ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านพี่เจ้าขา ข้าอยากรวย (จบแล้ว) มีE-BOOK

    ลำดับตอนที่ #30 : ตอนที่30 เงินก้อนแรก

    • อัปเดตล่าสุด 24 ธ.ค. 66


    บทที่ 30 เงินก้อนแรก

    ขายของเหนื่อยมาทั้งวันจนสายตัวแทบขาด โชคดีที่มีลูก ๆ คอยเยียวยาจิตใจ กลับบ้านมาบุตรชายคนโตก็ทำอาหารไว้รอก่อนแล้ว

    ตอนนี้เจ้าใหญ่ไม่ประหยัดเครื่องปรุงทำอาหารอีกต่อไป อาหารมื้อนี้จึงมีรสชาติจัดจ้านมากขึ้น สูตรอาหารก็ได้มาจากตำราของเสี่ยวไป่

    เขาใช้เวลาทำอาหารตามสูตรกับผีพ่อครัวทั้งวัน ทำพังไปก็เยอะ กว่าจะกินได้ก็ถูกน้องชายบ่นจนหูชา เพราะเจ้าตัวเป็นคนชิม

    เซี่ยเหิงยิ้มหน้าบานเดินไปเต้นไป กว่าจะมาถึงโต๊ะก็หมุนตัวไปแล้วหนึ่งร้อยตลบ ทำเอาคนเป็นแม่ลุ้นว่าวันนี้จะได้กินดี ๆ หรือต้องมานั่งเก็บกวาดแทน หากบุตรชายคนโตยังหมุนตัวไม่เลิก

    “ท่านแม่วันนี้ข้าทำเกี๊ยวห่มผ้า ราดด้วยน้ำจิ้มสามรสขอรับ ข้ารับรองว่าอร่อยจนท่านแม่ต้องลอยกลับสวรรค์เลยทีเดียว”

    “ขนาดนั้นเชียวหรือ?”

    ฟางเหนียงออกมาจากมิติหลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็แวะมานั่งเล่นที่ม้านั่งหน้าจวนติดริมน้ำ มองไปอีกฝั่งก็เห็นเหล่าวิญญาณออกมาเดินเล่นหลังพระอาทิตย์ตกดิน

    วิญญาณแต่ละตนอยู่ในสภาพสมบูรณ์ หลังจากได้รับบุญจากฟางเหนียงทั้งเช้าและเย็น

    ตงซิ่วเดินจุดตะเกียงตามจุดต่าง ๆ ไม่ให้บ้านมืดจนเกินไป มีน้องชายทั้งสองเดินตามหลังต้อย ๆ

    พวกเขาว่างไม่มีอะไรทำจึงไปก่อกวนพี่ชายแทน ฟางเหนียงเห็นบ้านมืดแล้วเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงเรียกเสี่ยวไป่ให้ออกมา

    “เสี่ยวไป่เอาไฟโซลาร์เซลล์ออกมาได้หรือไม่ จะคิดเงินก็ได้นะ ข้าว่าจุดตะเกียงน้ำมันออกจะสิ้นเปลืองทรัพยากรไปหน่อย ราคาก็สูงรายได้ข้ายังน้อย อะไรที่ประหยัดได้ก็อยากประหยัด เจ้าช่วยข้าทีสิ”

    เสือขาวตัวน้อยนอนหมอบอยู่บนโต๊ะคิดหนัก สิ่งที่เจ้านายขอคือสิ่งประดิษฐ์จากโลกอนาคต หากนำออกมามันจะทำให้โลกนี้ปั่นป่วนน่ะสิ

    [ได้เจ้าค่ะ แต่ข้าจะหามาให้ในรูปแบบตะเกียงเหมือนโลกนี้ ข้าจะร่ายมนตร์ไว้หากคนนอกเห็นจะมองเป็นเพียงโคมไฟธรรมดา มีแค่นายหญิงเท่านั้นที่รู้ว่ามันคืออะไรเจ้าค่ะ]

    “อืม เข้าใจแล้ว ขอบใจมากนะ”

