ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สาวน้อยผู้มั่งคั่ง (จบแล้ว) มี E-BOOK

    ลำดับตอนที่ #17 : สงสาร

    • อัปเดตล่าสุด 24 ธ.ค. 66


    ตอนที่ 17 สงสาร

    ก่อนจะเข้าเมืองมนตราขอให้หูต้าลู่พาเธอแวะหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านจะเลี้ยงไก่เป็นหลัก

    มาถึงหน้าหมู่บ้านมนตราก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งถือจอบถางหญ้าอยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน จึงแวะสอบถามว่ามีใครเลี้ยงไก่ที่โตพอจะขายเธอได้บ้าง

    "พี่ชายข้าอยากจะมาติดต่อซื้อไก่สักห้าสิบตัว ไม่ทราบว่าจะไปติดต่อใครได้บ้าง"

    ชายผู้นั้นแบกจอบเดินเข้ามาหา มีลูกค้ารายใหญ่มาถึงที่ เขาจะปล่อยมือไปได้อย่างไร นางต้องการไก่มากขนาดนี้แสดงว่าต้องเร่งรีบใช้มากเป็นแน่

    หากเขาโก่งราคานางสูงขึ้นจะได้กำไรมากกว่าเดิมหลายเท่านัก เช่นนี้คงดีท่านแม่จะได้เลิกด่าว่าเขาเสียทีว่าเป็นคนไม่เอาไหน...ชายหนุ่มนึกคิดในใจ

    ชายหนุ่มมีแผนการในใจแต่กลับทำท่าทีเหมือนไม่แน่ใจ

    "แม่นางไก่ในหมู่บ้านข้าหากโตพอที่จะขายได้ จะมีพ่อค้าจากต่างเมืองมากว้านซื้อไปหมด แต่ที่โรงเลี้ยงไก่ที่บ้านข้ายังพอมีเหลือตามที่เจ้าต้องการ ราคาอาจจะเพิ่มมากขึ้นหน่อย ไม่ทราบว่าแม่นางสนใจอยากไปดูก่อนหรือไม่"

    ใบหน้าของนักธุรกิจสาวจากโลกอนาคตเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ภายในหัวของเธอกำลังคำนวณกำไรต้นทุนทั้งหมดไว้แล้ว

    เธอมาซื้อถึงที่ยังคิดจะราคาเพิ่มอีกหรือ คิดว่าเธอโง่หรืออย่างไรกัน

    "ที่ตลาดในเมืองขายไก่หนึ่งตัวสิบห้าอีแปะ แล้วท่านจะขายให้ข้าราคาเท่าไหร่หรือเจ้าคะ"

    "ข้าให้เจ้าราคาสิบสามอีแปะ"

    มนตราได้ยินราคาก็แทบรับไม่ได้ อย่างน้อยมาซื้อถึงโรงเลี้ยงไก่แล้วมันต้องสักสิบอีแปะสิ

    ตามความทรงจำเดิมในยุคนี้เนื้อไก่มีราคาถูกกว่าเนื้อหมูมาก เนื้อหมูที่ขายอยู่ในตลาดมีราคาสามสิบอีแปะต่อหนึ่งจิน

    เพราะหมูกว่าจะโตใช้เวลานาน ออกลูกแต่ละครั้งได้ไม่กี่ตัว ไม่เหมือนไก่ที่ฟักไข่ได้ทีหลาย ๆ ฟอง อีกทั้งยังโตเร็วลงทุนน้อยแต่ขายคล่อง หากบ้านไหนอยากทำอาหารที่มีเนื้อสัตว์ประกอบ ส่วนใหญ่จะเลือกใช้ไก่กัน

    ชายผู้นี้คิดว่าข้าเป็นเด็กอมมือหรืออย่างไร ถึงกล้าหลอกกันได้!

    "ข้าจะซื้อตัวละสิบอีแปะ หากท่านไม่อยากขายราคานี้ ข้าจะไปถามชาวบ้านคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านของท่านดู ว่าอย่างไรเล่า”

    มนตราลองเสนอดูแต่อีกฝ่ายยังคงเงียบเฉย

    “ถ้าท่านไม่สนใจ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ"

    หูต้าลู่ไม่รอให้น้องสาวออกคำสั่ง รีบบังคับเกวียนเข้าหมู่บ้านทันที

    ชายที่ไม่ยอมขายไก่ในราคาถูกให้มนตราตั้งแต่แรกไม่รั้งเธอเอาไว้ เพราะเขามั่นใจว่าไม่มีใครขายให้สตรีผู้นี้ในราคาต่ำกว่านี้แน่

    มนตราคอยให้พี่ชายบุญธรรมแวะถามทีละบ้าน กลับกลายเป็นว่าทุกคนปฏิเสธหมด เพราะไก่ของพวกเขาตัวเล็กไม่สามารถขายได้ ต่างพากันเสียดายที่เงินก้อนโตมาไม่ถึงบ้านของตน

