ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านพี่เจ้าขา ข้าอยากรวย (จบแล้ว) มีE-BOOK

    ลำดับตอนที่ #14 : เจอแล้วสิ่งที่ตามหา

    • อัปเดตล่าสุด 24 ธ.ค. 66


    บทที่ 14 เจอแล้วสิ่งที่ตามหา

    ระหว่างที่พี่ชายกำลังห่วงเรื่องของกินจนถูกมารดาทำโทษ ตงซิ่วก็ก้มมองรูปที่มารดาวาด แล้วหันมองไปยังทิศทางหนึ่ง เขาพอจะรู้แล้วว่ามันอยู่ตรงไหน

    จุดที่มารดาต้องการอยู่ไม่ไกลจากจุดนี้เท่าไหร่นัก เป็นจุดที่ไม่มีใครขึ้นไปเพราะเคยมีชาวบ้านไปผูกคอตายอยู่แถว ๆ นั้นมากกว่าสิบศพแล้ว เขารู้แต่ไม่คิดจะบอกมารดาเรื่องคนตาย

    “ท่านแม่ข้ารู้แล้วขอรับว่าจุดที่ท่านพูดถึงอยู่ตรงไหน ตามข้ามา”

    ฟางเหนียงหยุดตีลูกคนโต แล้วเดินตามลูกคนรองไป เดินไม่ถึงยี่สิบก้าวด้วยซ้ำนางก็มาหยุดอยู่ตรงลานกว้างกลางป่า เป็นจุดเดียวกับที่ฝันถึง แต่บรรยากาศเย็นยะเยือกดีจริง ๆ

    “ใช่แล้ว! ตรงนี้แหละ มองไปยังทิศดาวเหนือจะพบกับหน้าผาที่โผล่ออกมา นั่นไงเขาลูกนั้น ไปกันเถอะลูก”

    หญิงสาวดีใจมากนึกว่าต้องเดินตามหานานเสียอีก ที่ไหนได้ภูเขาเป้าหมายอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่งานหยาบอยู่ตรงที่ต้องเดินขึ้นเขาสูงชันไปด้านบน ไม่มีใครทำทางไว้ให้ ต้องบุกป่าฝ่าดงไปเอง

    “ท่านแม่ไหวหรือไม่ขอรับ?”

    เซี่ยเหิงไม่เหนื่อยเลยสักนิด เขาตัดเถาวัลย์ช่วยกันสองคนกับน้องชาย เอามามัดกับต้นไม้เป็นทางให้มารดาปีนตามขึ้นมา

    ฟางเหนียงเหนื่อยจนขาลาก เมื่อขึ้นมาได้ก็นั่งแหมะอยู่ที่พื้น

    “ไม่ไหว ๆ ขอพักกินน้ำก่อนสักครู่”

    [นายหญิงต้องการน้ำอัดลมหรือไม่เจ้าคะ ช่วงนี้ห้างตัวเลขหนึ่ง ๆ กำลังลดราคาอยู่พอดี ขวดละยี่สิบอีแปะเจ้าค่ะ ที่สำคัญมีน้ำแข็งให้พร้อม อากาศร้อน ๆ เช่นนี้ต้องดื่มน้ำเย็น ๆ ให้ชื่นใจเจ้าค่ะ]

    ระบบแจ้งเตือนขึ้นมาอย่างรู้งาน เสนอขายสินค้าเหมือนตัวเองได้ส่วนแบ่ง ฟางเหนียงเหลือบมองลูก ๆ ที่ยืนหันหลังให้นางอยู่

    “ยังก่อน พวกเขามองข้าอยู่ ค่อยไปแอบกินในห้องคนเดียว”

    [สินค้าจะหมดโปรโมชันในอีกหนึ่งชั่วยามแล้วนะเจ้าคะ นายหญิงไม่สนใจจริง ๆ หรือ? จะซื้อฝากไว้ก่อนก็ได้เจ้าค่ะ]

    “เฮ้อ ขายเก่งนัก เช่นนั้นเอามาหนึ่งลังแล้วกัน”

    [รับทราบเจ้าค่ะ ติ๊ด]

    พูดให้อยากแล้วจากไปอย่างเลือดเย็น มาหลอกขายกันชัด ๆ เลย แต่ขายทั้งทีก็ช่วยดูสถานการณ์ด้วยว่าข้ากินได้หรือไม่ เจ้าระบบซื่อบื้อเอ๊ย!

