คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ขับไล่
ตอนที่ 2 ขับไล่
หลังจากผ่านความยากลำบากมาหลายปี ไม่รู้ว่านางเฉียนไปรู้มาจากไหนว่าลูกเลี้ยงของตนไปเจอโสมหายากในป่าลึก นางจึงพยายามเค้นถามหญิงสาวแต่ฉินฉินเอาแต่ปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง
"ท่านป้า..ข้าไม่เคยเจอโสมที่ว่านั้นจริง ๆ นะเจ้าคะ"
เพียะ..
"ทำไมจะไม่มี..เจ้ากล้าโกหกแม่ข้าหรือ..มีคนบอกกับแม่ข้าว่าเห็นเจ้าแอบนำโสมหายากไปขายที่ร้านยา เจ้าได้เงินมาหลายสิบตำลึงทองไม่ใช่หรือ เหตุใดยังปากแข็งอยู่อีกเล่า!"
หลานชิงบุตรสาวของนางเฉียนยามนี้อายุครบสิบห้าปีแล้ว ถึงเวลาที่นางควรจะออกเรือนแล้ว แต่มารดายังหาสินเดิมมาให้ไม่ได้เสียที นางตั้งใจจะแต่งงานกับบุตรชายของผู้ใหญ่บ้านที่แอบคบหากันมาหลายปี
ตัวก็เสียไปแล้ว...หากต้องให้ประวิงเวลาต่อไปอีก ไม่แน่ว่าในท้องของนางตอนนี้อาจจะมีเด็กมาเกิดแล้วก็เป็นได้ นางจึงร้อนรนมาถามหาโสมหายากกับฉินฉินเพื่อนำไปขาย
"พี่สาวข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ เจ้าค่ะ ข้าไปที่ร้านยาเพื่อหางานทำ เรื่องโสมนั้นท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว"
ฉินฉินยามนี้อายุครบสิบสามปีเต็ม นางเป็นเด็กสาวที่มักสวมใส่เสื้อผ้าเก่าของมารดาที่ถูกปะชุนแล้วปะชุนอีก เพราะหาเงินมาได้เท่าไหร่ก็ไม่เคยได้นำมาใช้ กลับถูกสองแม่ลูกใจยักษ์ค้นตัวขโมยไปจนหมด
ทว่าเรื่องโสมที่นางกำลังถูกเค้นอยู่นี้ ความจริงแล้วเมื่อเช้านางได้พบโสมหายากที่กลางป่าลึกจริง ๆ แต่ไม่อยากบอกใคร จึงหลอกมารดาเลี้ยงว่าจะเข้าเมืองไปหางานทำ ทว่าแท้จริงแล้วนางต้องการนำโสมนี้ไปขาย เพื่อหาเงินมาซื้ออาหารให้น้องชายได้กินอิ่มท้องสักมื้อเท่านั้น
ดีที่นางไหวตัวทัน...แอบนำถุงเงินไปฝังซ่อนไว้ใต้พุ่มไม้ยังบริเวณที่ไม่มีชาวบ้านคนไหนเดินผ่าน เพราะพื้นที่ป่าท้ายหมู่บ้านนั้นมีเสียงร่ำลือมาว่ามีวิญญาณร้ายอาศัยอยู่ หากใครเผลอเหยียบย่างเข้าไปละก็ อาจกลับมาสิ้นใจตายที่เรือนโดยไม่ทราบสาเหตุ
อาเยี่ยนเห็นพี่สาวถูกทำร้ายก็วิ่งมากอดนางเอาไว้ ไม่ให้ใครหน้าไหนมารังแกได้
"คนใจร้าย! พี่ใหญ่บอกว่าหากตีผู้อื่นจะกลายเป็นคนไม่ดี พวกท่านตีพี่ใหญ่นับเป็นคนไม่ดี"
นางเฉียนพลันโมโหเมื่อได้ยินคำนั้น นางและบุตรสาวพากันลงมือทำร้ายฉินฉินจนบาดเจ็บ ใบหน้าของเด็กสาวบวมปูดมีบาดแผลแตกทั่วร่างกาย ไม่แน่กระดูกด้านในอาจจะหักด้วยเช่นกัน
ทว่าอาเยี่ยนกลับไม่เป็นอะไร เพราะเขาถูกพี่สาวกอดไว้แน่น นางยอมโดนตีคนเดียว น้องชายยังเด็กนักไม่สามารถทนความเจ็บปวดเช่นนี้ได้
