ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านพี่เจ้าขา ข้าอยากรวย (จบแล้ว) มีE-BOOK

    ลำดับตอนที่ #19 : ถึงตัวเมืองแล้ว

    • อัปเดตล่าสุด 24 ธ.ค. 66


    บทที่ 19 ถึงตัวเมืองแล้ว

    เมื่อเดินทางมาถึงหน้าประตูเมือง ก็เห็นรถม้าและเกวียนเทียมวัวของชาวบ้านต่อแถวรอประตูเมืองเปิดอยู่

    เจ้าวัวทำหน้าที่ได้ดีมากที่มาถึงก่อนเวลาประตูเมืองเปิด

    ฟางเหนียงยื่นกระบอกน้ำให้ซีซวนเอาไปป้อนให้เจ้าวัวดื่ม คนบังคับเกวียนไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขาหายไปโกยอากาศเข้าปอด แล้วอาเจียนเอาอาหารที่มีเพียงน้อยนิดอยู่ในกระเพาะออกมา

    เหล่าม้าและวัวตัวอื่น ๆ ที่ได้กลิ่นน้ำวิเศษ หันมามองน้ำลายไหลพร้อมกัน ทำเอาเจ้าของตกใจนึกว่าสัตว์เลี้ยงที่มีราคาของตนจะร้อนจนป่วย รีบร้องตะโกนให้ทหารรักษาประตูเปิดประตูก่อนกำหนด เร่งควานหาน้ำที่พกมาให้พวกมันดื่มกันยกใหญ่

    “เจ้าสามรีบ ๆ ให้มันกินเร็วลูก เจ้าวัวหากมัวแต่เลียทีละนิด ข้าจะเอาน้ำที่เหลือแบ่งให้วัวตัวอื่นด้วย”

    ฟางเหนียงเห็นสถานการณ์ด้านนอกวุ่นวาย นางเลยขู่ให้เจ้าวัวแก่ที่ละเมียดละไมกินน้ำทีละหยดกลัว

    มันไม่รู้เลยหรือว่ากำลังทำให้มนุษย์วุ่นวายมากเพียงใด หรือรู้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ให้วัวตัวอื่นอิจฉาเล่น

    เมื่อเจอคำขู่ของฟางเหนียงเข้าไป เจ้าวัวก็รีบรัวลิ้นเลียน้ำหมดภายในพริบตาเดียว วัวและม้าตัวอื่น ๆ เห็นน้ำกลิ่นหอมหมดต่อหน้าต่อตา ถึงกับไร้เรี่ยวแรงล้มลงนอนฟุบหมดอาลัยตายอยากทันที

    ทหารเห็นสถานการณ์วุ่นวาย ก็รีบนำถังใส่น้ำมาแจกจ่ายให้กับเจ้าของเกวียนวัวและรถม้า ซีซวนได้ยินเสียงสัตว์ร้องอยากกินน้ำวิเศษอ้อน ก็ช่วยวอนมารดาอีกแรง

    เมื่อเห็นบุตรชายส่งสายตาขอร้อง คนเป็นแม่มีหรือจะทนไหว นางจึงยอมยื่นกระบอกน้ำวิเศษให้ และปล่อยให้เขาแอบเอาไปผสมใส่ถังน้ำในมือของเหล่าทหารเอง

    “เจ้าใหญ่ เจ้ารองไปช่วยน้องจะได้เสร็จเร็ว ๆ”

    “ขอรับ”

    สองหนุ่มได้กระบอกน้ำไม้ไผ่คนละหนึ่งกระบอก ก็เอาไปผสมน้ำในถังน้ำของทหาร พลางแอบถามน้องชายว่าสัตว์ตัวไหนยังไม่ได้กินอีก

    “เจ้าสามข้าว่าเราให้ครบหมดแล้วนะ เจ้าลองสื่อสารดูว่าตัวไหนยังไม่ได้กินอีกหรือไม่”

    “มดขอรับ อ้อ ยังมีแมลงที่บินวนอยู่ด้านบนอีก”

    “…”

    เซี่ยเหิงหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง ไม่คาดคิดว่าจะได้คำตอบกลับมาเช่นนี้ ไม่รู้ว่าน้องชายจริงจังหรือพูดเล่นกันแน่ แต่ดูจากสีหน้าแล้วเขาคงอยากป้อนน้ำให้สัตว์เล็ก ๆ เหล่านั้นด้วยจริง ๆ

    “พี่ใหญ่อุ้มเจ้าสามกลับไปกันเถอะ มีหวังถ้าต้องมานั่งป้อนน้ำแมลงตัวเล็ก ๆ ด้วยชาตินี้ทั้งชาติคงไม่ได้เข้าเมืองหรอก”

    “ข้าเห็นด้วย”

    “พี่ใหญ่ พี่รองช้าก่อน ข้าสงสารพวกมันขอรับ”

