ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านพี่เจ้าขา ข้าอยากรวย (จบแล้ว) มีE-BOOK

    ลำดับตอนที่ #12 : ตัดขาดครอบครัวเดิม

    • อัปเดตล่าสุด 24 ธ.ค. 66


    บทที่ 12 ตัดขาดครอบครัวเดิม

    หยางชุนไป่กระทืบเท้าอย่างขัดใจ เขากลับบ้านไปตามมารดามาจัดการกับฟางเหนียง

    กะให้มารดาสั่งสอนให้นางหลาบจำว่า ไม่ควรมาอวดดีกับคนสกุลหยาง ทว่าคนที่ตกเป็นเป้าหมาย ตอนนี้กำลังสำรวจที่ดินของตัวเองไปพลาง ๆ ก็รู้สึกคันหูเหมือนมีคนพูดถึง แต่ไม่ได้สนใจใช้นิ้วเกา ๆ ก็หายแล้ว

    ที่ดินผืนนี้ของสามีอยู่ติดกับป่า ติดกับลำธาร เป็นทำเลที่ดีมาก ๆ เลยทีเดียว หญิงสาวนั่งพักเหนื่อยอยู่ใต้ต้นไม้ มองไปที่กลางลำธาร จุดที่มีคนพบร่างของนางลอยตามน้ำมาติดอยู่บนโขดหินกลางน้ำ

    ฟางเหนียงเอ๋ย...ที่ผ่านมาเจ้าน่าจะรู้ผลการกระทำของตัวเองดี ในเมื่อตายไปแล้วก็อย่าได้กลับมาอีกเลย ร่างนี้ข้าขอยึดไว้แต่เพียงผู้เดียว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่ถูกกำหนดมาก่อนหน้าที่เจ้าและข้าจะเกิดเสียอีก

    อีกอย่างสิ่งที่เจ้าไม่เคยทำในฐานะแม่ที่ดี ข้าคนนี้จะช่วยสานต่อให้เอง ไปสู่ภพภูมิที่ดีนะ

    ใครจะไปรู้เล่าว่า....บางทีฟางเหนียงอาจจะไปอยู่ในร่างของมรกตที่ถูกรถชนจนเสียโฉมแล้วก็ได้ แต่เสียโฉมแล้วอย่างไร ในเมื่อที่บ้านมีฐานะมากพอให้นางศัลยกรรมหน้าใหม่ได้สบาย

    ตงซิ่วสังเกตเห็นมารดาดูผิดปกติ เอาแต่มองผิวน้ำที่ไหลผ่านไม่ขยับมาสักพักแล้ว กลัวว่านางจะเศร้าเรื่องที่คนใจร้ายนั้นพูดออกมา

    เรื่องนี้เขาไม่เคยรู้มาก่อน ท่านแม่เคยผิดหวังเรื่องครอบครัวมาก่อนนี่เอง นางถึงได้ใจร้ายกับพวกเขา และเขาก็รู้แล้วว่าสิ่งที่นางต้องการมาตลอด ก็คือความรักจากคนในครอบครัว

    ถ้าฟางเหนียงคนใหม่ได้ยินสิ่งที่ลูกคิดคงตอบเขาไปแล้วว่า...

    มันคือสันดานค่าคุณลูก ยิ่งตัวเองไม่ได้ความรักอย่างที่หวัง ก็ต้องมอบความรักให้กับลูกของตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่ทำร้ายลูกของตัวเอง

    มารดาของเจ้านึกถึงแต่ตัวเอง จนเป็นสันดานไปแล้วค่าลูกรอง

    “ท่านแม่ขอรับท่านเสียใจหรือไม่”

    “หืม เรื่องอะไรหรือ?”