สุดท้ายนางเฉียนทนไม่ไหวอีกต่อไป นางและบุตรสาวสองคนช่วยกันลากตัวฉินฉินแล้วโยนลงบนพื้นหน้าเรือน พร้อมกับไล่อาเยี่ยนน้อยออกมาด้วย
"พวกเจ้าสองพี่น้องห้ามกลับเข้ามาอีก! จะไปตายที่ไหนก็ไป อย่าให้ข้าเห็นพวกเจ้าอีก มิเช่นนั้นข้าจะเอาเลือดหัวของพวกเจ้ามาล้างเท้า"
อาเยี่ยนวิ่งไปกอดพี่สาวที่สลบไปแล้วเอาไว้ พลางร้องเรียกให้นางตื่น
"พี่ใหญ่ตื่น ๆ ท่านอย่าทิ้งอาเยี่ยนไปนะ อาเยี่ยนไม่ได้โง่ อาเยี่ยนจะเลี้ยงท่านเอง อาเยี่ยนเก่งแล้ว...อยู่กับอาเยี่ยนนะขอรับ ฮึก ฮือ ๆ ๆ"
ฉินฉินฝืนลืมตาขึ้นมาส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับน้องชาย ผู้เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ก่อนจะฝืนความเจ็บปวดจูงมือน้องชายเดินไปยังเรือนร้างตรงชายป่าท้ายหมู่บ้าน ซึ่งเป็นจุดที่ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไป
ทางด้านนางเฉียนและบุตรสาวพากันมารื้อค้นหาถุงเงินที่คาดว่าน่าจะซ่อนอยู่ในโรงเก็บฟืนเก่า ซึ่งเป็นจุดที่สองพี่น้องใช้เป็นที่หลับนอน
"ท่านแม่เราหาจนทั่วแล้วยังไม่เจอ หรือว่ามันจะพูดความจริง"
นางเฉียนรักบุตรสาวมาก แต่นางหารู้ไม่ว่าบุตรสาวที่นางทะนุถนอมนักหนา ยามนี้ได้พลีกายให้ชายอื่นได้เชยชมไปแล้วหลายครั้ง
"ลูกรักนางเด็กนั่นต้องแอบซ่อนเงินไว้ที่ไหนสักแห่งแน่ เงินจากการขายโสมป่าหายาก หากพวกเราหาเจอย่อมต้องมีกินมีใช้ไปตลอดชีวิต"
หมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลเมืองใหญ่เช่นนี้ เงินหนึ่งตำลึงทองยังไม่มีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา หากนางเด็กเนรคุณนั่นขายโสมป่าได้เงินมาจริง ๆ ต้องได้เงินมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยตำลึงทองอย่างแน่นอน
นางเฉียนถูกความโลภบังตา ต่อให้เงินนั้นไม่มีอยู่จริงนางก็สามารถหลอกตนเองได้ สองแม่ลูกส่งยิ้มให้กันพลางวาดฝันถึงอนาคตข้างหน้าที่แสนสุขสบายจากน้ำพักน้ำแรงของผู้อื่น
ทางด้านฉินฉินหลังจากพาน้องชายมาหลบยังที่ปลอดภัยได้แล้ว นางก็ล้มฟุบหมดสติไปทันที ระหว่างทางนางได้บอกที่ซ่อนอาหารไว้ให้น้องชายได้รับรู้แล้ว หากเขาหิวให้ไปเปิดไหใบเล็กที่บรรจุซาลาเปาแข็ง ๆ ให้พอกินประทังชีวิต
เด็กสาวมั่นใจว่าไม่มีใครกล้าเข้ามาที่แห่งนี้ แม้แต่นางเฉียนเองก็คงไม่ยอมเดินเข้ามาอย่างแน่นอน แต่แม่เลี้ยงใจร้ายผู้นั้นจะรอให้สองพี่น้องกลับไปที่หมู่บ้านอีกครั้ง ถึงวันนั้นนางเฉียนที่หาเงินไม่เจอต้องทุบตีพวกเขาเป็นแน่
หญิงสาวที่บาดเจ็บไปทั่วร่างกายนอนจับไข้อยู่หลายชั่วยาม ข้าง ๆ กันมีน้องชายตัวผอมแห้งนั่งเล่นดิน ภายในมือน้อย ๆ ถือซาลาเปาไว้ลูกหนึ่ง
เขาหารู้ไม่ว่าพี่สาวที่ปกป้องเขาจนวินาทีสุดท้ายได้จากไปแล้ว
.......
