ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สาวน้อยผู้มั่งคั่ง (จบแล้ว) มี E-BOOK

    ลำดับตอนที่ #20 : ลูกถีบ

    • อัปเดตล่าสุด 24 ธ.ค. 66


    ตอนที่ 20 ลูกถีบ

    มนตราเข้าเมืองพร้อมกับบิดาบุญธรรม แต่หูต้าลู่ไม่ได้มาด้วยเพราะต้องดูแลอาเยี่ยนน้อยที่กินอิ่มแล้วนอนหลับไปก่อนใครพวก

    รถม้าที่เจ้าเมืองยกให้หญิงสาวใช้ เธอตั้งใจจะขอซื้อต่อเขา เพราะหากในอนาคตข้างหน้าเธอเก็บเงินได้มากพอ ก็ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร ไม่ว่าจะสนิทกันแค่ไหนคำว่าบุญคุณมักจะนำพาความเจ็บปวดมาให้เสมอ

    หูอี้เทียนเห็นบุตรสาวเอาแต่นั่งจ้องมองต้นไม้ข้างหน้า เขานึกว่าเธอกำลังกังวลเกี่ยวกับการค้าครั้งแรก

    "ฉินฉินเจ้าคิดเรื่องอะไรอยู่หรือ"

    หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองบิดา ก็เห็นสายตาอบอุ่นที่เขาส่งมาให้ เพียงเท่านั้นก็รู้สึกตื้นตันใจขึ้นมา

    นานมากแล้วที่เธอไม่ได้รับสายตาเช่นนี้จากครอบครัว

    "ท่านพ่อ ลูกแค่คิดว่าจะซื้อรถม้าคันนี้ต่อจากท่านเจ้าเมือง แต่ลูกไม่ทราบว่ามูลค่าของมันจะสูงมากเพียงใด"

    "เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องนี้ให้พ่อจัดการเอง เจ้าเพียงคิดเกี่ยวกับเรื่องการค้าของเจ้าให้ดีก็พอ เปิดร้านขายวันแรกย่อมมีอุปสรรค อีกทั้งยังต้องคิดวางแผนให้ดีว่าเจ้าจะทำอย่างไรให้คนหันมาสนใจอาหารของเจ้า"

    "ท่านพ่อลูกคิดเอาไว้แล้ว หากลูกมีเงินเก็บเพิ่มอีกสักนิด ลูกอยากจะปรับปรุงร้านของท่านพ่อใหม่ ท่านจะอนุญาตหรือไม่เจ้าคะ ลูกจะขออาสาเป็นฝ่ายจ่ายค่าเช่าร้านให้ท่านทุกเดือนเอง"

    อี้เทียนฟังแล้วขัดใจนัก เขารีบตอบกลับไปว่าไม่ยอมรับเงินจากบุตรสาวบุญธรรมผู้นี้ จะให้เขาเก็บเงินกับบุตรสาวตนได้อย่างไร นางเป็นคนเข้ามาเติมเต็มครอบครัวเขาให้หลุดพ้นจากความมืดมิด

    เป็นเขาเองที่ต้องตอบแทนดูแลนางให้ดี

    "แม่นางพวกเราใกล้จะถึงตัวเมืองแล้ว"

    รถม้าที่มีตราสัญลักษณ์จวนเจ้าเมืองหลิงหลงไม่จำเป็นต้องต่อแถวจ่ายค่าผ่านทาง สามารถผ่านเข้าไปได้ทันที

    มนตราเปิดผ้าม่านหน้าต่างออก แล้วสังเกตบรรยากาศโดยรอบ ดูท่าวันนี้มีคนรอเข้าเมืองเยอะกว่าปรกติ มีเรื่องอะไรหรือไม่นะ

    "ท่านช่วยจอดตรงป้อมทหารให้ข้าที ข้าจะเอาของให้พวกเขา"

    "ได้สิ"

