ลำดับตอนที่ #11
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : 20 คำถาม และข้อสงสัย
1.มนุษย์ต่างดาว เคยมาเยือนโลกแล้วหรือ
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
UFO (Unidentified flying object) หมายถึง วัตถุบินได้ ที่ไม่ปรากฎหลักฐาน
เห็นในแนววิถีของท้องฟ้า มีกลไกการเคลื่อนที่และเปล่งแสงออกมาได้ แต่ไม่ สามารถอธิบาย ตามหลักการและเหตุผลปกติได้
Alien หมายถึง ผู้หนึ่งผู้ใดที่มิได้กำเนิดบนดาวเคราะห์โลก โดยถือว่าอาจมาจาก
ที่ใดก็ได้จากนอกโลกในอวกาศ เรียกว่า มนุษย์ต่างดาว ทั้งนี้มิได้เจาะจงในเรื่อง
ระบบชีวิต ระดับความคิดและรูปแบบที่ชัดเจน เป็นการเรียกรวม เช่น การพบซาก
สิ่งมีชีวิตประเภทสัตว์เซลล์เดียวในอดีต (จากอุกกาบาต Allan Hills 84001 ของ
ดาวอังคาร) เรียกว่า Alien ได้
แล้ววันหนึ่งข้างหน้า อาจมีมนุษย์ไปตั้ง อาณานิคมบนดาวอังคารและให้กำเนิด
ทารกบนดาวอังคาร สามารถเรียกว่า Alien ได้เช่นกัน
มนุษย์ต่างดาวและ UFO มีผู้คนกว่าครึ่งโลกให้ความสนใจ จนอาจยอมรับไปแล้ว
ว่ามีจริง แต่ทางวิทยาศาสตร์ นั้นยังไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการ หรือส่วนมาก
ขาดแคลนพยานหลักฐาน ที่ประจักษ์แจ้งทำให้การอ้างขาดน้ำหนักความเชื่อถือ
ต่างจากคำว่า Extraterrestrial Intelligence (สิ่งทรงปัญญาในจักรวาล) เจาะจง
เป็นสิ่งใดก็ตาม ต้องมีเชาว์ปัญญาไหวพริบ ไม่น้อยไปกว่าระดับของมนุษย์โลก
จึงเกิดโครงการ สืบค้นสิ่งทรงปัญญาในจักรวาล (Search for Extraterrestrial
Intelligence) หมายถึง การสืบค้นระยะไกลด้วยคลื่นวิทยุ เพื่อหาความเป็นไปได้
ของชีวิตโลกอื่น จากพื้นโลก เป็นต้นแบบ โดยมีหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์
จากแผนสำรวจต่างดาว ของสถาบัน SETI
ด้วยความพยายามกว่า 40 ปี สถาบัน SETI ส่งสัญญานสืบค้นออกไปในอวกาศ
ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง รับการตอบโต้สัญญานกลับมาเพียงครั้งเดียว เรียกว่า
สัญญาน Wow (เป็นคำอุทานของ ผู้ตรวจพบสัญญานเขียนบันทึกไว้บนกระดาษ)
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ เชื่อว่ามนุษย์มิได้อยู่เพียงลำพัง ในจักรวาลอันไพศาล
และมิได้ปฎิเสธในเรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่ปัญหาคือ สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นไม่ว่าเป็น
ภาพถ่ายยาน UFO หลักฐานสิ่งมีชีวิตบนโลกถูกทำร้าย
แม้กระทั่งบางคนอธิบายว่า ได้พบปะมนุษย์ต่างดาว ในหลายกรณีซึ่งไม่สามารถ
พิสูจน์ได้ประจักษ์แจ้ง ตามขบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เหตุผลอ้างอิงเหล่า
นั้นไม่มั่นคง
ดังนั้นการบอกเล่าเรื่อง ข้อพิสูจน์ มนุษย์ต่างดาวหรือ UFO มาเยือนโลกแล้ว นั้น
จึงยังไม่ปรากฎหลักฐาน ชี้ชัดในทางวิทยาศาสตร์ในขณะนี้ และนักวิทยาศาสตร์
ทั้งโลกมีความหวังว่าสักวันหนึ่ง คงมีโอกาสตอนรับการมาเยือนโลกของมนุษย์
ต่างดาวจากแดนไกล เช่นกัน
--------------------------------------------------------------------------------------
UFO (Unidentified flying object) หมายถึง วัตถุบินได้ ที่ไม่ปรากฎหลักฐาน
เห็นในแนววิถีของท้องฟ้า มีกลไกการเคลื่อนที่และเปล่งแสงออกมาได้ แต่ไม่ สามารถอธิบาย ตามหลักการและเหตุผลปกติได้
Alien หมายถึง ผู้หนึ่งผู้ใดที่มิได้กำเนิดบนดาวเคราะห์โลก โดยถือว่าอาจมาจาก
ที่ใดก็ได้จากนอกโลกในอวกาศ เรียกว่า มนุษย์ต่างดาว ทั้งนี้มิได้เจาะจงในเรื่อง
ระบบชีวิต ระดับความคิดและรูปแบบที่ชัดเจน เป็นการเรียกรวม เช่น การพบซาก
สิ่งมีชีวิตประเภทสัตว์เซลล์เดียวในอดีต (จากอุกกาบาต Allan Hills 84001 ของ
ดาวอังคาร) เรียกว่า Alien ได้
แล้ววันหนึ่งข้างหน้า อาจมีมนุษย์ไปตั้ง อาณานิคมบนดาวอังคารและให้กำเนิด
ทารกบนดาวอังคาร สามารถเรียกว่า Alien ได้เช่นกัน
มนุษย์ต่างดาวและ UFO มีผู้คนกว่าครึ่งโลกให้ความสนใจ จนอาจยอมรับไปแล้ว
ว่ามีจริง แต่ทางวิทยาศาสตร์ นั้นยังไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการ หรือส่วนมาก
ขาดแคลนพยานหลักฐาน ที่ประจักษ์แจ้งทำให้การอ้างขาดน้ำหนักความเชื่อถือ
ต่างจากคำว่า Extraterrestrial Intelligence (สิ่งทรงปัญญาในจักรวาล) เจาะจง
เป็นสิ่งใดก็ตาม ต้องมีเชาว์ปัญญาไหวพริบ ไม่น้อยไปกว่าระดับของมนุษย์โลก
จึงเกิดโครงการ สืบค้นสิ่งทรงปัญญาในจักรวาล (Search for Extraterrestrial
Intelligence) หมายถึง การสืบค้นระยะไกลด้วยคลื่นวิทยุ เพื่อหาความเป็นไปได้
ของชีวิตโลกอื่น จากพื้นโลก เป็นต้นแบบ โดยมีหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์
จากแผนสำรวจต่างดาว ของสถาบัน SETI
ด้วยความพยายามกว่า 40 ปี สถาบัน SETI ส่งสัญญานสืบค้นออกไปในอวกาศ
ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง รับการตอบโต้สัญญานกลับมาเพียงครั้งเดียว เรียกว่า
สัญญาน Wow (เป็นคำอุทานของ ผู้ตรวจพบสัญญานเขียนบันทึกไว้บนกระดาษ)
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ เชื่อว่ามนุษย์มิได้อยู่เพียงลำพัง ในจักรวาลอันไพศาล
และมิได้ปฎิเสธในเรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่ปัญหาคือ สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นไม่ว่าเป็น
ภาพถ่ายยาน UFO หลักฐานสิ่งมีชีวิตบนโลกถูกทำร้าย
แม้กระทั่งบางคนอธิบายว่า ได้พบปะมนุษย์ต่างดาว ในหลายกรณีซึ่งไม่สามารถ
พิสูจน์ได้ประจักษ์แจ้ง ตามขบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เหตุผลอ้างอิงเหล่า
นั้นไม่มั่นคง
ดังนั้นการบอกเล่าเรื่อง ข้อพิสูจน์ มนุษย์ต่างดาวหรือ UFO มาเยือนโลกแล้ว นั้น
จึงยังไม่ปรากฎหลักฐาน ชี้ชัดในทางวิทยาศาสตร์ในขณะนี้ และนักวิทยาศาสตร์
ทั้งโลกมีความหวังว่าสักวันหนึ่ง คงมีโอกาสตอนรับการมาเยือนโลกของมนุษย์
ต่างดาวจากแดนไกล เช่นกัน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2. วันสิ้นโลกมีจริง แล้วจะเกิดขึ้นเมื่อใดกันแน่?
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งต้องเกิดแน่นอน จากกรณีผลกระทบการขยายตัวดวงอาทิตย์
(Red Giant effect) ข้างหน้า 100% และวันนั้นคือ วันสิ้นโลกที่แท้จริง โดยไม่มี
ทางแก้ไขได้ จะไม่ใช่อย่างในภาพยนตร์ หรือ เหตุผลเรื่องวันสิ้นโลกที่เล่นตลก
กันบนอินเตอร์
เป็นการเผาไหม้ก๊าซบริเวณเปลือกนอกของดวงอาทิตย์ เกิดรัศมีวงกว้างโดยรอบ
จึงเป็นการขยายตัวของพื้นที่ ลุกลามออกสู่ภายนอกรอบๆอย่างสุดขั้ว สิ่งต่างๆที่
อยู่ในรัศมีดังกล่าว ถูกเผาไหม้ด้วยความร้อนสูงรวมถึง ดาวพุธ ดาวศุกร์และโลก
การเผาไหม้อาจเกิดขึ้นนานนับหลายล้านปี ขึ้นอยู่กับจำนวนปริมาณมวลหรือวัตถุ
ดิบที่หลงเหลืออยู่ และการลุกไหม้อย่างโชติช่วงดังกล่าว เป็นสีแดงเพลิงขนาด
ใหญ่โตมากเห็นได้ในระยะไกลไปหลายร้อยปีแสง จึงเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า
ดาวยักษ์สีแดง (Red giants) เพราะเวลานั้นดวงอาทิตย์ จะเหมือนโป่งพองออก
มาทั้งดวง ด้วยมหาสุมทรเพลิงใหญ่ขึ้น เป็นร้อยเท่าของขนาดปัจจุบัน
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
เป็นระบบปกติการพัฒนาดวงดาว สู่การเริ่มหมดอายุขัย ที่มีอยู่ตลอดเวลาอย่าง
มากมายทุกแห่งในจักรวาล เมื่อดวงอาทิตย์เกิดเป็น ดาวยักษ์สีแดงขึ้น ดาวพุธ
(Mercury) และดาวศุกร์ (Venus) ซึ่งอยู่ในรัศมีความร้อนสุดขั้วนี้ ก็จะถูกกลืน
อันตรธานหายไป
ในเวลาเดียวกันโลกจะร้อนขึ้น ชั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยรังสีอันตรายจากพายุ
อวกาศ (Space storm) ขั้นรุนแรง น้ำทะเลเดือดจนเหือดแห้ง ดินหินร้อนเป็น
ไฟไหลรวมเป็นลำธารลาวาไปทั่วพื้นผิวโลก ต้นไม้ สัตว์ทุกชนิดล้มตาย
ท้ายที่สุดเผาผลาญทุกสิ่งที่อยู่บนโลกไปสิ้น ไม่เหลือระบบชีวิตแม้แต่ชีวิตเดียว
โลกจะปราศจากมนุษย์ ตำแหน่งโลกจะขยับเลื่อนออกไปจากเดิม โดยเหตุกาณ์
นี้จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้ อีกราว 4.5 - 5 พันล้านปีข้างหน้าและเป็น
วันสิ้นโลกอย่างสมบูรณ์แบบแท้จริง
--------------------------------------------------------------------------------------
ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งต้องเกิดแน่นอน จากกรณีผลกระทบการขยายตัวดวงอาทิตย์
(Red Giant effect) ข้างหน้า 100% และวันนั้นคือ วันสิ้นโลกที่แท้จริง โดยไม่มี
ทางแก้ไขได้ จะไม่ใช่อย่างในภาพยนตร์ หรือ เหตุผลเรื่องวันสิ้นโลกที่เล่นตลก
กันบนอินเตอร์
เป็นการเผาไหม้ก๊าซบริเวณเปลือกนอกของดวงอาทิตย์ เกิดรัศมีวงกว้างโดยรอบ
จึงเป็นการขยายตัวของพื้นที่ ลุกลามออกสู่ภายนอกรอบๆอย่างสุดขั้ว สิ่งต่างๆที่
อยู่ในรัศมีดังกล่าว ถูกเผาไหม้ด้วยความร้อนสูงรวมถึง ดาวพุธ ดาวศุกร์และโลก
การเผาไหม้อาจเกิดขึ้นนานนับหลายล้านปี ขึ้นอยู่กับจำนวนปริมาณมวลหรือวัตถุ
ดิบที่หลงเหลืออยู่ และการลุกไหม้อย่างโชติช่วงดังกล่าว เป็นสีแดงเพลิงขนาด
ใหญ่โตมากเห็นได้ในระยะไกลไปหลายร้อยปีแสง จึงเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า
ดาวยักษ์สีแดง (Red giants) เพราะเวลานั้นดวงอาทิตย์ จะเหมือนโป่งพองออก
มาทั้งดวง ด้วยมหาสุมทรเพลิงใหญ่ขึ้น เป็นร้อยเท่าของขนาดปัจจุบัน
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
เป็นระบบปกติการพัฒนาดวงดาว สู่การเริ่มหมดอายุขัย ที่มีอยู่ตลอดเวลาอย่าง
มากมายทุกแห่งในจักรวาล เมื่อดวงอาทิตย์เกิดเป็น ดาวยักษ์สีแดงขึ้น ดาวพุธ
(Mercury) และดาวศุกร์ (Venus) ซึ่งอยู่ในรัศมีความร้อนสุดขั้วนี้ ก็จะถูกกลืน
อันตรธานหายไป
ในเวลาเดียวกันโลกจะร้อนขึ้น ชั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยรังสีอันตรายจากพายุ
อวกาศ (Space storm) ขั้นรุนแรง น้ำทะเลเดือดจนเหือดแห้ง ดินหินร้อนเป็น
ไฟไหลรวมเป็นลำธารลาวาไปทั่วพื้นผิวโลก ต้นไม้ สัตว์ทุกชนิดล้มตาย
ท้ายที่สุดเผาผลาญทุกสิ่งที่อยู่บนโลกไปสิ้น ไม่เหลือระบบชีวิตแม้แต่ชีวิตเดียว
โลกจะปราศจากมนุษย์ ตำแหน่งโลกจะขยับเลื่อนออกไปจากเดิม โดยเหตุกาณ์
นี้จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้ อีกราว 4.5 - 5 พันล้านปีข้างหน้าและเป็น
วันสิ้นโลกอย่างสมบูรณ์แบบแท้จริง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
3.ดาวในจักรวาลทั้งหมด มีกี่ล้านดวง?