    เมื่อตกลงกันได้แล้ว สองพี่น้องก็รีบอุ้มน้องชายกลับไปที่รถม้า แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มารดาฟัง

    ฟางเหนียงได้ยินในสิ่งที่ลูกเล่าก็หัวเราะท้องแข็ง แต่แอบสงสารเจ้าบุตรชายจิตใจดีที่ถูกพี่ ๆ ลากกลับมา เขานั่งทำหน้าบึ้งอยู่ท้ายเกวียน ทั้งยังหันหน้าหนีพี่ชายที่พยายามขอคืนดีด้วยอีก

    “เจ้าสามเราจะช่วยเหลือสัตว์ทุกตัวไม่ได้นะลูก เจ้าต้องแยกแยะว่าสิ่งไหนควรช่วยเหลือ หรือสิ่งไหนควรมองข้ามมันบ้าง”

    “เด็กน้อยเจ้าเพิ่งได้พรสวรรค์มาไม่นาน อาจยังปรับตัวไม่ได้แม่เข้าใจ เช่นนั้นจากนี้ก็ขอให้ช่วยเท่าที่ช่วยได้ อย่าให้เกินกำลังของเรานัก”

    “ขอรับท่านแม่”

    วิธีที่ทำให้ไม่ได้ยินเสียงของสัตว์มันมีอยู่ แต่ตอนนี้ซีซวนยังหาไม่เจอก็เท่านั้น อีกอย่างเรื่องนี้ไม่มีใครช่วยเขาได้ นอกจากเขาต้องค้นพบมันด้วยตัวเอง

    ฟางเหนียงรอไม่ไหวแล้ว กว่าจะถึงคิวของเกวียนที่นางนั่งมาหัวแถวยังอีกยาวไกล หญิงสาวจึงบอกลาคนบังคับเกวียน แล้วพาลูก ๆ เดินเท้าเข้าเมืองแทน แต่สิ่งหนึ่งที่นางไม่รู้ก็คือ...

    การจะเข้าเมืองต้องจ่ายเงินด้วยน่ะสิ

    “เด็กหนึ่งอีแปะ ผู้ใหญ่สามอีแปะ”

    ทหารรักษาประตูพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เป็นการบอกนัย ๆ ว่าหากไม่จ่ายเงินก็ไม่มีวันได้เข้าไป

    แต่ฟางเหนียงนั้นได้มอบเงินให้คนบังคับเกวียนไปหมดแล้ว ในตัวของนางตอนนี้ไม่มีเงินเลยแม้แต่อีแปะเดียว

    ยืนลังเลอยู่สักพักก็นึกออกว่าตัวเองยังมีตัวช่วยอยู่

    “เสี่ยวไป่เจ้าช่วยแลกเงินในมิติออกมาให้ข้าได้หรือไม่”

    [ได้เจ้าค่ะนายหญิง]

    ฟางเหนียงถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วหยิบเงินค่าผ่านทางในถุงย่ามยื่นส่งให้นายทหาร เขานับดูอยู่สองสามรอบจนมั่นใจว่าครบแล้ว จึงยอมปล่อยให้ครอบครัวของนางเข้าไปด้านใน

    และด้วยขนาดตัวที่สูงใหญ่กว่าเด็กวัยเดียวกันของเซี่ยเหิงและตงซิ่ว ทำให้ทั้งคู่ถูกคิดค่าผ่านทางเท่ากับผู้ใหญ่

    เมืองหางโจวเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ติดอันดับแคว้น ทัศนียภาพงดงามในอนาคตเมืองแห่งนี้จะกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ใคร ๆ ต่างถวิลหาอยากมาก่อนตายสักครั้ง

    ขอแค่นอนชมวิวบนภูเขาหนึ่งคืน ก็รู้สึกเหมือนได้บำบัดเอาความเครียดออกไปแล้ว

    สูดอากาศในป่าดีกว่าสูดดมควันรถในเมืองตั้งเยอะ

    ภายในเมืองมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ เหล่าชาวบ้านหอบของป่ามาตั้งแผงขายในราคาถูก คุณหนูบางคนไม่ยอมเดินเอง ต้องนั่งเกี้ยวให้คนแบกหามไปยังจุดที่ต้องการ อยากไปไหนก็บอกสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง

    พวกนางมองภาพความวุ่นวายด้านนอกผ่านหน้าต่างบานเล็ก ๆ ใบหน้าอันสวยสดงดงามของพวกนางใช่ว่าผู้ใดจะสามารถมองได้

    “…”

    ฟางเหนียงตกตะลึงกับภาพเมืองโบราณแห่งนี้ มันไม่ได้แย่อย่างที่นางคิดไว้ ทั้งยังเหมือนถูกเวทมนตร์สะกด ให้หลงใหลกับความวุ่นวายตรงหน้า

    “ท่านแม่ ๆ”

    ตงหยางน้อยกระตุกเสื้อมารดา เขาอยากให้นางอุ้ม เพราะตัวเล็กแล้วยังมายืนอยู่ข้างประตู จึงถูกท่านลุงตัวเหม็นเบียดจนหายใจไม่ออก

    “ว่าไง อยากให้แม่อุ้มหรือ?”

