คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : คีแซง
4.
ห้องพักที่แซมดรัพจองไว้ อยู่ในชั้น”เอ๊กเซ็กคิวทีฟ” ซึ่งถือว่าหรูหราที่สุด แถมเป็นห้องชุด มีสองห้องนอน ตกแต่งแบบตะวันตก สะดวกสบายไม่แพ้โรงแรมสี่ดาวในต่างจังหวัดของเมืองไทย
คุณนารีกับป้าพิมเลือกห้องคู่ นิลนลินจึงต้องไปนอนคนเดียว ถึงจะกลัวผีเล็กน้อย หญิงสาวก็ไม่คิดจะเถียง เพราะตอนนี้มีเรื่องอื่นสำคัญกว่า
“ถ้าไม่ใช่ไกด์ แล้วเขาเป็นใครล่ะคะ?” เธอถามป้าพิมทันทีที่เด็กยกกระเป๋าออกไป
“แซมดรัพน่ะหรือ?” คุณป้าลงนั่งที่ชุดรับแขก รินน้ำชาในกาใส่ถ้วยแล้วยกขึ้นจิบอย่างเชื่องช้า “ค่อยอุ่นขึ้นหน่อย ในห้องนี้มีฮีทเตอร์เสียด้วย ดีกว่าเตาฟืนอย่างโบราณ”
“คุณป้า...” นิลนลินอ้อน
“อ๋อ อยากจะรู้” ผู้สูงวัยกว่าหัวเราะ “แซมดรัพเขาเป็นลูกชายของโซแนม เพื่อนป้าคนที่ส่งหนังสือเชิญเรามานี่ไงล่ะ เดี๋ยวหนูก็คงจะได้พบ พ่อเขารับราชการตำแหน่งใหญ่โต เคยไปประจำที่เมืองไทย ตระกูลนี้ทำธุรกิจส่วนตัวด้วย ได้ยินว่าจะหุ้นกับคนต่างชาติสร้างโรงแรมใหญ่ที่นี่”
“นิล” คุณนารีเดินออกมาจากห้องนอนที่เธอใช้คู่กับป้าพิม “อย่ามัวแต่ชวนคุณป้าคุยอยู่เลย ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาเสียที แล้วเปลี่ยนชุดใส่กระโปรงด้วย คุณแซมเขาบอกว่าจะพาไปวัด นุ่งกางเกงคงไม่เหมาะ”
นิลนลินรีบทำตามคำสั่ง เธอเลือกกระโปรงผ้าสักหลาดสีเทาตัวยาวมาสวมเข้ากับสเว็ตเตอร์ ข้างในใส่ถุงเท้ายาวอีกชั้น และมีผ้าพันคอเรียบร้อย นึกในใจว่าพรุ่งนี้จะหาซื้อชุดพื้นเมืองสวยๆ สักชุด
ระหว่างนั้น คุณนารีกับป้าพิมที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ช่วยกันรื้อกระเป๋าหยิบของฝากออกมาเตรียมไว้
คุณนารีซื้อช็อกโกแลตอย่างดีมาจากร้านในพารากอน ตามที่ป้าพิมแนะนำว่าเจ้าของบ้านชอบ ส่วนป้าพิมนั้นหอบมาทั้งขนม เครื่องสำอาง รองเท้าไนกี้พร้อมถุงเท้า และมีลูกกอล์ฟมาด้วย!
“ที่จริงบ้านนี้เขาก็ไปเมืองไทยกันปีละครั้ง” ป้าพิมบอก “แต่พอเห็นของที่เขาชอบ ป้าก็อดซื้อมาฝากไม่ได้ ซื้อวันละนิด พอรวมกันทำไมมากมายอย่างนี้ก็ไม่รู้!”
