ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สาวน้อยผู้มั่งคั่ง (จบแล้ว) มี E-BOOK

    ลำดับตอนที่ #9 : บุตรบุญธรรม

    • อัปเดตล่าสุด 16 มี.ค. 66


    ตอนที่ 9 บุตรบุญธรรม

    มนตราจ้องมองชายวัยกลางคนตรงหน้า ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาดีหรือมาร้าย เธอไม่ใช่เด็กอายุสิบสามปีดังที่เห็นภายนอก

    จิตวิญญาณของเธอหากรวมกับอายุของร่างนี้แล้ว คงจะอายุมากกว่าชายตรงหน้าเสียอีก

    หญิงสาวอ่านแววตาของเขาออก ก็เห็นว่าแววตาของเขาฉายชัดถึงความมีจิตเมตตา ไม่ได้แอบแฝงไปด้วยความมาดร้าย เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก นึกว่าตนพลาดเข้ามาในถ้ำเสือเสียแล้ว

    "ท่านลุง...ก่อนอื่นฉัน..ข้าอยากให้ท่านตัดสินใจใหม่อีกครั้ง หลังจากฟังเรื่องที่ข้าเล่าตั้งแต่ต้นจนจบ หากท่านเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาข้าก็ไม่ขัดเจ้าค่ะ"

    หูอี้เทียนเปิดโอกาสให้เด็กสาวอธิบายเกี่ยวกับตัวตนของนาง โดยมีหูต้าลู่ผู้เป็นบุตรชายนั่งฟังด้วย

    มนตรามองอาเยี่ยนน้อยที่นั่งซดน้ำซุปอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะเล่าความจริงทุกอย่างให้สองพ่อลูกตรงหน้าฟัง

    "ฉัน...เอ่อ...ข้าชื่อจางฉินฉินเจ้าค่ะ ส่วนน้องชายข้าชื่อจางอ้ายเยี่ยน แต่คนส่วนใหญ่เรียกเขาว่าอาเยี่ยน หากท่านสังเกตเห็นแท้จริงแล้วน้องชายข้าอายุแปดปีแล้ว แต่เขาเคยถูกมารดาเลี้ยงนำไปขายให้พ่อค้าทาสตอนเขายังเด็ก สุดท้ายถูกส่งกลับมาด้วยสภาพเปื้อนเลือด กลายเป็นเด็กเติบโตช้าอย่างที่พวกท่านเห็น ที่ผ่านมาข้าสองพี่น้องไม่เคยได้กินอิ่มท้อง ถูกมารดาเลี้ยงทุบตีทรมานทุกวัน..ข้า..ข้าไม่อยากทนเป็นที่รองมือรองเท้าใครอีกแล้ว จึงลุกขึ้นสู้กับนางและชาวบ้านเพื่อเอาชีวิตรอดจากครอบครัวที่แสนเลวร้าย"

    มนตราเอ่ยเล่าหน้าเศร้า ทั้งยังเล่าถึงเรื่องของบิดามารดาเจ้าของร่างเดิมนี้ว่าเสียชีวิตอย่างไร

    "ข้าอาจจะเป็นเด็กอัปมงคล คอยกินดวงชะตาชีวิตผู้ให้กำเนิดก็ได้ พวกท่านรู้เช่นนี้แล้วไม่กลัวข้าหรือ"

    เล่าจบหญิงสาวก็น้ำตาไหลพราก มันเป็นความเศร้าใจจากจิตใต้สำนึกที่เจ้าของร่างคนเดิมเผชิญมาตลอด เด็กคนนั้นได้แต่เก็บงำความทุกข์ไว้ในใจ เล่าออกไปให้ใครฟังไม่ได้ ทว่าวันนี้กลับมีคนนอกรับรู้เรื่องราวนั้นแล้วก็อดที่จะร้องไห้ออกมาไม่ได้จริง ๆ

    หูอี้เทียนได้ฟังเรื่องราวแล้วก็สั่งให้บุตรชายปิดร้านทันที

    "ต้าลู่ปิดร้าน! วันนี้เราจะฉลองต้อนรับสมาชิกครอบครัวใหม่กัน"