    ทหารหญิงรับคำสั่งแล้วบังคับรถม้าไปจอดบริเวณข้างประตูเมือง หัวหน้าทหารกองรักษาการณ์ทางเข้าเมือง เมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ที่ติดอยู่หน้ารถม้ารีบวิ่งมาต้อนรับด้วยตนเอง

    เป็นร่างเล็ก ๆ ของฉินฉินที่เดินลงมาจากรถม้าหยิบตะกร้ายื่นให้เขา

    "ข้าเอาไก่ขอทานมาฝาก พวกท่านนำไปแบ่งกันนะเจ้าคะ"

    กลิ่นหอมจากตัวไก่ลอยเตะจมูกชาวบ้านแถวนั้น มีชายอวบอ้วนผู้หนึ่งทนกลิ่นไม่ไหวเดินมาถามหญิงสาว

    "แม่นางเจ้าซื้อสิ่งนี้มาจากที่ใดหรือ กลิ่นหอมเย้ายวนใจเหลือเกิน ข้าจะได้ซื้อมากินบ้าง"

    สัญชาตญาณความเป็นนักธุรกิจของมนตราไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ เธอรีบส่งตะกร้าให้หัวหน้ารักษาการณ์ ก่อนจะขอให้บิดาหยิบไก่ขอทานในรถม้าให้ชายผู้นั้นหนึ่งห่อ

    อี้เทียนทำตามคำขอของบุตรสาว เขาหยิบไก่ขอทานส่งให้ชายร่างท้วม

    "นี่เรียกว่าไก่ขอทาน บุตรสาวข้าลงมือทำเอง นางจะเปิดร้านขายวันพรุ่งนี้ตรงข้ามกับเหลาอาหารเซียนซื่อ นายท่านลองชิมดูก่อนขอรับ"

    ชายร่างท้วมรับไปถือไว้ กลิ่นหอมของมันทำให้เขาเปิดกินทันที น่องไก่อวบอ้วนสีน้ำผึ้งปรากฏสู่สายตาผู้คน บางคนทนไม่ไหวลอบกลืนน้ำลายดัง..อึก!

    รู้สึกอิจฉาที่ชายร่างท้วมได้ลองชิมก่อนใครพวก

    หลังจากชายร่างท้วมใช้มือหยิบน่องไก่กัดกินเข้าปาก ยังไม่ทันจะได้เคี้ยวแววตาของเขาก็พลันเปล่งประกาย..

    นี่มันกลิ่นหอมของอะไรกัน เนื้อไก่ไม่แห้งซ้ำยังชุ่มฉ่ำมีน้ำไหลออกมา รสชาติหวานอร่อยกลมกล่อม เขาไม่เคยกินของที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน

    หลังจากกินคำแรกเข้าไป ชายร่างท้วมแทบจะยัดน่องไก่ทั้งชิ้นเข้าปาก เขาส่งไก่ที่เหลือให้คนติดตามช่วยถือ ก่อนจะใช้มือที่เปื้อนคราบน้ำมันยื่นมือเข้ามาจับหญิงสาว แต่อี้เทียนเร็วกว่าดึงตัวบุตรสาวมาหลบด้านหลังตน พลางจ้องเขม็งไปยังชายที่คาดว่าน่าจะอายุน้อยกว่าตน

    "นายท่านเกรงว่าการกระทำของท่านจะไม่เหมาะสม บุตรสาวข้าเป็นสตรียังไม่พ้นวัยปักปิ่น ท่านเป็นบุรุษจะแตะเนื้อต้องตัวนางได้อย่างไร

    ชายร่างท้วมรู้สึกตัว เขามีสีหน้าสำนึกผิดที่ตนรีบร้อนเกินไปไม่ทันคิดให้รอบคอบ จึงรีบหยิบผ้ามาเช็ดมือให้สะอาด

    "ขออภัยด้วยพี่ชาย..แม่นางข้าขอโทษที่เกือบล่วงเกินเจ้า หวังว่าพวกเจ้าทั้งสองคนจะไม่ถือสา ข้ามีชื่อว่าเหล่าตี้เป็นพ่อค้าจากเมืองฉินเทียน ข้าอยากจะขอซื้อไก่ต่อจากแม่นางสักสิบชิ้นได้หรือไม่ ข้ายอมจ่ายสิบตำลึงทอง!"