    “เรื่องที่ท่านไม่ใช่คนของตระกูลหยาง”

    “อ๋อ ฮ่า ๆ จะเสียใจทำไมเล่า แม่รู้สึกดีเสียอีกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น ที่แม่นั่งคิดตอนนี้คือจะหามูลสัตว์มาจากไหน เพื่อปรับหน้าดินใหม่น่ะ ไม่ได้คิดถึงคนไร้ค่าพวกนั้นหรอก”

    “...ขอรับ”

    “เงินของเราเหลือไม่มากแล้วด้วย จะซื้อเขาก็สิ้นเปลืองเปล่า ๆ”

    [นายหญิงไม่ต้องกังวลใจไป คืนนี้ข้าน้อยจะสื่อสารกับสัตว์ป่าบนภูเขา ให้มาขับถ่ายที่ไร่ของท่าน แลกกับผลผลิตที่มีอยู่แล้วดีหรือไม่เจ้าคะ]

    “ฮะ เจ้านี่มีเงียบ ๆ อีกแล้วนะ แต่ก็เอาตามนั้นแล้วกัน”

    อย่างไรข้าก็ไม่ได้ต้องการผักเหี่ยว ๆ อยู่แล้ว

    “อะไรนะขอรับท่านแม่ ข้าไม่ได้ยิน”

    ตงซิ่วได้ยินไม่ชัดว่ามารดาพูดอะไร เขาเห็นนางเงียบไปสักพักจู่ ๆ ก็พูดคนเดียว แต่มารดาทำเพียงยิ้มตอบเท่านั้น

    ฟางเหนียงเหนื่อยล้าอยากนอนพักผ่อน ร่างกายนี้จะว่าแข็งแรงก็แข็งแรงอยู่ แต่นอนหลับไม่ได้สติมาหลายวัน พอตื่นขึ้นมาก็ฝืนร่างกายทำงานหนักจนร่างกายประท้วงให้พักผ่อนบ้าง

    หากไม่อยากนอนติดเตียงยาว ๆ น่ะนะ

    “ไม่มีอะไร รีบกลับบ้านกันดีกว่า แม่อยากนอนกลางวันพักผ่อนเอาแรงสักหน่อย จริงสิหากแม่จำไม่ผิด เจ้าบอกว่าหมู่บ้านใกล้ ๆ ถ้าจะไปใช้เวลาเดินเท้าหนึ่งวันไม่ใช่หรือ”

    “ขอรับ”

    “เอ แต่เมื่อวานพี่ชายของเจ้าออกไปซื้อของเร็วนัก”

    “อ้อ หมู่บ้านที่พี่ใหญ่ไปซื้อของ ก็คือหมู่บ้านกวางน้ำของเราเหมือนกันขอรับ แต่เป็นหมู่บ้านที่แยกตัวออกไปอยู่ไม่ไกลกันนัก เป็นหมู่บ้านหลักที่ผู้คนอาศัยอยู่ติด ๆ กัน”

    “ส่วนหมู่บ้านที่เราอยู่นั้นเป็นพื้นที่ทำเกษตร บ้านแต่ละหลังจะอยู่ห่างกัน พื้นที่แถบนี้มีครอบครัวไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นไร่นาขอรับ”

    “อ้อ แม่เข้าใจแล้ว”

    คนของตระกูลหยางน่าจะมาในอีกสองวันข้างหน้า เร็วสุดก็วันพรุ่งนี้ ฟางเหนียงจึงขอนอนเอาแรงก่อน

    ผ่านไปหลายชั่วยามนางก็ตื่น แต่ไม่ยอมพักรบเร้าบุตรชายจะเข้าไปสำรวจด้านในป่าให้ได้ แต่ไปแล้วก็ได้แค่ผลไม้ป่าติดมือกลับมา ไม่เจอสมุนไพรล้ำค่าอย่างที่คิดไว้

    อาหารเย็นวันนี้ไม่อลังการเหมือนเมื่อวาน ฟางเหนียงทำเพียงบะหมี่น้ำต้มยำให้ลูก ๆ กิน มีแม่สามีมาช่วยนวดเส้นให้ เพราะถูกลูกสะใภ้ขอร้องให้มาช่วย

    ก็แหม เรื่องนี้มันออกจะเกินความสามารถของอดีตคุณหนูบ้านรวยจริง ๆ นางทำอาหารอื่น ๆ ได้ แต่ทำเส้นเองไม่เป็นน่ะสิ

    “ท่านแม่!!!”

