คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : โลกใหม่
ตอนที่ 3 โลกใหม่
มนตราตื่นขึ้นมาเพราะถูกคนปลุก หญิงสาวรู้สึกปวดหัวมาก จึงร้องเรียกให้เลขาคนสนิทไปตามหมอมาตามความเคยชิน ความทรงจำสุดท้ายที่มีอยู่คือตัวเธอเองไม่ทันระวังพลัดตกบันไดเสียได้
"ทาม...ตามหมอให้เราที เราปวดหัวหนักมาก"
แทนที่จะเป็นทามเลขาคนสนิท กลับเป็นเด็กชายตัวน้อยนั่งยอง ๆ ข้างพี่สาวที่นอนหลับอยู่บนพื้น เขาเห็นนางนอนนานแล้วไม่ตื่นเสียที แต่ยามนี้เขาปวดเบาต้องการไปปลดปล่อยโดยเร็ว ฟ้ามืดเช่นนี้พี่สาวเคยสั่งเอาไว้ว่า ห้ามออกไปไหนมาไหนคนเดียวต้องปลุกให้นางพาไป
"พี่ใหญ่เป็นอะไรไปหรือขอรับ ท่านเรียกหาใครหรือ นี่ข้าอาเยี่ยนเอง"
มนตราลืมตาขึ้นพึ่บ แล้วหันหน้ามองเด็กชายเนื้อตัวมอมแมมที่นั่งอยู่ข้างกัน สายตาเหลือบไปเห็นผนังไม้ที่แทบจะถล่มลงได้ทุกเมื่อด้านหลังเขา
อาเยี่ยนยกมือเปื้อนดินกุมแก้มทั้งสองข้างของพี่สาวเอาไว้ แล้วก้มหน้าเป่าเบา ๆ ตามที่นางเคยสอน
"หายเจ็บแล้ว..พี่ใหญ่เก่ง..อาเยี่ยน..อาเยี่ยนปวดฉี่"
มนตราตาค้างไปแล้ว สมองของเธอกำลังประเมินสถานการณ์ที่ตนกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้อย่างหนัก
เราควรจะนอนอยู่ในโรงพยาบาลสิ ทำไมเราถึงมานอนบนดินได้ล่ะ แล้วทามไปไหน...ทำไมถึงปล่อยเราไว้แบบนี้ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย!
อาเยี่ยนเห็นพี่สาวไม่สนใจก็ทนไม่ไหวแล้ว เขาวิ่งไปยืนอยู่มุมห้องแล้วถอดกางเกงปลดเบาออกมา มนตราทำได้เพียงกะพริบตามองเขาปริบ ๆ
"เด็กน้อยที่นี่ที่ไหนเหรอ"
อาเยี่ยนหันหน้ามาหาพี่สาว เขาวิ่งมานั่งบนตัวนางทั้งที่ยังไม่ใส่กางเกง อีกทั้งเนื้อตัวท่อนล่างยังเปื้อนฉี่ของเขาเต็มไปหมด
"พี่ใหญ่พาอาเยี่ยนมาเรือนร้าง คนใจร้ายไล่พวกเราออกจากบ้าน"
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว มนตรามองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดปกคลุมไปหมด หรือเป็นเพราะเธอกำลังจับไข้กันแน่ หญิงสาวพยายามคิดหาสาเหตุว่าทำไมตนถึงมาอยู่ที่นี่
"โอ๊ย!"