นิลนลินอยากถามเรื่องแซมมากกว่านี้ แต่ไม่มีเวลา เพราะคุณนารีเร่งให้ลงไปข้างล่าง บอกว่า “ให้เขารอนาน เสียมารยาท” หญิงสาวจึงต้องช่วยคุณป้าหอบข้าวของ นึกอยู่เหมือนกันว่าแซมอาจจะหิว แต่ความห่วงใยก็กลายเป็นหมั่นไส้ไปในฉับพลัน เมื่อเห็นเขายืนคุยกับพนักงานต้อนรับอย่างออกรส
“ที่จริง ไม่ต้องรีบก็ได้นะครับ” ชายหนุ่มยิ้มใส รับของไปช่วยถือ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไร
“บ้านผมอยู่แถวโมติแตง ขับรถไปแค่สิบนาทีก็ถึง” เขาชวนคุยหลังจากทุกคนขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ถนนในเมืองนี้ไม่กว้างนัก แต่สองข้างทางสวยงามด้วยทิวทัศน์เทือกเขาเขียวขจี มีบ้านเรือนเรียงราย และส่วนหนึ่งเป็นย่านการค้าที่นิลนลินมองจนเหลียวหลัง
“ไว้ตอนบ่ายผมจะพามาเดินเล่น” แซมบอกก่อนจะเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าบ้านหลังงามบนเนินเขา
“บ้านเรายังปลูกแบบโบราณ แต่ประยุกต์ข้างในให้สมัยใหม่ขึ้น เมื่อก่อน ตัวกำแพงจะเป็นดินอัดหนา ชั้นล่างเป็นที่เก็บของ คอกสัตว์ ชั้นสองเป็นห้องนอน ห้องพระ ห้องครัว ชั้นสามเก็บอาหาร”
บ้านหลังนั้นมีสามชั้นปลูกแบบครึ่งตึกครึ่งไม้ ชั้นล่างก่อด้วยหินทาสีขาว ชั้นบนเป็นไม้สีน้ำตาล กว้างกว่าชั้นล่างเล็กน้อย พื้นส่วนเกินจึงเป็นกันสาดในตัว แต่งวงกบหน้าต่างด้วยไม้แกะสลักเขียนสีลวดลายอ่อนช้อย หลังคาทรงจั่วป้านซ้อนสองชั้น มุงกระเบื้องไม้มีก้อนหินวางทับเป็นระยะเพื่อไม่ให้ปลิวไปตามแรงลม และมีธงมนตราปักอยู่ด้วย
เด็กสาวในชุดพื้นเมืองเปิดประตูไม้หนาหนักหน้าบ้าน แล้วก้มหลังถอยหลีกทางให้สตรีวัยกลางคนที่ดูงามสง่าในชุดคีราสีฟ้า เค้าหน้าที่ประพิมพ์ประพายคล้ายกับแซมดรัพทำให้นิลนลินแน่ใจว่าต้องเป็นมารดาของเขา
“โซแนม” ป้าพิมร้องทัก แล้วเพื่อนเก่าสองคนก็โอบกอดกันแน่น ก่อนที่เจ้าของบ้านจะหันมาทักทายแขกอีกสองคน
“คูซูซางโพ ลา” นิลนลินพนมมือไหว้ ตามด้วยการโค้งแบบเดียวกับแซม ทำให้ผู้สูงวัยยิ้มอย่างเอ็นดู มองเธออย่างเพ่งพินิจครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาว่า “คูซูซางโพ สวัสดีค่ะ เดินทางเป็นอย่างไรบ้าง”
“สะดวกสบายดีมากค่ะ” คุณนารีเป็นคนตอบ “ต้องขอบคุณแซมที่อุตส่าห์ไปรับ”
“ไม่เป็นไร...พิมก็เหมือนป้าแท้ๆ ของแซมดรัพอยู่แล้วค่ะ เชิญข้างในดีกว่า” คุณโซแนมหลีกทางให้ทุกคนเข้าไปในบ้าน