    มนตราเงยหน้าขึ้นมองชายวัยกลางคนที่อุ้มอาเยี่ยนน้อยขึ้นมากอด เขาเดินเข้ามาใกล้ ๆ หญิงสาวพลางยกมือลูบหัวเธอด้วยความเอ็นดู

    "ข้าไม่รังเกียจเจ้า ที่ผ่านมาเจ้าคงจะเหนื่อยมากสินะ ต่อไปนี้เรียกข้าว่าท่านพ่อเถิด ข้าจะเลี้ยงดูพวกเจ้าสองพี่น้องเอง"

    "ข้าก็ด้วย ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าสองพี่น้องโดนใครรังแกอีก หากพวกมันกล้าทำร้ายเจ้าข้าจะเอาคืนให้ร้อยเท่าพันเท่า"

    มนตราในร่างฉินฉินยกมือปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น อาเยี่ยนเห็นพี่สาวร้องไห้เขาก็ร้องตามไปด้วยอีกคน

    "พี่ใหญ่ท่านร้องไห้ทำไม เจ็บแผลอีกแล้วหรือ อาเยี่ยนเป่าให้นะ ฟู่ ๆ หายเจ็บแล้ว"

    เด็กชายยื่นหน้ามาเป่าให้พี่สาว อี้เทียนเห็นดังนั้นก็รู้สึกประทับใจไม่น้อย ที่บุตรสาวคนใหม่ของตนสอนน้องชายได้ดีเหลือเกิน ถึงนางจะลำบากแต่ไม่เคยทอดทิ้งน้องชายหรือเห็นเขาเป็นภาระแม้แต่น้อย

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อี้เทียนและต้าลู่เจอสองพี่น้องคู่นี้ นานมาแล้วพวกเขาเคยออกไปจ่ายตลาดซื้อวัตถุดิบเข้าร้าน และบังเอิญเห็นสองพี่น้องเนื้อตัวมอมแมมนั่งอยู่บนพื้น ผู้เป็นพี่กำลังบิซาลาเปาที่ชาวบ้านให้ป้อนน้องชายทีละคำจนกว่าเขาจะอิ่ม ตนจึงค่อยกินเศษที่เหลือพอประทังชีวิตไปวัน ๆ

    ตั้งแต่นั้นมาด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตากำหนดก็ไม่อาจหยั่งรู้ ทุกวันอี้เทียนมักจะเห็นพี่น้องสองคนเดินหางานทำในเมือง แต่เพราะกลัวว่าหญิงสาวจะกลัวคนแปลกหน้าเช่นตน จึงไม่เข้าไปทักและได้แต่ตามดูห่าง ๆ กลัวว่าจะถูกคนรังแก แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

    ชาวบ้านที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน ทุกครั้งที่เดินผ่านมาเห็นสองพี่น้องมักจะชี้หน้าหัวเราะพลางพ่นถ้อยคำดูถูก แม้จะไม่ทำร้ายร่างกายทว่ากับจิตใจนั้นต่างพากันทำร้ายจนไม่เหลือชิ้นดี แต่เด็กสาวก็ทำได้เพียงก้มหน้าอดทน

    จากเด็กสาวอ่อนแอในวันวาน กลับกลายเป็นหญิงสาวที่มีความคิดลุกขึ้นสู้เพื่อตนเองและครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว ถึงกายภายนอกจะเหมือนเดิม ทว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่คือแววตาของนาง

    มนตราเอ่ยถามย้ำกับชายตรงหน้าอีกครั้ง

    "ท่านอยากจะเป็นบิดาข้าจริง ๆ หรือเจ้าคะ..ข้าไม่มีเงินทองติดตัวมาเลยมีแต่จะเป็นภาระท่านเสียเปล่า ๆ”

    อี้เทียนหัวเราะขยี้ผมเด็กสาว เขาจ้องตานางให้นางเห็นกับตาว่า เขานั้นไม่ได้ต้องการจะล้อเล่นกับความรู้สึกของเด็กสาวแม้แต่น้อย

    "ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าไม่ให้ทำงานหนัก เรื่องแบบนั้นใช้ต้าลู่ทำคนเดียวก็พอแล้ว น้องชายเจ้าข้าก็ไม่รังเกียจ เขาน่ารักเช่นนี้ข้าจะผลักไสปล่อยเขาไปได้อย่างไรกัน"

    ฟังคำเขาแล้วมนตราก็นึกสงสัยอยากถามเขาต่อ ทว่าร้านบะหมี่ของอี้เทียนกลับถูกชาวบ้านหลายคนพังประตูเข้ามาเสียก่อน

    ปัง..