มนตรารู้สึกเหมือนถูกอะไรกัดที่มือ พลันรู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปทั้งร่างกาย ยิ่งขยับตัวร้องความเจ็บกลับเพิ่มทวีคูณมากยิ่งขึ้น
มนตราทำได้แค่อดทนร้องออกมาเพราะตอนนี้คงไม่มีใครช่วยได้ ทันใดนั้นพลันเกิดแสงสว่างวาบทั่วห้อง เป็นแสงที่ออกมาจากนิ้วของหญิงสาวที่มีปานดอกบัวกำลังบานฝังอยู่บนข้อมือขาวผ่อง
ความทรงจำของคนที่ไม่เคยพบหน้ากำลังแล่นเข้ามาในหัวของมนตรา ภาพที่ถูกทรมาน ภาพที่ถูกชาวบ้านรุมประณาม ภาพที่ถูกคนในเมืองกล่าวหาว่าเป็นขโมย ความทรงจำเหล่านี้ถาโถมเข้ามาในหัวของมนตรารวดเดียว
หญิงสาวยามนี้ทั้งมึนหัว ทั้งเจ็บปวด และอยากอาเจียนออกมา สุดท้ายนางก็ทนไม่ไหวหมดสติไปอีกครั้ง
อาเยี่ยนเห็นพี่สาวทำท่าแปลกประหลาด ก็คิดว่านางกำลังเล่นกับตน เด็กน้อยหัวเราะชอบใจพลางเงยหน้าหัวเราะปรบมืออย่างร่าเริง
"เอาอีก ๆ พี่ใหญ่ท่านทำหน้าตลก ๆ อีก"
เมื่อเห็นพี่สาวหลับไปแล้วไม่ยอมเล่นกับตนเองอีก เด็กชายตัวน้อยก็ยกมือปิดปากหาวออกมา เขาลงจากตัวพี่สาวแล้วหาที่นอนข้าง ๆ กันหลับตามไปด้วยอีกคน
.....
จิ๊บ ๆ ๆ
เสียงนกร้องดังขึ้นพร้อมกับแสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาภายในเรือนร้างแห่งนี้ มนตราลืมตาขึ้นมาอย่างงุนงง เธอกะพริบตาสองสามทีแล้วตั้งสตินึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อวาน
ตอนนี้เธอรู้ตัวแล้วว่าตนเองไม่ได้อยู่ในโลกปัจจุบัน หรือยุคที่มีแต่ความเจริญอีกต่อไป ทว่ากลับเกิดความผิดพลาดบางอย่างที่เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร ที่ทำให้เธอได้มาอยู่ในยุคโบราณที่แม้แต่ไฟแช็กจุดไฟยังไม่มี
"แล้วฉันจะอยู่รอดได้อย่างไรเล่า ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะเสียใจหรือเปล่าที่เราตาย ดีนะที่เขียนพินัยกรรมไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่อย่างนั้นยายน้องสาวตัวดีคงได้ฮุบไปหมดแน่"
ก่อนตายมนตราได้จัดเตรียมทนายมืออาชีพที่เก่งที่สุดในประเทศจีนมาจัดการดูแลมรดกให้ เป็นเรื่องธรรมดามากในแวดวงธุรกิจที่ต้องอยู่กับความเสี่ยง เธอได้เขียนพินัยกรรมไว้ว่า หากตนเองตายจะขอยกหุ้นบริษัทครึ่งหนึ่งให้แก่เพื่อนรักอย่างทามไท ส่วนหุ้นอีกครึ่งหนึ่งจะถูกขายทอดตลาด ให้เลขาคนสนิทเป็นคนจัดการนำเงินไปบริจาคให้กับมูลนิธิทั่วโลก
"อยากจะเห็นหน้าน้องสาวจริง ๆ หากรู้ว่าจะไม่ได้อะไรไปเลยจะทำหน้าอย่างไร..หึหึหึ..แค่คิดก็สนุกแล้ว"
จู่ ๆ หญิงสาวก็หัวเราะออกมา ทำให้อาเยี่ยนน้อยที่นอนซบอกพี่สาวสะดุ้งตื่น เขางัวเงียลุกขึ้นมานั่งขยี้ตา
"พี่ใหญ่เช้าแล้วหรือ"
มนตราสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเล็ก ๆ นั้น เธอลืมไปแล้วว่าร่างที่ตนมาอยู่นี้มีน้องชาย ตกใจได้เพียงชั่วครู่ก็พยายามปรับตัว เธอลุกขึ้นนั่งด้วยอีกคนทว่าทันทีที่ขยับตัวกลับรู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วร่างกาย
ความทรงจำสุดท้ายของร่างนี้ คือถูกแม่เลี้ยงใจร้ายทุบตีสินะ ยังมีพี่สาวลูกติดนางแม่เลี้ยงนั่นด้วยอีกคน
รอก่อนเถอะสาวน้อย พี่สาวคนนี้จะแก้แค้นให้เธอเอง ส่วนน้องชายของเธอพี่สาวคนนี้จะดูแลให้ดีเหมือนน้องแท้ ๆ เลย วางใจเถอะไปสบายได้แล้ว
วิ้ว...
