คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : ลูกค้าแน่นร้าน
บทที่ 27 ลูกค้าแน่นร้าน
ลูกค้ากลุ่มแรกมาถึงก็สั่งเหมือนถูกผีหิวโหยสิงร่าง โจ๊กสามถ้วยแรกใส่ไข่พิเศษสองฟอง พวกเขายังกินไม่อิ่มซ้ำยังสั่งเพิ่มอีกสองถ้วย
ฟางเหนียงมองปริมาณอาหารที่ตักให้กับลูกค้า ก็เห็นว่ามันไม่น้อยสักนิด สงสัยอยู่ในวัยกำลังโตถึงได้กินเยอะเช่นนี้
“พวกเจ้าไม่รอกินปาท่องโก๋ของข้าก่อนหรือ หากกินโจ๊กอีกระวังจะอิ่มเอานะ นี่ ๆ ข้าทอดเสร็จพอดี”
“พวกข้ากินไหวขอรับท่านป้า”
เรียกพี่สาวไม่ได้รึอย่างไรกันเจ้าเด็กพวกนี้นี่!
ฟางเหนียงฮึดฮัดเล็กน้อย แต่ก็ยอมทำตามที่ลูกค้าสั่ง แอบเสียใจอยู่เหมือนกันที่ทำให้บุตรชายมีชีวิตอย่างเด็กพวกนี้ไม่ได้
ดูสิพวกเขาอยากกินอะไรก็จ่ายเงินซื้อโดยไม่ต้องคิดเลยสักนิด
กลุ่มเด็กหนุ่มมีเงินยังช่วยเรียกลูกค้าเข้าร้านได้อีกหลายคน แต่ร้านของฟางเหนียงนั้นมีแค่สองโต๊ะ จึงรับลูกค้าได้ประมาณสิบคนเท่านั้น
“พี่ชายร้านของข้าไม่มีที่นั่งเหลือแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไรข้ายืนกินได้”
ชาวบ้านคนหนึ่งแวะเข้าเมืองมาทำธุระที่อำเภอ ระหว่างทางผ่านร้านของฟางเหนียงดันได้กลิ่นหอม ๆ ของโจ๊ก ทำให้เขาต้องหยุดเกวียนลงมาซื้อ
แม้ว่าอาหารถ้วยละสิบอีแปะจะถือว่าเกินตัวเขาไม่น้อย ทว่าวันนี้เขามาทำเรื่องขายที่ดินให้กับคนในหมู่บ้าน เพื่อเตรียมย้ายถิ่นฐานไปอยู่เมืองอื่น จึงได้เงินค่าที่มาไม่น้อย คราวนี้ถึงได้ไม่ปฏิเสธเสียงเรียกร้องในหัว รีบควักเงินจ่ายให้กับฟางเหนียงทันที
“ขออภัยในความไม่สะดวกเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะให้ปาท่องโก๋ท่านเพิ่มสองตัวนะเจ้าคะ กินกับโจ๊กก็อร่อยไปอีกแบบ”
ฟางเหนียงใส่ปาท่องโก๋ในถ้วยโจ๊กส่งให้ลูกค้าลองชิมดู เขามองดูก็นึกว่าเป็นแป้งทอดธรรมดา คิดในใจว่าทำไมต้องตั้งชื่อให้ฟังดูยุ่งยากด้วย ทว่าพอได้ลองกินเท่านั้นแหละ ดันติดใจสั่งกลับบ้านไปให้ลูกเมียได้กินด้วย
“แม่นางข้าเอาโจ๊กสองชุด โอ้ ขอปาท่องโก๋ที่เจ้าว่าเพิ่มอีกสองชุดกลับบ้านด้วย”
“ได้เจ้าค่ะ”
แม่ค้าหน้ากลมตักโจ๊กใส่กระบอกไม้ไผ่ น้ำโกโก้ก็ตักใส่กระบอกไม้ไผ่เช่นเดียวกัน ส่วนปาท่องโก๋จับใส่ถุงกระดาษให้ถือกลับบ้านได้สะดวก
เมื่อคืนนางตื่นขึ้นมากลางดึก ลุกขึ้นมานั่งทำกระบอกไม้ไผ่เผื่อลูกค้าสั่งกลับบ้าน ทั้งยังทำเชือกคล้องกระบอกให้ถือง่าย ๆ อีกด้วย ถือเป็นบริการพิเศษไม่คิดค่าห่อเพิ่ม