ในโลกคู่ขนานที่มีแต่ความเจริญ มนตรานักธุรกิจหญิงที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชียกำลังเป็นที่จับตามองจากสื่อหลายสำนัก
เธอเป็นลูกครึ่งไทย-เกาหลี-จีน โดยมีบิดาเป็นถึงนักธุรกิจใหญ่ในจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนมารดาเป็นนางแบบลูกครึ่งไทย-เกาหลีที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ตั้งแต่เด็กมนตราถูกพ่อแม่ตามใจมาตลอด ไม่ว่าอยากจะทำอะไรหรือเรียนอะไร พวกเขาต่างยินดีควักเงินก้อนโตสนับสนุนเธอในทุก ๆ ด้าน พยายามเฟ้นหาอาจารย์มากประสบการณ์มาสอนบุตรสาวของพวกเขา
หลังจากที่มนตราอายุสิบขวบ พ่อและแม่ได้รับเลี้ยงบุตรบุญธรรมมาคนหนึ่ง เป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักชอบออดอ้อนเอาใจผู้ใหญ่ เด็กคนนั้นเอาแต่ดึงความสนใจจากมนตราผู้เป็นลูกสาวแท้ ๆ ไปจนหมด
แต่คนอย่างมนตรา มัณทณาวิวัติ มีหรือจะยอมแพ้ให้กับเด็กกำพร้า ไฮโซสาวสวยเรียนดีกิจกรรมเด่นได้คว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่งหลากหลายสาขา มาฟาดหน้าน้องสาวบุญธรรมที่สอบเข้ามหา’ลัยเองยังไม่ผ่าน จนพ่อและแม่ต้องยัดเงินก้อนโตให้มหา’ลัยชื่อดังรับลูกเลี้ยงของตนเข้ารับการศึกษา
เมื่อพ่อแม่สนใจแต่น้องสาว มนตราจึงจัดตั้งบริษัทของตนเองทันทีที่เรียนจบ ด้วยความรู้ความสามารถที่มี เพียงแค่สามปีบริษัทที่มีหญิงสาวเป็นผู้บริหารก็กวาดรายได้มหาศาลจากทั่วมุมโลกเข้ากระเป๋า เรียกได้ว่าเธอเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้รวดเร็วกว่าคนรุ่นเดียวกันมากนัก
ตึกสำนักงานใหญ่กลางเมืองเซี่ยงไฮ้ยามนี้ได้มีการจัดงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จให้กับประธานสาวสวยอย่างมนตรา โดยภายในงานมีนักธุรกิจใหญ่จากทั่วทุกมุมโลกถูกเชิญมาร่วมงานด้วย
"ท่านประธานงานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้วนะครับ ท่านควรจะไปสแตนด์บายอยู่รับรองแขกในงานได้แล้ว"
เลขาสุดหล่อที่เป็นถึงเพื่อนชายคนสนิทเพียงคนเดียวของมนตราเอ่ยเตือนเพื่อนสาวที่เป็นถึงเจ้านาย เขาถูกทาบทามมาช่วยงานหญิงสาวตั้งแต่เรียนจบด้วยรู้นิสัยใจคอกันดี และตอนนี้ก็กำลังหัวเสียที่เจ้านายเอาแต่ปักผ้าไม่ยอมลงไปต้อนรับแขกในงานเสียที ทั้ง ๆ ที่งานเลี้ยงนี้เป็นงานฉลองของตนเองแท้ ๆ
