ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านพี่เจ้าขา ข้าอยากรวย (จบแล้ว) มีE-BOOK

    ลำดับตอนที่ #7 : เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว

    • อัปเดตล่าสุด 24 ธ.ค. 66


    บทที่ 7 เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว

    ถูกบุตรชายตะคอกใส่อีกแล้ว…

    ฟางเหนียงยิ่งงงหนักกว่าเดิมว่าตนทำอะไรผิด เด็กคนนี้อารมณ์แปรปรวนเก่งจริง หรือเป็นเพราะเขาอยู่ในช่วงวัยอารมณ์เลือดร้อน แค่ใช้น้ำมันเยอะ จำเป็นต้องโกรธจนหน้าดำหน้าแดงขนาดนี้เลยหรือ

    ข้าเปลี่ยนเป็นต้มไข่แทนก็ได้ ถ้ามันจะทำให้เด็กคนนี้เลิกตะคอกใส่ข้าสักที

    โอ๊ย...ปวดหัวมากนะ

    “ก็แค่ทำกับข้าว มันต้องใช้ความกล้าอะไรนักหนา เจ้ามีอะไรข้องใจรีบพูดมาก่อนที่หม้อจะไหม้ ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่ใช่แม่คนเดิมที่คิดจ้องแต่ทำร้ายลูก”

    “ข้ามีความรับผิดชอบมากพอน่า ต่อไปนี้ข้าจะดูแลพวกเจ้าเอง และจะชดเชยความผิดที่ได้ทำลงไปด้วยเลยเอ้า! แต่ถ้าเจ้ายังไม่พอใจอีก ข้าไปก็ได้นะเลือกเอา”

    “ท่านจะเอาพวกข้าไปขายในเมือง นี่คือสิ่งที่ท่านเรียกว่าชดเชยอย่างนั้นหรือ!?”

    ฮะ! สรุปคือเจ้าเด็กนี่เข้าใจผิดไปเอง แล้วมาอารมณ์เสียใส่ข้าอย่างนั้นหรือ?

    ใจเย็น ๆ เข้าไว้ตัวข้า อย่าถือสาหาความกับเด็กเลย ฮึบ

    “เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว เจ้ากังวลเรื่องเงินอยู่ไม่ใช่หรือ นอนอยู่ในบ้านแล้วเงินมันจะวิ่งมาหาเองหรือไม่เล่า ที่ข้าหมายถึงคืออยากพาพวกเจ้าไปหาเงินในตัวเมือง จะพาไปทำอาหารขายหาเงินเท่านั้น”

    “แล้วนี่เจ้ามาขึ้นเสียงใส่ข้าทำไมกัน เด็กน้อยเอ๋ยคราวหลังถามก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ข้าไม่ใช่แม่พระนะบอกไว้ก่อน ข้าใจดีแต่ก็ไม่ใช่ที่รองรับอารมณ์ของเจ้า”

    เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายเข้าใจผิดเอง เซี่ยเหิงก็มีท่าทีอ่อนลง เขาเหล่ตามองมารดาด้วยสายตาลูกหมาเป็นการขอโทษ

    ฟางเหนียงไม่คิดว่าเจ้าบุตรชายอารมณ์ร้อนจะมาไม้นี้ ต่อให้โกรธแค่ไหนก็ใจอ่อน เพราะตอนนี้เธอยอมรับลูก ๆ แล้ว เหลือแค่ปรับตัวเข้าหากันเท่านั้น

    ไม่รู้เป็นเพราะสงสารด้วยรึเปล่าถึงอยากสนิทด้วย แม้ว่าจะเจอกันแค่ครึ่งวัน แต่กลับรู้สึกผูกพันเหมือนอยู่ด้วยกันมานานสิบปีน่ะสิ

    เอาละ ๆ ครั้งหน้าก็จำไว้ให้ดี ก่อนใช้อารมณ์ควรถามให้แน่ชัดก่อนว่า สิ่งที่ข้าพูดกับสิ่งที่เจ้าเข้าใจมันตรงกันหรือไม่ ดูสิมัวแต่เถียงกับเจ้าน้ำมันเดือดปุด ๆ แล้ว”

    หญิงสาวไม่สนใจบุตรชายคนโตอีก ปล่อยให้เขายืนดูข้าวสารไป นางตอกไข่ใส่ถ้วยตี ๆ ให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยผงวิเศษแล้วเทไข่ลงในหม้อ

    ฉ่า...