“ของพี่ชายโจ๊กหนึ่งถ้วย กลับบ้านสองแล้วก็ชุดอาหารว่างอีกสอง ทั้งหมดห้าสิบอีแปะเจ้าค่ะ”
ชายชาวบ้านจ่ายเงินให้อย่างว่าง่าย เขาชื่นชมที่ฟางเหนียงให้อาหารเยอะไม่หวงของทั้งยังขายถูกอีกด้วย
โจ๊กของนางอัดแน่นไปด้วยเมล็ดข้าวเต็มถ้วย นางใส่หมูและไส้หมูให้ด้วย หากซื้อวัตถุดิบไปทำกินเอง ก็ยังได้ไม่คุ้มเท่าที่ฟางเหนียงให้เลย
“พวกเจ้ารีบกินเถอะ คนอื่นจะได้ใช้โต๊ะต่อ”
เด็กหนุ่มใจป้ำบอกกับสหายให้รีบกิน หลังจากเห็นว่าลูกค้าเริ่มเข้าร้านมากขึ้นแล้ว คนอื่น ๆ ต้องยืนกิน มีแต่พวกเขาที่ได้นั่ง ก็รู้สึกเกรงใจขึ้นมา ทว่าก็ยังอยากกินต่ออีกเหมือนกัน
“ท่านป้าตอนเที่ยงท่านยังขายอยู่หรือไม่ขอรับ”
“ไม่ขายแล้ว หมดแล้วหมดเลยไม่มีเพิ่ม โจ๊กและชุดอาหารว่างจะขายแค่ช่วงเช้าเท่านั้น ส่วนช่วงบ่ายจะมีอาหารอย่างอื่นมาขายแทน”
“แล้วท่านขายอะไรหรือ ข้าจะได้กลับมาอุดหนุนอีก”
“วันนี้ไม่ได้ขาย จะเริ่มขายบ่ายวันพรุ่งนี้ มาอุดหนุนข้าด้วยนะ อาหารแต่ละวันของข้าไม่ซ้ำกันแน่นอน พรุ่งนี้เจ้าก็มารอลุ้นเอา ข้าขายสิบอีแปะเหมือนเดิม”
เด็กชายพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ไม่วายสั่งโจ๊กและชุดอาหารว่างกลับบ้านอีกยี่สิบชุด สหายของเขาเองก็ไม่น้อยหน้า ขอสั่งกลับบ้านด้วยเช่นกัน
ฟางเหนียงอยากตามไปดูนักว่า ครอบครัวเด็กหนุ่มเหล่านี้ใหญ่มากนักหรือ ถึงได้เหมาอาหารหมดร้านเช่นนี้ แม้แต่โกโก้แก้วสุดท้ายที่นางตั้งใจเก็บไว้กินเอง ยังถูกพวกเขาขอซื้อจนถึงหยดสุดท้าย
“นังหนูขายหมดแล้ว เจ้าเก่งจริง ๆ นี่ยังไม่ทันถึงเที่ยงวัน อาหารของเจ้าก็ขายหมดก่อนใครพวก คนที่ขายมานานมองตาขวางแล้วนั่น”
หญิงชราถลึงตาใส่แม่ค้าแผงลอย ที่ขายอาหารเหมือนกับฟางเหนียง คนผู้นั้นขายซาลาเปาที่ใส่ไส้น้อย จนสูดลมหายใจเข้าปอดไส้ก็อันตรธานหายไปแล้ว
นางลอบมองร้านของฟางเหนียงมาสักพักแล้ว ก็รู้สึกอิจฉาที่ร้านของอีกฝ่ายมีกลุ่มคุณชายเงินหนาเข้าร้าน ผิดกับตนที่เพิ่งขายซาลาเปาได้แค่ไม่กี่ลูกเท่านั้น
“ท่านยายตั้งแต่ตอนที่เดินหาทำเลทอง ข้าเจอร้านขายซาลาเปาไปแล้วสิบกว่าร้าน ขายของซ้ำกันเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ของจะเหลือ”
“เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับว่า รสมือใครทำอะไรอร่อยที่สุดน่ะสิ”
ฟางเหนียงเก็บร้านเตรียมกลับจวน คิด ๆ ไปแล้วก็แอบเสียดายเวลา จึงนึกอยากทำอาหารขายรอบบ่ายด้วย
ตอนนี้น่าจะยังทัน