นิลนลินมองการตกแต่งภายในอย่างสนใจ ชั้นล่างของบ้านดูเหมือนจะแบ่งออกเป็นสามส่วน ครึ่งหนึ่งเป็นห้องนั่งเล่นอเนกประสงค์ อีกข้างเป็นโรงรถและห้องครัวที่กลิ่นเนยแข็งอบหอมอวล
ที่ผนังของห้องหน้า ฝั่งหนึ่งประดิษฐานภาพพระบฏแบบทิเบต และประดับด้วยผ้าทอผืนงามๆ กับพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ และเจ้าชายมกุฎราชกุมาร อีกฝั่งตั้งชุดเก้าอี้นวมหมู่ใหญ่ กับโต๊ะเตี้ย ที่จัดไว้เป็นโต๊ะอาหาร มุมห้องมีชั้นหนังสือวางของกระจุกกระจิกกับโทรศัพท์ และโทรทัศน์จอแบนเครื่องใหญ่ พื้นปูพรมทอมือผืนกว้างลวดลายสวยงามประณีต
“บ้านเล็กหน่อยค่ะ เราอยู่กันสามคนเท่านั้น” คุณโซแนมพูดเป็นเชิงถ่อมตัว ทั้งที่ความจริงบ้านนี้โอ่อ่าไม่น้อย
“ยังไม่มีสะใภ้อีกหรือ เธอ?” ป้าพิมสัพยอกพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งที่โซฟา
“ยัง” เจ้าของบ้านรินชาแจกทุกคน แล้วหันไปเล่าให้คุณนารีฟังว่า “ฉันมีลูกชายคนเดียวค่ะ ชื่อของเขาแปลว่าความหวังที่เป็นจริง พระท่านตั้งให้เหมาะดีเหลือเกิน เพราะเรารอมานานกว่าจะมีลูก”
อ้อ...เขาชื่อสมหวังนี่เอง!นิลนลินอมยิ้ม
“อีกไม่นานก็มีหลาน” ป้าพิมล้อ และนิลนลินก็สังเกตเห็นว่าโหนกแก้มของชายหนุ่มเรื่อขึ้นเล็กน้อย แต่เขามีมารยาทดีพอที่จะไม่พูดแทรกขึ้นมายามผู้ใหญ่คุยกัน
“ฉันคงต้องรอไปก่อน” คุณโซแนมบอก “หนุ่มสาวสมัยนี้เขาแต่งงานช้า ไม่เหมือนแต่ก่อน สิบสี่สิบห้าก็แต่งกันแล้ว ซ้ำร้าย เดี๋ยวนี้ยังหย่าเป็นว่าเล่นด้วย”
“ที่นี่น่ะหรือ มีคนหย่ากัน?” ป้าพิมซัก
“มีซีคะ คนในเมืองมักจะสนใจความก้าวหน้าส่วนตัว แล้วก็ไม่อดทนกับปัญหาครอบครัวอย่างสมัยก่อน ที่จริง แซมเขาเคยเกือบแต่งงานเมื่อสองปีที่แล้ว แต่คิดให้นานๆ ก็ดี ฉันไม่อยากให้ลูกต้องหย่าร้าง”
ประโยคนั้นสะดุดหูนิลนลิน...สาวคนไหนนะที่เขาเกือบแต่งงานด้วย?
“ทำงานแล้วละสิ เรา ตอนอยู่ในรถไม่ได้คุยกันเลย” ป้าพิมถามอย่างคุ้นเคย ในขณะที่คุณนารีนั่งอมยิ้มฟังด้วยความเพลิดเพลิน
“ครับ” แซมตอบสั้นๆ ปล่อยให้มารดาขยายความว่า “แซมรับราชการเหมือนพ่อ แต่ช่วงนี้เขาลาพักร้อน เพราะคุณ
“เก่งจริง” คุณนารีชม แล้วป้าพิมก็นำของฝากออกมาให้ เรียกเสียงชื่นชมได้ไม่น้อย ช็อกโกแลตของคุณนารีก็ถูกใจเจ้าของบ้านมากด้วย
“ต๊าย...” เจ้าภาพหญิงอุทาน “ฉันก็มัวแต่ชวนคุย คุณคงหิวกันแย่” เธอหันไปสั่งเด็กหญิงรับใช้ แล้วเจ้าหล่อนก็ลำเลียงอาหารมาตั้งบนโต๊ะ