    หญิงสาวใช้เวลาไม่นานก็เจรจาต่อรองราคากับชายชราคนหนึ่งมาได้ นางตกลงจะซื้อไก่หนึ่งร้อยตัว หากเขาขายให้นางในราคาสิบอีแปะต่อหนึ่งตัว

    หลังจากตกลงราคากันได้ เธอก็ขอให้ชายชราจัดการเชือดไก่ถอนขนออกให้ แล้วนำไปส่งที่หมู่บ้านหนานซีของเธอ ซึ่งชายชราก็ไม่คิดเงินค่าขนของไปส่งเพิ่มเพราะเห็นว่าเธอซื้อเยอะมากแล้ว อีกทั้งระยะทางยังไม่ไกลจากกันนัก

    "หากบุตรชายข้ากลับมาแล้วจะให้เขาจัดการให้เจ้าทันที"

    บุตรชายของชายชราเป็นบัณทิตเป็นที่หมายปองของสาวในหมู่บ้าน แต่เขาไม่เคยชายตามองใครเลย จนบิดาที่อายุมากขึ้นทุกปีหมดหวังแล้วที่จะได้อุ้มหลานก่อนตาย

    ชายชราแอบสังเกตว่าสตรีผู้นี้เป็นคนช่างเจรจามีไหวพริบและความรู้ที่ดีไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบง่าย ๆ แต่น่าเสียดายที่ผอมแห้งเกินไป

    เจ้าลูกบ้างานนั่นคงจะไม่ชอบนาง

    หญิงสาวฉลาดเช่นนี้เหมาะแก่การมาเป็นลูกสะใภ้ของเขายิ่งนัก ต้องไปเรียกยายแก่มาดูเสียแล้ว หากนางถูกใจหญิงสาวผู้นี้ เขาจะได้ลงมือจับคู่หาภรรยาให้กับเจ้าเหยียนซือบุตรชายเพียงคนเดียวของเขาเสีย

    มนตราไม่รู้ว่าชายชราคิดจะจับคู่ให้ตนเอง เมื่อการซื้อขายจบลงเธอก็ขอตัวกลับทันที

    ชายที่ไม่ยอมขายไก่ให้ตั้งแต่แรก เขาปักหลักรอหญิงสาวอยู่ทางเข้าหมู่บ้าน พอเห็นอีกฝ่ายออกมาตัวเปล่าไม่มีไก่ติดเกวียนมาด้วยก็หัวเราะเยาะ

    "เป็นอย่างไรเล่า ไก่บ้านข้าราคาถูกที่สุดแล้ว ตอนนี้เจ้ายังเปลี่ยนใจได้นะแม่นาง"

    มนตราเมินเขาแล้วหันไปบอกให้พี่ชายขับเกวียนผ่านชายผู้นั้นไป ให้เขาไปค้นหาความจริงเอาเองเถิด...รู้ทีหลังย่อมเจ็บหนักกว่า

    จบการเจรจาซื้อวัตถุดิบหลักไปได้ในราคาเพียงหนึ่งตำลึงเงินเท่านั้น ถือว่าราคาสมเหตุสมผล หากนางได้วัตถุดิบครบและนำไปขาย อาจจะตั้งราคาขายถึงตัวละห้าตำลึงเงิน

    กำไรเกินครึ่งเช่นนี้...หนทางรวยมาถึงแล้ว

    "พี่ใหญ่ข้าอยากเข้าเมืองไปซื้อพวกสมุนไพรไว้ใช้ดับกลิ่นคาวเจ้าค่ะ"

    หูต้าลู่ฟังแล้วก็อาสาจะไปซื้อให้เอง

    "เจ้าต้องการอะไรบ้างเล่าน้องรอง"

    ร่างเล็กเอ่ยบอกทุกอย่างที่คิดว่าพอจะหาได้ในยุคนี้ ถึงเครื่องจะไม่ครบตามสูตรที่เธอเคยเรียนมา แต่ถึงอย่างไรความอร่อยย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่สดใหม่และฝีมือคนปรุงอยู่ดี ซึ่งเธอเกือบจะมีมันครบแล้ว

    "ข้าจำได้หมดแล้ว เจ้าเอาแค่พวกสมุนไพรใช่หรือไม่"

    "ขอเหล้าจีนแล้วก็เกลือด้วยเจ้าค่ะ"

    "เจ้ายังเด็กจะดื่มเหล้าแล้วหรือ ข้าไม่อนุญาต"

    "พี่ใหญ่...ข้าจะเอามาทำอาหารเท่านั้น ไม่ได้เอามาดื่มเอง ท่านวางใจได้ ข้าจะไม่แอบดื่มเด็ดขาด"

