คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : ไม่จริง!!
บทที่ 23 ไม่จริง!!
ฟางเหนียงกลับมาหาลูก ๆ ที่เรือนหลัก อธิบายเรื่องราวคร่าว ๆ ให้พวกเขาฟัง จนได้ข้อสรุปว่าเย็นวันนี้หลังดวงอาทิตย์ตกดิน นางจะพาพวกเขาไปรู้จักกับบรรดาท่านป้า ท่านลุงผี เพราะคงได้อยู่กันไปอีกนาน
“ท่านแม่พวกเขาจะไม่ทำร้ายเราอีกหรือ?”
ตงซิ่วถามเพราะเป็นห่วงครอบครัว เขาไม่อยากเชื่อว่าวิญญาณที่พยายามเข้ามาทำร้ายน้องชายของเขานั้น จะยอมอยู่อย่างเป็นมิตรตามที่มารดาบอก
ฟางเหนียงลูบหัวบุตรชายให้เขาวางใจ ยังคิดอยู่ว่าจะหาของลงอาคมให้ลูก ๆ พกติดตัวดีหรือไม่?
เอาเป็นควายธนูให้พกคนละตัวดีหรือหม้อดินถ่วงผีดี
“คงไม่แล้ว ดวงวิญญาณร้ายแม่ไล่ออกจากบ้านเราไปหมดแล้ว เหลือแต่ผีที่จิตใจดี พวกเราต้องช่วยให้พวกเขาไปเกิดใหม่”
“ฟังแม่นะการช่วยเหลือคนหรือผี หากคิดดีชีวิตของเราก็จะดีตาม ไม่แน่เกิดชาติหน้าพวกเจ้าอาจจะได้ไปเกิดเป็นลูกคนมีเงินก็ได้นะ”
“หากที่โลกนั้นไม่มีท่านแม่กับท่านพ่อ ข้าก็ไม่อยากไป”
เซี่ยเหิงกลายเป็นลูกแหง่ของฟางเหนียงไปเสียแล้ว เขาต้องการความรักจากมารดามาตลอด พอได้รับความรักจากนางจริง ๆ ก็รู้สึกอบอุ่น ต้องการติดหนึบนางไม่อยากจากไปไหน
“เอาละ พวกเราไปขายของกันดีกว่านะ เจ้าใหญ่เจ้ารองอยู่ทำความสะอาดบ้านต่อเถอะ ให้น้องไปกับแม่จะได้ไม่รบกวนพวกเจ้า”
“อ้อ ถ้ามีผีโผล่มาทักทายอย่าตกใจไปเล่า ที่อยู่ของพวกเขาคือป่าไผ่หลังห้องครัว แม่ว่าถ้ายังไม่อยากเจอก็ให้เลี่ยงไปทางนั้นก่อน”
“แต่จะมีผีอยู่ตนหนึ่งที่ไม่สนกลางวันกลางคืน เดินเล่นเป็นจวนของตัวเอง ก็จงเมินไปเสีย ผีตัวนั้นมันเรียกร้องความสนใจเก่ง”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
ฟางเหนียงยกกำปั้นให้กำลังใจลูก ๆ ทั้งสอง พวกเขาต้องปรับตัวอีกมาก แต่นางกำชับเหล่าผีไปแล้วว่า ห้ามทำให้บุตรชายสุดที่รักของข้าตกใจกลัวจนเป็นลมเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอดบุญ!
วิธีขู่ให้ผีกลัวก็คือบอกไปเลยว่าจะไม่ทำบุญให้ ถ้ามาทำให้กลัวหรือรู้สึกไม่ดี แต่หากผีตนไหนไม่อยากได้บุญก็วิ่งหนีเถอะ จะยืนให้ผีถอดหัวโยนใส่หรือ!
หญิงสาวปล่อยให้ลูก ๆ ทำงานกันไปก่อน ส่วนตัวนางกำลังเจรจาต่อรองขอรถเข็นกับเสี่ยวไป่
การค้าครั้งนี้ขอแค่ไม่ต้องเสียเงินก็เป็นพอ ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินจ่าย แต่ตอนนี้อะไรที่ประหยัดได้ก็ควรประหยัด รถเข็นขายของที่นางต้องการ ก็เป็นรถเข็นไม้ไม่ได้ใช้วัสดุหายากอะไร จึงขอลองเสี่ยงเอ่ยขอกับเสี่ยวไป่ดู
เสือขาวตัวน้อยนอนเลียอุ้งเท้าอยู่ในมิติ สื่อสารกับเจ้านายผ่านจิตว่าเรื่องนี้สามารถให้ได้ แต่นางต้องแจกขนมให้กับเด็กขอทานได้กินด้วย
ฟางเหนียงยินดีอย่างยิ่ง เพราะขนมไข่เต่าคราวนี้มีอยู่หลายลูก แจกให้กับเด็ก ๆ หนึ่งร้อยลูกก็ยังมองเห็นกำไรอยู่ดี
“ได้สิ ข้ารับปาก”
หลังจากตกลงกันได้แล้ว รถเข็นขายของขนาดใหญ่ก็โผล่มาตั้งอยู่กลางลานจวน ทำเอาผีนายบำเรอหนุ่มสะดุ้งตกใจยกมือทาบอก
เขาเห็นฟางเหนียงยืนพูดคนเดียวตั้งนาน จนคิดว่านางเป็นบ้า กำลังนึกลังเลว่าจะเดินเข้ามาทักดีหรือไม่ แต่ยังไม่ทันถึงตัวคนก็มีรถเข็นรูปร่างแปลกประหลาดโผล่มาตั้งขวางทางเสียก่อน
“มันคืออะไร!?”