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าใสปราศจากเมฆ สิ่งที่เห็นส่วนใหญ่คือ ดาว (Star)
มนุษย์สามารถมองเห็นดาวด้วยตาเปล่า ราว 6,000-7,000 ดวง เหตุเพราะดาว
เหล่านี้ มีค่าความสุกใส (Magnitude) อยู่ในระดับตามนุษย์ค่าความสว่างได้
แท้จริงแล้วยังมีดาวและวัตถุทางดาราศาสตร์ อีกเป็นจำนวนอภิมหาศาล ที่ไม่
สามารถมองเห็นได้ เพราะขนาดเล็กอยู่ห่างไกล ค่าความสุกใสสว่างน้อยจึงมืด
(แม้ว่าดาวมีขนาดใหญ่ มีค่าความสุกใสมาก แต่อยู่ห่างไกลเกินกว่า 500 ปีแสง
ตามนุษย์อาจสังเกตยากขึ้น)
เพียงในระบบสุริยะ นอกจากดาวเคราะห์ที่เรารู้จัก บริเวณแนววงโคจรระหว่าง
ดาวอังคาร (Mars) และดาวพฤหัส (Jupiter) มีแถบดาวเคราะห์น้อย เรียกว่า
Asteroid belt เป็นแหล่งชุมนุมอยู่หนาแน่น ไม่น้อยกว่า 1,000,0000 ดวง
ถัดออกไปแถบไคเปอร์ (Kuiper betl) ระหว่าง 30 - 50 A.U.(จากดวงอาทิตย์)
เรียกว่า พิภพน้ำแข็ง (Ice worlds) มีดาวเคราะห์น้ำแข็ง (Ice dwarfs) จำนวน
มากและดาวหาง (Comet) วนเวียนในอาณาเขตนั้นราวๆ 100,000 ดวง
บริเวณเมฆออร์ต (Oort Cloud) นับออกไป 50,000 - 100,000 A.U.(จากดวง
อาทิตย์) เชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดดาวหาง มีประมาณ 1,000,000,000,000 ดวง
มีวิถีโคจรอย่างวุ่นวาย และบางดวงมุ่งเข้ามาสู่ดวงอาทิตย์แล้วกลับออกไป
ที่กล่าวมายังไม่รวมถึง ดวงจันทร์ต่างๆ ของดาวเคราะห์ เช่น ดาวพฤหัส มีดวง
จันทร์ 63 ดวง ดาวเสาร์ มีดวงจันทร์ 47 ดวง ดาวยูเรนัส มีดวงจันทร์ 27 ดวงและ
ดาวเนปจูนมี ดวงจันทร์ 13 ดวง แม้กระทั่งดาวอังคาร ที่อยู่ใกล้โลก มีดวงจันทร์
ถึง 2 ดวง เป็นต้น
ทั้งหมดเป็นเพียงพื้นที่ในระบบสุริยะ เปรียบเสมือนก้อนหินเล็กๆเพียงก้อนเดียว
ที่จมอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรเท่านั้น
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อพูดถึงภาพรวม ด้วยขนาดของจักรวาล (Scale of the Universe) ขณะที่มอง
มองท้องฟ้ากลางคืนจากบนโลก ไม่ว่าที่ใดก็ตามจะเห็นกลุ่มดาว ระยิบระยับเป็น
หมู่ๆสวยงาม ท่ามกลางความมืด นั่นหมายความเป็นการเห็นด้วยตาเปล่าแบบปกติ
(ภาพล่าง 1 ) ต่อมา หากทดลองจิตนาการว่า ตรงบริเวณเดียวกันที่มองท้องฟ้า
เมื่อครู่สามารถเห็นดาวได้ทุกดวงในจักรวาล จากการซ้อนทับเป็นชั้นๆในอวกาศ
ลึกเข้าไปจนสุดขอบจักรวาล เราจะดาวสว่างเต็มท้องฟ้า แทบจะไม่มีช่องว่างเลย
(ภาพล่าง 2)
คงเป็นเรื่องยากที่จะสามารถนับจำนวนดาว ให้ครบถ้วนจริงได้ ทางวิชาการอาจ
เพียงใช้วิธีประเมิน และปัจจุบันนักดาราศาสตร์ สำรวจพบดาวใหม่ๆ เฉลี่ยเดือน
ละ 30-50 ดวง อย่างสม่ำเสมอ
แต่อย่างไรก็ตาม มีตัวเลขจำนวนวัตถุในจักรวาล (ข้อมูล ค.ศ.2008)
ได้รวบรวมไว้เป็นประเภท จำนวนเท่าที่มนุษย์รู้จัก จากการสำรวจระยะไกล
(ซึ่งหมายความว่า ยังไม่ใช่ทั้งหมดของจักรวาล) ดังนี้
ห้วงระยะ 12.5 - 5,000,000 ปีแสง ของจักรวาลประกอบด้วย
---------------------------------------------------------------------
ระยะ 12.5 ปีแสง มีดาว 33 ดวง
ระยะ 20 ปีแสง มีดาว 117 ดวง
ระยะ 50 ปีแสง มีดาว 970 ดวง
ห้วงระยะ 250 ปีแสง มีดาว 260,000 ดวง
ระยะ 2,000 ปีแสง มีดาว 80 ล้านดวง
ระยะ 5,000 ปีแสง มีดาว 600 ล้านดวง
ระยะ 10,000 ปีแสง มีดาว 50 พันล้าน
ระยะ 50,000 ปีแสง มีดาว 200 พันล้านดวง
ระยะ 500,000 ปีแสง มีดาว 2,250 พันล้านดวง
ระยะ 5,000,000 ปีแสง มีดาว 8,000 พันล้านดวง
ห้วงระยะ 100 ล้านปีแสง ของจักรวาลประกอบด้วย
---------------------------------------------------------
กาแล็คซี่ (Galaxy) จำนวน 200 กาแล็คซี่
กาแล็คซี่ขนาดใหญ่ (Large galaxies) จำนวน 2,500 กาแล็คซี่
กาแล็คซี่แคระ (Dwarf galaxies) จำนวน 50,000 กาแล็คซี่
ดาว (Star) จำนวน 200 พันพันล้านดวง
ห้วงระยะ 1 พันล้านปีแสง ของจักรวาลประกอบด้วย
----------------------------------------------------------
กระจุกกาแล็คซี่ (Superclusters) จำนวน 100 กระจุก
กาแล็คซี่ (Galaxy) จำนวน 240,000 กาแล็คซี่
กาแล็คซี่ขนาดใหญ่ (Large galaxies) จำนวน 3 ล้านกาแล็คซี่
กาแล็คซี่แคระ (Dwarf galaxies) จำนวน 60 ล้านกาแล็คซี่
ดาว (Star) จำนวน 250,000 พันพันล้านดวง
ห้วงระยะ 14 พันล้านปีแสง ของจักรวาลประกอบด้วย
(เป็นวัตถุที่สามารถเห็นแบบ Visible)
----------------------------------------------------------
กระจุกกาแล็คซี่ (Superclusters) จำนวน 10 ล้านกระจุก
กลุ่มกาแล็คซี่ (Galaxy groups) จำนวน 25 พันล้านกลุ่ม
กาแล็คซี่ขนาดใหญ่ (Large galaxies) จำนวน 350 พันล้านกาแล็คซี่
กาแล็คซี่แคระ (Dwarf galaxies) จำนวน 7 พันพันล้านกาแล็คซี่
ดาว (Star) จำนวน 30 พันล้าน- พันพันล้านดวง
*ทั้งนี้ยังไม่รวม ดาวเคราะห์ ดวงจันทร์ วัตถุอื่นๆ ในระบบสุริยะอื่น เหตุเพราะ
ยังสำรวจยากจากระยะไกล และแสงสว่างน้อย มีขนาดเล็ก (เชื่อว่ามีจำนวนกว่า
1,000 เท่า ของจำนวนดาวในจักรวาล และยังไม่รวมวัตถุที่ไม่สามารถมองเห็น
แบบ Visible เช่น หลุมดำ (Black Hole) เนบิวล่า (Nebula) เป็น
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
4. เคราะห์ที่คล้ายโลก ควรมีพืชพันธุ์คล้ายโลกหรือไม่
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
ดาวเคราะห์คล้ายโลก (Earth-like planets) คือ ดาวเคราะห์ประเภท Terrestrial
(Earth-like) planets ความหมายคือ ดาวเคราะห์มีพื้นผิวชัดเจน มีพื้นบกมีพื้นน้ำ
มีแสงสว่างพร่ามัว (เมื่อมองระยะไกล) มักอยู่ใกล้ดาวหลัก (Host star)
ดาวเคราะห์คล้ายโลก ถูกจัดอยู่หลักเกณฑ์ประเภทย่อยของ ดาวเคราะห์ ที่พอ
สามารถดำรงชีพได้ (Habitable Planet)
เป็นดาวเคราะห์ที่มีส่วนประกอบด้วย มวลวัตถุขนาดระหว่าง 0.5 ถึง 2.0 เท่าของ
โลก ส่วนใหญ่ต้องเป็นหิน มีชั้นบรรยากาศ (Atmosphere) และพื้นผิวมีของเหลว
เป็นน้ำ (Liquid surface water)
ข้อสำคัญต้องเปิดเผย ให้เห็นความจริงของ Gaseous exoplanets (อากาศธาตุ
ดาวเคราะห์นั้น) ว่าจะมีความคล้ายโลกหรือไม่ จากการสืบค้นระยะไกลโดย
มนุษย์สามารถมองเห็น จุดเด่นต่างๆในความเหมือน หรือคล้ายสิ่งที่เกิดขึ้นเช่น
เดียวกันบนโลกได้ จึงเป็นข้อพิสูจน์ได้ในเบื้องต้น มิใช่เพียงแต่พบว่ามีน้ำ มีชั้น
ของบรรยากาศคล้ายกัน 2-3 ประการ แล้วสรุปว่าคล้ายโลก
ทั้งนี้ต้องมีเหตุและผลเพียงพอที่จะเกิดแหล่ง สิ่งมีชีวิตและสามารถดำรงชีพได้
สำหรับสิ่งมีชีวิตจากสภาพสิ่งแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยทำให้เป็นระบบ จนเราได้
เรียนรู้พัฒนาขึ้นมา เหมือนหลายๆสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลก เช่น
มีองค์ประกอบพื้นฐาน Carbon - Based ของชีวิตจากน้ำสามารถให้เกิดพันธุ์ไม้
(Plants) สัตว์ (Animals) และจุลชีพ (Microbes) ยังต้องรวมถึงเรื่องอุณหภูมิ
(Temperature) สิ่งปลอมปนสารละลายในน้ำ (Liquid Solvent) ปริมาตรสัดส่วน
จำนวนก๊าซที่มีอยู่มากมาย (Abundances of Gases) ร่องรอย ธาตุสารประกอบ
ต่างๆ (Trace Elements) ค่าปริมาณของรังสี (Radiation Ranges) ค่าความแข็ง
หนาแน่นมวลสารพื้นผิว (Solid Surface) แหล่งพลังงานรูปแบบต่างๆ (Energy
Sources) และค่าเฉลี่ยของสภาพบรรยากาศ (Atmosphere) และปริมาณของ
ทรัพยากรด้านชีวธรรมชาติ เงื่อนไขการกระตุ้นให้เกิดและพัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
และต้องพบการพัฒนาการของ Anti-Biosignatures ในชั้นบรรยากาศ เป็นต้น
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
ประเด็นการสำรวจ ดาวเคราะห์คล้ายโลก จำเป็นต้องพุ่งเป้าไปสู่ การหาดาวหลัก
(Host star) ซึ่งมีความสว่างและมีความร้อน โดยอาจพบ ดาวเคราะห์คล้ายโลก
เหล่านั้นโคจรอยู่รอบๆ และดาวหลักควรมีขนาดใกล้เคียง ดวงอาทิตย์ของเรา
ดาวเคราะห์นั้น มีขนาดใกล้เคียงโลกของเรา มีระยะห่างจากดาวหลัก ราว 1 AU.
การใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าว เป็นวิธีการเดียวจะไม่เสียเวลา ต่อการสืบค้นโลกใหม่
ในจักรวาล เป็นบรรทัดฐานว่า หาระบบสุริยะอื่นด้วยความคล้ายกับระบบสุริยะ
ของเรา ดังนั้นอาจพบสิ่งที่คล้ายโลกของเราได้
หากพบความคล้ายดังกล่าวเบื้องต้น ก็มีความเป็นไปได้ที่อาจพบดาวเคราะห์หิน
(Rocky planets) มีวงโคจรอยู่ในช่วง Habitable zones (เขตที่ดำรงชีพได้)
เพราะบริเวณเขต มีอุณหภูมิเหมาะสม เอื้อให้เกิดของเหลวเช่นน้ำและออกซิเจน
จึงอาจมีพืชพันธ์ไม้ต่างดาว สิ่งมีชีวิตต่างดาวได้ แต่อาจไม่คล้ายกันทั้งหมด
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของ ดาวหลัก (Host star) หรือดวงอาทิตย์ในระบบนั้นๆ
ส่งค่าพลังงานความร้อน ค่าแสงสว่าง อิทธิพลค่ารังสีอันตรายต่างๆ สู่ดาวเคราะห์
คล้ายโลกนั้น มากน้อยเพียงใด
เหตุผลเพราะค่ารังสีอันตรายนั้น เป็นต้นเหตุของ บรรยากาศการเปลี่ยนแปลง
ระบบพืชพันธ์ไม้และระบบชีวิตบนโลกนั้น เพื่อปกป้องตนเองให้ปลอดภัย เช่น
พัฒนาการสร้างเปลือกห่อหุ้มตนเองป้องกันรังสีอันตราย หรือยืนต้นสูงกว่าปกติ
เพื่อรับแสงแดด หรือเปลี่ยนแปลงถิ่นที่อยู่ลงใต้ผิวพื้นน้ำหนีบรรยากาศอันตราย
เป็นต้น
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
5.ดวงอทิตย์ของเราครั้งแรกสุด ถือกำเนิดมาจากที่ใด
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าใสปราศจากเมฆ สิ่งที่เห็นส่วนใหญ่คือ ดาว (Star)
มนุษย์สามารถมองเห็นดาวด้วยตาเปล่า ราว 6,000-7,000 ดวง เหตุเพราะดาว
เหล่านี้ มีค่าความสุกใส (Magnitude) อยู่ในระดับตามนุษย์ค่าความสว่างได้
แท้จริงแล้วยังมีดาวและวัตถุทางดาราศาสตร์ อีกเป็นจำนวนอภิมหาศาล ที่ไม่
สามารถมองเห็นได้ เพราะขนาดเล็กอยู่ห่างไกล ค่าความสุกใสสว่างน้อยจึงมืด
(แม้ว่าดาวมีขนาดใหญ่ มีค่าความสุกใสมาก แต่อยู่ห่างไกลเกินกว่า 500 ปีแสง
ตามนุษย์อาจสังเกตยากขึ้น)
เพียงในระบบสุริยะ นอกจากดาวเคราะห์ที่เรารู้จัก บริเวณแนววงโคจรระหว่าง
ดาวอังคาร (Mars) และดาวพฤหัส (Jupiter) มีแถบดาวเคราะห์น้อย เรียกว่า
Asteroid belt เป็นแหล่งชุมนุมอยู่หนาแน่น ไม่น้อยกว่า 1,000,0000 ดวง
ถัดออกไปแถบไคเปอร์ (Kuiper betl) ระหว่าง 30 - 50 A.U.(จากดวงอาทิตย์)
เรียกว่า พิภพน้ำแข็ง (Ice worlds) มีดาวเคราะห์น้ำแข็ง (Ice dwarfs) จำนวน
มากและดาวหาง (Comet) วนเวียนในอาณาเขตนั้นราวๆ 100,000 ดวง
บริเวณเมฆออร์ต (Oort Cloud) นับออกไป 50,000 - 100,000 A.U.(จากดวง
อาทิตย์) เชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดดาวหาง มีประมาณ 1,000,000,000,000 ดวง
มีวิถีโคจรอย่างวุ่นวาย และบางดวงมุ่งเข้ามาสู่ดวงอาทิตย์แล้วกลับออกไป
ที่กล่าวมายังไม่รวมถึง ดวงจันทร์ต่างๆ ของดาวเคราะห์ เช่น ดาวพฤหัส มีดวง
จันทร์ 63 ดวง ดาวเสาร์ มีดวงจันทร์ 47 ดวง ดาวยูเรนัส มีดวงจันทร์ 27 ดวงและ
ดาวเนปจูนมี ดวงจันทร์ 13 ดวง แม้กระทั่งดาวอังคาร ที่อยู่ใกล้โลก มีดวงจันทร์
ถึง 2 ดวง เป็นต้น
ทั้งหมดเป็นเพียงพื้นที่ในระบบสุริยะ เปรียบเสมือนก้อนหินเล็กๆเพียงก้อนเดียว
ที่จมอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรเท่านั้น
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อพูดถึงภาพรวม ด้วยขนาดของจักรวาล (Scale of the Universe) ขณะที่มอง
มองท้องฟ้ากลางคืนจากบนโลก ไม่ว่าที่ใดก็ตามจะเห็นกลุ่มดาว ระยิบระยับเป็น
หมู่ๆสวยงาม ท่ามกลางความมืด นั่นหมายความเป็นการเห็นด้วยตาเปล่าแบบปกติ
(ภาพล่าง 1 ) ต่อมา หากทดลองจิตนาการว่า ตรงบริเวณเดียวกันที่มองท้องฟ้า
เมื่อครู่สามารถเห็นดาวได้ทุกดวงในจักรวาล จากการซ้อนทับเป็นชั้นๆในอวกาศ
ลึกเข้าไปจนสุดขอบจักรวาล เราจะดาวสว่างเต็มท้องฟ้า แทบจะไม่มีช่องว่างเลย
(ภาพล่าง 2)
คงเป็นเรื่องยากที่จะสามารถนับจำนวนดาว ให้ครบถ้วนจริงได้ ทางวิชาการอาจ
เพียงใช้วิธีประเมิน และปัจจุบันนักดาราศาสตร์ สำรวจพบดาวใหม่ๆ เฉลี่ยเดือน
ละ 30-50 ดวง อย่างสม่ำเสมอ
แต่อย่างไรก็ตาม มีตัวเลขจำนวนวัตถุในจักรวาล (ข้อมูล ค.ศ.2008)