    แม้ในโลกเดิมที่จากมาเธอโตพอจะดื่มได้แล้วก็ตาม

    หูต้าลู่ขับเกวียนมาจอดหลังร้านอาหารของบิดาก่อนจะไปซื้อของ เขาสั่งให้น้อง ๆ รออยู่ในเกวียนไม่ต้องตามไป

    "รออยู่ตรงนี้ห้ามไปไหนเด็ดขาด"

    "เข้าใจแล้ว พี่ใหญ่ไปเถิด"

    เมื่อพี่ชายไปแล้วมนตราก็หันกลับมาพูดคุยปรับความเข้าใจกับอาเยี่ยนน้อยที่อยู่ข้างกัน

    เมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้ว อาเยี่ยนที่มาด้วยเขาได้ยินว่าพี่สาวสั่งให้เชือดไก่ที่น่าสงสารเหล่านั้น พยายามจะห้ามปรามแต่ถูกปิดตาเอาไว้ไม่ให้เห็น

    มนตรานั้นเข้าใจดีว่าเด็กน้อยยังไร้เดียงสามากเกินไป แต่ทุกครั้งที่บนโต๊ะอาหารมีอาหารจำพวกเนื้อสัตว์เขาก็ฟาดเรียบไม่เหลือ แม้แต่คราบมันบนจานยังแทบไม่มี เพราะเนื้อสัตว์ที่ทำสุกแล้วมันไม่มีชีวิตเด็กน้อยจึงไม่ติดใจ

    "อาเยี่ยนเจ้าฟังที่พี่รองพูดให้ดี สัตว์ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้มันเป็นอาหารของมนุษย์ เจ้ามีความเมตตาสงสารมันเป็นเรื่องที่ดี แต่เจ้าต้องแยกแยะว่าเราจะปล่อยให้สัตว์ทุกตัวหลุดมือไปทั้งหมดไม่ได้ หากท่านพ่อทำแต่ผักให้เจ้ากินทุกมื้อเจ้าชอบหรือไม่เล่า"

    อาเยี่ยนน้อยนั่งกอดอกฟังแล้วส่ายหน้าเบา ๆ

    "แต่พี่รอง...ไก่พวกนั้นมันไม่อยากตาย"

    มนตราหนักใจยิ่งนัก หากน้องชายยังควบคุมพลังตนเองไม่ได้แบบนี้ ในภายภาคหน้ามีแต่เขาที่จะกลายเป็นบ้าเสียเอง ทุกวันนี้แม้กระทั่งยุงที่บินผ่านไปผ่านมาคุยกันเขาก็เข้าใจที่พวกมันสื่อสารกัน

    "อาเยี่ยนเจ้าลองหลับตาดู แล้วนึกถึงแสงเทียนที่ถูกจุดยามค่ำคืน"

    เมื่อบอกปากเปล่าไม่ได้ผล เช่นนั้นเธอจะลองเอาหลักจิตวิทยาจากโลกเดิมเข้าสู้ ต้องทำให้เขามีสมาธิจดจ่อกับสิ่ง ๆ หนึ่ง เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง

    "พี่รอง...อาเยี่ยนไม่ได้ยินอะไรเลย"

    สำเร็จ..เป็นอย่างนี้นี่เอง หากเขาเสียสมาธิจะได้ยินเสียงสัตว์ทุกชนิดพูดคุยกัน แต่หากมีสมาธิไม่วอกแวกเสียงสัตว์เหล่านั้นก็จะหายไป

    เมื่อรู้เช่นนั้นร่างบางจึงสั่งให้เด็กน้อยลองนั่งสมาธิดู จนกว่าจิตใจของเขาจะสงบ อย่างน้อยวันนี้อาเยี่ยนจะได้เรียนรู้ว่า หากเขาไม่อยากได้ยินเสียงเหล่านั้น ขอเพียงแค่ทำสมาธิมีจิตใจตั้งมั่นเสียงเหล่านั้นก็จะหายไป

    หูต้าลู่กลับมาเร็วกว่าที่คิด เพราะของบางอย่างที่น้องสาวต้องการที่ร้านของบิดามีเตรียมไว้อยู่แล้ว เพียงแค่ต้องซื้อเพิ่มไม่กี่อย่างเท่านั้น และเขามาทันได้ยินที่น้องบุญธรรมทั้งสองคุยกันทั้งหมด

    คราแรกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องสาวพูด แต่ก็นึกได้ว่าอาจจะเกิดบางอย่างกับอาเยี่ยนน้อย..