    สักพักก็ได้ยินเสียงร้องเรียกตะโกนดังลั่นบ้าน ฟางเหนียงกำลังนั่งสระผมให้กับบุตรชายตัวน้อยอยู่ หันไปมองตามเสียงก่อนจะกลับมาขยี้ผมเจ้าตัวน้อยต่อ

    นางชินแล้วกับนิสัยเล่นใหญ่ของบุตรชายคนโต เวลามีเรื่องอะไรก็ชอบส่งเสียงดังโวยวายมาก่อนตัว

    เซี่ยเหิงเอาเนื้อตุ๋นไปให้บ้านใหญ่ตามที่มารดาสั่ง ระหว่างทางกลับแอบแวะไปดูที่ไร่ ก็เห็นว่าที่ดินเต็มไปด้วยมูลของสัตว์ป่า มีร่องรอยฝีเท้าน้อยใหญ่เหยียบย่ำบนดิน

    หน้าดินถูกพลิกผสมกับมูลสัตว์เรียบร้อย พร้อมทำการเพาะปลูก

    เขาจะไม่แปลกใจเลย หากที่ดินของท่านลุงจะเป็นเหมือนกัน แต่ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินี้ มีแค่ที่ดินของเขาที่เดียวเท่านั้น!

    “ท่านแม่ที่ดินของเรามีมูลสัตว์มากมายเลยขอรับ~”

    เด็กชายวิ่งมาหามารดาชี้นิ้วเล่าเรื่องราวด้วยความตื่นเต้น เขาพูดเหมือนแร็ปให้มารดาฟัง ฟางเหนียงเองก็ปล่อยให้บุตรชายพูดไปจนกว่าเขาจะพอใจ

    พลังของเด็กหนุ่มที่ใกล้จะเข้าสู่วัยรุ่นมีล้นเหลือ ครั้งหน้าคงต้องให้เขาเข้าป่าไปกับบิดาแล้ว ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไว้ให้มาก ๆ จะได้รู้ว่าการเป็นผู้นำครอบครัวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

    “อืม แม่เข้าใจแล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดาลูก ที่ไร่ของคนอื่นเพิ่งจะเก็บเกี่ยวข้าวไป สัตว์ป่าไปที่ไร่ของเขาก็หาอะไรกินไม่ได้ แต่ที่ดินของเรามีผักปลูกอยู่ พวกมันคงลงมาหาอะไรกิน”

    “หา?”

    “พอพวกมันอิ่มท้องแล้ว ก็ขับถ่ายทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น เจ้าจะตื่นเต้นกับเรื่องแค่นี้ไปทำไมกัน”

    “จริงด้วย ข้าเห็นน้องรองบอกว่า ท่านแม่บ่นอยากได้มูลสัตว์มาถมใส่ที่ดินของเรา แต่ยังไม่ทันลงมือก็มีมูลสัตว์โผล่มาจริง ๆ ข้านึกว่าท่านแม่สั่งให้พวกมันมา แต่ที่ท่านแม่พูดมาก็มีเหตุผล เป็นข้าที่ตื่นตูมไปเอง”

    ฟางเหนียงโน้มน้าวให้ลูกเชื่อตามที่พูด เซี่ยเหิงเชื่อจริง ๆ ว่าเป็นอย่างที่มารดาพูด อีกอย่างที่ดินคนอื่นก็ปลูกข้าวกันหมด คงไม่มีอะไรให้สัตว์พวกนั้นกิน แต่ที่ดินของเขาปลูกผักมากมาย คงเป็นตัวล่อพวกมันมา

    “วันนี้ลุงของเจ้าจะมาสร้างเล้าไก่ให้นี่ ลูกคอยช่วยท่านลุงไปนะ แม่จะเข้าไปดูไร่ของเราสักหน่อย เจ้ารองถ้าเช็ดผมเสร็จแล้ว พาน้องไปเล่นกับเพื่อน ๆ ในหมู่บ้านก่อน ส่งน้องเสร็จแล้วลูกมาช่วยงานที่บ้านต่อ”

    “ขอรับท่านแม่”

    “แม่ว่าเล้าไก่นี่เราสร้างให้ไกลจากตัวบ้านดีกว่า ไปสร้างใกล้กับลำธารได้ยิ่งดี แม่กลัวกลิ่นมันลอยเข้าบ้าน”

    ฟางเหนียงไม่ไว้ใจบุตรชายคนโต รายนั้นถนัดแต่ใช้แรงทำงาน ส่วนบุตรชายคนรองก็ใช้สมองเก่ง แต่ใช้แรงงานมากไม่ได้เดี๋ยวเป็นลม