    เมื่อนั่งพักครบหนึ่งเค่อ ฟางเหนียงก็ออกเดินทางต่อ เพราะต้องรีบกลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ตอนนี้ไม่มีสัตว์ป่าดุร้ายออกมาให้เห็น แต่ถ้ากลางคืนก็ไม่แน่ พวกมันอาจจะออกมาหากินก็ได้

    “ท่านแม่นั่นต้นขนกระต่ายขอรับ มันเป็นสมุนไพรระดับกลาง แต่หายากพอสมควร ไม่คิดเลยว่าจะมาขึ้นบนเขาใกล้บ้านเรา”

    “ต้นขนกระต่ายหรือ?”

    “ขอรับ สรรพคุณของมันอัดแน่นไปด้วยพลังปราณ ส่วนใหญ่จะนำมาตากแห้งบดละเอียดทำเป็นยาลูกกลอน ขวดหนึ่งขายได้สามสิบตำลึงเงินเชียวนะขอรับ น่าเสียดายนัก วัตถุดิบอีกอย่างคือนกน้ำค้างที่ต้องใช้ควบคู่กันหายากยิ่งกว่า”

    ตงซิ่วชี้ไปที่พุ่มหญ้าที่ซ่อนอยู่ใต้ซอกหินช่องเล็ก ๆ เขาตาดีมากมันแอบอยู่ของมันดี ๆ ก็ดันถูกมนุษย์ถอนรากถอนโคน

    แต่ฟางเหนียงมองอย่างไรมันก็คือหญ้าธรรมดา ๆ ชัด ๆ

    “ถ้าเจ้ามั่นใจว่ามันคือสมุนไพรก็เก็บเอาไปขายสิ เงินทั้งหมดเป็นของเจ้าเพราะเจ้าเป็นคนเจอ แต่ต้องรับผิดชอบหาที่ขายเองนะ”

    “ขอรับ ข้าจะเอาไปตากแห้งไว้ก่อน ท่านเข้าเมืองเมื่อไหร่ก็ค่อยเอาไปขายก็ได้ เงินทั้งหมดข้ายกให้ท่านแม่”

    เซี่ยเหิงเดินถอยหลังกลับมาแย่งน้องชายเก็บสมุนไพรไปได้สองต้น เขายัดเก็บใส่แขนเสื้อทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่มารดาน่ะเห็นเต็มสองตา

    ฟางเหนียงส่ายหน้า คิดว่าบุตรชายคนโตต้องการหาเงินเก็บไว้เป็นค่าสินสอดสู่ขอสะใภ้เข้าบ้านละมั้ง

    ระหว่างทางขึ้นเขาก็เจอสมุนไพรอยู่หลายชนิด ฟางเหนียงไม่รู้จักเลยสักอย่าง แต่ย่ามของบุตรชายคนรองอัดแน่นไปด้วยสมุนไพรเหล่านั้น

    แขนเสื้อเขาไม่มีที่ว่างเหลือแล้ว นางจึงต้องช่วยเก็บสมุนไพรใส่เสื้อของตัวเองให้เขาด้วย

    “แม่ว่าเราเลิกเก็บสมุนไพรก่อนดีกว่า ภูเขาลูกนี้อยู่ไม่ไกลจากบ้านเจ้า หากจะมาเก็บเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ อย่างไรป่าแถวนี้ก็คงไม่มีคนนอกผ่านเข้ามาอยู่แล้ว วันนี้เก็บแต่พอดีก่อนเถอะ”

    “ขอรับท่านแม่”

    ฟางเหนียงไม่รู้หรอกว่าสมุนไพรที่เก็บ ๆ มานี้ นำไปขายได้เป็นเงินหลายสิบตำลึงเงินเชียว เช่นนั้นตงซิ่วและเซี่ยเหิงจึงพอใจแล้ว