    เสี่ยวไป่กลับเข้าไปในมิติ มันกวักมือเรียกคุณชายรองกลับเข้าไปด้วยกัน ให้ช่วยกันขนตะเกียงโซลาร์เซลล์ออกมาไว้ด้านนอก

    หลังจัดการแก้ปัญหาเรื่องแสงสว่างยามค่ำคืนได้แล้ว ฟางเหนียงก็ใช้ตะเกียบคีบเกี๊ยวห่มผ้ากัดไปหนึ่งคำ สัมผัสแรกคือหอมกลิ่นเครื่องเทศ แต่ไม่ได้ฉุนจนกลบรสชาติอื่น ยิ่งกินคู่กับน้ำจิ้มสามรสด้วยแล้ว ยิ่งอร่อยมากจนต้องยกนิ้วให้เลย

    “หืม เจ้าใหญ่ฝีมือพัฒนาขึ้นมากแล้วนะลูก อยากลองทำขายดูหรือไม่เล่า ลองทำใส่กล่องขายเป็นชุด เงินที่ได้ก็เก็บไว้สู่ขอเมียเข้าบ้าน แม่ไม่เรียกเอาส่วนแบ่งหรอก”

    เมื่อพูดถึงว่าที่ภรรยาในภายภาคหน้า เซี่ยเหิงก็หลบตามารดาที่พูดล้อเลียนเขา แอบภูมิใจที่มารดาชอบอาหารที่ตนทำ

    เด็กชายสนใจรับฟังคำแนะนำของมารดา ฟางเหนียงก็ให้ลูกไปทดลองขายดูก่อนสักยี่สิบกล่อง นางช่วยเขาเลือกกล่องไม้พร้อมตะเกียบ ยังมีถ้วยน้อยใส่น้ำจิ้มมีฝาปิดอีก

    จัดแจงทำขายเป็นกล่องอาหารเพิ่มมูลค่ามากขึ้น ส่วนอาหารก็ให้เปลี่ยนทุก ๆ สามวันหรือเปลี่ยนทุกวันได้ยิ่งดี ลูกค้าจะได้ไม่เบื่อ

    แต่ปัญหาคือจะหากล่องอาหารที่ว่ามาจากไหน คงต้องสั่งทำเฉพาะหน้าไปก่อน

    อันที่จริงฟางเหนียงซื้อกับระบบเลยก็ได้ แต่นางอยากสร้างงานสร้างอาชีพให้คนที่นี่ด้วย สุดท้ายจึงตัดสินใจซื้อกล่องตัวอย่างจากระบบมาสิบกว่าใบ เอาไว้ให้คนที่นางจะจ้างงานดูเป็นต้นแบบ

    สองแม่ลูกนั่งมองกล่องใส่อาหาร ที่วางอยู่บนโต๊ะตาไม่กะพริบ

    “พรุ่งนี้แม่จะลองเข้าไปถามคนในหมู่บ้านดู เผื่อมีคนสนใจรับทำ หากมีคนสนใจก็ดี แม่จะได้มีกล่องใส่อาหารกลับบ้านให้ลูกค้าด้วย”

    “ขอรับท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าไปขายอาหารกับท่านได้หรือไม่ขอรับ”

    เซี่ยเหิงจับแขนเสื้อมารดาแกว่งไปมา ฟางเหนียงมองลูกคนโตที่ตัวใหญ่เหมือนหมีป่าแต่มานั่งทำหน้าตาออดอ้อนใส่ นางหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วยื่นมือไปลูบหัวเขาอนุญาตให้ไปด้วยได้

    พรุ่งนี้ลูกค้าน่าจะเยอะ มีคนช่วยงานคงแบ่งเบาได้มาก

    “ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืดมาช่วยแม่เตรียมของ”

    “ขอรับ”

    เซี่ยเหิงและตงซิ่วได้อยู่เรือนแยก พวกเขาได้เรือนไปคนละหลัง เพราะอายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว อีกคนปีหน้าก็ถึงวัยแต่งงาน ส่วนอีกคนก็อีกสามปีถึงจะแต่งงานได้