เสียงลมพัดผ่านกายให้ความรู้สึกเย็นสบาย สายลมนั้นผ่านร่างของมนตราไปชวนให้รู้สึกขนลุก จนต้องยกมือกอดตัวเองแน่น
"เอ่อ..เธอคงจะมาขอบคุณฉันสินะ เรารับรู้แล้วแหละ ไปเถอะอย่ายึดติดอีกเลยฉันกลัวผีอะ เธอทำแบบนี้ฉันอาจจะช็อกตายจนกลับโลกเดิมก็ได้นะ"
อาเยี่ยนนั่งมองพี่สาวตาปริบ ๆ เขาเห็นนางคุยคนเดียวมาสักพักแล้ว
ไม่รู้ทำไมข้าถึงฟังที่พี่ใหญ่พูดไม่เข้าใจสักนิด..หรือข้าจะโง่เหมือนที่เด็ก ๆ ในหมู่บ้านพูดกันนะ
มนตราก้มหน้ามองเด็กชายตัวน้อย ตามความทรงจำเดิมปีนี้เขาน่าจะอายุเจ็ดแปดปีรึเปล่านะ แล้วทำไมยังตัวเล็กเหมือนเด็กสามขวบอยู่เลยล่ะ
"นี่เธอ..เอ๊ย..เจ้า..เธอ เออ เจ้าก็เจ้า กางเกงเธอ..เจ้าหายไปไหนอะ อ่า..หายไปไหนหรือ อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนเจ้านอนทั้งอย่างนี้"
เอาเถอะยัยตา..อยู่บ้านเขาแล้วต้องปรับตัวให้ได้สิ ตอนนี้เธอต้องลืมเรื่องเก่า ครอบครัวเก่า เพื่อนเก่าไปให้หมด
ตามความทรงจำเดิมร่างนี้มีชื่อว่าฉินฉิน เพราะฉะนั้นตอนนี้เราคือฉินฉินเด็กสาวกำพร้าอายุสิบสามปีที่ถูกผู้คนในหมู่บ้านรังเกียจ ไม่ใช่นักธุรกิจสาวมนตราอีกต่อไป
คอยดูเถอะฉัน เอ๊ย..ข้าจะร่ำรวยให้ดู! พวกปากหอยปากปูต้องสำลักน้ำลายตัวเองตายด้วยความอิจฉา
"มาหาฉัน เอ่อ..พี่ใหญ่สิ ฉัน..ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่นแถวนี้ดีไหม"
อาเยี่ยนยิ้มกว้างดวงตาสดใส แม้พี่สาวจะชอบพูดจาแปลก ๆ ก็ตาม แต่เขากลับรู้สึกว่าต่อไปนี้พี่สาวจะไม่ถูกตีอีกแล้ว จะไม่มีใครกล้าชี้หน้านินทาพวกเขาสองพี่น้องอีกแล้ว
เด็กชายคลานมาให้พี่สาวอุ้ม เขาเอาหน้าซุกกับอกไม้กระดานของนาง
มนตราในร่างฉินฉินอุ้มน้องชายลุกขึ้นยืน พลางเดินสำรวจรอบเรือนร้างแห่งนี้ที่มีแต่หญ้าและต้นไม้ขึ้นรกเต็มไปหมด มีเพียงทางเดินเล็ก ๆ เท่านั้น
ข้างเรือนร้างมีแม่น้ำสายเล็กไหลแยกมาจากแม่น้ำใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ถึงน้ำจะลึกสุดแค่หัวเข่าแต่ยังพอมีปลาน้อยหลงทางมาบ้างให้พอได้กิน
มนตราเคยฝันอยากจะมีบ้านพักตากอากาศอยู่กลางป่าติดริมน้ำมาตลอด ถึงชาติที่แล้วจะมีเงินเยอะแต่กลับไม่มีเวลาไปอยู่ จึงได้แต่พับแผนการนั้นไปก่อน ทว่าใครจะไปคาดคิดว่ายามนี้ตนจะได้มาอยู่บ้านกลางป่าจริง ๆ