มือของมนตรายังคงปักผ้าตรงหน้าด้วยความคล่องแคล่ว เธอยังคงจดจ่อกับกิจกรรมผ่อนคลายในมือโดยไม่สนใจเสียงเพื่อนชายแม้แต่น้อย
"จะรีบไปทำไมทาม เรายังมีเวลาอีกตั้งเยอะ แล้วเธอจะมาเร่งเราทำไม"
"นี่เพื่อนสาว เธอช่วยตื่นเต้นกับงานเลี้ยงระดับโลกหน่อยได้ไหม เธอเป็นแม่งานนะจะให้แขกรอได้อย่างไร ตอนเช้าก็เอาแต่อ่านจดสูตรอาหาร ตอนเย็นก็มานั่งปักผ้า มีเงินตั้งเยอะจ้างคนมาทำให้ก็จบแล้ว ดูเอาเถอะตอนนี้น้องสาวตัวดีของเธอเอาแต่เดินเฉิดฉายทักทายคนนั้นคนนี้ทีมั่วไปหมด กลัวคนไม่รู้หรือว่าตัวเองก็เป็นทายาทของตระกูลมัณทณาวิวัติเหมือนกัน"
มนตราไม่สนใจฟังเพื่อนชายคนสนิทบ่น เธอเอาแต่จดจ่อกับงานปักผ้าที่อยู่ตรงหน้าจนเสร็จ
"เอ้า..เสร็จแล้ว นายก็เลิกบ่นได้แล้วน่า เพราะอย่างนี้ไงเลยไม่มีแฟนกับเขาสักที"
"เธอเองก็ไม่ต่างกันหรอก บ้างานมาก จนเลขาอย่างฉันไม่มีเวลาไปหาผู้ชายกิน เชอะ"
มนตราไม่สนใจคำพูดนั้นกลับเดินไปหยิบรองเท้าส้นเข็มสูงปรี๊ดมาสวม เป็นรองเท้าพื้นแดงที่ผู้หญิงทุกคนใฝ่ฝัน แต่ความสูงของมันก็เอาเรื่อง หากทรงตัวไม่ดีพออาจจะล้มหน้าทิ่มพื้นเอาได้
"เอาน่า..เดี๋ยวเราจะให้คนหาผู้ชายแซ่บ ๆ มาให้เธอกินถึงที่เลย รอให้เสร็จงานนี้ก่อนได้ไหมเล่า เราสองคนจะได้มีเวลาพักยาว ๆ แล้ว"
"ให้มันจริง"
สถานที่จัดงานครั้งนี้จัดขึ้นที่ชั้นสามสิบสามของตึกสำนักงาน ส่วนชั้นที่มนตราพักอยู่นั้นคือชั้นสามสิบสี่ หญิงสาวไม่อยากใช้ลิฟต์ให้สิ้นเปลือง จึงชวนเลขาคนสนิทเดินลงบันไดแทน
เลขาหนุ่มอย่างทามไทได้แต่บ่นกระปอดกระแปดเสียงเบาตามหลัง
"แทนที่จะรีบเข้างานต้องมาเสียเวลาเดินลงบันไดอีก ยัยตาแกจะ...ว้าย! ยัยตา!"
ในจังหวะที่กำลังพากันเดินลงบันไดหนีไฟ ทามไทที่เป็นฝ่ายเดินนำกำลังจะหันไปบ่นเพื่อนสาวตัวดี ทว่าเมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนก็ต้องตกใจร้องสุดเสียง เมื่อพบว่าคนที่กำลังเดินตามหลังทำท่าสะดุดและกำลังจะตกบันไดลงมา
มนตราที่มัวแต่พะวงเรื่องรองเท้าส้นเข็มเจ้าปัญหาก็เดินไม่ทันระวัง จังหวะที่กำลังจะก้าวลงมากลับลื่นไปสะดุดกับช่องบันไดเล็ก ๆ แม้จะพยายามคว้าราวบันไดแต่ก็ไม่ทัน เธอทรงตัวไม่อยู่กลายเป็นล้มหน้าคว่ำกลิ้งตกบันไดสูงยี่สิบขั้นผ่านหน้าเพื่อนชายที่ช็อกไปแล้ว
และวันนั้นก็เป็นการปิดตำนานนักธุรกิจสาวที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย...มนตรา มัณทณาวิวัติ เสียชีวิตคาที่ ณ จุดเกิดเหตุ
ความคิดเห็น