    “ขอรับ”

    หญิงสาวก้มตัวอุ้มบุตรชายขึ้นมา ก่อนจะพาลูกไปหาที่โล่ง ๆ ยืนคุยกันว่าจะทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก

    ก่อนอื่นคงต้องหาบ้านเช่าแทนการพักที่โรงเตี๊ยม เพราะหากจะพักทั้งเดือนคงสู้ราคาไม่ไหว อีกอย่างก็ไม่มีครัวส่วนตัวให้ใช้ด้วย

    ฉะนั้นเพื่อความสะดวก การเช่าบ้านถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

    “แม่ว่าเราไปหาบ้านเช่ากันดีกว่า เอ๊ะ แล้วต้องไปติดต่อใคร พวกเจ้ารู้หรือไม่”

    เซี่ยเหิงและตงซิ่วส่ายหัว พวกเขาไม่รู้จริง ๆ เพราะเคยเข้าเมืองมาขายของกับบิดาเท่านั้น ไม่ได้ไปเดินเที่ยวเล่นที่ไหน

    ขายของเสร็จก็ซื้อของกลับบ้านทันที หนึ่งปีก็ได้เข้าเมืองแค่สองครั้ง นอกจากเหลาอาหารที่บิดาเอาของป่ามาขาย พวกเขาก็ไม่รู้จักร้านอื่นอีกแล้ว

    “ไม่เป็นไร ถามคนแถวนี้เอาก็ได้”

    จุดที่ฟางเหนียงยืนอยู่คือตรอกติดกับประตูเมือง แถวนี้มีแม่ค้าหาบเร่เยอะ ไปถามพวกนางเอาแล้วกัน

    “พวกเจ้าอยู่ตรงนี้นะห้ามไปไหน แม่ขอไปคุยกับท่านป้าคนนั้นก่อน”

    ตรงถนนมีคนเยอะมาก ฟางเหนียงก็นึกเป็นห่วงความปลอดภัยของลูก ๆ ไว้ก่อน หากให้พวกเขาติดตามมาด้วย ก็เกรงว่าจะถูกฝูงชนเบียดจนพลัดหลงกันเอาได้ แถวนี้ขอทานเยอะมากข้าไม่อยากให้ลูกเป็นเช่นนั้น

    หญิงสาวร่างอวบอ้วนดูมีอันจะกิน เดินไปหาแม่ค้าหาบเร่ขายซาลาเปา นางยื่นเงินให้แม่ค้ายี่สิบอีแปะก่อนจะสอบถามข้อมูล

    “ท่านป้าข้าต้องการเช่าบ้าน ต้องไปติดต่อที่ไหนหรือเจ้าคะ”

    แม่ค้าขายซาลาเปามองเงินในมือ จู่ ๆ ก็มีคนเอาเงินมายื่นให้ นางยิ้มแก้มปริสายตามองฟางเหนียงจึงดูเป็นมิตรขึ้นมาทันที

    “ข้าช่วยเจ้าได้ อ้อ มีแต่จวนให้เช่านะเจ้าต้องการอย่างไรเล่า”

    “เช่นนั้นข้าต้องการจวนที่มีความเป็นส่วนตัวเจ้าค่ะ ต้องมีรั้วรอบขอบชิด หากได้จวนขนาดกลางมีสี่เรือนนอนก็คงจะดี หรือมีห้องครัวแยกจากตัวบ้านได้จะดีมาก ยิ่งมีสวนด้วยข้าจะวางเงินมัดจำเลยเจ้าค่ะ”

    สิ่งที่ฟางเหนียงพูดมามันดูเกินตัวสำหรับชาวบ้านธรรมดาไปมาก เพราะคนส่วนใหญ่ที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง มักจะไปเช่าโรงฝากม้านอนคืนละห้าอีแปะเท่านั้น

    “หากเจ้าจ่ายค่าเช่าไหว ข้าก็หาให้ได้ รอสักครู่ ข้าไปตามลูกสะใภ้มาเฝ้าร้านก่อน”

    แม่ค้าซาลาเปาตกปากรับคำ จะพาฟางเหนียงไปหาจวนเช่าที่นางต้องการเอง นางหายไปไม่นานก็กลับมาพร้อมสตรีรูปร่างซูบผอม

    โธ่ คงถูกแม่สามีใช้งานหนักไม่น้อยเลยสิท่า น่าสงสารจริง ๆ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×