    ทว่าสามแม่ลูกไม่มีทางรู้เลยว่า หลังจากนี้บนภูเขาลูกนี้จะไม่พบเจอสมุนไพรอีกแล้ว ต่อไปจะมีแต่สมุนไพรทั่วไปขึ้นเต็มไปหมด นำไปขายก็ไม่ได้ราคาเหมือนสมุนไพรที่พวกเขาเก็บได้วันนี้

    เมื่อเดินขึ้นเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าผา มองลงไปเบื้องล่างก็เห็นหมู่บ้าน ธารน้ำ และธรรมชาติแวดล้อม เป็นภาพที่งดงามมาก

    ชีวิตในชาติก่อนเจอแต่มลพิษ แม้จะได้อาศัยอยู่บนตึกสูงระฟ้า มองเห็นวิวสวยก็จริง แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับความงามของภาพเบื้องหน้า

    ดวงตาเปรียบเสมือนกล้องชั้นดี

    สมองเปรียบเสมือนหน่วยเก็บความจำ

    ข้าจะจดจำภาพเหล่านี้ไว้ในความทรงจำไม่ลืมเลือน

    นางยืนกางแขนหลับตารับลมเย็น รู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

    “ท่านแม่แล้วถ้ำที่ว่าอยู่ตรงไหนหรือขอรับ?”

    สองพี่น้องมองหาถ้ำแต่ไม่พบ ฟางเหนียงจึงหันหลังกลับไปมอง ถ้ำในความฝันอยู่หลังม่านเถาวัลย์ธรรมชาตินั่นเอง

    นางหาทางเข้าไปด้านในจนเจอ แต่มันเป็นทางหมาลอดน่ะสิ

    อีกทั้งยังมีเถาวัลย์เกาะกันหนาแน่นมาก แข็งแรงยิ่งกว่ากำแพงเมืองเสียอีก คงต้องหาจุดที่อ่อนแอตรงด้านล่างให้เจอ

    ควานหาไปสักพักก็เจอจุดนุ่มนิ่มพอตัดได้ หญิงสาวใช้ขวานที่พกมาจามเปิดทางให้เป็นรูใหญ่ พอให้เอาตัวลอดเข้าไปได้

    “เจ้าใหญ่เข้าไปก่อน”

    “…”

    เซี่ยเหิงชี้นิ้วเข้าหาตัว เขายืนเป็นผู้ชมที่ดีอยู่ตั้งนาน นึกว่ามารดาจะเสี่ยงเขาไปก่อน แต่นางกลับพยักเพยิดหน้าให้เขาเข้าไปคนแรกเนี่ยนะ

    “ใช่แล้ว เจ้านั่นแหละเข้าไปก่อน”

    “ให้น้องรองเข้าไปก่อนไม่ได้หรือขอรับ”

    ทางด้านตงซิ่วกำลังตากสมุนไพรที่เก็บมาอยู่ รีบโบกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่ว่างไปอาสาบุกเบิกทางให้

    เซี่ยเหิงจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามที่มารดาสั่ง

    ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยรู้เลยว่าตรงนี้มีถ้ำ พอมารดาฝันว่ามีก็ลากเขามาสำรวจและก็เจอจริง ๆ ด้วย แต่เขากลัวว่าด้านในจะมีศพคนตายอยู่น่ะสิ

    ไม่แปลกหรือที่อยู่ ๆ มารดาจะอยากมาเยือนที่นี่ มันเหมือนกับว่ามีคนมาขอความช่วยเหลือผ่านความฝันอย่างไรอย่างนั้น

    หลังจากส่งบุตรชายเข้าไปแล้ว ฟางเหนียงก็คลานตามเข้าไปติด ๆ ไม่ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว

    ภายในถ้ำไม่ได้มืดอย่างที่คิด ด้านบนถ้ำมีรูขนาดใหญ่เปิดช่องให้แสงส่องลงมา ภายในถ้ำไม่ได้ลึกมาก เป็นเสมือนห้องโถงเท่ากับบ้านหลังหนึ่ง ไม่มีทางเชื่อมทะลุไปยังจุดอื่น

    เช่นนั้นแล้วหากเข้ามาทางไหน ก็ต้องกลับออกไปทางนั้น หรือไม่ก็ต้องปีนกำแพงไปออกทางรูเล็ก ๆ ด้านบนถ้ำ