“รถเข็นที่ใช้ขายของน่ะสิ”
ฟางเหนียงไม่สนใจผีปากเสีย นางเดินสำรวจรอบรถเข็นอย่างชอบใจ มันเหมือนรถเข็นขายก๋วยเตี๋ยวคุณชายแปดเหลี่ยม มีพื้นที่ให้เก็บของด้านล่าง มียันถังน้ำแข็งที่มีน้ำแข็งอยู่ด้านในให้พร้อม
ที่ดีมาก ๆ เลยก็คือน้ำแข็งไม่มีวันละลาย หากจะล้างทำความสะอาดก็แค่เทน้ำเข้าไป ถอดจุกข้างถังระบายน้ำออกก็เป็นอันเสร็จสิ้น
ด้านบนรถเข็นมีรูไว้สำหรับตั้งเตา ใช้สำหรับอุ่นหรือทำอาหาร
แหม เสี่ยวไป่ให้อุปกรณ์มาครบครันเลยทีเดียว
“ใช้ได้ ๆ เช่นนั้นข้าไปขายของก่อนนะ ฝากเจ้าดูแลลูกข้าด้วย”
ลับหลังฟางเหนียงเดินลับไป ผีนายบำเรอหนุ่มก็แอบยิ้มชั่วร้ายที่มุมปาก เขาตั้งใจจะแกล้งบุตรชายของสตรีตัวเล็ก ๆ
ไม่สิ ตัวนางไม่เล็กสักนิด นางอวบอ้วนยิ่งกว่าพ่อครัวเสียอีก
ทว่าการกระทำชั่วร้ายนี้จะสำเร็จหรือไม่ ยามที่ฟางเหนียงกลับมาจากขายของคงจะรู้ผลเอง
คำว่าอ้วน ด่าเบา ๆ ก็เจ็บ!
สตรีร่างใหญ่จับบุตรชายทั้งสองคนขึ้นไปนั่งบนรถเข็น นางเอาของหนัก ๆ ไปเก็บไว้ในมิติหมดแล้ว ให้เหลือเพียงรถเข็นเปล่า ๆ ที่ต่อให้บรรทุกของจนล้นอย่างไรก็ไม่หนักอยู่ดี เพราะว่านี่ไม่ใช่รถเข็นธรรมดาน่ะสิ
มันมีจิตนึกคิดเป็นของตัวเอง หากไม่ชอบใครหรือมีโจรมาขโมย รถเข็นมันก็จะทำตัวให้หนัก ต่อให้เอาช้างมาลากก็ไม่เขยื้อน หากเจ้านายอยากควบคุมอุณหภูมิไฟ มันก็สามารถควบคุมให้ได้
ระหว่างทางไปขายของ จุดที่ฟางเหนียงเล็งไว้ต้องผ่านหมู่บ้านก่อน ชาวบ้านหลายคนเดินมาทักทาย ฟางเหนียงก็มีน้ำใจทอดไข่เต่าแจกพวกเขาไปคนละหนึ่งถุง
ในห่อกระดาษมีไข่เต่าทั้งหมดสิบลูก นางตั้งใจขายอยู่ที่สามอีแปะ เน้นขายหมดไม่เน้นกำไรนัก ราคาสามอีแปะหากขายจริง ๆ เพียงแค่ต้นทุนกระดาษก็หมดแล้ว
แต่ครั้งนี้ของที่ใช้ทำขนมขายเอามาจากเสี่ยวไป่ทั้งหมด ไม่มีค่าใช้จ่ายหรือต้นทุน ฟางเหนียงจึงไม่คิดมากกับเรื่องนี้ ตั้งเป้าหมายเพียงว่าการค้าขายครั้งแรก ขอแค่ลูกค้ารู้จักก็พอแล้ว
“นังหนูต้องใช้น้ำมันมากเช่นนี้เชียวหรือ เจ้าดูสิในกระทะมีน้ำมันมากมาย พอให้ข้าใช้ตั้งแต่สาวยันลงหลุมเชียวนะ”
หญิงชราคนหนึ่งชี้ให้สหายที่รอรับขนมอยู่ ดูน้ำมันที่ฟางเหนียงใช้ทอดขนม บางคนถึงขั้นคิดว่าต้องกลับบ้านไปรีดน้ำมันออกจากขนมเก็บไว้ใช้ด้วยซ้ำ
ฟางเหนียงเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม ซ้ำยังแอบขบขันกับสีหน้าเสียดายแทนของชาวบ้าน มันช่างเหมือนกับเจ้าใหญ่ที่หน้าเสียทุกครั้ง เมื่อเห็นมารดาใช้น้ำมันทำอาหาร