ได้รวบรวมไว้เป็นประเภท จำนวนเท่าที่มนุษย์รู้จัก จากการสำรวจระยะไกล
(ซึ่งหมายความว่า ยังไม่ใช่ทั้งหมดของจักรวาล) ดังนี้
ห้วงระยะ 12.5 - 5,000,000 ปีแสง ของจักรวาลประกอบด้วย
---------------------------------------------------------------------
ระยะ 12.5 ปีแสง มีดาว 33 ดวง
ระยะ 20 ปีแสง มีดาว 117 ดวง
ระยะ 50 ปีแสง มีดาว 970 ดวง
ห้วงระยะ 250 ปีแสง มีดาว 260,000 ดวง
ระยะ 2,000 ปีแสง มีดาว 80 ล้านดวง
ระยะ 5,000 ปีแสง มีดาว 600 ล้านดวง
ระยะ 10,000 ปีแสง มีดาว 50 พันล้าน
ระยะ 50,000 ปีแสง มีดาว 200 พันล้านดวง
ระยะ 500,000 ปีแสง มีดาว 2,250 พันล้านดวง
ระยะ 5,000,000 ปีแสง มีดาว 8,000 พันล้านดวง
ห้วงระยะ 100 ล้านปีแสง ของจักรวาลประกอบด้วย
---------------------------------------------------------
กาแล็คซี่ (Galaxy) จำนวน 200 กาแล็คซี่
กาแล็คซี่ขนาดใหญ่ (Large galaxies) จำนวน 2,500 กาแล็คซี่
กาแล็คซี่แคระ (Dwarf galaxies) จำนวน 50,000 กาแล็คซี่
ดาว (Star) จำนวน 200 พันพันล้านดวง
ห้วงระยะ 1 พันล้านปีแสง ของจักรวาลประกอบด้วย
----------------------------------------------------------
กระจุกกาแล็คซี่ (Superclusters) จำนวน 100 กระจุก
กาแล็คซี่ (Galaxy) จำนวน 240,000 กาแล็คซี่
กาแล็คซี่ขนาดใหญ่ (Large galaxies) จำนวน 3 ล้านกาแล็คซี่
กาแล็คซี่แคระ (Dwarf galaxies) จำนวน 60 ล้านกาแล็คซี่
ดาว (Star) จำนวน 250,000 พันพันล้านดวง
ห้วงระยะ 14 พันล้านปีแสง ของจักรวาลประกอบด้วย
(เป็นวัตถุที่สามารถเห็นแบบ Visible)
----------------------------------------------------------
กระจุกกาแล็คซี่ (Superclusters) จำนวน 10 ล้านกระจุก
กลุ่มกาแล็คซี่ (Galaxy groups) จำนวน 25 พันล้านกลุ่ม
กาแล็คซี่ขนาดใหญ่ (Large galaxies) จำนวน 350 พันล้านกาแล็คซี่
กาแล็คซี่แคระ (Dwarf galaxies) จำนวน 7 พันพันล้านกาแล็คซี่
ดาว (Star) จำนวน 30 พันล้าน- พันพันล้านดวง
*ทั้งนี้ยังไม่รวม ดาวเคราะห์ ดวงจันทร์ วัตถุอื่นๆ ในระบบสุริยะอื่น เหตุเพราะ
ยังสำรวจยากจากระยะไกล และแสงสว่างน้อย มีขนาดเล็ก (เชื่อว่ามีจำนวนกว่า
1,000 เท่า ของจำนวนดาวในจักรวาล และยังไม่รวมวัตถุที่ไม่สามารถมองเห็น
แบบ Visible เช่น หลุมดำ (Black Hole) เนบิวล่า (Nebula) เป็น
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
4. เคราะห์ที่คล้ายโลก ควรมีพืชพันธุ์คล้ายโลกหรือไม่
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
ดาวเคราะห์คล้ายโลก (Earth-like planets) คือ ดาวเคราะห์ประเภท Terrestrial
(Earth-like) planets ความหมายคือ ดาวเคราะห์มีพื้นผิวชัดเจน มีพื้นบกมีพื้นน้ำ
มีแสงสว่างพร่ามัว (เมื่อมองระยะไกล) มักอยู่ใกล้ดาวหลัก (Host star)
ดาวเคราะห์คล้ายโลก ถูกจัดอยู่หลักเกณฑ์ประเภทย่อยของ ดาวเคราะห์ ที่พอ
สามารถดำรงชีพได้ (Habitable Planet)
เป็นดาวเคราะห์ที่มีส่วนประกอบด้วย มวลวัตถุขนาดระหว่าง 0.5 ถึง 2.0 เท่าของ
โลก ส่วนใหญ่ต้องเป็นหิน มีชั้นบรรยากาศ (Atmosphere) และพื้นผิวมีของเหลว
เป็นน้ำ (Liquid surface water)
ข้อสำคัญต้องเปิดเผย ให้เห็นความจริงของ Gaseous exoplanets (อากาศธาตุ
ดาวเคราะห์นั้น) ว่าจะมีความคล้ายโลกหรือไม่ จากการสืบค้นระยะไกลโดย
มนุษย์สามารถมองเห็น จุดเด่นต่างๆในความเหมือน หรือคล้ายสิ่งที่เกิดขึ้นเช่น
เดียวกันบนโลกได้ จึงเป็นข้อพิสูจน์ได้ในเบื้องต้น มิใช่เพียงแต่พบว่ามีน้ำ มีชั้น
ของบรรยากาศคล้ายกัน 2-3 ประการ แล้วสรุปว่าคล้ายโลก
ทั้งนี้ต้องมีเหตุและผลเพียงพอที่จะเกิดแหล่ง สิ่งมีชีวิตและสามารถดำรงชีพได้
สำหรับสิ่งมีชีวิตจากสภาพสิ่งแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยทำให้เป็นระบบ จนเราได้
เรียนรู้พัฒนาขึ้นมา เหมือนหลายๆสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลก เช่น
มีองค์ประกอบพื้นฐาน Carbon - Based ของชีวิตจากน้ำสามารถให้เกิดพันธุ์ไม้
(Plants) สัตว์ (Animals) และจุลชีพ (Microbes) ยังต้องรวมถึงเรื่องอุณหภูมิ
(Temperature) สิ่งปลอมปนสารละลายในน้ำ (Liquid Solvent) ปริมาตรสัดส่วน
จำนวนก๊าซที่มีอยู่มากมาย (Abundances of Gases) ร่องรอย ธาตุสารประกอบ
ต่างๆ (Trace Elements) ค่าปริมาณของรังสี (Radiation Ranges) ค่าความแข็ง
หนาแน่นมวลสารพื้นผิว (Solid Surface) แหล่งพลังงานรูปแบบต่างๆ (Energy
Sources) และค่าเฉลี่ยของสภาพบรรยากาศ (Atmosphere) และปริมาณของ
ทรัพยากรด้านชีวธรรมชาติ เงื่อนไขการกระตุ้นให้เกิดและพัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
และต้องพบการพัฒนาการของ Anti-Biosignatures ในชั้นบรรยากาศ เป็นต้น
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
ประเด็นการสำรวจ ดาวเคราะห์คล้ายโลก จำเป็นต้องพุ่งเป้าไปสู่ การหาดาวหลัก
(Host star) ซึ่งมีความสว่างและมีความร้อน โดยอาจพบ ดาวเคราะห์คล้ายโลก
เหล่านั้นโคจรอยู่รอบๆ และดาวหลักควรมีขนาดใกล้เคียง ดวงอาทิตย์ของเรา
ดาวเคราะห์นั้น มีขนาดใกล้เคียงโลกของเรา มีระยะห่างจากดาวหลัก ราว 1 AU.
การใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าว เป็นวิธีการเดียวจะไม่เสียเวลา ต่อการสืบค้นโลกใหม่
ในจักรวาล เป็นบรรทัดฐานว่า หาระบบสุริยะอื่นด้วยความคล้ายกับระบบสุริยะ
ของเรา ดังนั้นอาจพบสิ่งที่คล้ายโลกของเราได้
หากพบความคล้ายดังกล่าวเบื้องต้น ก็มีความเป็นไปได้ที่อาจพบดาวเคราะห์หิน
(Rocky planets) มีวงโคจรอยู่ในช่วง Habitable zones (เขตที่ดำรงชีพได้)
เพราะบริเวณเขต มีอุณหภูมิเหมาะสม เอื้อให้เกิดของเหลวเช่นน้ำและออกซิเจน
จึงอาจมีพืชพันธ์ไม้ต่างดาว สิ่งมีชีวิตต่างดาวได้ แต่อาจไม่คล้ายกันทั้งหมด
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของ ดาวหลัก (Host star) หรือดวงอาทิตย์ในระบบนั้นๆ
ส่งค่าพลังงานความร้อน ค่าแสงสว่าง อิทธิพลค่ารังสีอันตรายต่างๆ สู่ดาวเคราะห์
คล้ายโลกนั้น มากน้อยเพียงใด
เหตุผลเพราะค่ารังสีอันตรายนั้น เป็นต้นเหตุของ บรรยากาศการเปลี่ยนแปลง
ระบบพืชพันธ์ไม้และระบบชีวิตบนโลกนั้น เพื่อปกป้องตนเองให้ปลอดภัย เช่น
พัฒนาการสร้างเปลือกห่อหุ้มตนเองป้องกันรังสีอันตราย หรือยืนต้นสูงกว่าปกติ
เพื่อรับแสงแดด หรือเปลี่ยนแปลงถิ่นที่อยู่ลงใต้ผิวพื้นน้ำหนีบรรยากาศอันตราย
เป็นต้น
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
5.ดวงอทิตย์ของเราครั้งแรกสุด ถือกำเนิดมาจากที่ใด
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
ดวงอาทิตย์ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่สุดต่อระบบสุริยะและโลก จนถึงระบบชีวิต
ของเรา หากวันนี้จู่ๆดวงอาทิตย์เกิดหายไป อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ?
แน่นอนที่สุด สภาพโลกมืดสนิท ดวงจันทร์ก็มืดไปด้วย อากาศหนาวเย็นอุณหภูมิ
ลดลงติดลบ พืชล้มตายเนื่องขาดระบบการสังเคราะห์แสง ระบบนิเวศล้มเหลวลง
อย่างสิ้นเชิง ฤดูกาลหายไปหมด สภาพอากาศแปรปรวน แรงดึงดูดของระบบสุริยะ
ล้มเหลวขาดความเสถียร ทุกอย่างบนโลกลอยสู่อวกาศอย่างไร้จุดหมาย ควบคุม
ไม่ได้ ดาวต่างๆต้องโคจรชนกันอย่างโกลาหล
เพียงเป็นเรื่องสมมุติ จุดประสงค์ให้เห็นความ เชื่อมโยงอันสำคัญของระบบที่เกี่ยว
ข้องกันแยกไม่ได้ ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ และทุกสิ่งที่อยู่ระบบสุริยะ
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ คือ การก่อกำเนิดของดวงอาทิตย์มิได้โดดเดี่ยว เกิดขึ้นเพียงดวงเดียว ทางทฤษฎีบ่งชี้ว่า เกิดขึ้นเป็นกระจุกดาวหลายดวง หลังจาก
นั้นได้แตกแยกผลัดพรากจากกัน
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
ดวงอาทิตย์ แรกสุดอาจมาจากกระจุกดาว (Star cluster) บางแห่งได้หรือไม่ ?
เป็นสิ่งที่เรากำลังสืบเสาะ แน่นอนว่า กระจุกดาวนั้นยังคงมีอยู่ เพราะกาแล็คซี
ทางช้างเผือกของเรามิได้อ้างว้าง มีดาวอยู่นับหลายพันล้านดวง แต่ด้วยระยะ
เวลายาวนานมาก กระจุกดาวนั้นก็ได้กระจายแยกออกไปเรื่อยๆ จนห่างไกลกัน
การผุดขึ้นของดวงอาทิตย์ครั้งแรกตอนเยาว์วัย ควรจะมีดาวที่เป็นญาติพี่น้องนับ
พันดวง และดวงอาทิตย์เป็นหนึ่งในนั้น หากมองเห็นย้อนอดีตได้ พื้นที่อวกาศใน
ขณะนั้นสว่างไสวไม่มีกลางคืน มีแต่กลางวันด้วยแสงของดาวมากมาย จากนั้น
จึงปรากฎเป็นระบบสุริยะภายหลัง
การคำนวณเบื้องต้นจากสมมุติฐาน ได้ตัวเลขพี่น้องท้องเดียวกันกับดวงอาทิตย์
ประมาณ 50 ดวง มีระยะอยู่ในขอบเขต 300 ปีแสง และถัดออกไปอีกในระยะ
3,000 ปีแสง พบดาว 400 ดวง ซึ่งเป็นครอบครัวเดิม ดวงอาทิตย์ (Our Sun's Family) ห่างไกลกันนับพันปีแสง
จึงเชื่อว่า ดวงอาทิตย์ของเราครั้งแรก ถือกำเนิดขึ้นจากกระจุกดาว มีตำแหน่งห่าง
จากศูนย์กลางกาแล็คซี่ (Center of Milky way) ราว 33,000 ปีแสง มีระยะสูงกว่า
ระนาบ ของทางช้างเผือก (Plane of milky way galaxy) ราว 200 ปีแสง
ส่วนตำแหน่งปัจจุบันนี้ ของดวงอาทิตย์ ห่างจากศูนย์กลางกาแล็คซี่ราว 30,000
ปีแสง มีระยะสูงกว่าระนาบ ของทางช้างเผือก ราว 15 ปีแสง เป็นการเคลื่อนตัว
เข้าหาศูนย์กลางของกาแล็คซี่
--------------------------------------------------------------------------------------
ดวงอาทิตย์ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่สุดต่อระบบสุริยะและโลก จนถึงระบบชีวิต
ของเรา หากวันนี้จู่ๆดวงอาทิตย์เกิดหายไป อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ?
แน่นอนที่สุด สภาพโลกมืดสนิท ดวงจันทร์ก็มืดไปด้วย อากาศหนาวเย็นอุณหภูมิ
ลดลงติดลบ พืชล้มตายเนื่องขาดระบบการสังเคราะห์แสง ระบบนิเวศล้มเหลวลง
อย่างสิ้นเชิง ฤดูกาลหายไปหมด สภาพอากาศแปรปรวน แรงดึงดูดของระบบสุริยะ
ล้มเหลวขาดความเสถียร ทุกอย่างบนโลกลอยสู่อวกาศอย่างไร้จุดหมาย ควบคุม
ไม่ได้ ดาวต่างๆต้องโคจรชนกันอย่างโกลาหล
เพียงเป็นเรื่องสมมุติ จุดประสงค์ให้เห็นความ เชื่อมโยงอันสำคัญของระบบที่เกี่ยว
ข้องกันแยกไม่ได้ ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ และทุกสิ่งที่อยู่ระบบสุริยะ
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ คือ การก่อกำเนิดของดวงอาทิตย์มิได้โดดเดี่ยว เกิดขึ้นเพียงดวงเดียว ทางทฤษฎีบ่งชี้ว่า เกิดขึ้นเป็นกระจุกดาวหลายดวง หลังจาก
นั้นได้แตกแยกผลัดพรากจากกัน
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
ดวงอาทิตย์ แรกสุดอาจมาจากกระจุกดาว (Star cluster) บางแห่งได้หรือไม่ ?
เป็นสิ่งที่เรากำลังสืบเสาะ แน่นอนว่า กระจุกดาวนั้นยังคงมีอยู่ เพราะกาแล็คซี
ทางช้างเผือกของเรามิได้อ้างว้าง มีดาวอยู่นับหลายพันล้านดวง แต่ด้วยระยะ
เวลายาวนานมาก กระจุกดาวนั้นก็ได้กระจายแยกออกไปเรื่อยๆ จนห่างไกลกัน
การผุดขึ้นของดวงอาทิตย์ครั้งแรกตอนเยาว์วัย ควรจะมีดาวที่เป็นญาติพี่น้องนับ
พันดวง และดวงอาทิตย์เป็นหนึ่งในนั้น หากมองเห็นย้อนอดีตได้ พื้นที่อวกาศใน
ขณะนั้นสว่างไสวไม่มีกลางคืน มีแต่กลางวันด้วยแสงของดาวมากมาย จากนั้น
จึงปรากฎเป็นระบบสุริยะภายหลัง
การคำนวณเบื้องต้นจากสมมุติฐาน ได้ตัวเลขพี่น้องท้องเดียวกันกับดวงอาทิตย์
ประมาณ 50 ดวง มีระยะอยู่ในขอบเขต 300 ปีแสง และถัดออกไปอีกในระยะ
3,000 ปีแสง พบดาว 400 ดวง ซึ่งเป็นครอบครัวเดิม ดวงอาทิตย์ (Our Sun's Family) ห่างไกลกันนับพันปีแสง
จึงเชื่อว่า ดวงอาทิตย์ของเราครั้งแรก ถือกำเนิดขึ้นจากกระจุกดาว มีตำแหน่งห่าง
จากศูนย์กลางกาแล็คซี่ (Center of Milky way) ราว 33,000 ปีแสง มีระยะสูงกว่า
ระนาบ ของทางช้างเผือก (Plane of milky way galaxy) ราว 200 ปีแสง
ส่วนตำแหน่งปัจจุบันนี้ ของดวงอาทิตย์ ห่างจากศูนย์กลางกาแล็คซี่ราว 30,000
ปีแสง มีระยะสูงกว่าระนาบ ของทางช้างเผือก ราว 15 ปีแสง เป็นการเคลื่อนตัว
เข้าหาศูนย์กลางของกาแล็คซี่
________________________________________________________________________
6.มนุษย์จะตั้งอาณานิคมบนต่างดาวได้หรือไม่?