    เสียงทอดไข่มาพร้อมกับกลิ่นหอม ๆ ลอยตลบอบอวล ใครได้กลิ่นมีกลืนน้ำลายไปตาม ๆ กัน

    ขนาดเด็กขี้โมโหที่ตั้งแง่ว่าไข่ทอดไม่อร่อย และสิ้นเปลืองน้ำมันไปเปล่า ๆ ยังอดใจไม่ไหวแอบกลืนน้ำลายไปหลายอึก

    “ผักที่เจ้าซื้อมาอยู่ที่ไหน?”

    “เดี๋ยวข้าไปเอาให้ขอรับ”

    ฮะ...เด็กหน้าตายคนนั้นพูดเพราะกับข้าด้วย พระเจ้า! คืนนี้ฝนคงตกหนักเป็นแน่

    แต่แหม ข้ารู้แล้วว่าต้องเอาใจเขาอย่างไรดี แม้ว่าร่างกายจะโตเกินวัย แต่อย่างไรก็หนีไม่พ้นของอร่อยอยู่ดี เจ้าเด็กเห็นแก่กินเอ๊ย

    ฟางเหนียงมีความสุขมาก กับการทำอาหารให้คนอื่นกินครั้งแรก ขนาดชาติที่แล้วพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ก็ยังไม่เคยได้ลองกินฝีมือลูกสาวของตัวเองเลย

    พวกท่านงานยุ่งมากต้องบินไปต่างประเทศบ่อยครั้ง ในหนึ่งปีจะได้เจอหน้ากันครั้งหนึ่ง ยังดีที่พวกท่านให้เงินใช้ไม่ขาดมือ เป็นการชดเชยเวลาที่เสียไป แต่มันก็พอช่วยเยียวยาจิตใจได้เพียงนิดเท่านั้น

    ชาตินี้มีโอกาสได้มีครอบครัวพร้อมหน้า ข้าจะไม่เป็นแม่ที่ทอดทิ้งลูก ๆ แล้วใช้แต่เงินเลี้ยงดูพวกเขาแน่ แต่จะใช้ใจเลี้ยงพวกเขาแทน

    คิด ๆ ไปแล้วสภาพก่อนตายก็น่าอนาถเกินไป ถูกรถชนขนาดนั้นหากรอดกลับไปก็มีแต่พิการ เช่นนั้นขออยู่ที่นี่ดีกว่า ผู้ชายงานดีเยอะด้วย

    อาหารถูกทำขึ้นอย่างรวดเร็ว เรื่องกลิ่นหอมชวนหิวไม่ต้องพูดถึง เจ้าสองหน่อโผล่หน้ามาดูเป็นระยะ คล้ายเร่งว่าเมื่อไหร่ข้าวจะเสร็จ

    “ท่านแม่ข้าแบ่งไปให้บ้านท่านลุงได้หรือไม่”

    “ลุงไหนหรือ?”

    “บ้านท่านลุงใหญ่ขอรับ แต่ก่อนพวกข้าไปฝากท้องที่นั่นบ่อย ๆ เพราะท่านเอาแต่เก็บอาหารไว้กินคนเดียว มาวันนี้ที่บ้านเรามีอาหารเยอะแล้ว ข้าอยากแบ่งไปฝากเขาบ้าง”

    “มีใจกตัญญูเช่นนี้ แม่อย่างข้าก็ต้องสนับสนุนสิ เจ้ารอง เจ้าสามมาช่วยพี่ชายยกอาหารไปให้ท่านลุงใหญ่ของพวกเจ้าเร็วเข้า อ้อ อย่าลืมเอาจานกลับมาด้วยเล่า”

    อย่าหาว่าหวงของเลย แต่จานชามใส่อาหารตอนนี้มีแค่ไม่กี่ใบ คงต้องทำขึ้นมาใหม่หรือไม่ก็หาซื้อเพิ่มเอา อะไรที่ไม่เคยทำก็ต้องลงมือทำเองทุกอย่าง...มันท้าทายเกินไปไหมเนี่ย!

    ฟางเหนียงแบ่งไข่เจียวครึ่งหนึ่งให้คนบ้านนั้น ตักผัดผักพูน ๆ ให้ไปอีกจาน แกงจืดก็ไม่เน้นผักให้เนื้อไปหลายชิ้น แต่เนื้อผัดน้ำมันหอยไม่ได้แบ่งไปให้ เพราะทำน้อยพอกินแค่คนในครอบครัวเท่านั้น

    “ข้าต้องแบ่งข้าวให้ด้วยหรือไม่”

    “ที่บ้านใหญ่มีข้าวกินไม่เคยขาด พวกเขาปลูกข้าวกินเองไม่ต้องแบ่งหรอกขอรับ”

    “แล้วบ้านเราเล่า มีที่นาทำกินหรือไม่?”