    ดวงตากลมโตของฉินฉินลุกวาว ยังไม่ทันได้ทำสิ่งใด นี่เพิ่งจะอยู่หน้าประตูทางเข้าเมืองเท่านั้น ก็มีคนสนใจไก่ของเธอแล้วหรือ

    "นายท่านเหลาตี้ ข้าให้ท่านได้มากสุดแค่สามชิ้นเท่านั้นเจ้าค่ะ ทว่าครั้งนี้ข้านั้นจะไม่คิดเงินท่าน วันพรุ่งขอให้ท่านไปพบข้าที่ร้าน ข้าจะมอบไก่ขอทานให้ท่านเอง”

    “ดียิ่งนัก”

    “ทว่าจำนวนเงินที่ท่านเสนอมามันมากเกินไปเจ้าค่ะ ข้านั้นขายไก่ขอทานไม่มีไส้หนึ่งตัวสามตำลึงเงิน และไก่ขอทานมีไส้ห้าตำลึงเงิน หากใครไม่มีงบมากพอข้าแบ่งขายเป็นชิ้นให้ หรือจะขอซื้อครึ่งตัวข้าก็ยินดี ขอบพระคุณทุกท่านมากที่สนใจไก่ขอทานของข้าเจ้าค่ะ"

    เหล่าตี้แอบเสียดาย ไก่ขอทานเพียงสามชิ้นมันจะทำให้หายอยากได้อย่างไร เขาแทบจะอดใจรอวันพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้ว

    หลังจากมนตราได้แอบขายของให้ร้านอาหารของตนอย่างเนียน ๆ เสร็จสิ้น ก็รีบขอตัวไปทำธุระต่อ วันนี้เธอยังต้องไปทำธุระอีกหลายที่

    สถานที่แรกที่จะไปเยือนคือจวนท่านเจ้าเมืองผู้ที่เมตตาเธอมาตลอด

    "ท่านพ่อลูกตื่นเต้นยิ่งนัก ครั้งที่แล้วยามเจอท่านเจ้าเมืองในศาลตัดสิน ลูกนึกว่าเขาเป็นใต้เท้าตัดสินคดีเสียอีก ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะเป็นถึงท่านเจ้าเมืองของเมืองหลิงหลงแห่งนี้"

    อี้เทียนหัวเราะบุตรสาวด้วยความเอ็นดู..

    "ไม่แปลก พ่อก็ตกใจเช่นเดียวกัน ทว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่าท่านเจ้าเมืองผู้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดมักจะปลอมตัวเป็นคนนั้นคนนี้ที พ่ออยู่เมืองนี้มาตั้งแต่เด็กนับครั้งได้ที่เคยเห็นเจ้าเมืองตัวจริง"

    รถม้าวิ่งสักพักก็มาจอดอยู่หน้าประตูจวนท่านเจ้าเมือง น่าเสียดายที่ไม่มีใครอยู่ที่จวนสักคน มนตราจึงได้แต่ฝากไก่ขอทานห้าตัวไว้กับพ่อบ้าน โดยไม่ลืมฝากให้พ่อบ้านนำบางส่วนไปแจกจ่ายให้บ่าวทุกคนในเรือนด้วยเช่นกัน

    เจ้าเมืองหลิงหลงกลับมาถึงจวนตอนฟ้ามืด พอรู้ว่าเด็กสาวที่เอ็นดูแวะมาหาก็รู้สึกเสียดายที่ตนไม่อยู่ วันนี้เขาไปรอรับบุตรชายที่เพิ่งกลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากไปศึกษายังสถานศึกษาในเมืองหลวงกว่าสามปี