    ข้าต้องสอนให้พวกเขารู้จักอยู่คนเดียวให้เป็น มีอาชีพมั่นคงหาเลี้ยงครอบครัวได้ มีแต่เจ้าสามกับเจ้าสี่ที่ยังติดหนึบขออยู่กับมารดาต่อ ไม่อยากแยกเรือน

    ฟางเหนียงนั่งกินเกี๊ยวจนอิ่ม พอว่างแล้วก็หยิบถังใส่เงินออกมานับทีละเหรียญไม่ให้ลูก ๆ เข้ามายุ่ง นางไม่ได้กลัวว่าพวกเขาจะขโมย แต่ทำอะไรคนเดียวมันมีสมาธิมากกว่า

    ลูกค้าเก้าในสิบส่วนจ่ายเป็นเหรียญอีแปะ นับจนนิ้วล็อกเพิ่งนับเสร็จไปหนึ่งถัง ยังเหลือให้นับอีกสองถังก็ไม่ย่อท้อ เพราะยิ่งนับเงินมุมปากก็ยิ่งปรากฏรอยยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

    “โอ้โห ขายวันแรกก็ได้มาเจ็ดพันห้าร้อยอีแปะเชียว ถึงว่าทำไมรู้สึกเหนื่อยจัง ก็เล่นสับไก่ไม่หยุดพักไปสองร้อยกว่าจานนี่เอง”

     “การขายอาหารสองเวลามีข้อดีคือ เตรียมของไม่เยอะมาก ทั้งยังได้เงินมหาศาลถึงเพียงนี้ พรุ่งนี้ลองเพิ่มปริมาณอาหารเป็นสามเท่าดีกว่า”

    นับเงินเสร็จก็ร้อยเหรียญอีแปะใส่เชือกเป็นพวง ๆ เวลาหยิบใช้จ่ายจะได้นับถนัดมือ แต่ทำคนเดียวก็ชักเมื่อยจึงเรียกลูก ๆ ให้มาช่วยกันร้อยเงินได้มาเจ็ดสิบห้าพวงไม่ขาดไม่เกิน

    “เจ้ารองเงินนี่เอาไปแลกเป็นเงินตำลึงทองได้หรือไม่?”

    “ไม่ได้ขอรับท่านแม่ หนทางยังอีกยาวไกลนักขอรับ”

    ตงซิ่วว่าแล้วก็อธิบายค่าเงินให้มารดาฟังว่า เหรียญหนึ่งพันอีแปะแลกได้หนึ่งตำลึงเงิน หนึ่งร้อยตำลึงเงินแลกได้ทองหนึ่งเม็ดถั่ว และทองสิบเม็ดถั่วแลกได้หนึ่งตำลึงทอง

    “ข้าเคยได้ยินท่านพ่อเล่าให้ฟัง พวกคนรวยจะไม่พกก้อนทองติดตัวขอรับ แต่จะพกทองเม็ดถั่วหรือไม่ก็ตั๋วเงินแทน”

    ฟางเหนียงนิ่งอึ้งดวงจิตหลุดออกจากร่างไปแล้ว วันนี้ที่ขายของได้เยอะก็นึกว่าจะได้เงินหนึ่งตำลึงทองเสียอีก ที่ไหนได้! มันแค่เศษเสี้ยวของหนึ่งตำลึงทองเท่านั้น

    ถ้าข้าขายข้าวจานละสิบห้าอีแปะแลกกับเงินหนึ่งตำลึงทอง ต้องขายข้าวถึงหกหมื่นหกพันกว่าจาน คิดง่าย ๆ คือต้องเก็บเงินให้ได้หนึ่งล้านอีแปะถึงจะได้จับเงินหนึ่งตำลึงทอง...

    ข้าขอตายแล้วไปเกิดในยุค 80 ยังดีกว่า ถ้ามันต้องเหนื่อยเช่นนี้

    เสี่ยวไป่ข้าไม่มีเงินใช้หนี้เจ้าแล้ว จนปัญญาแล้วจริง ๆ ฮื่อ...

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×