“สมัยก่อนเรานั่งล้อมวงบนพื้น” แซมบอกนิลนลิน “กินอาหารด้วยมือ บ้านที่ทันสมัยหน่อยก็ใช้โต๊ะเตี้ยกับโซฟา มีมีดส้อมอย่างนี้ เราไม่ค่อยนิยมนั่งโต๊ะอาหารแบบตะวันตก”
“ฉันจัดอาหารพื้นเมืองให้นะคะ หวังว่าคงจะทานกันได้” คุณโซแนมบอกอย่างกังวล ทั้งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด เพราะอาหารในจานเปลบนโต๊ะล้วนแต่น่ารับประทาน มีทั้งข้าวแดง หมูอบชิ้นบาง และสลัดผัก เรียงไว้ให้ตักแบ่งกันเองตามชอบใจ
เด็กรับใช้นำถ้วยซอสมาวางเป็นอย่างสุดท้าย และคุณโซแนมก็อธิบายว่า “อีมาดาทชี ทำจากพริกผสมเนยแข็งค่ะ อีมา แปลว่า พริก ดาทชี คือเนยแข็ง เป็นของที่ขาดไม่ได้ในสำรับพื้นเมือง ไม่มีเนื้อสัตว์ยังไม่เป็นไร ก็คงเหมือนน้ำพริกของไทยกระมังคะ”
อาหารง่ายๆ นั้นอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ผลไม้ที่เป็นของหวานก็สดฉ่ำ รสดีแบบไร้สารพิษ
“เดี๋ยวจะไปวัดกันใช่ไหมคะ ฉันไปด้วยดีกว่า จะได้ทำบุญร่วมกัน” คุณโซแนมถาม
“แซมเขาว่าจะพาไปไหว้พระ ก็ดีเหมือนกัน ปกติเราไปจังหวัดไหนก็จะไปวัดกันก่อนอยู่แล้ว” ป้าพิมตอบ
“แซม...ถ้าอย่างนั้นไปเปลี่ยนชุดก่อนสิลูก” คนเป็นแม่เตือนและชายหนุ่มก็ลุกขึ้นไปแต่โดยดี เขาหายไปครู่หนึ่งก็กลับลงมาในชุดโกที่ดูเหมาะสมกับตัวเขาอย่างยิ่ง
“เมื่อก่อน เราถือเคร่งครัดว่าต้องใส่ชุดประจำชาติเท่านั้น” คุณโซแนมอธิบาย “ตอนกลางวันถ้าใครไม่ใส่จะถูกปรับเลยละค่ะ เดี๋ยวนี้ก็อนุโลมกันไปบ้าง หนุ่มๆ สาวๆ เขาชอบนุ่งกางเกง แต่ปกติแซมก็ชอบใส่ชุดโกนะคะ”
ชุดโกของแซมเป็นสีม่วงเข้มออกน้ำเงินทอเป็นลายริ้วม่วงอ่อนยาวแค่เข่า สวมทับเสื้อขาวตัวใน พับแขนขึ้นมาเป็นขอบ คาดเข็มขัดผ้าที่เอว เข็มขัดนี้ถือว่าเป็นเครื่องรางประจำตัว ห้ามผู้หญิงแตะต้อง ส่วนรองเท้าจะใส่บู๊ตหรือถุงเท้ากับรองเท้าหนังแบบใหม่ก็ได้ เวลาไปวัดจะมีผ้าพันคอไหมพาดไหล่ด้วย
นิลนลินบอกตัวเองว่าเธอมองอย่างสนใจในชุดประจำชาติต่างหาก ไม่เกี่ยวกับคนใส่เลยแม้แต่น้อย...ไม่ได้สนใจสักนิดว่าชุดนี้ทำให้เขาดูสง่างามยิ่งขึ้น เน้นให้เห็นช่วงไหล่กว้าง รูปร่างเพรียวแกร่งและขาตรงยาวแข็งแรง...
“ไปกันได้แล้วครับ” แซมสอดซองธนบัตรหนังที่ถือติดมืออยู่เข้าไปในอกเสื้อ ตามด้วยคุกกี้ชิ้นบางอีกหนึ่งถุง เมื่อเห็นเธอมอง เขาก็ยกมือตบที่เหนือเอวและบอกเบาๆ ว่า “เสื้อแบบโกมีที่เก็บของในตัว ตรงนี้ไงครับ ใส่หนังสือ ห่ออาหาร หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือก็ยังได้ รับรองไม่มีหล่นหาย คุณจะฝากอะไรไว้ไหมล่ะ?”