    "นางเด็กบ้า! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ข้าพาแม่หมอมาไล่ผีร้ายแล้ว เจ้าหนีไปไหนไม่พ้นหรอก...ออกมาเดี๋ยวนี้!"

    นางเฉียนตะโกนเสียงดังปรอทแตกจนชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาต้องหยุดดู

    มนตรายิ้มเย็นกำลังจะเดินออกไป แต่ถูกอี้เทียนห้ามเอาไว้ก่อน

    "เจ้าอย่าออกไป ให้ข้าจัดการเอง"

    เด็กสาวส่งยิ้มให้เขา พลางตบหลังมือของเขาเบา ๆ

    "ฝากอาเยี่ยนด้วยเจ้าค่ะ ข้าอยากจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง เรื่องทุกอย่างจะต้องจบลงในวันนี้ หากท่านรับข้าเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว จะได้ไม่เป็นที่ครหาให้ผู้อื่นเขาหัวเราะเยาะ"

    นางเฉียนกวาดตามองภายในร้านเล็ก ๆ เห็นลูกเลี้ยงกำลังเดินออกมา ก็ยกยิ้มเหมือนได้ชัยชนะไปครองแล้ว

    ร่างเล็ก ๆ ของฉินฉินที่มีจิตวิญญาณของมนตราเดินมาหยุดอยู่หน้าร้านบะหมี่ ชาวบ้านล้อมปิดทางเอาไว้กันหญิงสาววิ่งหนี ตรงกลางมีหญิงชราใส่ชุดหลากสีถือกระดิ่งเต้นโยกไปโยกมา ปากพึมพำเหมือนกำลังทำพิธีบางอย่าง

    "ข้าสัมผัสได้ถึงลางร้าย นางเด็กนั่นถูกผีเข้าสิง ต้องเอาเลือดหมาดำสาดใส่มัน"

    “เหอะ”

    หญิงสาวหัวเราะเสียงเย็นยะเยือกให้เข้ากับบรรยากาศที่กำลังมาคุ

    เท้าเล็ก ๆ เดินไปหยิบเก้าอี้ออกมานั่งหน้าร้าน ด้านหลังมีชายสองคนกำลังอุ้มน้องชายเอาไว้และคอยยืนปกป้องอยู่ไม่ห่าง

    "นางเฉียนเจ้าชักจะเอาใหญ่แล้วนะ..ที่ผ่านมาเจ้าทำร้ายร่างกายข้าทุกวันยังไม่สาแก่ใจเจ้าอีกรึ พอข้าไม่ยอมให้เจ้าทุบตีก็ลงทุนไปจ้างหมอผีปลอมมาขับไล่ข้าเสียอย่างนั้น ท่านรวยนักหรือ! เก็บเงินไปซื้อข้าวกินไม่ดีกว่าหรือ"

    นางเฉียนไม่สะทกสะท้านอะไร นางถือถังไม้ที่ใส่เลือดหมาดำเอาไว้ นางมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าลูกเลี้ยงของตนถูกผีสิงแน่นอน

    "แม่หมอดูสิ ผีร้ายมันกำเริบเสิบสานใหญ่แล้ว ให้ข้าสาดเลือดหมาดำเลยหรือไม่เจ้าคะ"

    หมอผีชราหยุดเต้น นางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว ปากก็ขมุบขมิบบทสวดโดยไม่มีเสียงออกมา

    ปากเล็ก ๆ ยิ้มเย็นพลางพูดเตือนเป็นครั้งสุดท้าย..