นางอยากขายข้าวไก่ชุบแป้งทอด มันทำไม่ยากซ้ำยังขายง่ายอีก น่าจะดีหากนำมากินคู่กับพริกน้ำปลาหรือไม่ก็ซอสมะเขือเทศ อีกอย่างโจ๊กก็ขายหมดแล้ว มื้อเที่ยงของสองผู้เฒ่าข้าคงต้องทำใหม่
“ท่านยายข้าขอใช้พื้นที่ในตรอกตั้งโต๊ะเพิ่มได้หรือไม่เจ้าคะ เพิ่มอีกสักสามชุดคงนั่งได้ประมาณสิบห้าคน จะรบกวนท่านมากไปหรือไม่”
“เอาสิ ไม่รบกวนข้าหรอก”
ไม่ว่าฟางเหนียงจะขออะไร หญิงชราก็พร้อมสนับสนุนเสมอ
สักพักเจ้าของร่างอุ้ยอ้ายจึงขอตัวกลับจวนก่อน ฝากรถเข็นไว้กับสองตายาย เพื่อกลับไปเตรียมหมักไก่ขาย
สตรีร่างใหญ่สาวเท้าเดินกลับจวนด้วยอาการเหนื่อยหอบ นางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหากมีรถม้า หรือเกวียนเทียมวัวไว้ใช้เองคงจะดีไม่น้อย
“เสี่ยวไป่เจ้าขายรถม้าเท่าไหร่หรือ”
[รถม้าทั่วไปราคาหนึ่งร้อยตำลึงทองเจ้าค่ะ มีม้าหนึ่งตัวและรถม้าอีกหนึ่งคัน ไม่ได้ตกแต่งเพิ่มเติม แต่สร้างจากไม้เนื้อดี แข็งแรงทนทานใช้ได้นานยันนายหญิงมีเหลนให้อุ้มเลยเจ้าค่ะ]
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาออกมาเลย หักเงินจากที่ข้ากู้ยืมเจ้าไว้แล้วกัน”
[รับทราบเจ้าค่ะนายหญิง]
แม้นางจะอยู่ในเขตพื้นที่จวนแล้ว แต่ก็ยังหันมองซ้ายมองขวาอย่างมีพิรุธ แม้ว่าพื้นที่แถวนี้จะไม่มีใครกล้ามาเพราะข่าวลือว่ามีผีดุก็ตาม
รถม้าคันใหญ่โผล่ออกมาในทันควัน เจ้าม้ายกขาหน้าร้องด้วยความดีใจ ที่ได้ลงมาใช้ชีวิตยังโลกมนุษย์เสียที หลังจากได้ส่งใบสมัครกับท่านเทพไปเมื่อปีที่แล้ว
ผ่านไปไม่นานมันก็หยุดร้อง เมื่อเห็นโฉมหน้าเจ้านายคนใหม่ เจ้าม้าแสนรู้ก็รีบวิ่งมาหานางใช้หน้าแหลม ๆ ดันศีรษะทุยเบา ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ พอแล้ว เจ้าแข็งแรงมากกว่าที่คิดเสียอีก ตัวใหญ่องอาจยิ่งนัก จากนี้มาอยู่ด้วยกันกับข้านะ ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าอย่างดี”
เจ้าม้าร้องตอบรับ ก่อนจะหันหลังให้ฟางเหนียงขึ้นไปนั่งบนรถม้า เป็นการบอกว่ามันจะพาเจ้านายกลับที่พักเอง
เจ้านี่จะฉลาดเกินม้าไปแล้ว!
[ข้าลืมบอกนายหญิงไป เจ้านี่เคยเป็นม้าของท่านเทพตนหนึ่งที่รักอิสระ แต่เขาหนีเที่ยวมาหลายหมื่นปีแล้วไม่ยอมกลับตำหนักเสียที เจ้าม้าขี้เหงาจึงขอลงมารับใช้มนุษย์ระหว่างรอเจ้านายตัวจริงกลับมาเจ้าค่ะ]
[มันเข้าใจภาษามนุษย์ และวิ่งเองได้โดยไม่ต้องมีคนบังคับเจ้าค่ะ หากนายหญิงต้องการเข้าเมือง จะใช้เวลาเดินทางเพียงสี่ชั่วยามเท่านั้น]
โอ้~ โชคเข้าข้างข้าแล้ว
ได้ของดีมาในราคาหนึ่งร้อยตำลึงทองเองหรือนี่!
ความคิดเห็น