นิลนลินสั่นศีรษะจนผมกระจาย หยิบหมวกไหมพรมขึ้นมาสวม แล้วก้าวเร็วๆ ตามผู้ใหญ่ออกไปนอกบ้าน
วัดชันกังคาเป็นวัดโบราณ อายุกว่าหกร้อยปี ตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือตัวเมืองทิมพู ค่อนไปทางตะวันตกของโมติแตง อันเป็นจุดที่พระลามะทิเบตเลือกไว้ โบสถ์วิหาร อาคารแวดล้อมดูแต่ไกลคล้ายป้อมปราการจนป้าพิมรำพึงว่า “งามแบบขลัง ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ”
แซมบังคับรถให้เลี้ยวขึ้นไปจอดที่ลาน แล้วลงไปเปิดประตู ช่วยนิลนลินพยุงผู้ใหญ่ทั้งสามลงมา
“วิวสวยจัง” หญิงสาวอุทานพร้อมกับหยิบกล้องดิจิตอลจากกระเป๋า ชวนคุณแม่ ป้าพิม และคุณโซแนมถ่ายรูปมุมโน้นมุมนี้
พอหันมาอีกที ก็เห็นแซมก้มๆ เงยๆ อยู่ข้างรถ นึกสงสัยว่าเขาทำอะไร จึงเดินอ้อมไปแอบมอง
แล้วก็ต้องหัวเราะออกมา รีบยกกล้องบันทึกภาพไว้ เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้า คือ...แพะภูเขา...
เจ้าแพะตัวอ้วนสีขาว มีขนยาวนุ่มฟูน่ารัก ดูเหมือนจะคุ้นกับชายหนุ่มเป็นอันดี เพราะวิ่งรี่เข้ามาหา แถมกระดิกหางต้อนรับเสียด้วย และแซมก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาสอดมือเข้าในอกเสื้อ ดึงถุงคุกกี้ออกมาป้อน และลูบหัวลูบหูแพะอย่างรักใคร่เอ็นดู
“แพะพวกนี้เชื่องค่ะ แสนรู้ด้วย แซมมาทีไรก็มีขนมมาฝากทุกครั้ง พวกแพะเลยจำเขาได้” คุณโซแนมบอกปนหัวเราะ ในขณะที่ชายหนุ่มยิ้มเขินๆ ตัดบทว่า “ไปไหว้พระกันดีกว่าครับ”
แม้จะเป็นยามกลางวัน ในวัดก็มีผู้เฒ่าผู้แก่เดินวนรอบตามเข็มนาฬิกา “เขาเดินภาวนาค่ะ” คุณโซแนมอธิบาย ก่อนจะเดินนำเข้าไปในโบสถ์ กราบพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่เธอบอกว่า “ที่นี่ผู้คนมักมาขอพร เวลามีปัญหา หรือมาขอกำลังใจ เพราะถือกันว่าเป็นวัดแห่งความเมตตากรุณา”
ภายในวัด นอกจากพระพุทธรูปแล้ว ยังมีภาพทังกา ภาพพระบฎ และภาพวาดทางศาสนาบนผืนผ้าโบราณ ทุกหนแห่งตกแต่งลวดลายต่อเนื่องอ่อนช้อย เขียนด้วยสีสันสดใส มีหนังสือและจารึกโบราณให้ชื่นชมด้วย
นิลนลินหยิบเงินมาถวายวัด พอหันไปข้างๆ ก็เห็นแซมตามมาวางเงินไว้ด้วย เขาตั้งใจทำบุญพร้อมเธอหรือเปล่า ข้อนี้หญิงสาวตอบไม่ได้ แต่สังเกตว่าพอเธอไปจุดตะเกียงบูชาพระ เขาก็ตามมาอีก
“ตะเกียงน้ำมันเนย จุดบูชาแล้ว เดี๋ยวเราไปหมุนวงล้อภาวนากัน อ้อ คุณได้รับธงหรือยัง คนที่บริจาคเงินจะได้รับธงมนตราด้วย”
พระรูปหนึ่งพรมน้ำมนต์สมุนไพรหอมให้สองหนุ่มสาว ก่อนที่จะวางธงให้เธอ และนิลนลินก็รับมาคลี่ดู