    "ข้าเตือนพวกท่านไว้ก่อน ใครที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะต้องรับโทษอย่างหนัก ฉัน...ข้าจะฟ้องร้องต่อทางการว่าพวกท่านทำให้ข้าเสียชื่อเสียงต่อหน้าคนมากมาย..เลือดหมาดำในมือท่านหากข้าเป็นผีจริง ๆ ต้องกลัวหรือ..เอาสิ..สาดเลยจะได้จบ ๆ หากข้าไม่ใช่วิญญาณร้ายอย่างที่กล่าวหา พวกท่านเตรียมตัวจ่ายค่าชดเชยมาเลยคนละสิบตำลึงเงิน"

    เวลาเป็นเงินเป็นทอง คนอย่างมนตราหากได้เสียเวลาแล้วต้องได้ค่าตอบแทนกลับคืนมาอย่างสาสม

    นางเฉียนโกรธที่เห็นลูกเลี้ยงยังคงนิ่งเฉย และไร้ท่าทีหวาดกลัวพวกตน

    นางไม่รอให้หมอผีส่งสัญญาณ ก็สาดเลือดหมาดำใส่หญิงสาวทันที

    ซ่า..

    กลิ่นคาวเลือดเหม็นจนอยากอาเจียน ทุกคนที่รอดูผลลัพธ์อยากจะเห็นหญิงสาวดิ้นทุรนทุราย ต่างก็ต้องผิดหวังไปตาม ๆ กัน เมื่อนางไม่เป็นอะไรเลย กลับยกมือเช็ดคราบเลือดที่อยู่บนหน้าออกสบาย ๆ

    ต้าลู่กลับเข้าไปหลังร้านพร้อมกับถังน้ำในมือ เขานำน้ำราดบนหัวน้องสาวบุญธรรมหวังจะให้กลิ่นเลือดเจือจางลงบ้าง

    หมอผีปลอมเห็นว่าเลือดหมาดำใช้ไม่ได้ผลก็รีบกลับคำทันที

    "นางไม่ใช่วิญญาณร้าย พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อนเล่า"

    ฝ่ายมนตราไม่ปล่อยให้หญิงชราหนีไปได้ เธอยกมือจับข้อมือเหี่ยว ๆ เอาไว้แล้วกำจนเส้นเลือดขึ้น

    "จะหนีไปไหน! เมื่อครู่ท่านยังบอกว่าสัมผัสได้ถึงวิญญาณร้ายอยู่เลยนี่ ตอนนี้คิดจะกลับคำก็สายไปเสียแล้ว "

    หญิงชราพยายามแกะมือหญิงสาวออก แต่เธอกลับกำมันแน่นมากกว่าเดิม แล้วหันหลังไปขอความช่วยเหลือจากพี่ชาย

    "ท่านพี่ต้าลู่ ท่านช่วยไปตามทหารมาจับคนเหล่านี้ไปที่ศาลตัดสิน ให้คนของทางการช่วยตัดสินให้ได้หรือไม่เจ้าคะ”

    “ท่านช่วยมอบความยุติธรรมให้แก่ข้าที ข้าให้โอกาสพวกท่านไปแล้วนะ ไม่รับเอาไว้เองจะมาอ้อนวอนขอให้ข้าไม่เอาเรื่องตอนนี้ก็สายไปแล้ว"

    ต้าลู่รับคำน้องสาวแล้วรีบวิ่งฝ่าฝูงชนไปทันที ไม่นานก็มีทหารหลายสิบนายมาจับตัวผู้เกี่ยวข้องไปไว้ที่ศาลตัดสินกลางเมือง ชาวบ้านบางคนโวยวายพลางเอ่ยโกหกว่าตนเองไม่รู้เรื่อง เพียงแค่ถูกนางเฉียนหลอกมาเท่านั้น แต่นายทหารไม่ฟังเพราะพวกเขารับเงินมาแล้ว ต้องทำงานให้สมกับเงินที่ได้รับ

    ร่างเล็กไม่รู้เรื่องนี้ว่าบิดาบุญธรรมแอบส่งถุงเงินของตนให้พี่ชายไปติดสินบนคนของทางการ หญิงสาวมารู้ทีหลัง ก็หลังจากเรื่องทุกอย่างจบไปแล้ว


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×