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
เชื่อว่าเป็นความใฝ่ฝันของมนุษย์ ที่ต้องการแสดงศักยภาพสู่อารยะธรรมใหม่ใน
จักรวาลโดยการเริ่มต้น วางแผนสำรวจต่างดาว และ เกิดขบวนการสืบค้นโลกใหม่
อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อต้องการทราบว่า ดาวเคราะห์คล้ายโลก อยู่ที่ไหนกัน
พร้อมกับค้นหาต้นกำเนิดระบบชีวิต (Origin of Life) ในจักรวาล
การเดินทางไปดวงจันทร์ ใช้เวลา 3-4 วัน แต่การเดินทางไปดาวอังคาร ใช้เวลา
อย่างน้อย ใช้ระยะเวลา 6 เดือน รวมเวลาไป-กลับ และพักแรมบนดาวอังคารอีก
600 วัน ตามแผนการสำรวจที่ออกแบบไว้ มนุษย์อวกาศต้องจากโลก 2 ปีเศษ
ในหลายๆโครงการ ไม่ได้เป็นสิ่งเพ้อฝัน แม้มีอุปสรรค ข้อจำกัดทางเทคโนโลยี
เป้าหมายสำคัญ คือการเรียนรู้ หาประสบการณ์เดินทางระหว่างดวงดาว มนุษย์ ต้องอยู่ในสภาพต่างจากโลกยาวนานเช่นนั้น คงมีปัญหาหลายประการ ทั้งสภาพ
จิตใจ สุขภาพกาย ความคิดถึงบ้าน ความอันตรายเสี่ยงภัยนาๆประการ นอกจาก
นั้นด้าน เทคโนโลยีจำต้องทดสอบ เตรียมการอย่างใหญ่หลวงในทุกๆด้าน
จึงต้องย้อนกลับ ไปสำรวจดวงจันทร์อีกครั้ง เพื่อจะได้พัฒนาทักษะ เดินทางไป
สู่ดาวอังคารต่อไป หลังจากนั้นจะใช้ความสามารถ ความรู้และประสบการณ์ไปยัง
ดาวเคราะห์หรือดวงจันทร์ ในระบบสุริยะที่ห่างไกลขึ้นได้ เช่น ดวงจันทร์ยูโรปา
(ของดาวพฤหัส) หรือ Alpha Centauri (ดาวดวงแรกที่อยู่ใกล้ระบบสุริยะที่สุด)
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
การตั้งอาณานิคมบนดาวอื่นๆ คงต้องเริ่มต้น ที่ดวงจันทร์ หรือดาวอังคาร (Mars)
เริ่มแต่ ค.ศ.2004 ได้พัฒนาจรวดรุ่นใหม่ ชื่อ Ares (Nuclear-powered rockets) ให้เป็นพาหนะยุคใหม่ เพื่อการกลับไปเยือนดวงจันทร์ในปี ค.ศ.2010 และบางที
อาจมีเป้าหมายสู่ดาวอังคาร ราวกลางปี ค.ศ. 2030
ข้อมูลสำรวจพบว่า ดาวอังคารโครงสร้างดั้งเดิมนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งหมด
ได้ทดลองบนโลก ด้วยการจำลองสภาพดาวอังคาร ที่เรียกว่า Mars on Earth
เพื่อหาประสบการณ์ และคำตอบภายใน 20 ปี ในองค์ประกอบด้านต่างๆว่า ดาว อังคารและโลกมีความเหมือน หรือแตกต่างกัน ในทางธรณีวิทยาหรือไม่ ซึ่งได้
หมายความว่า มนุษย์พยายามหาหนทางการตั้งรกราก อาณานิคมบนต่างดาวขึ้น
แนวทางการตั้งอาณานิคมต่างดาว คงมิใช่เรื่องง่าย เพราะเราต้องรู้ทุกอย่างให้
ถ่องแท้ โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบอันตรายด้านสภาพแวดล้อม ต่อการดำรงชีพ
ซึ่งมีความเป็นไปได้ภายในระยะ 100 ปีข้างหน้า จึงพอมองเห็นโอกาสตั้งอาณา
นิคมต่างดาวได้ บนดาวอังคาร
--------------------------------------------------------------------------------------
เชื่อว่าเป็นความใฝ่ฝันของมนุษย์ ที่ต้องการแสดงศักยภาพสู่อารยะธรรมใหม่ใน
จักรวาลโดยการเริ่มต้น วางแผนสำรวจต่างดาว และ เกิดขบวนการสืบค้นโลกใหม่
อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อต้องการทราบว่า ดาวเคราะห์คล้ายโลก อยู่ที่ไหนกัน
พร้อมกับค้นหาต้นกำเนิดระบบชีวิต (Origin of Life) ในจักรวาล
การเดินทางไปดวงจันทร์ ใช้เวลา 3-4 วัน แต่การเดินทางไปดาวอังคาร ใช้เวลา
อย่างน้อย ใช้ระยะเวลา 6 เดือน รวมเวลาไป-กลับ และพักแรมบนดาวอังคารอีก
600 วัน ตามแผนการสำรวจที่ออกแบบไว้ มนุษย์อวกาศต้องจากโลก 2 ปีเศษ
ในหลายๆโครงการ ไม่ได้เป็นสิ่งเพ้อฝัน แม้มีอุปสรรค ข้อจำกัดทางเทคโนโลยี
เป้าหมายสำคัญ คือการเรียนรู้ หาประสบการณ์เดินทางระหว่างดวงดาว มนุษย์ ต้องอยู่ในสภาพต่างจากโลกยาวนานเช่นนั้น คงมีปัญหาหลายประการ ทั้งสภาพ
จิตใจ สุขภาพกาย ความคิดถึงบ้าน ความอันตรายเสี่ยงภัยนาๆประการ นอกจาก
นั้นด้าน เทคโนโลยีจำต้องทดสอบ เตรียมการอย่างใหญ่หลวงในทุกๆด้าน
จึงต้องย้อนกลับ ไปสำรวจดวงจันทร์อีกครั้ง เพื่อจะได้พัฒนาทักษะ เดินทางไป
สู่ดาวอังคารต่อไป หลังจากนั้นจะใช้ความสามารถ ความรู้และประสบการณ์ไปยัง
ดาวเคราะห์หรือดวงจันทร์ ในระบบสุริยะที่ห่างไกลขึ้นได้ เช่น ดวงจันทร์ยูโรปา
(ของดาวพฤหัส) หรือ Alpha Centauri (ดาวดวงแรกที่อยู่ใกล้ระบบสุริยะที่สุด)
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
การตั้งอาณานิคมบนดาวอื่นๆ คงต้องเริ่มต้น ที่ดวงจันทร์ หรือดาวอังคาร (Mars)
เริ่มแต่ ค.ศ.2004 ได้พัฒนาจรวดรุ่นใหม่ ชื่อ Ares (Nuclear-powered rockets) ให้เป็นพาหนะยุคใหม่ เพื่อการกลับไปเยือนดวงจันทร์ในปี ค.ศ.2010 และบางที
อาจมีเป้าหมายสู่ดาวอังคาร ราวกลางปี ค.ศ. 2030
ข้อมูลสำรวจพบว่า ดาวอังคารโครงสร้างดั้งเดิมนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งหมด
ได้ทดลองบนโลก ด้วยการจำลองสภาพดาวอังคาร ที่เรียกว่า Mars on Earth
เพื่อหาประสบการณ์ และคำตอบภายใน 20 ปี ในองค์ประกอบด้านต่างๆว่า ดาว อังคารและโลกมีความเหมือน หรือแตกต่างกัน ในทางธรณีวิทยาหรือไม่ ซึ่งได้
หมายความว่า มนุษย์พยายามหาหนทางการตั้งรกราก อาณานิคมบนต่างดาวขึ้น
แนวทางการตั้งอาณานิคมต่างดาว คงมิใช่เรื่องง่าย เพราะเราต้องรู้ทุกอย่างให้
ถ่องแท้ โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบอันตรายด้านสภาพแวดล้อม ต่อการดำรงชีพ
ซึ่งมีความเป็นไปได้ภายในระยะ 100 ปีข้างหน้า จึงพอมองเห็นโอกาสตั้งอาณา
นิคมต่างดาวได้ บนดาวอังคาร
____________________________________________________________________
7.ดาวอะไร ใหญ่ที่สุดในจักรวาล?
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
ก่อนอื่นต้องกล่าว ถึงขนาดวัตถุของ จักรวาล (Scale of the Universe) เป็น
เบื้องต้น โดยเริ่มจากโลกและดวงอาทิตย์ โดยให้นึกภาพว่า ดวงอาทิตย์มีขนาด
เท่ากับลูกฟุตบอล ส่วนโลกมีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว และบนท้องฟ้ามีดาวต่างๆที่ใหญ่
่กว่าดวงอาิทิตย์ ตั้งแต่ 2-3 เท่า ถึง 100 เท่า อีกมากมายหลายพันล้านล้านดวง
สำหรับบางกรณีกล่าวว่าใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ เพราะเป็นลักษณะพัฒนาการมี
การขยายตัว ด้วยการเผาไหม้ตนเอง มีขนาดใหญ่ยักษ์ เรียกว่า ดาวยักษ์สีแดง
(Red giants) บางครั้งอาจใหญ่มากๆ ทั้งหมดนี้แสดงว่ากำลัง เข้าสู่วัยชรากลาย
เป็นดาวหมดอายุขัย (The End of Stars) สิ้นสภาพดาวต่อไป
เมื่อไม่นานมานี้ ได้สำรวจ พบดาวประเภท Supergiants Star อีกจำนวน 7 ดวง
ตำแหน่งอยู่ใกล้กับทางช้างเผืิอก มีใหญ่โตเช่นกัน จัดอยู่ในประเภทเดียวกับดาว
ดวงแรกของ จักรวาลเีรียกว่า Blue supergiant star
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อ ค.ศ.2006 ได้สำรวจพบ ดาวขนาดยักษ์ใหญ่กว่า ระบบสุริยะมาก เรียกว่า
Hypergiant Star ตำแหน่งอยู่ห่างจากกาแล็คซี่ Milky Way ราว 170,000 ปีแสง
บริเวณ Large Magellanic Cloud ขนาดดาว กว้างกว่าดวงอาิทิตย์ถึง 100 เท่า
มีมวลมากกว่า ดวงอาทิตย์ 30-70 เท่า เป็นประเภท O stars จัดอยู่ในกลุ่มแบบ
เดียวกับดาวดวงแรกในจักรวาล (First Generation of Stars) มักมีขนาดใหญ่
แต่อายุขัยจะสั้นเพียง 1-3 ล้านปีเท่านั้น
เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ Hypergiant Star มีองค์ประกอบแบบ Nature produces
ความสว่างโชติช่วงมาก มีวงแหวนขนาดใหญ่กว่า ทั้งระบบสุริยะ เต็มไปด้วยเศษ
ซากของ ดาวเคราะห์ ดาวหาง (Comet) ผสมรวมอยู่
ขนาดวงโคจรดาวหางใหญ่เป็น 60 เท่าของดาว Pluto's ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์
แนววงแหวน ยังสำรวจพบดาวประเภทสุกสว่าง (Bright stars) ซ่อนอยู่ประมาณ
60 ดวง เมื่อเข้าไประยะใกล้ชิด มีความแข็งแกร่งของพายุ (Strong winds)
รุนแรง มีเมล็ดเล็กๆคล้ายเม็ดทราย เป็นเมล็ดแข็งของฝุ่นอวกาศ และ Silicate
crystals หลั่งไหลออกมา ท่ามกลางแรงดึงดูดของดาวที่อยู่ใกล้เีคียง
ดังนั้นข้อมูลสำรวจพบ Hypergiant Star เมื่อรวมวงแหวนแล้ว มีขนาดกว้างใหญ่
กว่าระบบสุริยะทั้งระบบ นับว่าเป็นประเภทดาวที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่มนุษย์รู้จักใน
ขณะนี้
____________________________________________________________________
8.เราสามารถมองเห็นหลุมดำได้ชัดๆหรือไม่
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
ถ้าจะเปรียบให้เข้าใจง่ายขึ้น หลุมดำ นั้นคือวาระสุดท้ายของดาว เป็นการเหลือ
ของซากวิญญาน ที่มีพลังอำนาจมหาศาลและมองไม่เห็น เป็นการเกิดขึ้นจาก
การหลอมละลายนิวเคลียสและระเบิดตนเอง แล้วยุบตัวทับถมมวล เป็นการเกิด
อย่างไม่น่าเชื่อหรือแบบเป็นไปไม่ได้ โดยรวมกันสู่จุดศูนย์ที่หนาแน่น และตา
มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้
อำนาจของหลุมดำ จัดว่ามีพลังอำนาจร้ายกาจขั้นเทพ สามารถบีบอัดดูดกลืน
สิ่งใดๆให้หายเข้าไปในหลุมดำได้อย่างมหัศจรรย์ แม้กระทั่งแสง ทั้งหมดนั้นคือ
ระบบธรรมชาติ ของจักรวาลได้สร้างสรรไว้ให้ หลุมดำเป็นมหัตภัยแห่งจักรวาล
หลุมดำมีอยู่ทั่วไปในจักรวาล มิได้คงที่ในตำแหน่งเดิม สามารถโคจรเคลื่อน
ตัวไปยังจุดอื่นๆได้ โดยเชื่อว่าในทางช้างเผือก มีหลุมดำอยู่จำนวนหนึ่ง และมี
ความชัดเจนต่อการพบ หลุมดำขนาดใหญ่ ตรงใจกลางทางช้างเผือก บริเวณ
Sagittarius A (SgrA*) เป็นตำแหน่ง Supermassive black hole (หลุมดำ
มวลขนาดยักษ์) ส่วนหลุมดำขนาดเล็ก ข้อมูลการสำรวจยังไม่เป็นที่กระจ่าง
ในขณะ
โดยเนื้อแท้หลุมดำ อาจแสดงตัวขอบวงรัศมีใหญ่หรือเล็กก็ได้ แต่ไม่ใหญ่โต
มากเพราะไม่จำเป็นต้องมีความเป็นปึกแผ่นของพื้นผิววัตถุ ต่างจากวัตถุอื่นๆ
ในจักรวาลเท่าที่เคยพบ
บริเวณด้านนอกใกล้หลุมดำ มีปรากฎการณ์ Magnetic field lines (เส้นสนาม
แม่เหล็ก) สร้้างรัศมีของแสงรอบขอบหลุมดำ เส้นสนามแม่เหล็กเหล่านี้มีพลัง
งานสูงเป็นพิเศษ พุ่งเป็นลำไฟฟ้าออกมาจากหลุมดำ ยิ่งเพิ่มค่ารังสี X-ray
ภายในหลุมดำ ยังทราบไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากภายในมืดปราศจากแสงและยัง
ไม่มีเครื่องมือใดๆ จะเข้าไปสำรวจภายในหลุมดำได้ ทางทฤษฎีเชื่อว่ามวลภาย
ในทั้งหมดซ้อนเป็นชั้นๆเหมือนเยื่อหุ้ม เป็นจุดๆเดียวอยู่ตรงกลาง เรียกว่า Singularity Point (จุดศูนย์กลางพิศวง)
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
การสำรวจใหม่ โดยวิธี Computer simulation ได้แสดงให้เห็น Bright spot (จุด
สว่าง) ของก๊าซโคจรรอบๆหลุมดำ ภาพแสงมีความคมชัดสูง เป็นลักษณะปรากฎ
ของความแข็งแกร่งสนามแรงโน่มถ่วงพลังสูง ส่งผลสร้างความบิดเบือนบริเวณ
ก็าซรอบๆนั้น จนแสดงให้เห็นเงาดำ ของหลุมดำ ที่หลบซ่อนอยู่ สำหรับเส้นบาง
สีเขียวเป็นตำแหน่งเส้นบอกพิกัด มองหลุมดำในมุม 30 องศาตามแนวระนาบ
เกิดเป็นภาพหลุมดำ มองเห็นระยะใกล้ที่สุดในขณะนี้ (ภาพบนสุด)
__________________________________________________________________
9.วงกลมปริศนา เป็นการติดต่อสื่อสารจากต่างดาวใช่หรือไม่
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
จากข่าวลือเกิดขึ้นว่า วงกลมปริศนา (Crop Circle) เป็นฝีมือของ UFO หรือจาก
มนุษย์ต่างดาว เริ่มต้นจากขึ้นในประเทศอังกฤษ ต่อมาตลอดทั้งปี ค.ศ.1990
วงกลมปริศนา เกิดขึ้นอย่างไล่เลี่ยกัน ถึง 500 แห่งของทวีปยุโรป ภายในไม่กี่ปี
หลังจากนั้นมีนับเป็นพันแห่ง ทำให้นักท่องเที่ยว หลั่งไหลเข้ามาชมแหล่งต่างๆจน
เกิดเป็นธุรกิจ การจัดการท่องเที่ยวอย่างสนุกสนาน
ตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา จากรูปแบบเดิมที่มีวงเดียว เกิดรูปแบบใหม่เป็น
2-3 วงซ้อนกัน บางแห่งมีเป็นลักษณะแฝด 4 วงจนกระทั่ง มีแบบวงแหวนอยู่
ด้านนอก มีแบบหมุนวนเข้า-ออก คล้ายการเคลื่อนตัวหมุนตามเข็มนาฬิกาและ
หมุนทวนเข็มนาฬิกา มีการซ้อนกันของวงกลม ทำให้มีความหลากหลายมากขึ้น
นอกจากนั้นยังมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเป็นหลายพันฟุต พบว่าวงกลมปริศนาในยุคใหม่
ความประณีตมากขึ้น มีองค์ประกอบละเอียดลออมากขึ้น เรียกว่า Pictograms
(สัญลักษณ์ภาพเหมือนธรรมชาติ) มีแม้กระทั่ง หน้าคนยิ้ม ดอกไม้และข้อความ
ซึ่งต่างไปจากอดีต
ยังพบวงกลมปริศนาทีมีความทันสมัยเกี่ยวกับ สมการทางคณิตศาสตร์ และทาง
ดาราศาสตร์ เมื่อมาหาค่าระยะต่างๆมีความถูกต้อง ในตำแหน่งขององค์ประกอบ
อย่างอัศจรรย์ไม่ว่าจากเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม วงกลมชั้นนอกชั้นใน ถูกต้องตาม
หลักการทางเรขาคณิต
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
ในปี ค.ศ. 1991 การออกมายอมรับของ ชาวอังกฤษ Doug Bower and Dave Chorley หรือที่ส่วนใหญ่เรียกว่า Doug and Dave ได้ประกาศว่าเขาเป็นผู้สร้าง
วงกลมปริศนามาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1978 มีจำนวนมากกว่า 1,000 แห่ง พร้อมที่จะ
ให้การพิสูจน์ กับสำนักข่าว BBC. โดยเพียงแต่ใช้เชือกกับแผ่นกระดานเท่านั้น
และการประชุมทางวิทยาศาสตร์ Scientific Investigation of Claims of the
Paranormal (CSICOP) มีข้อมูลสรุปว่า วงกลมปริศนา ทั้งหมดเกิดขึ้นจาก
การเล่นตลกของบุคคลบางกลุ่ม มีการเริ่มต้นทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ
มากนานแล้ว
ภายหลังมีการพัฒนาการรูปแบบ ด้วยความชำนาญการใช้เครื่องมือ จึงทำให้มี
ความประณีตขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า วงกลมปริศนา
ที่พบนั้นเกิดจากฝีมือมนุษย์ ถึง 80% ส่วนอีก 20% ที่เหลือเกิดจาก พลังงาน
ธรรมชาติเรียกว่า Higher force (แต่วงกลมมักไม่สวยงามเป็นแบบแผนและ
มีขนาดเล็ก) ดังนั้นจึงไม่ควรมีสิ่งเกี่ยวใดๆ กับการติดต่อสื่อสารจากต่างดาว
______________________________________________________________
10.พลังงานจักรวาลเกี่ยวข้องกับรังสีจักรวาลหรือไม่
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
พลังจักรวาล เป็นวิธีการของบุคคล ที่พยายามใช้ตนเองเป็นสื่อเพื่อรับพลังงาน
ที่ประกอบไปด้วย อนุภาคอีเล็คตรอน โปรตรอน รวมถึงอนุภาคอื่นๆ ที่หลั่งไหล
มาจากท้องฟ้า จากที่ใดก็ตาม เข้าสู่บุคคลนั้น หรือถ่ายทอดไปยังบุคคลอื่น
โดยเชื่อว่าสามารถ เพิ่มศักยภาพให้พลังงานของระบบชีวิตได้
การสัมผัสอนุภาคที่วิ่งเข้ามาจากอวกาศ บางคนมีความสามารถรับรู้ การวิ่งกระทบ
มายังบริเวณเส้นปลายประสาท เช่น ฝ่ามือ ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า หรือบางส่วนของ
ศรีษะ ฯลฯ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าอัศจรรย์ บางคนมีความสามารถเห็น อนุภาค
เหล่านั้นวิ่งวุ่นไปมาอย่างไม่ขาดสาย แท้จริงเป็นสิ่งปกติของอนุภาคที่มีอยู่ทั่วไป
สามารถวิ่งชนสิ่งต่างๆ ทุกสิ่งบนโลกได้ โดยการเห็นมีหลายรูปแบบ อาจเห็นเป็น
แบบ Bubble chamber หรือเห็นแบบ Cosmic rays หรือแบบอื่นๆ ฯลฯ
ส่วนรังสีจักรวาล (Cosmic rays) คือ เป็นขบวนการเปลี่ยนแปลง ของอนุภาค
(Protons และ Nuclei ของอะตอม) โดยกลุ่มอนุภาคเหล่านี้มาจากห้วงอวกาศ
โดยต้องมีค่าพลังงานมากกว่า 2,000,000,000 eV (electron volts - เป็นหน่วย
การวัดอนุภาค หากวัดโมเลกุล ในห้องที่เรานั่งอยู่ทั่วไป จะมีค่า 1/40 eV)
อนุภาค Cosmic rays มีอยู่ทั่วไปบริเวณเหนือชั้นบรรยากาศของโลก เราเรียกว่า
Primary Cosmic rays (รังสีจักรวาลปฐมภูมิ) แต่หากอนุภาคนั้นตกลงพื้นโลก
เรา้เรียกว่า Secondary Cosmic rays (รังสีจักรวาลทุติยภูมิ) เบื้องต้น Cosmic
rays เกิดจาก Ultra-penetrating Gamma raditation (ลักษณะการแผ่รังสีระดับ
คลื่น Gamma มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่สามารถใช้เครื่องมือทาง
วิทยาศาสตร์ตรวจจับได้)
หลังจากนั้นมีขบวนการของ อนุภาค Nentrinos เข้ามาเกี่ยวข้อง สามารถมองเห็น
Cosmic rays ได้เหนือชั้นบรรยากาศของโลก เหมือนสายฝน เม็ดเล็กๆกำลังพุ่ง
ไหลรินเข้าสู่โลก มีขนาดพื้นที่กว้างใหญ่ครอบคลุมไปทั่ว
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
รังสีจักรวาล (Cosmic rays) และเรื่องพลังจักรวาล เกี่ยวข้องกันในเรื่องอนุภาค
จากอวกาศ หรืออาจมาจากที่ใดที่หนึ่งของจักรวาล เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์
พบว่ารังสีดังกล่าว มีจริงและมีพลังงานสูงจริง
อนุภาคของ Cosmic rays มีความสามารถจะไปกระตุ้น อนุภาคธรรมชาติของ
สิ่งต่างๆที่อยู่ในโลก ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและ ไม่มีชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยัง
ไม่มีทฤษฎีใดๆ มารองรับอย่างชัดแจ้ง
ทั้งนี้การกล่าวถึงพลังจักรวาล เป็นการอ้างอิงพูดถึง ได้รับการสัมผัสรังสีจักรวาล
(Cosmic rays) ที่ไหลรินลงมาจากท้องฟ้า ตามความเข้าใจของบุคคลทั่วไป
ซึ่งเกิดขึ้นได้จริง (ในบางบุคคล)
--------------------------------------------------------------------------------------
พลังจักรวาล เป็นวิธีการของบุคคล ที่พยายามใช้ตนเองเป็นสื่อเพื่อรับพลังงาน
ที่ประกอบไปด้วย อนุภาคอีเล็คตรอน โปรตรอน รวมถึงอนุภาคอื่นๆ ที่หลั่งไหล
มาจากท้องฟ้า จากที่ใดก็ตาม เข้าสู่บุคคลนั้น หรือถ่ายทอดไปยังบุคคลอื่น
โดยเชื่อว่าสามารถ เพิ่มศักยภาพให้พลังงานของระบบชีวิตได้
การสัมผัสอนุภาคที่วิ่งเข้ามาจากอวกาศ บางคนมีความสามารถรับรู้ การวิ่งกระทบ
มายังบริเวณเส้นปลายประสาท เช่น ฝ่ามือ ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า หรือบางส่วนของ
ศรีษะ ฯลฯ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าอัศจรรย์ บางคนมีความสามารถเห็น อนุภาค
เหล่านั้นวิ่งวุ่นไปมาอย่างไม่ขาดสาย แท้จริงเป็นสิ่งปกติของอนุภาคที่มีอยู่ทั่วไป
สามารถวิ่งชนสิ่งต่างๆ ทุกสิ่งบนโลกได้ โดยการเห็นมีหลายรูปแบบ อาจเห็นเป็น
แบบ Bubble chamber หรือเห็นแบบ Cosmic rays หรือแบบอื่นๆ ฯลฯ
ส่วนรังสีจักรวาล (Cosmic rays) คือ เป็นขบวนการเปลี่ยนแปลง ของอนุภาค
(Protons และ Nuclei ของอะตอม) โดยกลุ่มอนุภาคเหล่านี้มาจากห้วงอวกาศ
โดยต้องมีค่าพลังงานมากกว่า 2,000,000,000 eV (electron volts - เป็นหน่วย
การวัดอนุภาค หากวัดโมเลกุล ในห้องที่เรานั่งอยู่ทั่วไป จะมีค่า 1/40 eV)
อนุภาค Cosmic rays มีอยู่ทั่วไปบริเวณเหนือชั้นบรรยากาศของโลก เราเรียกว่า
Primary Cosmic rays (รังสีจักรวาลปฐมภูมิ) แต่หากอนุภาคนั้นตกลงพื้นโลก
เรา้เรียกว่า Secondary Cosmic rays (รังสีจักรวาลทุติยภูมิ) เบื้องต้น Cosmic
rays เกิดจาก Ultra-penetrating Gamma raditation (ลักษณะการแผ่รังสีระดับ
คลื่น Gamma มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่สามารถใช้เครื่องมือทาง
วิทยาศาสตร์ตรวจจับได้)
หลังจากนั้นมีขบวนการของ อนุภาค Nentrinos เข้ามาเกี่ยวข้อง สามารถมองเห็น
Cosmic rays ได้เหนือชั้นบรรยากาศของโลก เหมือนสายฝน เม็ดเล็กๆกำลังพุ่ง
ไหลรินเข้าสู่โลก มีขนาดพื้นที่กว้างใหญ่ครอบคลุมไปทั่ว
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
รังสีจักรวาล (Cosmic rays) และเรื่องพลังจักรวาล เกี่ยวข้องกันในเรื่องอนุภาค
จากอวกาศ หรืออาจมาจากที่ใดที่หนึ่งของจักรวาล เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์
พบว่ารังสีดังกล่าว มีจริงและมีพลังงานสูงจริง
อนุภาคของ Cosmic rays มีความสามารถจะไปกระตุ้น อนุภาคธรรมชาติของ
สิ่งต่างๆที่อยู่ในโลก ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและ ไม่มีชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยัง
ไม่มีทฤษฎีใดๆ มารองรับอย่างชัดแจ้ง
ทั้งนี้การกล่าวถึงพลังจักรวาล เป็นการอ้างอิงพูดถึง ได้รับการสัมผัสรังสีจักรวาล
(Cosmic rays) ที่ไหลรินลงมาจากท้องฟ้า ตามความเข้าใจของบุคคลทั่วไป
ซึ่งเกิดขึ้นได้จริง (ในบางบุคคล)
_____________________________________________________________________
11.การเดินทางข้ามอวกาศ ไปยังดาวที่ไกล้ที่สุด ต้องใช้เวลากี่ปี?