    “ขอรับท่านแม่”

    เมื่อวานฮูหยินผู้เฒ่าบอกไว้ว่า จะให้บุตรชายคนโตมาช่วยสร้างเล้าไก่ให้ ไก่จะได้มีที่อยู่ไม่เตลิดหนีหายเข้าไปในป่า ฟางเหนียงก็ไม่ปฏิเสธน้ำใจ แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะตอบแทนให้ภายหลัง

    ร่างอวบอ้วนแบกพุงสี่ชั้น มุ่งหน้าไปที่ไร่ของตัวเองเพื่อทำการบางอย่าง ชาวบ้านอยู่ในระหว่างพักผ่อน หลังทำการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ไปก็พักอยู่ในบ้านทั้งวัน ไม่มีใครอยู่ที่ไร่เลยแม้แต่คนเดียว

    [นายหญิงเมล็ดพันธุ์แตงโมลูกใหญ่หวานฉ่ำ ไม่มีเม็ด ปลูกแล้วสามารถเก็บเกี่ยวได้ภายในหนึ่งเดือน ข้าน้อยหามาให้ท่านได้แล้วเจ้าค่ะ]

    [แต่ขอแจ้งไว้ก่อนว่า ถ้าท่านเอาไปปลูกในที่ดินอื่น ที่ไม่ใช่ชื่อของท่าน มันจะกลายเป็นแตงโมธรรมดา เนื้อสีแดงน้อยไม่ค่อยอร่อยเจ้าค่ะ]

    เมื่อคืนก่อนนอนฟางเหนียงสั่งซื้อเมล็ดแตงโมกับระบบไว้ มันเริ่มมาจากนางถามบุตรชายคนรองว่า ผลไม้อะไรที่ตอนนี้หากินยาก เขาบอกมาว่าคือผลเนื้อแดง

    เด็กชายบอกว่าเคยได้ยินแต่ชื่อ ยังไม่เคยเห็นมันมาก่อน นางจึงมาประมวลผลเองว่า ผลไม้ที่มีเนื้อสีแดงคงหนีไม่พ้นแตงโม

    “เข้าใจแล้ว หักเงินในส่วนที่ยืมไว้ได้เลยนะ”

    [เมล็ดพันธุ์ทางระบบไม่คิดเงินเจ้าค่ะ จะคิดเฉพาะที่เป็นสิ่งของมีมูลค่าเท่านั้น]

    “ดีเลย ขอบใจมาก”

    “เอ๊ะ จริงสิ ถ้าไม่คิดเงินงั้นขอเมล็ดพันธุ์มะม่วงกับองุ่นด้วยสิ”

    [ได้เจ้าค่ะนายหญิง]

    มืออวบอ้วนควานหาห่อผ้าเมล็ดพันธุ์แตงโต ที่อยู่ในแขนเสื้อตามสัญชาตญาณแล้วเจอจริง ๆ ด้วย

    นางไม่รอช้ารีบหว่านเมล็ดพันธุ์โปรยลงดิน ไม่ต้องนั่งขุดหลุมหย่อนเมล็ดทีละหลุมให้เหนื่อย คืนนี้เหล่าสัตว์ป่าคงจะลงมาเหยียบย่ำหน้าดินให้ เป็นบริการพิเศษที่ระบบมอบให้

    หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนที่ดินสี่ห้าหมู่ของบ้านสาม จะมีผลแตงโมเนื้อแดงเติบโตเต็มไปหมดให้เก็บเกี่ยว

    ผู้พบเห็นจะคิดว่าพวกมันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ความจริง คือฟางเหนียงนั่นเอง

    เวลาล่วงเลยผ่านมาหลายวัน คนตระกูลหยางก็ยังไม่โผล่ออกมาอาละวาดใส่ฟางเหนียง ตามที่หลายคนคาดการณ์ไว้

    ชาวบ้านนึกว่าระหว่างที่พวกเขาพักผ่อนจากการทำไร่ คงจะมีเรื่องสนุกให้รับชม น่าเสียดายที่มันไม่เป็นอย่างนั้น