“มารับขนมไปกินได้นะเจ้าคะ ข้าแจกคนละหนึ่งห่อไม่เสียเงิน แต่ถ้าจะกรุณาหาภาชนะมาใส่ขนมได้ก็จะดีมาก ข้าจะได้หยุดใช้ถุงกระดาษเสียที”
“รสชาติเป็นอย่างไรถูกปากหรือไม่ ดีไม่ดีอย่างไรขอให้บอกข้านะเจ้าคะ เด็ก ๆ ต่อแถวทางด้านนี้นะ”
ฟางเหนียงชี้นิ้วให้เด็ก ๆ ต่อแถวตรงถังน้ำแข็ง นางไม่อยากให้พวกเขายืนอยู่ฝั่งกระทะน้ำมันร้อน ๆ กลัวจะเป็นอันตรายกับพวกเขา
ซีซวนและตงหยางน้อยคอยกางถุงกระดาษช่วยมารดา สองคนนี้ขี้อายนักจึงไม่กล้าทักทายเพื่อนใหม่ก่อน
“สองคนนี้คือลูกป้าเอง จวนของป้าอยู่ท้ายหมู่บ้าน ผ่านป่าเข้าไปตรงนู้น หากพวกเจ้าไม่รังเกียจก็ช่วยเล่นกับพวกเขาทีนะ แต่อย่าเข้าไปทางนั้นคนเดียวเชียว ต้องให้ผู้ใหญ่พาไปมันอันตราย”
เด็ก ๆ ในหมู่บ้านหันมองหน้ากัน ไม่กล้าพยักหน้ารับปาก พวกเขารู้มาตั้งแต่เกิดว่าที่ตรงนั้นมีผีน่ากลัวอยู่
“ท่านป้า ข้าไม่กล้าชวนลูกของท่านเล่นด้วยหรอกขอรับ ให้พวกเขาออกมาเล่นกับพวกข้าแทนได้หรือไม่?”
“ได้สิ เจ้าช่วยเล่นกับพวกเขาด้วยนะ นี่ขนมข้าให้คนละห่อ”
ฟางเหนียงตักขนมที่ทอดเสร็จแล้วชุดแรกยื่นส่งให้เด็ก ๆ คนละห่อ รวมถึงบุตรชายของตนด้วย นางไล่ให้พวกเขาไปเล่นกับเพื่อน ๆ งานแค่นี้ทำคนเดียวได้สบาย ๆ อยู่แล้ว
“แม่นางเจ้าจะพาลูกไปขายของด้วยหรือ?”
ระหว่างที่กำลังยืนทอดขนม ก็มีสตรีวัยกลางคนอายุไม่ห่างจากฟางเหนียงเท่าไหร่นัก เดินเข้ามาทักทายพร้อมกับสามีของนาง
“เจ้าค่ะ หากทิ้งพวกเขาไว้ที่จวนข้ากลัวว่าพวกเขาจะรบกวนพี่ ๆ”
“แล้วเจ้าจะไปขายที่ไหน?”
“แถวประตูทางเข้าเมืองเจ้าค่ะ ตรงนั้นคนเยอะที่สุดแล้ว เมืองหางโจวนี้คนไม่คึกคักอย่างที่ข้าคิดไว้เลยเจ้าค่ะ เจริญแค่บางจุดเท่านั้น ส่วนมุมอับของเมืองก็มีแต่ชาวบ้านยากจนอย่างพวกเราอาศัยอยู่”
สามีของสตรีที่มาทักทายฟางเหนียง รู้สึกเหมือนว่านางจะเข้าใจอะไรผิดไปบางอย่าง
“แม่นางเจ้าคิดว่าที่นี่คือเมืองหางโจวหรือ?”
ฟางเหนียงทำหน้างุนงงใส่คู่สามีภรรยา
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ บ้านของข้าอยู่หมู่บ้านกลางป่า เพิ่งจะได้เข้าเมืองวันนี้วันแรก”
“แม่นางเข้าใจผิดแล้ว ที่แห่งนี้ไม่ใช่เมืองหลัก แต่เป็นเพียงอำเภอเล็ก ๆ ที่เคยรุ่งเรืองก็เท่านั้น ที่แห่งนี้คืออำเภอลี่สุ่ย ส่วนเมืองหลักอย่างเมืองหางโจวต้องเดินทางต่อไปอีกสามวัน”
เปรี้ยง!
จู่ ๆ ก็เหมือนมีฟ้าผ่าลงมากลางใจ ฟางเหนียงคิดว่าที่ดินที่ตนซื้อมาในราคาถูกอยู่ในตัวเมืองหลักแล้วเสียอีก แต่ที่ไหนได้มันเป็นแค่อำเภอเล็ก ๆ ที่กันดารที่สุดในทั้งหมดสิบเอ็ดอำเภอเท่านั้น...
นี่ข้าหลงดีใจเก้อหรือนี่!
ความคิดเห็น