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
Proxima Centauri ดาวประเภท Red-dwarf (ดาวแคระสีแดง) อยู่ในระบบของ
Alpha Centauri system เป็นระบบดาวที่ใกล้โลกที่สุด ห่างจากโลก 4.3 ปีแสง
มีเงื่อนไขด้วยร่วมวงโคจร 3 ดวง (Three Co-orbiting) หนึ่งในดวงที่สว่างที่สุด
คือ Rigil Kentaurus หรือ Toliman บางครั้งมักเรียกว่า Alpha Centauri A
มีความสว่างมากกว่าดวงอาทิตย์ 50% ส่วน Alpha Centauri B มีความสว่างกว่า
ดวงอาทิตย์ 1 ใน 3
การสำรวจระบบดาว Alpha Centauri system ด้วยมนุษย์อวกาศ เป็นแผนการ
ที่ถูกกำหนดไว้นานมาแล้ว แต่ยังมีการโต้แย้งถึงศักยภาพ ความสามารถในการ
เดินทางข้ามอวกาศระยะไกล ออกนอกระบบสุริยะ ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์
นอกจากนั้นระหว่างการเดินทาง อาจพบกับ หลุมดำ (Black Hole) หรือสนามแรง
โน้มถ่วง และเชื่อว่ามีอุปสรรคที่ไม่เคยรู้จักมากมาย ตลอดการเดินทาง ทั้งหมด
จึงเพียงเป็นแผนการณ์บนกระดาษ ที่รอคอยการเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
สมมุติว่าเดินทางข้ามอวกาศ ไปยังดาว Proxima Centauri ด้วยยาน Voyager 2
มีความเร็วในอวกาศราว 35,000 ไมล์ต่อชั่วโมง เดินทางโดยไม่หยุดพักเลย
จะต้องใช้เวลาประมาณ 40,000 ปี จึงจะถึงเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม การออกแบบยานสำรวจระยะไกล โดยใช้มนุษย์ควบคุม ยังต้อง
ใช้เวลารอความคิด ด้านเทคโนโลยี่ใหม่ เพื่อย่นเวลาการเดินทางและทำอย่างไร
จะนำพลังงานในอวกาศมาใช้ให้ได้ โดยไม่ต้องนำไปจากโลกและไม่ต้องอาศัย
พลังงานจากดวงอาทิตย์ เพราะยิ่งห่างไกล แสงจากดวงอาทิตย์จะริบรี่ลงเรื่อยๆ
ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ ของการเดินทางข้ามจักรวาล
--------------------------------------------------------------------------------------
Proxima Centauri ดาวประเภท Red-dwarf (ดาวแคระสีแดง) อยู่ในระบบของ
Alpha Centauri system เป็นระบบดาวที่ใกล้โลกที่สุด ห่างจากโลก 4.3 ปีแสง
มีเงื่อนไขด้วยร่วมวงโคจร 3 ดวง (Three Co-orbiting) หนึ่งในดวงที่สว่างที่สุด
คือ Rigil Kentaurus หรือ Toliman บางครั้งมักเรียกว่า Alpha Centauri A
มีความสว่างมากกว่าดวงอาทิตย์ 50% ส่วน Alpha Centauri B มีความสว่างกว่า
ดวงอาทิตย์ 1 ใน 3
การสำรวจระบบดาว Alpha Centauri system ด้วยมนุษย์อวกาศ เป็นแผนการ
ที่ถูกกำหนดไว้นานมาแล้ว แต่ยังมีการโต้แย้งถึงศักยภาพ ความสามารถในการ
เดินทางข้ามอวกาศระยะไกล ออกนอกระบบสุริยะ ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์
นอกจากนั้นระหว่างการเดินทาง อาจพบกับ หลุมดำ (Black Hole) หรือสนามแรง
โน้มถ่วง และเชื่อว่ามีอุปสรรคที่ไม่เคยรู้จักมากมาย ตลอดการเดินทาง ทั้งหมด
จึงเพียงเป็นแผนการณ์บนกระดาษ ที่รอคอยการเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
สมมุติว่าเดินทางข้ามอวกาศ ไปยังดาว Proxima Centauri ด้วยยาน Voyager 2
มีความเร็วในอวกาศราว 35,000 ไมล์ต่อชั่วโมง เดินทางโดยไม่หยุดพักเลย
จะต้องใช้เวลาประมาณ 40,000 ปี จึงจะถึงเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม การออกแบบยานสำรวจระยะไกล โดยใช้มนุษย์ควบคุม ยังต้อง
ใช้เวลารอความคิด ด้านเทคโนโลยี่ใหม่ เพื่อย่นเวลาการเดินทางและทำอย่างไร
จะนำพลังงานในอวกาศมาใช้ให้ได้ โดยไม่ต้องนำไปจากโลกและไม่ต้องอาศัย
พลังงานจากดวงอาทิตย์ เพราะยิ่งห่างไกล แสงจากดวงอาทิตย์จะริบรี่ลงเรื่อยๆ
ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ ของการเดินทางข้ามจักรวาล
_____________________________________________________________
12.ระบบสุริยะอยู่บริเวณใดของทางช้างเผือก
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
Milky way galaxy (ทางช้างเผือก) มีมวลรวมกันประมาณ 750 พันล้านถึง 1,000
พันล้านล้านเท่า ของดวงอาทิตย์ (หรือมากกว่านั้น) มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวตลอด
แนวราว 100,000-120,000 ปีแสง
นอกจากนั้นยังประกอบด้วย กระจุกดาว (Star cluster) เนบิวล่า (Nebula) นับ
พันกลุ่ม หากรวมจำนวนวัตถุต่างๆที่รวมกันใน Milky Way เช่น ดาวเคราะห์น้อย
(Asteroid) ดาวหาง (Comet) อุกกาบาต (Meteorite) เชื่อว่า ตัวเลขจำนวนนับ
ไม่ถ้วนอีกหลายพันเท่า วัตถุต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมด ต่างโคจรไป รอบมวลของ
จุดศูนย์ของกาแล็คซี เรียกว่า Galactic Center
โดยในกาแล็คซี่ทางช้างเผือก มีระบบสุริยะอื่นๆอีกมากมาย
เรียกว่า Extra-solar (ระบบสุริยะพิเศษ) ขณะนี้สำรวจพบ
จำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น
ระบบสุริยะพิเศษ Gliese 876 (ระยะทางจากโลก 15 ปีแสง)
ระบบสุริยะพิเศษ 51 Pegasi (ระยะทางจากโลก 42 ปีแสง)
ระบบสุริยะพิเศษ 55 Cancri (ระยะทางจากโลก 43 ปีแสง)
ระบบสุริยะพิเศษ Upsilon And (ระยะทางจากโลก 52 ปีแสง)
ระบบสุริยะพิเศษ 70 Virginis (ระยะทางจากโลก 78 ปีแสง)
ระบบสุริยะพิเศษ HD 188753 (ระยะทางจากโลก 149 ปีแสง)
ข้อสรุป
-------------------------------------------------------------------------------------
ระบบสุริยะของเรานั้น หมุนวนเป็นวงกลมไปรอบๆบริเวณ Galactic disk (จุดศูนย์
กลางแผ่นจานกลมกาแล็คซี) มีระยะห่าง จากศูนย์กลางกาแล็คซี ทางช้างเผือก (Center of Milky way) ราว 30,000 ปีแสง มีระยะสูงกว่าระนาบ ทางช้างเผือก (Plane of milky way galaxy) ราว 15 ปีแสง เป็นการหมุนเข้าใกล้จุดศูนย์กลาง
มากขึ้นกว่าช่วงเวลากำเนิดแรกๆ ของครอบครัวดวงอาทิตย์ (Our Sun's Family)
ซึ่งแต่เดิม มีระยะห่างจากศูนย์กลางกาแล็คซี ทางช้างเผือก 33,000 ปีแสงและ
มีระยะสูงกว่าระนาบ ทางช้างเผือกราว 200 ปี
โดยหมุนโคจร ด้วยความเร็ว 234 กม./วินาที ซึ่งที่ผ่านมาได้ โคจรเป็นวงกลม
ลักษณะการโคจร มิใช่เป็นการวิ่งวนรอบ (เหมือนโลก โคจรรอบดวงอาทิตย์)
แต่มีความซับซ้อนมากมายที่มั่นคง ด้วยสนามแรงโน้มถ่วง (Gravitation field)
ของกาแล็คซี่ หมุนรอบกาแล็คซี่ ผ่านมาแล้ว 27 รอบจนปัจจุบัน
___________________________________________________________________
13.วัตถุใกล้โลก ที่อาจทำอันตรายต่อโลก มีมากน้อยเพี่ยงใด
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
Near-Earth Objects หรือ วัตถุใกล้โลก เรียกย่อว่า NEOs ซึ่งเป็นวัตถุประเภท
ดาวหาง (Comets) หรือดาวเคราะห์น้อย (Asteroids) ที่เกิดแรงดุน แรงดึงดูด
ในสนามแรงโน้มถ่วง ของดาวเคราะห์ ให้มีเส้นทางโคจรเข้าใกล้กับโลก อาจมี
ขนาดเส้นผ่าศูนย์ไม่กี่เมตร จนถึงหลายพันเมตร
NEOs ที่มีส่วนประกอบของอนุภาคฝุ่น (Dust particles) ซึ่งฝังตัวอยู่ในน้ำแข็ง (Water ice) มีความเย็น ส่วนใหญ่จะก่อตัวจาก ต้นกำเนิดดาวหางบริเวณขอบ
ระบบสุริยะ หรือเรียกว่า พิภพน้ำแข็ง
ส่วน NEOs ที่มีส่วนประกอบของหิน จะมีความอบอุ่นกว่าเพราะส่วนใหญ่ได้ก่อตัว
ขึ้นในระบบสุริยะชั้นใน ระหว่างวงโคจร ดาวอังคาร กับ ดาวพฤหัส
ทางวิทยาศาสตร์ ถือว่า ดาวหางและดาวเคราะห์น้อย มีความเกี่ยวพันกันอย่าง
หลีกเหลี่ยงไม่ได้ อย่างไม่เปลี่ยนแปลง จากอดีตครั้นแต่การก่อตัวของระบบ
สุริยะเมื่อ 4.6 พันล้านปีมาแล้ว
ตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน วัตถุจากห้วงอวกาศ เรียกว่า Interplanetary (สสารระหว่าง
ดาวเคราะห์ ) ตกสู่โลกราว 100 ตัน แต่ทั้งหมดเป็นชิ้นเล็กมาก รวมถึงเศษฝุ่นซึ่ง
เป็นอนุภาคกระเด็นหลุดจากดาวหางเป็นไอของน้ำแข็ง ซึ่งมีทั่วไปในระบบสุริยะ
สำหรับ Interplanetary ขนาดเป็นก้อนใหญ่ ก็มีจำนวนมากโดยผิวโลกเป็นเป้า
หมายให้พุ่งชนปะทะ หรือมีเส้นทางพุ่งชนกันเอง และมีหลายกรณีที่พุ่งเข้าสู่โลก
และไม่มีมีรายงานผู้เสียชีวิต เช่น เมื่อ 100 ปีที่แล้ว The Tunguska event
(กรณีทังกัสก้า) หรือ กรณี Indonesian asteroid เมื่อ ปี ค.ศ. 2009
โอกาสความเป็นไปได้ ค่าเฉลี่ยในช่วงเวลาราว 100 ปี อาจพบดาวเคราะห์น้อย
ขนาดราว 50 เมตร ในประเภทหินหรือเหล็ก พุ่งเข้าปะทะสร้างความหายนะต่อ
พื้นผิวโลกหรือคาบมหาสมุทรได้
ค่าเฉลี่ยช่วงเวลาราว 100,000 ปี หรือมากกว่า อาจพบดาวเคราะห์น้อยขนาด
ใหญ่มากกว่า 1 กิโลเมตร พุ่งเข้าปะทะสร้างความเสียหายได้ทั้งโลก
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
วัตถุที่อยู่เขตชั้นในและเขตชั้นนอก ของระบบสุริยะนั้น มีความสำคัญต่อสถานะ
ภาพของชีวิตบนโลก เหตุเพราะวัตถุเหล่านี้มีเส้นทางโคจรผ่านเข้าใกล้โลก หรือมี
วงโคจรตัดหน้าผ่านโลก ซึ่งเรียกว่า Near-Earth Objects (วัตถุใกล้โลก) เช่น
Atens Asteroids, Apollo Asteroids, Amor Asteroids
Potentially Hazardous Asteroids (PHAs) เป็นความหมายของดาวเคราะห์น้อย
ที่อาจสามารถทำอันตรายต่อโลกได้ ทำให้เกิดความหวาดวิตก มีลักษณะเฉพาะ
คือ มีเส้นทางโคจรตัดผ่านกันกับโลก เรียกว่า Minimum Orbit Intersection
Distance (MOID) ระยะ 0.05 AU หรือน้อยกว่านั้น โดยมีโชติมาตร 22.0 หรือ
สว่างกว่า ซึ่งขณะนี้มีข้อมูลแล้วจำนวน 1084 วัตถุ*
(หมายเหตุ *: จำนวนวัตถุมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ)
JPL Sentry System เป็นระบบประมวลผลเฝ้าระวังการชนโลก อัตโนมัติระดับสูง (Automated collision monitoring system) จากดาวเคราะห์น้อย โดยจะคอย
พิเคราะห์อย่างละเอียด และตรวจสอบความเป็นไปได้ ให้ข้อมูล ก่อนล่วงหน้า
มากกว่า 100 ปี และได้ตรวจหา จัดทำเป็นฐานข้อมูลเพื่อ สะดวกต่อการสำรวจ
มีราวๆ จำนวน 269 วัตถุ* ที่จะต้องคอยเฝ้าระวังอย่างสม่ำเสมอมีฉะนั้นอาจเกิด
หายนะ อันตราย มีผลกระทบจาก การชนปะทะของวัตถุใกล้โลก (Near Earth
impact) โดยไม่มีเวลาทันหลบภัย
(หมายเหตุ *: จำนวนวัตถุมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ)
_______________________________________________________________
14.การเตือนภัยคุกคาม จากวัตถุใกล้โลก มีกี่ระดับ ใครเป็นผู้ออกประกาศเตือน ?
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
การเฝ้าระวัง วัตถุใกล้โลก (Near-EarthObjects) ต้องติดตามใกล้ชิดเพราะวัตถุ
ในอวกาศ มีขนาดเล็ก ไม่มีความเสถียรของวงโคจร ประการสำคัญเรามีข้อมูล
จากการเฝ้าติดตามระยะไกลมาก การคำนวณพลาดเพียง 00.00001% ก็มีผลกับ
ระยะทางแปรผันไป หลายร้อยกิโลเมตรได้
หลายครั้งพบว่า ข่าวต่างๆที่แสดงต่อสาธารณะชน โดยเฉพาะบนอินเตอร์ มักขาด
หลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง โดยการแพร่สะพัดข่าวจากบุคคล ซึ่งไม่มีความรู้หรือความ
เชี่ยวชาญ บางครั้งเพียงเพื่อการเล่นตลกเท่านั้น เช่น ตัวอย่างในกรณีวันสิ้นโลก
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
การตรวจพบและการรายงานเรื่องวัตถุใกล้โลก ต่อสาธารณะชน เป็นสิ่งละเอียด
อ่อนมาก หากให้ข้อมูลที่ผิดเพี้ยน อาจทำให้เกิดความกังวลขึ้นได้ ดังนั้นจึงต้องมี
ข้อกำหนด ระดับการเตือนภัย ว่าผู้ใด ระดับใด จึงสามารถกระทำได้ในขอบเขต
ที่กำหนดเป็นมาตรฐานสากล
ข้อกำหนด การแจ้งเตือนอันตราย
จากการชนปะทะของ ดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง
Assessing Asteroid And Comet Impact Hazard
Predictions In The 21st Century
--------------------------------------------------------------------------------------
การเฝ้าระวัง วัตถุใกล้โลก (Near-EarthObjects) ต้องติดตามใกล้ชิดเพราะวัตถุ
ในอวกาศ มีขนาดเล็ก ไม่มีความเสถียรของวงโคจร ประการสำคัญเรามีข้อมูล
จากการเฝ้าติดตามระยะไกลมาก การคำนวณพลาดเพียง 00.00001% ก็มีผลกับ
ระยะทางแปรผันไป หลายร้อยกิโลเมตรได้
หลายครั้งพบว่า ข่าวต่างๆที่แสดงต่อสาธารณะชน โดยเฉพาะบนอินเตอร์ มักขาด
หลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง โดยการแพร่สะพัดข่าวจากบุคคล ซึ่งไม่มีความรู้หรือความ
เชี่ยวชาญ บางครั้งเพียงเพื่อการเล่นตลกเท่านั้น เช่น ตัวอย่างในกรณีวันสิ้นโลก
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
การตรวจพบและการรายงานเรื่องวัตถุใกล้โลก ต่อสาธารณะชน เป็นสิ่งละเอียด
อ่อนมาก หากให้ข้อมูลที่ผิดเพี้ยน อาจทำให้เกิดความกังวลขึ้นได้ ดังนั้นจึงต้องมี
ข้อกำหนด ระดับการเตือนภัย ว่าผู้ใด ระดับใด จึงสามารถกระทำได้ในขอบเขต
ที่กำหนดเป็นมาตรฐานสากล
ข้อกำหนด การแจ้งเตือนอันตราย
จากการชนปะทะของ ดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง
Assessing Asteroid And Comet Impact Hazard
Predictions In The 21st Century
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
________________________________________________________________
15.นักวิทยาศาสตร์ใช้สัตว์ในการทดลองโครงการอวกาศหรือไม่
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
หนทางเดียวในการทดลองทุกแขนง เพื่อรักษาชีวิตมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์จำ
เป็นนำสัตว์เข้าสู่ขบวนการทดลอง ด้านอวกาศเช่นกัน เริ่มจากนักวิทยาศาสตร์
ชาวรัสเซียและอเมริกา เพราะเรื่องสำคัญที่สุดคือ ความปลอดภัยมนุษย์ อาจเป็น
อันตรายในสภาพไร้น้ำหนัก (Weightlessnes) เป็นสิ่งที่โต้แย้งกัน ในบรรดานัก
อวกาศวิทยายาวนานยืดเยื้อ
การทดลองครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของโซเวียต ที่รู้จักดี เมื่อ 3 พฤศจิกายน
ค.ศ. 1957 โดยส่ง Sputnik 2 โคจรรอบโลกพร้อมกับ สุนัขชื่อ Laika (รัสเซีย
เรียก Husky หรือ Barker) ชื่อจริงๆ ของสุนัขตัวนี้คือ Kudryavka (ไอ้หยิก) แต่
อเมริกาตั้งฉายาให้ Laika เป็น Muttnik (สุนัขอัศวินข้างถนน) เพราะเป็นสุนัขตัว
เล็กคล้ายเก็บมาจากข้างถนน
และไม่ได้ฝึกหัดให้มีความพร้อมที่จะสู่วงโคจรโลก สภาวะอาศัยอยู่ในกล่องโลหะ ด้วยไม่มีเวลาเพียงพอต่อการทดลองที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว เจตนาของโซเวียต
ต้องการจะตัดหน้าอเมริกา
ในความเป็นจริง Laika ได้สิ้นชีวิตไม่นานหลังจากขึ้นสู่อวกาศ และ Sputnik 2
ได้ถูกเผาไหม้ในชั้นนอกบรรยายกาศไปสิ้นในเดือน เมษายน ค.ศ. 1958 ในปี
ถัดมา ซึ่งข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยขึ้นจากโซเวียตเอง ในปี ค.ศ. 2002
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
การทดลองส่วนใหญ่ ทดลองด้วยจรวดสู่อวกาศ (Animals in space) แบบตีตั๋ว
เที่ยวเดียว (ไปไม่มีขากลับ) สัตว์ที่ได้รับเลือก มักจะเป็นประเภท สุนัขและลิง
แม้กระทั่งหนู เต่าและ หนอน แมลง กบ ฯลฯ
ตลอด 50 ปีที่ นักวิทยาศาสตร์อเมริกาและโซเวียต ใช้สารพัดสิงสาราสัตว์ใน
การทดลอง อันเกิดประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างมหาศาล ซึ่งหากไม่มีสัตว์เหล่านี้
ความก้าวหน้า ด้านอวกาศคงบรรลุผลยากและเลี่ยงภัยต่อมนุษย์
วันนี้โครงการอวกาศไม่ใช้สัตว์ทดลอง สู่อวกาศแบบโหดร้ายมานานแล้ว และ
โครงการของนักวิทยาศาสตร์อเมริกาและโซเวียต ได้แสดงความรู้สึกเสียใจอย่าง
ยิ่งที่บรรดาสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เสียชีวิตแทนมนุษย์ แต่ทั้งหมดเพื่อตอบสนอง
ด้านเทคโลยีเพื่อมนุษย์เดินทางสู่อวกาศ มิได้มีเจตนาในการทำลายชีวิตสัตว์
เหล่านั้น
--------------------------------------------------------------------------------------
หนทางเดียวในการทดลองทุกแขนง เพื่อรักษาชีวิตมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์จำ
เป็นนำสัตว์เข้าสู่ขบวนการทดลอง ด้านอวกาศเช่นกัน เริ่มจากนักวิทยาศาสตร์
ชาวรัสเซียและอเมริกา เพราะเรื่องสำคัญที่สุดคือ ความปลอดภัยมนุษย์ อาจเป็น
อันตรายในสภาพไร้น้ำหนัก (Weightlessnes) เป็นสิ่งที่โต้แย้งกัน ในบรรดานัก
อวกาศวิทยายาวนานยืดเยื้อ
การทดลองครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของโซเวียต ที่รู้จักดี เมื่อ 3 พฤศจิกายน
ค.ศ. 1957 โดยส่ง Sputnik 2 โคจรรอบโลกพร้อมกับ สุนัขชื่อ Laika (รัสเซีย
เรียก Husky หรือ Barker) ชื่อจริงๆ ของสุนัขตัวนี้คือ Kudryavka (ไอ้หยิก) แต่
อเมริกาตั้งฉายาให้ Laika เป็น Muttnik (สุนัขอัศวินข้างถนน) เพราะเป็นสุนัขตัว
เล็กคล้ายเก็บมาจากข้างถนน
และไม่ได้ฝึกหัดให้มีความพร้อมที่จะสู่วงโคจรโลก สภาวะอาศัยอยู่ในกล่องโลหะ ด้วยไม่มีเวลาเพียงพอต่อการทดลองที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว เจตนาของโซเวียต
ต้องการจะตัดหน้าอเมริกา
ในความเป็นจริง Laika ได้สิ้นชีวิตไม่นานหลังจากขึ้นสู่อวกาศ และ Sputnik 2
ได้ถูกเผาไหม้ในชั้นนอกบรรยายกาศไปสิ้นในเดือน เมษายน ค.ศ. 1958 ในปี
ถัดมา ซึ่งข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยขึ้นจากโซเวียตเอง ในปี ค.ศ. 2002
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
การทดลองส่วนใหญ่ ทดลองด้วยจรวดสู่อวกาศ (Animals in space) แบบตีตั๋ว
เที่ยวเดียว (ไปไม่มีขากลับ) สัตว์ที่ได้รับเลือก มักจะเป็นประเภท สุนัขและลิง
แม้กระทั่งหนู เต่าและ หนอน แมลง กบ ฯลฯ
ตลอด 50 ปีที่ นักวิทยาศาสตร์อเมริกาและโซเวียต ใช้สารพัดสิงสาราสัตว์ใน
การทดลอง อันเกิดประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างมหาศาล ซึ่งหากไม่มีสัตว์เหล่านี้
ความก้าวหน้า ด้านอวกาศคงบรรลุผลยากและเลี่ยงภัยต่อมนุษย์
วันนี้โครงการอวกาศไม่ใช้สัตว์ทดลอง สู่อวกาศแบบโหดร้ายมานานแล้ว และ
โครงการของนักวิทยาศาสตร์อเมริกาและโซเวียต ได้แสดงความรู้สึกเสียใจอย่าง
ยิ่งที่บรรดาสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เสียชีวิตแทนมนุษย์ แต่ทั้งหมดเพื่อตอบสนอง
ด้านเทคโลยีเพื่อมนุษย์เดินทางสู่อวกาศ มิได้มีเจตนาในการทำลายชีวิตสัตว์
เหล่านั้น
___________________________________________________________
16.พายุอวกาศเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด ?