    มีเพียงคนส่งจดหมายมาให้ฟางเหนียงเท่านั้น เนื้อหาในจดหมายบอกไว้ว่า คนตระกูลหยางจะทำตามที่นางบอกทุกอย่าง และฝากถุงเงินสิบตำลึงเงินมาให้ด้วย

    ฟางเหนียงรับจดหมายมาอ่าน ไม่เข้าใจว่าทำไมคนพวกนั้นถึงได้ยอมง่ายเช่นนี้ นางจึงถามชาวบ้านที่ถูกจ้างวานให้มาส่งจดหมาย ด้วยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเขาถึงไม่มาด้วยตัวเอง

    ชาวบ้านคนนั้นลังเลเล็กน้อย สุดท้ายพอเห็นเงิน ก็ยอมเปิดปากเล่าให้ฟังอย่างออกรส

    เรื่องมีอยู่ว่า...หลังจากที่หยางชุนไป่เดินกลับบ้านด้วยสภาพอ่อนแรง ชาวบ้านก็ได้ยินเสียงมารดาของเขาร้องตะโกน เหมือนต้องการเอาเรื่องใครสักคน

    เสียงสาปแช่งก่นด่าของหญิงชราดังมาก จนทำให้ระบบที่แอบฟังอยู่ไม่พอใจ ต้องการแก้แค้นแทนนายหญิงตน

    [งูใหญ่ตื่นขึ้นมาได้แล้ว เจ้าจะจำศีลอีกกี่สิบปีกัน ลุกขึ้นมาล้างแค้นให้นายหญิงสิ!]

    สักพักคนในบ้านก็วิ่งหนีตายออกมา เมื่อมีงูใหญ่โผล่ขึ้นมาจากดินไล่ฉกพวกเขา มีคนถูกกัดนอนหายใจรวยรินอยู่ในบ้าน เขากลายเป็นอัมพาตขยับไม่ได้ไปทั้งตัวตั้งแต่วันนั้น

    ทว่าระบบไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น เพราะอีกสามเดือนเขาจะค่อย ๆ กลับมาเดินได้ตามปกติ

    ครอบครัวเดิมของฟางเหนียงไร้ที่อยู่ชั่วคราว เพราะไม่มีใครกล้าเข้าไปไล่งูที่นอนขดอยู่กลางลานบ้าน จึงไปขออาศัยอยู่กับญาติพี่น้อง

    แต่ไม่ทันจะได้อยู่ครบชั่วยาม งูใหญ่ก็ไล่ตามมาอยู่ด้วย ต่อให้เป็นญาติกันครอบครัวเดิมของฟางเหนียง ก็ถูกญาติของตัวเองไล่ออกจากบ้าน ไม่ขอรับความโชคร้ายร่วมด้วย

    จนตอนนี้พวกเขาต้องอาศัยหลับนอนในป่าแทน

    เจอหนักถึงขนาดนี้แล้ว หญิงชราก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดควบคุมลูกสาวนอกไส้ไว้รับใช้ตน ยังมีใจอยากเดินทางมาที่หมู่บ้านกวางน้ำ เพื่อมาทวงสิ่งที่ควรเป็นของพวกเขา

    ทว่าทุกครั้งที่มีใครคิดไม่ดีกับฟางเหนียง คนคนนั้นจะเจอโชคร้าย ถูกผึ้งฝูงใหญ่รุมต่อยบ้าง ตกหลุมดักสัตว์บ้าง ถูกหมูป่าหลุดออกจากกรงเลี้ยงวิ่งไล่ขวิดบ้าง ภายในวันเดียวเจอสารพัดเรื่อง จนในใจเกิดความกลัว

    เมื่อมาพูดคุยกันย้อนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกคนต่างลงความเห็นว่า หากอยากจะจบต้องห้ามข้องเกี่ยวกับฟางเหนียงอีก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ เป็นเพราะพวกเขาคิดร้ายต่อนางก่อน

    ฟางเหนียงที่เตรียมใจ พร้อมปะทะกับครอบครัวนี้เต็มที่ เมื่อได้ยินในสิ่งที่คนส่งจดหมายเล่า ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

    เหมือนโชคชะตารอแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้แล้ว คอยปูทางให้คนที่มาอยู่ใหม่ ได้ใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นมากขึ้น

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×