“ตัวอักษรที่เห็นเป็นบทสวดมนต์ ที่หลังคาบ้านผมก็ปักธงแบบนี้ จะเรียกว่าธงภาวนาก็ได้ ถือเป็นการให้พร เวลาลมพัดบทสวดมนต์ก็จะกระจายออกไป”
วงล้อภาวนาที่เขาพูดถึง เรียงกันอยู่ทางนอกโบสถ์ เป็นวงล้อเขียนลวดลายและบทสวดมนต์แบบศิลปะทิเบต “หมุนแล้วก็เท่ากับเราสวดมนต์ และเป็นการขอพรด้วย” แซมหมุนให้ดู และเธอก็ทำตาม นึกถึงการตีระฆังที่วัดทางเหนือ ดูไปก็มีอะไรหลายอย่างคล้ายๆ กัน
โรแมนติกจนน่าจะมาพร้อมกับคนรัก....เธอคิดเพลินจนแทบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนุ่มๆ พูดขึ้นเบาๆ ว่า
“ทีนี้ เราก็ได้ทำบุญด้วยกันแล้วนะ” แซมพึมพำ แล้วก็เดินออกไปหาผู้ใหญ่ทั้งสามโดยไม่รอคำตอบ ไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าคนฟังทำตาโต
“ป้าเหนื่อยแล้ว” ป้าพิมอุทธรณ์ เมื่อเช้าความตื่นเต้นยินดีช่วยให้มีกำลัง แต่ค่อนวันผ่านไปแบบนี้ เธอก็เริ่มจะล้า และคุณนารีก็พยักหน้า “แม่ก็เหมือนกัน”
“กลับไปพักที่โรงแรมไหมคะ? “ นิลนลินถาม
“อย่าเลย ป้ารู้ว่าหนูอยากไปเดินดูของ” ป้าพิมหันไปพูดกับเพื่อน และคุณโซแนมก็เอ่ยปากว่า “ไปนั่งเล่นที่บ้านดีกว่าค่ะ ทานอาหารเย็นแล้วค่อยกลับโรงแรม จะได้คุยกันให้หายคิดถึง”
“ถ้าอย่างนั้น ผมพาคุณนิลไปเดินเล่นในเมืองดีไหมครับ”
นิลนลินหันไปมองคุณนารี ที่สบตากับป้าพิมเป็นเชิงปรึกษา และคุณป้าก็พยักหน้านิดๆ
“ดีเหมือนกัน นิลไปดูรอบหนึ่งก่อน วันไหนว่างค่อยพาป้าไปซื้อ แต่อย่ากลับค่ำมากล่ะ เราจะรอทานมื้อเย็น”
แซมแวะส่งผู้ใหญ่ทั้งสามที่บ้าน แล้วขับรถลงเขา ไปทางตัวเมือง ระหว่างทาง เขาหันมาถามเธอว่า “คุณจะไปที่ห้าง หรือว่าร้านเล็กๆ”
“ที่ไหนดีกว่าล่ะคะ”
“ผมชอบเดินตามร้านมากกว่า”
ร้านค้าที่เห็นเป็นตึกเรียงราย ทาสีขาวผสมไม้สีเข้ม แทบจะเหมือนกันไปหมด สลับกับบางส่วนที่สร้างเป็นเพิง มีเนินเขาเป็นฉากหลัง อากาศที่เย็นสบายทำให้น่าเดินเล่น และผ้าทอสีสดสวยที่แขวนอยู่ก็ล่อตาล่อใจนัก
แซมจอดรถ แล้วพาเธอเดินไป แต่พอใกล้ถึงร้าน เขาก็หยุดกะทันหัน จนนิลนลินที่ตามหลังมาแทบจะยั้งไม่ทัน
เธอเขย่งปลายเท้า มองข้ามไหล่เขา แล้วก็แทบตะลึง เมื่อเห็นคนที่ยืนขวางทางอยู่
คนอะไรสวยอย่างนี้! เหมือนนางเอกเกาหลีเดินออกมาจากจอ รูปร่างสูงระหง ผิวขาวขับให้ยิ่งผ่องใสด้วยชุดคีราสีชมพูสด ใบหน้านวลสว่างในกรอบผมยาวสลวย ดวงตาดำขลับ ปากนิดจมูกหน่อย ขนาดขมวดคิ้วนิ่วหน้า...ความสวยก็ยังไม่ลดลงไปแม้แต่น้อย
“คีแซง...”
talk...ติดตามตอนต่อไปได้ใน Meb ค่ะ ขอบคุณค่ะ
ความคิดเห็น