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
ลมสุริยะ หรือพายุสุริยะ (Solar wind) คงเป็นคำคุ้นเคย แต่คำว่า Space storm
(พายุอวกาศ) คงนึกยากว่าน่ากลัวหรือไม่ ด้วยความกว้างใหญ่ของอวกาศ ความ
เป็นจริงพายุสุริยะถล่มโหมกระหน่ำ สู่โลกอย่างบ้าคลั่งมาเป็นระยะๆด้วยความร้อน
บวกกับรังสี พัดออกมาจาก ดวงอาทิตย์ เป็นปรากฎการณ์อันตรายไม่น้อยเช่นกัน
ขนาดมโหฬารของจำนวน Plasma (ก๊าซร้อนจัด) จำนวน 99.86% ถูกบรรจุไว้
ในดวงอาทิตย์ทั้งหมด มีค่าพลังงานเทียบเท่าระเบิด TNT 1,000 ล้านตันต่อการ
ระเบิด ทุกๆวินาทีตลอดเวลา
แต่พลังงานเหล่านั้นมิได้คงที่เสมอ ด้วยความอลม่าน โกลาหล ยุ่งเหยิง จากสนาม
แม่เหล็กที่เดือดพล่านรุนแรง ที่ปกคลุมบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ จนเกิดเป็นเส้น
โค้ง ฟุ้งตลบของ Plasma ร้อนส่ายกวาดไปมาสลับทั่ว บริเวณจุดสีดำที่เป็นจุดดับ
(Sunspots) พร้อมๆกับมีเสียงระเบิดดังกึกก้อง มากกว่าสงครามมหาประลัยหลาย
ร้อยเท่าต่อเนื่องไปไม่หยุดพัก ไม่สามารถจะทำนายได้ ว่าจะเกิดขึ้นจุดใดเวลาใด
บนพื้นผิวดวงอาทิตย์
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
ปฎิกิริยาอันน่าสยดสยอง ของพลังงานดวงอาทิตย์ แสดงผลเป็น Solar flare
(เปลวเพลิงโชติช่วงอย่างแรงชั่วขณะ เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด) หรือ Coronal
masse jection (มวลที่ถูกหอบออกมาด้วยลักษณะรัศมีแสงสีขาวเลือนพร่า)
ระเบิดออกมาอย่างพรวดพราด รุนแรง นำพาความร้อนสูง พร้อมไอก๊าซไฟฟ้า
(Electrifiedgases) ซึ่งเป็น Clouds of ionized gas หรือ Plasma (ก๊าซความ
ร้อนสูงมาก) ออกมาด้วย
มีขนาดใหญ่สู่ชั้นนอกปริมาตร 1 พันล้านตัน พัดกระหน่ำสู่ช่องว่างระหว่างดาว
เคราะห์ในอวกาศ (Interplanetary Medium) นั้นคือ ปรากฎการณ์ของพายุ
อวกาศ (Space storm) หรือ เรียกว่า Solar Super Storm สามารถสร้างความ
หายนะต่อดาวเทียม (Killer electrons in space) และระบบสื่อสารโทรคมนาคม
จนกระทั่งระบบของไฟฟ้าบนโลกได้
--------------------------------------------------------------------------------------
ลมสุริยะ หรือพายุสุริยะ (Solar wind) คงเป็นคำคุ้นเคย แต่คำว่า Space storm
(พายุอวกาศ) คงนึกยากว่าน่ากลัวหรือไม่ ด้วยความกว้างใหญ่ของอวกาศ ความ
เป็นจริงพายุสุริยะถล่มโหมกระหน่ำ สู่โลกอย่างบ้าคลั่งมาเป็นระยะๆด้วยความร้อน
บวกกับรังสี พัดออกมาจาก ดวงอาทิตย์ เป็นปรากฎการณ์อันตรายไม่น้อยเช่นกัน
ขนาดมโหฬารของจำนวน Plasma (ก๊าซร้อนจัด) จำนวน 99.86% ถูกบรรจุไว้
ในดวงอาทิตย์ทั้งหมด มีค่าพลังงานเทียบเท่าระเบิด TNT 1,000 ล้านตันต่อการ
ระเบิด ทุกๆวินาทีตลอดเวลา
แต่พลังงานเหล่านั้นมิได้คงที่เสมอ ด้วยความอลม่าน โกลาหล ยุ่งเหยิง จากสนาม
แม่เหล็กที่เดือดพล่านรุนแรง ที่ปกคลุมบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ จนเกิดเป็นเส้น
โค้ง ฟุ้งตลบของ Plasma ร้อนส่ายกวาดไปมาสลับทั่ว บริเวณจุดสีดำที่เป็นจุดดับ
(Sunspots) พร้อมๆกับมีเสียงระเบิดดังกึกก้อง มากกว่าสงครามมหาประลัยหลาย
ร้อยเท่าต่อเนื่องไปไม่หยุดพัก ไม่สามารถจะทำนายได้ ว่าจะเกิดขึ้นจุดใดเวลาใด
บนพื้นผิวดวงอาทิตย์
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
ปฎิกิริยาอันน่าสยดสยอง ของพลังงานดวงอาทิตย์ แสดงผลเป็น Solar flare
(เปลวเพลิงโชติช่วงอย่างแรงชั่วขณะ เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด) หรือ Coronal
masse jection (มวลที่ถูกหอบออกมาด้วยลักษณะรัศมีแสงสีขาวเลือนพร่า)
ระเบิดออกมาอย่างพรวดพราด รุนแรง นำพาความร้อนสูง พร้อมไอก๊าซไฟฟ้า
(Electrifiedgases) ซึ่งเป็น Clouds of ionized gas หรือ Plasma (ก๊าซความ
ร้อนสูงมาก) ออกมาด้วย
มีขนาดใหญ่สู่ชั้นนอกปริมาตร 1 พันล้านตัน พัดกระหน่ำสู่ช่องว่างระหว่างดาว
เคราะห์ในอวกาศ (Interplanetary Medium) นั้นคือ ปรากฎการณ์ของพายุ
อวกาศ (Space storm) หรือ เรียกว่า Solar Super Storm สามารถสร้างความ
หายนะต่อดาวเทียม (Killer electrons in space) และระบบสื่อสารโทรคมนาคม
จนกระทั่งระบบของไฟฟ้าบนโลกได้
___________________________________________________________________
17.ต้นกำเนิดของมนุษย์ มาจากนอกโลกหรือ ?
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอีกต่อไป ถ้าจะกล่าวว่าหลายชีวิตซึ่งได้
กำเนิดบน โลกครั้นดึกดำบรรพ์ มีองค์ประกอบต้นกำเนิดชีิวิตมาจากที่อื่น อาจมา
จากแหล่งไกลโพ้น จนนึกไม่ถึง หรือจากกาแล็คซี่เพื่อนบ้าน หรืออาจเป็นไปได้
จากชิ้นส่วนสะเก็ดดาวตก (Meteor) ของดาวดวงหนึ่งดวงใด ในทางช้างเผือก
(Milky Way galaxy)
สะเก็ดดาวตกส่วนใหญ่ มักมี Carbon molecules เรียก Polycyclic aromatic
hydrocarbons (PAHs) หรือสารประกอบ ของไฮโดรคาร์บอน ซึ่งเป็นต้นกำเนิด
แห่งชีวิต
PAHs นั้นมีจำนวนมากและเป็นองค์ประกอบของจักรวาล สามารถพบได้ในทุกสิ่ง
ทุกอย่าง ไม่ว่าในกาแล็คซี่ (Galaxy) ในถ่าน ในเขม่าเครื่องยนต์ แต่ทั้งหมดนั้น
ได้เกิดขึ้นในอวกาศ ก่อนหน้านี้มานานกว่าโลกกำเนิด
โครงสร้าง PAHs เหมือนตาข่ายถัก เชื่อมต่อเป็นวงแหวนด้านหน้าเป็นรูป 6 เหลี่ยม
(Six-sided ring) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ Extra hydrogen หรือ Extra Oxygen
ของ Aromatic rings
สิ่งเหล่านั้นเกิดด้วย ปริมาณมากมายของ Carbon ที่แห้ง จาก Giant red stars
(ดาวยักษ์สีแดง) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับอุกกาบาต (Meteorite) ดาวหาง (Comet)
ดาวตก มานับหลายพันล้านปี ทั้งหมดมีส่วนประกอบของ Oxygen และ Heavy hydrogen (มวลหนัก) โดย Heavy hydrogen หมุนปั่นอนุภาคร่วมกับ Extra neutron เรียกว่า Deuterium isotope
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
โมเลกุลในอวกาศ ในรูป PAHs เป็นส่วนช่วยสร้างโลก มีเหตุผลที่หนักแน่นและ
เป็นจริงขึ้นตามลำดับ การค้นพบสิ่งสันฐานที่โมเลกุลได้แสดงออกมา เป็นสิ่งที่เรา
เข้าใจแล้วว่าสารประกอบ PAHs หลั่งไหลสู่โลกและดาวเคราะห์อื่น เป็นเหมือนต้น
ทางของสิ่งมีชีวิต ดังนั้น โมเลกุล PAHs นั้นคือผลิตผลทางชีววิทยาในอวกาศ
การเกิดขึ้นของชีวิตต่างๆจาก Cosmic (อนุภาคขนาดเล็กมาจากอวกาศ) คือส่วน
ผสมของอินทรีย์เคมี (Organic chemicals) อย่างยาวนานจากอวกาศ นำมาโดย
ดาวหาง (สะเก็ดดาวตก) ที่มี PAHs (สารประกอบของไฮโดรคาร์บอน) จึงเป็น
องค์ประกอบที่สำคัญ ต่อการ กำเนิดของชีวิต (Origin of Life) บนโลก
--------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอีกต่อไป ถ้าจะกล่าวว่าหลายชีวิตซึ่งได้
กำเนิดบน โลกครั้นดึกดำบรรพ์ มีองค์ประกอบต้นกำเนิดชีิวิตมาจากที่อื่น อาจมา
จากแหล่งไกลโพ้น จนนึกไม่ถึง หรือจากกาแล็คซี่เพื่อนบ้าน หรืออาจเป็นไปได้
จากชิ้นส่วนสะเก็ดดาวตก (Meteor) ของดาวดวงหนึ่งดวงใด ในทางช้างเผือก
(Milky Way galaxy)
สะเก็ดดาวตกส่วนใหญ่ มักมี Carbon molecules เรียก Polycyclic aromatic
hydrocarbons (PAHs) หรือสารประกอบ ของไฮโดรคาร์บอน ซึ่งเป็นต้นกำเนิด
แห่งชีวิต
PAHs นั้นมีจำนวนมากและเป็นองค์ประกอบของจักรวาล สามารถพบได้ในทุกสิ่ง
ทุกอย่าง ไม่ว่าในกาแล็คซี่ (Galaxy) ในถ่าน ในเขม่าเครื่องยนต์ แต่ทั้งหมดนั้น
ได้เกิดขึ้นในอวกาศ ก่อนหน้านี้มานานกว่าโลกกำเนิด
โครงสร้าง PAHs เหมือนตาข่ายถัก เชื่อมต่อเป็นวงแหวนด้านหน้าเป็นรูป 6 เหลี่ยม
(Six-sided ring) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ Extra hydrogen หรือ Extra Oxygen
ของ Aromatic rings
สิ่งเหล่านั้นเกิดด้วย ปริมาณมากมายของ Carbon ที่แห้ง จาก Giant red stars
(ดาวยักษ์สีแดง) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับอุกกาบาต (Meteorite) ดาวหาง (Comet)
ดาวตก มานับหลายพันล้านปี ทั้งหมดมีส่วนประกอบของ Oxygen และ Heavy hydrogen (มวลหนัก) โดย Heavy hydrogen หมุนปั่นอนุภาคร่วมกับ Extra neutron เรียกว่า Deuterium isotope
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
โมเลกุลในอวกาศ ในรูป PAHs เป็นส่วนช่วยสร้างโลก มีเหตุผลที่หนักแน่นและ
เป็นจริงขึ้นตามลำดับ การค้นพบสิ่งสันฐานที่โมเลกุลได้แสดงออกมา เป็นสิ่งที่เรา
เข้าใจแล้วว่าสารประกอบ PAHs หลั่งไหลสู่โลกและดาวเคราะห์อื่น เป็นเหมือนต้น
ทางของสิ่งมีชีวิต ดังนั้น โมเลกุล PAHs นั้นคือผลิตผลทางชีววิทยาในอวกาศ
การเกิดขึ้นของชีวิตต่างๆจาก Cosmic (อนุภาคขนาดเล็กมาจากอวกาศ) คือส่วน
ผสมของอินทรีย์เคมี (Organic chemicals) อย่างยาวนานจากอวกาศ นำมาโดย
ดาวหาง (สะเก็ดดาวตก) ที่มี PAHs (สารประกอบของไฮโดรคาร์บอน) จึงเป็น
องค์ประกอบที่สำคัญ ต่อการ กำเนิดของชีวิต (Origin of Life) บนโลก
_________________________________________________________________
18.อนาคตจะเกิดสงครามอวกาศหรือไม่
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
ความสำคัญการสงครามคือ ตัวบ่งชี้ต่อการแย่งชิงทรัพยากรโลก เกิดขึ้นเป็นปัจจัย
หลัก ในสงครามทุกยุคทุกสมัย การให้เกิดความได้เปรียบ ประสบชัยชนะนอกจาก
แผนการรบที่แยบยลแล้ว เทคโนโลยีก็เป็นสิ่งที่ ชี้ชะตาความสูญเสียของทั้งสอง
ฝ่ายได้
สิ่งที่เกิดขึ้นในศตวรรษนี้ คือ ความร่วมมือหลายชาติของโลก ได้เปิดเผยจะใช้ห้วง
อวกาศเป็นสนามรบ เพื่อความได้เปรียบของสงครามอนาคต จากเทคโลยีสำคัญ
ของโลก ถูกเชื่อมโยงด้วยการสื่อสารด้วยดาวเทียม นับเป็น จุดอ่อนของประเทศ
ชั้นนำทั้งหลาย
ดาวเทียมสอดแหนม (Spy satellites) หรือดาวเทียมทางทหารเป็นเป้าหมายแรก
ที่ถูกโจมตี โดยไม่ต้องอธิบายเหตุผล ถัดมาดาวเทียมเชื่อมโยงการสื่อสารของ
ประเทศกลุ่มคู่สงคราม ก็คงจะเป็นเป้าหมายต่อไปก็เป็นได้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นผล
กระทบต่อประชากรโลก คงเกิดปัญหาใหญ่ แม้ไม่เกิดการเสียชีวิตก็ตาม
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
แบบแผนจากรายงานของ กองทัพแห่งสหรัฐฯ เหตุผลหลักให้มีอุปกรณ์รบด้าน
อวกาศเพื่อ ทำให้แนวทางการรบภาพรวม มีความเหนือคู่ต่อสู้ 3 ประการคือ