ก่อนอื่นหญิงสาวอุ้มน้องชายมาอาบน้ำริมลำธาร เธอแก้ผ้าออกหมดไม่กลัวใครผ่านมาเห็น ไหน ๆ แถวนี้ก็คงไม่มีใครผ่านมาอยู่แล้ว อีกอย่างร่างที่เธออยู่ตอนนี้ไม่ต่างจากเด็กสิบขวบ อกแบนยิ่งกว่าไม้กระดาน เนื้อตัวก็เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นทั้งเก่าทั้งใหม่ ต่อให้มีบุรุษผ่านมาเห็นคงหมดอารมณ์เป็นแน่
มนตราขัดถูคราบขี้ไคลออกจนหมด ดูแล้วถึงแม้ร่างกายจะเต็มไปด้วยรอยบาดแผล แต่ผิวกายยังขาวเนียนไม่เหมือนคนทำงานหนักมาก่อน มีเพียงมือเท่านั้นที่แห้งกร้านจนดูไม่ได้
อาเยี่ยนถูกพี่สาวอาบน้ำขัดคราบไคลให้ตั้งแต่หัวจรดเท้า เด็กน้อยอารมณ์ดีชี้นิ้วไปยังฝูงปลาเบื้องล่าง
"พี่ใหญ่ปลาเหล่านี้บอกว่าหาทางกลับบ้านไม่ถูก ท่านช่วยนำทางมันกลับได้หรือไม่ขอรับ"
มนตรามองไปตามทางที่น้องชายชี้ ก็เห็นฝูงปลาอยู่จริง ๆ มีตัวใหญ่สองตัวคล้ายผู้นำฝูงและปลาตัวเล็ก ๆ อีกหลายสิบตัว
หญิงสาวหัวเราะให้น้องชายที่ช่างมีจินตนาการล้ำเลิศ เขาทำราวกับฟังที่ปลามันคุยกันรู้เรื่อง แต่เธอก็ยอมทำตัวเป็นเด็กไม่รู้ความชวนน้องชายคุยเรื่องฝูงปลาต่อ
"อย่างนั้นหรือ แล้วเธอ..เจ้ารู้ได้อย่างไรเล่าว่ามันหาทางกลับไม่ถูก ไม่แน่ว่ามันอาจจะอยากเป็นอาหารเช้าให้เราสองคนก็ได้นะ"
อาเยี่ยนยกมือตีน้ำทันทีที่ได้ยินว่าพี่สาวจะจับครอบครัวปลากิน
"ไม่ให้กิน..ข้าไม่ให้ท่านกินพวกมัน"
มนตราถูกน้ำที่น้องชายตีกระเซ็นเข้าตา จนต้องใช้มือควานหาแล้วจับมือน้องชายเอาไว้ให้เขาอยู่นิ่ง ๆ
"ได้ ๆ ฉัน..พี่ใหญ่ไม่กินปลาแล้ว เจ้าพอใจหรือยัง"
อาเยี่ยนเงยหน้ามองพี่สาวอย่างคาดหวัง
"จริงหรือขอรับ ท่านจะไม่กินพวกมันจริง ๆ นะ"
"อืม..ไม่กินแล้ว"
ปากบอกแบบนั้นแต่รอให้น้องชายเผลอก่อนเถอะ พวกแกถึงฆาตแน่
อาเยี่ยนน้อยหัวเราะดีใจที่เจ้าปลาน้อยรอดชีวิตแล้ว พี่ใหญ่ใจดีไม่กินปลา พวกมันน่าสงสารจะตายหลงทางก็ลำบากแล้วยังจะถูกจับกินอีก...
เด็กชายดึงมือออกจากการเกาะกุมของพี่สาว ก่อนจะโบกมือไล่ฝูงปลาให้หลบไป
"ทางนั้นมีแม่น้ำใหญ่..พวกเจ้ารีบไปเร็ว"
ฝูงปลาพากันว่ายไปตามน้ำทันทีหลังจากเด็กชายพูดจบ มนตราไม่สนใจอีกนึกว่าเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น จึงพาน้องชายกลับขึ้นฝั่งหยิบเสื้อผ้าที่ซักแล้วตากไว้บนขอนไม้มาใส่
แม้ตอนนี้จะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศช่วงเช้าคล้อยเที่ยงเช่นนี้กลับอบอุ่นมาก ส่งผลให้เสื้อผ้าที่ตากแห้งเร็วทันใช้ตามไปด้วย
ความคิดเห็น