งดื่มกินตั้งแต่ก่อนพวกอาโรนจะมา แต่พอเธอเห็นอาโรนมากับเอลฟ์สาวสวยที่เธอไม่รู้จัก ก็ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดและรู้สึกเจ็บที่หัวใจ ผ่านไปจนเธอทนมองภาพหวานไม่ไหว เลยไปขอยืมเสื้อของพนักงานร้านเดินไปที่โต๊ะทั้งสองคน นับว่าเธอไปถูกเวลาพอดี เพราะทั้งสองกำลังจะจูบกันอยู่แล้ว

         อาโรนกับเฟรเมียโดนเกรเซียขัดจังหวะเด็ดก็เริ่มหมดอารมณ์เดท เลยเช็คบิลแล้วลากันหน้าภัตตาคารเดินแยกกันไปคนละทาง ระหว่างเดินกลับปราสาทอาโรนเห็นเกรเซียที่มองเขาจากในตรอกมืด

         "พี่เกรเซีย เมื่อกี้...."อาโรนตั้งใจจะถามเรื่องนั้น แต่เกรเซียเดินหายเข้าตรอกไป

         อาโรนเห็นท่าทีงอนของอีกฝ่ายก็ยิ้มชอบใจ ที่เขาชวนเฟรเมียมาเดทร้านนี้ เพราะอยากจะดูปฎิกิริยาเธอด้วยนั่นแหละ

         'เดี๋ยวค่อยไปง้อขอคืนดี'อาโรนคิดแล้วกลับไปนอนที่ปราสาทอย่างมีความสุข ส่วนทางเกรเซียนอนไม่ค่อยหลับ
    __________________________
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×