    หลังจากเสร็จธุระที่จวนท่านเจ้าเมืองเธอก็แวะนำไก่ขอทานไปส่งให้ไใต้เท้าฉู่และสหายของบิดา พวกเขาต่างชมเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยมากจริง ๆ

    "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ อี้เทียนเจ้ามีบุตรสาวแล้วไม่ส่งข่าวมาเล่าให้ข้าฟังบ้าง นางหนูข้าให้กำไลหยกเป็นของรับขวัญเจ้า ดูสิบิดาบุญธรรมของเจ้าอยู่แต่กับบุตรชายมาหลายสิบปี ข้าไม่เคยเห็นเขายิ้มจนปากฉีกถึงรูหูเช่นนี้มาก่อน ยามนี้เขาคงมีความสุขมากจริง ๆ”

    มนตรายิ้มรับและไม่ปฏิเสธน้ำใจใคร เธอรับกำไลหยกนั้นไว้ แม้ว่าสหายคนก่อนหน้าของบิดาบุญธรรมจะให้กำไลหยกมาเช่นกัน

    สมแล้วที่เป็นเพื่อนรักกันมานาน ขนาดของขวัญยังให้เหมือนกันเป๊ะต่างแค่สีของหยกเท่านั้น

    "ขอบคุณสำหรับของขวัญเจ้าค่ะท่านลุง"

    "เด็กดี ๆ”

    ชายวัยกลางคนยิ้มจ้องมองหญิงสาวด้วยความเอ็นดู เด็กสาวผู้นี้มีรูปร่างผอมแห้งเกินกว่าเด็กสาวในวัยเดียวกัน ทว่าอีกไม่นานเจ้าสหายซังกะตายคงจะขุนนางจนอวบอ้วนเหมือนตนเองแน่ มาครั้งหน้าเขาอาจจำนางไม่ได้แล้ว

    "ข้าต้องขอตัวกลับก่อน พรุ่งนี้เจ้าอย่าลืมไปอุดหนุนบุตรสาวข้าด้วยเล่า ไม่มีพิธีเปิดร้านอะไรมากมาย แต่ของอร่อยเช่นนี้คนคงมารุมซื้อจนรับมือแทบไม่ทันแน่"

    "ข้ารู้แล้วน่า! หลานสาวข้าเปิดร้านทั้งที ไม่ต้องรอให้เจ้าสั่งข้าก็จะเหมาหมดทั้งร้านเลย"

    "ข้าไม่ขายให้เจ้าหรอก..เจ้าเอาไปแค่ชิ้นเดียวก็พอแล้ว"

    หูอี้เทียนหัวเราะจนพุงกระเพื่อม ฉินฉินยิ้มรับแล้วเดินขึ้นไปรอบิดาบนรถม้า ไม่นานบิดาก็ขอตัวลาสหายแล้วเดินตามขึ้นมา

    เขาจ้องไปยังกล่องใส่เครื่องประดับที่บุตรสาวได้รับมา

    "เจ้าได้มาเยอะเชียว สหายพ่อมีแค่ไม่กี่สิบคน พวกข้าคบกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ผ่านอะไรมากันก็มาก จนพวกเขาเปรียบเสมือนญาติพี่น้องของพ่อไปแล้ว หากในอนาคตเจ้ามีปัญหาย่อมขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้"

    "ข้าจะจำไว้เจ้าค่ะท่านพ่อ"

    นี่ขนาดมีเพื่อนไม่เยอะนะ แต่ละคนรวยระดับมหาเศรษฐีเลยก็ว่าได้ แต่เหตุใดบิดาของเธอถึงมาเปิดร้านขายบะหมี่เล็ก ๆ กันเล่า

    เอาเถิด...ต่อไปนี้ข้าจะเลี้ยงท่านเอง

    ทางด้านว่านหลงหรือใต้เท้าฉู่ได้รับจดหมายจากสหายว่า นางจะมาเยี่ยมตนถึงจวนเขารีบพาภรรยากลับจากการเดินเที่ยวตลาดมารอต้อนรับทันที