    “ท่านแม่ตรงนั้นมีหีบอยู่ หรือว่ามันจะเป็นสมบัติอย่างที่ท่านคิด”

    เซี่ยเหิงเหลือบไปเห็นกล่องขนาดไม่ใหญ่มาก วางซ้อนกันอยู่ตรงมุมถ้ำก็รีบวิ่งไปเปิดดู ทว่าไม่เห็นจะมีของมีค่าใด ๆ มีเพียงตำรามากมายและอาวุธที่ใช้ในการออกรบ

    ดูเหมือนว่าจะเป็นของทหารโบราณสักยุคสมัยหนึ่ง ที่นำมาแอบซ่อนไว้จนถูกหลงลืม น่าแปลกที่ของทุกอย่างยังดูใหม่เอี่ยม ต่างจากสภาพของหีบที่ผุพังไปตามกาลเวลา

    [นายหญิงมองขึ้นไปด้านบนสิเจ้าคะ ตรงกำแพงที่คุณชายใหญ่เจอสมบัติจะมีช่องเล็ก ๆ ซ่อนอยู่เจ้าค่ะ]

    [แหวนคือสิ่งที่ท่านเจ้าป่ามอบให้ท่าน สมุนไพรและตำรามอบให้คุณชายรอง และอาวุธมอบให้กับคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ]

    “ฮะ?”

    “พวกมันมีจิตวิญญาณ และจะสื่อสารกับเจ้านายที่พวกมันเลือกเองเจ้าค่ะ]

    “ท่านแม่ดาบมันเปล่งแสงขอรับ โอ๊ย! เสียงอะไรอยู่ในหัวข้า!”

    สิ้นเสียงของระบบ เซี่ยเหิงก็สะดุ้งตัวโยนวิ่งมาหลบอยู่ด้านหลังมารดาชี้ให้นางดูในหีบ แต่ในสายตาของฟางเหนียงดาบก็วางอยู่ที่เดิม ไม่มีแสงหรือเสียงตามที่บุตรชายพูดถึง

    “เจ้าใหญ่ใจเย็น ๆ แล้วลองเปิดใจรับฟังมันดู แม่ไม่ได้ยินในสิ่งที่ดาบพูดกับเจ้า แต่แม่เชื่อว่าของโบราณเหล่านี้ ล้วนมีจิตวิญญาณซ่อนอยู่ และมันรอคอยเจ้านายกลับมาหา อย่าได้กลัวไปเลย”

    ฟางเหนียงยังไม่ไปหาของตามที่ระบบชี้นำ แต่ช่วยปลอบใจบุตรชายให้เปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ ดูก่อน เพราะรู้จักนิสัยเขาดีว่าดื้อด้านเพียงใด

    เขานิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นก็เดินไปจับดาบขึ้นมา แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้เจ้าหนุ่มกรีดนิ้วกับคมดาบ จนปรากฏเป็นรอยเลือดไหลยาว

    รอยเลือดซึมเข้าสู่ดาบ จนมันหดตัวกลายเป็นมีดสั้นพอดีมือ แสงวาววับจากอาวุธชิ้นอื่นพลันดับแสง

    เซี่ยเหิงได้ดาบมาหนึ่งเล่ม...

    “ดีมาก ท่านแม่นี่คือของวิเศษใช่หรือไม่ขอรับ”

    “ใช่แล้ว ท่านเจ้าป่าของที่นี่มอบให้เจ้า ขอบคุณท่านเสียสิ”

    เด็กหนุ่มรีบทำตามทันที เขาทรุดตัวคุกเข่ากราบไหว้ฟ้าดินสรรเสริญขอบคุณยกใหญ่

    นี่ถือเป็นเรื่องเปิดประสบการณ์เขามาก ดาบเล่มนี้มันสามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธได้ดั่งใจนึก ต่อจากนี้ไปมันจะช่วยสอนวิชาต่อสู้ให้กับเขา

    ฟางเหนียงตั้งใจฟังในสิ่งที่บุตรชายเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น นางเน้นย้ำให้เขาตั้งใจเรียน และนำวิชาความรู้มาปกป้องครอบครัวและช่วยเหลือผู้อื่นต่อ

    อย่าได้นำดาบไปใช้ในทางที่ผิด

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×