1.เพื่อปกป้องพิทักษ์ทรัพย์สินในอวกาศ (เช่น ดาวเทียมด้านการพาณิชย์)
2.เพื่อการต่อต้านปรปักษ์ ที่จะบุกรุกเขตอวกาศ
3.เพื่อความรวดเร็วต่อการปฏิบัติการของอากาศยาน ที่เข้ายึดครองพื้นที่กลับคืน
ในกรณี ที่ถูกผู้บุกรุกทำลาย
โดยใช้อาวุธประเภท Laser engagement (การต่อสู้ด้วยลำแสง) - Anti-satellite
missiles (การยิงขีปนาวุธต่อต้านดาวเทียม) - Space-based radio frequency
energyweapons(การทำสงครามด้วย คลื่นพลังงานวิทยุสูงในอวกาศด้วยการกวน
คลื่นสัญญานจากโลกสู่อวกาศ) เป้าประสงค์ในการปฎิบัติการ สงครามพิทักษ์ชาติ
จากอาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ อาวุธคลื่นวิทยุอาวุธปรมาณู และการจู่โจมด้วยวัตถุ
ระเบิดพลังสูง
ดังนั้นราว 2-3 ศตวรรษหน้า การใช้อาวุสงครามในอวกาศ ไม่เพียงจะมีในเกมส์
หรือในภาพยนต์เท่านั้น มีความเป็นจริงจะเกิดขึ้นได้ จากประเทศมหาอำนาจ
บางประเทศ ได้ทำการทดลองทางอวกาศอย่างลับๆและไม่ลับ ในรูปแบบต่างๆ
--------------------------------------------------------------------------------------
ความสำคัญการสงครามคือ ตัวบ่งชี้ต่อการแย่งชิงทรัพยากรโลก เกิดขึ้นเป็นปัจจัย
หลัก ในสงครามทุกยุคทุกสมัย การให้เกิดความได้เปรียบ ประสบชัยชนะนอกจาก
แผนการรบที่แยบยลแล้ว เทคโนโลยีก็เป็นสิ่งที่ ชี้ชะตาความสูญเสียของทั้งสอง
ฝ่ายได้
สิ่งที่เกิดขึ้นในศตวรรษนี้ คือ ความร่วมมือหลายชาติของโลก ได้เปิดเผยจะใช้ห้วง
อวกาศเป็นสนามรบ เพื่อความได้เปรียบของสงครามอนาคต จากเทคโลยีสำคัญ
ของโลก ถูกเชื่อมโยงด้วยการสื่อสารด้วยดาวเทียม นับเป็น จุดอ่อนของประเทศ
ชั้นนำทั้งหลาย
ดาวเทียมสอดแหนม (Spy satellites) หรือดาวเทียมทางทหารเป็นเป้าหมายแรก
ที่ถูกโจมตี โดยไม่ต้องอธิบายเหตุผล ถัดมาดาวเทียมเชื่อมโยงการสื่อสารของ
ประเทศกลุ่มคู่สงคราม ก็คงจะเป็นเป้าหมายต่อไปก็เป็นได้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นผล
กระทบต่อประชากรโลก คงเกิดปัญหาใหญ่ แม้ไม่เกิดการเสียชีวิตก็ตาม
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
แบบแผนจากรายงานของ กองทัพแห่งสหรัฐฯ เหตุผลหลักให้มีอุปกรณ์รบด้าน
อวกาศเพื่อ ทำให้แนวทางการรบภาพรวม มีความเหนือคู่ต่อสู้ 3 ประการคือ
1.เพื่อปกป้องพิทักษ์ทรัพย์สินในอวกาศ (เช่น ดาวเทียมด้านการพาณิชย์)
2.เพื่อการต่อต้านปรปักษ์ ที่จะบุกรุกเขตอวกาศ
3.เพื่อความรวดเร็วต่อการปฏิบัติการของอากาศยาน ที่เข้ายึดครองพื้นที่กลับคืน
ในกรณี ที่ถูกผู้บุกรุกทำลาย
โดยใช้อาวุธประเภท Laser engagement (การต่อสู้ด้วยลำแสง) - Anti-satellite
missiles (การยิงขีปนาวุธต่อต้านดาวเทียม) - Space-based radio frequency
energyweapons(การทำสงครามด้วย คลื่นพลังงานวิทยุสูงในอวกาศด้วยการกวน
คลื่นสัญญานจากโลกสู่อวกาศ) เป้าประสงค์ในการปฎิบัติการ สงครามพิทักษ์ชาติ
จากอาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ อาวุธคลื่นวิทยุอาวุธปรมาณู และการจู่โจมด้วยวัตถุ
ระเบิดพลังสูง
ดังนั้นราว 2-3 ศตวรรษหน้า การใช้อาวุสงครามในอวกาศ ไม่เพียงจะมีในเกมส์
หรือในภาพยนต์เท่านั้น มีความเป็นจริงจะเกิดขึ้นได้ จากประเทศมหาอำนาจ
บางประเทศ ได้ทำการทดลองทางอวกาศอย่างลับๆและไม่ลับ ในรูปแบบต่างๆ
_______________________________________________________________________
19.ที่ดินบนดวงจันทร์ หรือดาวเคราะห์อื่นนำมาจัดสรรขายได้หรือไม่?
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
นานมาแล้ว อาจเคยได้ยินข่าวว่า มีมนุษย์หัวใส ประกาศขายที่ดินบนดวงจันทร์
โดยได้รับมอบอำนาจจาก The Lunar Embassy (สำนักฑูตแห่งดวงจันทร์ ?)
จัดสรรที่ดินให้ชาวโลกได้จับจอง คุยว่ามีที่ดิน 300 ล้านแปลง และมีผู้เป็นเจ้า
ของแล้ว 2 ล้านคนจาก 176 ประเทศ
ราคาจับจองเริ่มที่ 29.99$ - 39.99$ และ 59.99$ มีหลักฐานเอกสารสิทธิ์ พร้อม
ถือสิทธิ์เป็นประชาชนบนดวงจันทร์ (ภาพล่าง) นอกจากนั้นยังบริการ จัดหาที่ดิน
ดาวเคราะห์อื่นๆ เช่นดาวศุกร์ (Venus) ดาวอังคาร (Mars) และดวงจันทร์ยูโรปา
(Europa moon) และยังโม้ต่อไปว่า สมาชิกในองค์การ NASA จับจองแล้ว 30%
และชาวอเมริกันถือกรรมสิทธิ์ 20% ของพื้นที่ทั้งหมด
ข้อความเช่นนี้ คิดเพียงสามัญสำนึก คงเห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่เลื่อนลอย และเป็นไป
ไม่ได้เลย การกระทำใดๆที่อยู่นอกขอบเขตโลก อันเป็นพื้นที่อวกาศ รวมถึง
ดวงจันทร์ ดาวอังคาร ดาวเคราะห์ วัตถุในระบบสุริยะ นั้นต้องมีข้อกำหนดจาก
กฎหมายอวกาศ
กฎหมายอวกาศ มีความแตกต่างจากกฎหมายอื่นๆ เหตุผลเพราะกิจกรรมอวกาศ
มีอันตรายต่างๆจาก กฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์บนโลก เช่น การส่งจรวดสู่อวกาศ
กระทำได้ในบางประเทศ แต่ผลอาจกระทบถึงประเทศอื่นๆทั่วทั้งโลกและรวม
ถึงพื้นที่ในทะเลลึกหรือมหาสมุทรอีกด้วย
พื้นที่อากาศและอวกาศมีอาณาบริเวณที่ติดกัน แต่ละประเทศมีดินแดนอธิปไตย
ไม่ได้จำกัดเพียงพื้นดินหรือพื้นน้ำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงใต้ดินที่ดิ่งลึกลงไป และ
ทำนองเดียวกัน มีอธิปไตยแนวตรงขึ้นไปในอากาศ หากสูงเกินกว่าบริเวณอากาศ
ก็จะเป็นเขตอวกาศ
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
กฎหมายอวกาศ ในหลักเกณฑ์ต้องมีสาระสำคัญดังนี้
1 การสำรวจและใช้อวกาศต้องเป็นไป เพื่อผลประโยชน์และส่วนได้เสียของ
มนุษย์ชาติทั้งมวล
2.อวกาศและเทหวัตถุเป็นที่เสรีในการสำรวจของทุกรัฐ อย่างเท่าเทียมกันและ
สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ
3.อวกาศและเทหวัตถุไม่ใช่สิ่งที่จะถูกชาติใด จัดสรรหรืออ้างอธิปไตยโดยการ
ครอบครองหรือวิธีการอื่นใด
4.กิจกรรมของรัฐในการสำรวจ และใช้อวกาศต้องดำเนินการสอดคล้องกับ
กฎหมายระหว่าง ประเทศรวมทั้งกฎบัตรสหประชาชาต ิและธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ
ระหว่างประเทศ ความมั่นคงและส่งเสริมความร่วมมือและความเข้าใจ
5.รัฐต้องรับผิดชอบระหว่างประเทศ สำหรับการดำเนินกิจกรรมอวกาศของชาติ
ไม่ว่าจะ ดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐหรือ ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐก็ตาม
รัฐสมาชิกเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินกิจกรรมอวกาศ ขององค์การระหว่างประเทศ
6.การสำรวจและใช้อวกาศ รัฐต้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการความร่วมมือ
และช่วยเหลือกัน ถ้าคาดว่าจะทำให้เกิดความเสียหายจะต้องปรึกษาหารือกัน
ระหว่างประเทศอย่างเหมาะสม
7. ความเป็นเจ้าของวัตถุที่ส่งขึ้นไปในอวกาศ ยังคงไว้ไม่เปลี่ยนแปลงไป
เนื่องจากการเดินทางไปในอวกาศ หรือการกลับสู่โลก
8. รัฐที่ส่งหรือจัดหาการส่งวัตถุไปในอวกาศ และรัฐซึ่งใช้ดินแดนหรืออำนวยความ
สะดวกในการส่งวัตถุ จะต้องรับผิดชอบระหว่างประเทศ ต่อความเสียหายที่อาจ
เกิดขึ้นกับประเทศอื่น
9. รัฐจะต้องถือว่านักบินอวกาศเป็นฑูต ของมนุษยชาติในอวกาศและให้ความ
ช่วยเหลือในทุกทางที่เป็นไปได้ หากเกิดอุบัติเหตุหรือตกอยู่ในสภาวะทุกขภัย
หรือลงจอดโดยเหตุฉุกเฉิน ในเขตดินแดนที่มีอำนาจ หรือในทะเลหลวง
ดังนั้นการกระทำใดๆ บนดวงจันทร์หรือดาวเคราะห์ และพื้นที่อวกาศทั้งมวลไม่
สามารถอ้างสิทธิและอธิปไตย ทั้งโดยจัดสรร ครอบครองใดๆได้ ตามข้อที่ 3
________________________________________________________________
20.กระจุกดาวลูกไก่ มีทั้งหมดกี่ดวง
คำอธิบาย
--------------------------------------------------------------------------------------
ไม่เพียงแต่ชาวไทยเท่านั้น ที่รู้จักดาวลูกไก่ แต่ครั้นโบราณจากเรื่องราวนิทาน
พื้นบ้าน ชนชาติอื่นๆก็มีนิทานพื้นบ้านของกลุ่มดาวนี้เช่นกัน ดังเช่น ชาวญี่ปุ่น
รู้จักดาวลูกไก่ ในชื่อ Subaru (ซูบารุ) ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับเพลงดังยุคหลายสิบปี
ก่อน หรือชื่อรถยนต์ญี่ปุ่น ส่วนชนชาติยุโรปมักเรียกว่า The Seven Sisters
(ดาวเจ็ดพี่น้อง)
การเรียกชื่อที่ถูกต้อง ควรใช้คำว่า กระจุกดาวลูกไก่ (เนื่องมีจำนวนมาก) และ
มีลักษณะอยู่กันเป็น กลุ่มกระจุก (Star cluster) โดยไม่ใช่อยู่เพียงดวงเดียว
ใครๆก็เห็นดาวลูกไก่มี 7 ดวง ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะคนทั่วไปทั้งโลกเห็นด้วยตาเปล่า
เท่านั้นจริงๆ แต่หากใช้กล้องสำรวจทางดาราศาสตร์ จะพบว่ามีหลายร้อยดวง
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
ทางดาราศาสตร์ นิยมเรียก กระจุกดาวลูกไก่ว่า Pleiades (ไพลลาดีส) หรืิอ
M 45 อยู่ในกลุ่มดาว Taurus [อ่านว่า TOR-us ] หรือ กลุ่มดาววัว ห่างจากโลก
ของเรา 440 ปีแสง ทั้งกลุ่มมีดาวประมาณ 400-500 ดวง
--------------------------------------------------------------------------------------
ไม่เพียงแต่ชาวไทยเท่านั้น ที่รู้จักดาวลูกไก่ แต่ครั้นโบราณจากเรื่องราวนิทาน
พื้นบ้าน ชนชาติอื่นๆก็มีนิทานพื้นบ้านของกลุ่มดาวนี้เช่นกัน ดังเช่น ชาวญี่ปุ่น
รู้จักดาวลูกไก่ ในชื่อ Subaru (ซูบารุ) ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับเพลงดังยุคหลายสิบปี
ก่อน หรือชื่อรถยนต์ญี่ปุ่น ส่วนชนชาติยุโรปมักเรียกว่า The Seven Sisters
(ดาวเจ็ดพี่น้อง)
การเรียกชื่อที่ถูกต้อง ควรใช้คำว่า กระจุกดาวลูกไก่ (เนื่องมีจำนวนมาก) และ
มีลักษณะอยู่กันเป็น กลุ่มกระจุก (Star cluster) โดยไม่ใช่อยู่เพียงดวงเดียว
ใครๆก็เห็นดาวลูกไก่มี 7 ดวง ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะคนทั่วไปทั้งโลกเห็นด้วยตาเปล่า
เท่านั้นจริงๆ แต่หากใช้กล้องสำรวจทางดาราศาสตร์ จะพบว่ามีหลายร้อยดวง
ข้อสรุป
--------------------------------------------------------------------------------------
ทางดาราศาสตร์ นิยมเรียก กระจุกดาวลูกไก่ว่า Pleiades (ไพลลาดีส) หรืิอ
M 45 อยู่ในกลุ่มดาว Taurus [อ่านว่า TOR-us ] หรือ กลุ่มดาววัว ห่างจากโลก
ของเรา 440 ปีแสง ทั้งกลุ่มมีดาวประมาณ 400-500 ดวง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น