    “มีขอรับ แต่ท่านแม่ให้บ้านสกุลเดิมของท่านเข้ามาทำกิน...”

    ตงซิ่วมองมารดาที่ทำหน้าคิดหนัก ก็กลัวว่านางจะให้คนพวกนั้นอยู่ทำกินต่อ ที่ดินสิบหมู่ท่านปู่แบ่งให้ท่านพ่อตอนแยกบ้านออกมา ท่านแม่ก็ไม่ถามไถ่ท่านพ่อก่อนเลยว่าจะใช้ที่ดินหรือไม่ วันต่อมาบ้านสกุลเดิมของท่านแม่กลับขนของมาปลูกข้าวหน้าตาเฉย

    ท่านพ่อที่ไม่อยากทะเลาะกันต่อหน้าลูก จึงต้องยอมให้บ้านสกุลเดิมของภรรยามาทำกินในที่ดินของเขา

    “อ้อ เช่นนั้นไว้ค่อยจัดการพรุ่งนี้ พวกเจ้ารีบเอาอาหารไปส่งเถอะ แล้วรีบ ๆ กลับมากินข้าวอาบน้ำนอน”

    “ขอรับ”

    เด็กทั้งสามคนตอบรับพร้อมกัน แล้วถืออาหารของท่านแม่เดินเรียงแถวตามกันไปที่บ้านใหญ่

     ระหว่างรอลูก ๆ ฟางเหนียงก็จัดการทำความสะอาดห้องครัวรอ เก็บหม้อไปล้างที่โอ่งข้างห้องครัว ข้อดีคือพื้นที่รอบบ้านกว้างมาก ทำอะไรได้หลายอย่างเลยเชียว

    พื้นที่ข้างห้องครัวเป็นพื้นที่โล่ง นางตั้งใจไว้แล้วว่าจะเอาไว้ทำที่ตากผ้า มีผ้ากองเท่าภูเขารอซักอยู่ด้วยสิ

    งานพรุ่งนี้มีซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน ไปดูที่ดินทำกินสักหน่อย หากยังไม่หมดวันก็คงจะเข้าไปสำรวจป่าหาที่ทางทำกินสักนิด ยุคนี้น่าจะมีโสมหรือไม่ก็เห็ดหลินจือให้พบเห็นอยู่บ้างแหละน่า

    ที่หน้าบ้านมีโต๊ะยาวอยู่ อาหารจึงถูกนำไปจัดวางไว้ที่นั่น แทนการนั่งกินข้าวในบ้านอย่างเคย

    ฟางเหนียงอุ้มลูกคนเล็กมานั่งรับลม เขาลืมตาแป๋วมองหน้ามารดา แต่ก็ไม่กล้าขยับเพราะฝังใจมากกลัวถูกนางตี

    เด็กน้อยหายไข้แล้ว หายเป็นปลิดทิ้ง อาการหนักตัวไม่มี รู้สึกโล่งไปทั้งตัว ในปากน้อย ๆ ยังมีกลิ่นหอมหวานของน้ำหวานอยู่เลย

    “เจ้าพูดได้รึยัง เห็นพี่ชายเจ้าบอกว่าเจ้าอายุห้าขวบแล้วนี่ ทำไมไม่พูดเลยเล่า”

    เด็กคนนี้ตัวแข็งทื่อเป็นก้อนหินเลย หรือว่าเขาจะรู้สึกอึดอัดที่ถูกข้าอุ้มไว้นะ

    เฮ้อ~ ถูกลูกเกลียดไม่พอ ลูกยังกลัวอีกด้วย เจองานหนักแล้วสิ

    เอาละ ๆ แม่ให้เจ้านั่งเองก็ได้”

    ฟางเหนียงวางลูกน้อยนั่งลงข้าง ๆ ตน จัดการตักข้าวใส่ถ้วยน้อยราดน้ำแกงจืดทำเป็นข้าวต้มให้กับเขา แต่เด็กชายไม่กล้ากิน กลับนั่งตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ เอาแต่ก้มหน้ามองดิน ไม่ตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้น

    “เอ๋~ เป็นออทิสติกรึเปล่านะ? พูดก็ไม่พูด ไม่ตอบสนองอีก”

    “รอท่านพี่...”

    ขณะที่ฟางเหนียงกำลังกังวล กับอาการของบุตรชายคนเล็กอยู่นั้น ในที่สุดเขาก็พูดออกมาสักที หญิงสาวโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

    เขาคงกลัวข้ามากจริง ๆ แต่เสียงหนูน่ารักจังเลยลูก ไม่ต้องห่วงนะต่อจากนี้ไป แม่คนนี้จะขุนหนูให้อ้วนเอง!

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×