    หยางมี่ผู้เป็นภรรยาเห็นสามีตื่นเต้นก็รู้สึกน้อยใจเล็กน้อย พยายามนางเก็บอาการหึงหวงไว้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สามีให้ความสนใจสตรีอื่นต่อหน้านาง เขาเป็นเช่นนี้มาตลอด หากฝ่ายหญิงตกลงปลงใจ เขาจะมาขอให้นางรับสตรีเหล่านั้นเข้าเรือนมาเป็นอนุภรรยา

    ครั้งนี้เขาดูตื่นเต้นมากกว่าทุกครั้ง ไม่แน่ว่าสหายที่เขาบอก นางอาจจะเข้ามาเป็นฮูหยินรองของจวนก็เป็นได้

    ว่านหลงมัวแต่สั่งการให้สาวใช้เตรียมของต้อนรับให้พร้อม ไม่ทันได้สังเกตภรรยาที่นั่งอยู่ด้านหลังว่านางมีท่าทีที่เปลี่ยนไป

    เหล่าอนุภรรยาของว่านหลงก็ได้รับข่าวเช่นเดียวกันว่า จะมีสตรีมาเยี่ยมสามีของพวกตน พวกนางจึงได้พากันแต่งองค์ทรงเครื่องจัดเต็ม ด้วยชุดสีสันแสบตาเดินเรียงแถวมายังโถงรับรองแขกที่เรือนใหญ่

    ว่านหลงเห็นอนุภรรยาของตนเดินมาพร้อมกัน เขากลับเข้าใจผิดคิดว่ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นในจวนของตนเสียอีก จึงหันมาตวาดภรรยาเอก

    "ฮูหยินเจ้าดูแลเรือนอย่างไร! เกิดเรื่องอะไรขึ้นทำไมไม่แจ้งให้ข้ารู้ ดูสิพวกนางต้องน้อยใจมากแน่ถึงรวมตัวกันมาฟ้องข้าถึงที่"

    ไม่รอฟังคำอธิบายว่านหลงก็โวยวายเสียงดัง แล้วชี้ความผิดแก่ภรรยา ทั้งยังต่อว่านางต่อหน้าบ่าวไพร่และบรรดาอนุภรรยาที่ยืนปิดปากลอบยิ้มสะใจ

    หยางมี่ตัวสั่นเทาได้แต่ก้มหน้ารับความผิดที่ตนไม่ได้ก่อ นางไม่กล้าเถียงเขา เพราะหากเขาโกรธและขอหย่าขึ้นมานางจะทำเช่นไรเล่า

    "ร้องไห้หรือ วัน ๆ เจ้าเอาแต่ร้องไห้ น่าเบื่อจริง ๆ ทำไมเจ้าต้องก่อเรื่องในวันดีเช่นนี้ด้วย"

    ตุ้บ...

    ในช่วงจังหวะชุลมุนกลายเป็นว่าท่านใต้เท้าฉู่กลับถูกถีบจากทางด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัว บุรุษร่างใหญ่ล้มเข่ากระแทกพื้น สร้างความตกใจแก่ทุกคนไม่น้อย ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนกล้าลงมือทำร้ายเขาเช่นนี้มาก่อน

    หยางมี่เป็นห่วงสามีรีบเข้ามาประคองเขาให้ลุกขึ้นนั่งทันที สายตาของนางสำรวจหาบาดแผลรอบตัวเขา

    "ข้ารึอุตส่าห์แวะมาเยี่ยมเจ้า แต่กลับมาเห็นเจ้าแสดงอำนาจใส่ภรรยาเสียได้..โทษทีข้ารำคาญเสียงเจ้าน่ะ เท้าก็เลยกระตุก"

    ทุกคนจ้องมองหญิงสาวที่ถือตะกร้าเดินเข้ามา ทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาว่าหญิงร่างบอบบางผู้นี้จะกล้าลงมือทำร้ายคนที่ไม่สมควรยุ่งที่สุด

    นางตายแน่...


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×