    "อาเยี่ยนฟังที่สัตว์พูดคุยกันเข้าใจอย่างนั้นหรือ..แสดงว่าที่เขางอแงตอนอยู่เล้าไก่เป็นเพราะสาเหตุนี้ เขาได้ยินที่พวกมันพูดคุยกัน"

    หูต้าลู่รู้ดีว่าความสามารถของน้องชายไม่ธรรมดา แต่เขากลับไม่คิดเปิดโปงสองพี่น้อง แต่ช่วยเก็บเป็นความลับแทน

    เขายิ้มแย้มเดินกลับมาที่เกวียนวัว พลางชูถุงขนมในมือให้น้อง ๆ ดู

    "พี่ใหญ่กลับมาแล้ว! พวกเจ้าดูนี่ข้าซื้อขนมมาฝาก"

    อาเยี่ยนน้อยหลุดจากสมาธิ เขาคว้าถุงขนมไปถือเอาไว้แล้วเปิดออกดูเห็นเป็นขนมแป้งทอดที่เขาชอบกินที่สุด

    "อาเยี่ยนจะไม่แบ่งพี่รองหน่อยหรือ"

    เห็นน้องชายเอาแต่จ้องขนมที่อยู่ด้านในถุงกระดาษ เขาคงตัดสินใจไม่ได้ว่าจะแบ่งชิ้นไหนให้กับพี่ ๆ ดี

    เด็กชายตัวน้อยยอมหยิบชิ้นที่ใหญ่ที่สุดส่งให้พี่สาว ก่อนจะหยิบชิ้นที่เล็กที่สุดส่งให้พี่ชาย

    หูต้าลู่ที่เป็นคนซื้อมาทำได้เพียงร้องไห้น้ำตาตกใน เจ้าตัวน้อยของเขายังคงยกให้พี่สาวเป็นที่หนึ่งอยู่เสมอสินะ

    มนตราเดินไปตรวจสอบของที่พี่ชายซื้อมาให้ เห็นว่าวัตถุดิบมีครบแล้วก็ชวนทุกคนกลับบ้านทันที

    พอกลับมาถึงเรือนเธอก็เพิ่งนึกได้ว่าตนลืมซื้อเกวียนวัวเสียแล้ว อย่างไรกลับไปตอนนี้คงไม่ทันจึงปล่อยผ่านไปก่อน กลัวว่าหากเดินทางไปมาไม่จบสิ้นแผนการวางขายไก่ขอทานคงต้องถูกเลื่อนออกไปอีก

    ไก่ที่จัดการทำความสะอาดทั้งหนึ่งร้อยตัวถูกนำมาส่ง ก่อนที่หญิงสาวจะเดินทางกลับมาถึงแล้ว อี้เทียนเห็นบุตรสาวบุญธรรมสั่งไก่มาเยอะก็ตกใจ

    นางเอาไก่มาทำอะไรตั้งหนึ่งร้อยตัว

    "ท่านพ่อข้าจะทำไปฝากท่านเจ้าเมืองกับทหารในเมืองด้วยเจ้าค่ะ หากมันอร่อยพวกเขาจะได้บอกต่อกัน ไก่ขอทานของข้าจะได้มีชื่อเสียงมากขึ้น"

    "เจ้าคิดจะเปิดร้านอาหารจริง ๆ หรือไม่มีสตรีใดเป็นคนทำครัวมาก่อน"

    ร้านอาหารทุกร้านจะเลือกใช้บุรุษเป็นพ่อครัว ไม่รู้ทำไมเหมือนกันมนตราเองก็ไม่เข้าใจ หรือเป็นเพราะบุรุษมีพละกำลังมากกว่า ไม่อ่อนแอเหมือนสตรี ถ้าคิดเช่นนั้นจริง เธอก็อยากจะทำให้ดูว่าสตรีตัวเล็ก ๆ ก็ค้าขายได้เช่นกัน

    "ท่านพ่อข้าอยากลองดู หากไม่ลงมือทำจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะไหวหรือไม่ไหวกันแน่ หากคนเรามีความตั้งใจมากพอ ไม่ว่าจะขาดทุนสักเท่าไหร่ก็ถือเสียว่าเป็นบทเรียนชีวิต"

    แน่นอนว่าในโลกเดิมเธอก็มีหลักการเช่นนี้ยึดนำต่อการทำธุรกิจ และมันก็ประสบผลสำเร็จดีเสียด้วย จึงอยากนำมาปรับใช้อีกครั้งในโลกนี้

    อี้เทียนลูบหัวบุตรสาวบุญธรรมอย่างเอ็นดู เขาเห็นความมั่นใจที่มีอยู่เต็มเปี่ยมของนาง ก็พอจะทำนายอนาคตล่วงหน้าได้แล้ว

    ร้านขายไก่ย่างของบุตรสาวข้าจะต้องโด่งดังไปทั่วแคว้นหมิงแน่นอน

    การค้ายังไม่ทันเริ่มคนเป็นพ่อก็ยกยอบุตรสาวขึ้นฟ้าเสียแล้ว...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×