ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic LSK : Calla Lily

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 7

    • อัปเดตล่าสุด 14 พ.ค. 53


    หม่นมัวดั่งความฝัน เลือนรางดุจบดบังด้วยม่านหมอก.....


    แคลล่าของข้ากรีดร้อง น้ำตาไหลลงอาบแก้มนวลทั้งสองข้าง


    "ละ แลนซ์ อา.... พอทีเถอะ ข้า..ขอร้องล่ะ แลนซ์...แลนซ์ อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"


    ทำไมเจ้าถึงร้องไห้ล่ะ แคลล่า


    ใครกันที่ทำให้เจ้าต้องมีน้ำตา


    ข้า จะ ฆ่า มัน!!!

    แล้วข้าก็รู้สึกตัว......


    พายุลูกที่สองโหมกระหน่ำเข้ามาโดยไม่ทันให้ข้าตั้งตัว ด้วยความจริงอันโหดร้าย


    ข้าเอง...ที่เป็นคนทำร้ายนาง


    นัยน์ตาสีรัตติกาลหันไปมองผลงานที่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ แคลล่าลิลลี่ดอกน้อยวางแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่ข้างกายข้า กลีบดอกอันสวยงามมีรอยชอกช้ำ บนพื้นหลังที่เคยเป็นสีขาวบริสุทธิ์ไร้สีสันอื่นเจือปนให้มัวหมอง บัดนี้กลับเต็มไปด้วยรอยราคีสีแดงอมชมพูแต้มอยู่เป็นจุดๆ


    หยดน้ำใสแจ๋วแวววับคล้ายแก้วมณีหยาดลงบนหมอนจนเปียกชุ่ม ไม่ต่างจากรอยเปรอะเปื้อนสีน้ำนมผสมแดงจางๆ บนที่นอน


    คำถามที่ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบแล่นขึ้นมาอยู่เต็มห้วงคิด


    ข้าทำอะไรลงไป!


    ริมฝีปากจรดเบาๆ บนเปลือกตาสีม่วงอ่อน ทำหน้าที่ดังผืนผ้าซับหยาดน้ำตาที่ยังเหลืออยู่บนแพขนตางอน


    "ข้าขอโทษ"


    ดวงเนตรคู่สวยทอแววร้าวราน ประหนึ่งใบมีดเฉือนให้หัวใจข้าแหลกสลายลงตาม


    ในหัวของข้าตอนนี้มีเพียงความคิดหนึ่งเดียว ข้าต้องรับผิดชอบทุกสิ่งที่เกิดขึ้น


    ...หากนางยังคงให้โอกาสครั้งที่สองแก่ข้า


    "ข้ารู้" เสียงทุ้มต่ำของข้าสั่นเครือ "ว่าข้าทำร้ายเจ้ามากมายเพียงใด เจ้าอาจจะไม่มีวันยกโทษให้ข้าเลยก็ได้ แต่ข้าก็อยากให้เจ้ารู้ ว่าข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นของเล่น ข้าขอโอกาสแก้ตัวอีกครั้งได้ไหม แคลล่าที่รัก"


    กลีบปากสีแดงระเรื่อที่ยังคงบวมช้ำด้วยแรงอารมณ์เผยอขึ้นน้อยๆ คล้ายจะให้คำตอบ ทว่า ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ ลอดออกมา


    แล้วนางก็หลับตาลง หลบหนีเข้าสู่ห้วงนิทรา


    ข้าหันไปมองนอกหน้าต่าง ฟากฟ้าสีแดงอมส้มยามสนธยาเริ่มเจือด้วยสีม่วงน้ำเงินแห่งรัตติกาล เตือนให้ข้าต้องรีบกลับคืนสู่ตำหนักเทพอัศวินโดยด่วน


    ข้าทำได้เพียงดึงกระดาษโน้ตบนโต๊ะข้างเตียงออกมาหนึ่งแผ่น แล้วจดจารถ้อยคำที่ข้าอยากพูดลงไป


    แคลล่าที่รัก


    พรุ่งนี้ข้าจะมารับเจ้าที่นี่ตอนเก้าโมงเช้า มีใครบางคนที่ข้าอยากแนะนำให้เจ้ารู้จัก

    หากเจ้ายอมให้อภัยเรื่องวันนี้ ขอให้อยู่รอจนกว่าข้าจะมารับ

    หวังว่าพรุ่งนี้เราจะได้พบกัน


    ด้วยรัก

    แลนซ์ของเจ้า


    ...หวังว่าสิ่งที่ข้าเตรียมไว้แทนคำรักและคำขอโทษ จะมีคุณค่าเพียงพอให้นางยอมรับ และกลับมาเป็นแคลล่าผู้สดใสร่าเริงของข้าเหมือนเดิม...


    ******************


    ค่ำคืนนั้น ข้าไม่อาจข่มตาหลับลงได้


    เฝ้าแต่คำนึงถึงเรื่องผิดพลาดที่ตนได้ทำลงไป ...หากนางไม่ให้อภัยเล่า ข้าจะทำเช่นใด


    เพียงคิดว่าจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มอันอ่อนหวานจับตาจับใจ ไม่ได้ยินน้ำเสียงไพเราะเสนาะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำระรื่นหู ไม่ได้กลิ่นหอมอบอวลของมวลดอกไม้จากร่างแน่งน้อยนั้นอีก ใจข้าก็แทบจะขาดรอน


    ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมเสียนางไปเป็นอันขาด!


    ครุ่นคิดเวียนวนกระทั่งแสงแรกของรุ่งอรุณจับขอบฟ้า แต่งแต้มผืนนภาม่วงครามด้วยริ้วทองระยับ สาดส่องลงมาขับไล่ความมืดมนของราตรีให้หลีกลี้ไป


    ไหนๆ ก็นอนไม่หลับ ข้าจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน อาบน้ำล้างหน้าชำระร่างกายให้สดชื่น แต่ก็ยังคงเห็นร่องรอยความอ่อนล้าบนใบหน้าอยู่ดี


    เหนื่อย...เสียยิ่งกว่าครั้งทำงานโต้รุ่งหลายเท่า


    อาจเป็นเพราะเวลาทำงาน ข้าต้องจดจ่ออยู่กับข้อมูลตรงหน้าจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น ในขณะที่เมื่อคืน ข้ามีเรื่องให้คิดมากมายเหลือเกิน


    หากทำได้เพียงอ้อนวอนมหาเทพ ขอให้เห็นแก่ความดีงามที่ข้าเพียรพยายามทำเพื่อพระองค์ทั้งหมด ได้โปรดดลบันดาลให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเสียที


    ก่อนออกจากตำหนักเทพอัศวิน ข้าเขียนโน้ตใบหนึ่งทิ้งไว้ให้เวด ใจความมีอยู่ว่า ข้าจะออกไปทำธุระแต่เช้า ขอให้เขานำหน่วยเทพอัศวินของข้าทำกิจวัตรประจำวันไปตามปกติ


    ข้าคว้าผ้าคลุมสีดำสนิทมาด้วยผืนหนึ่ง ด้วยไม่อยากออกไปเป็นจุดเด่นทั้งชุดเต็มยศ


    เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า...แลนซ์ ไม่จำเป็นต้องมีฐานะเทพอัศวินเทอร์มิสเข้ามาเกี่ยวข้อง


    ข้าเดินเลาะเลี้ยวผ่านตรอกซอกซอยที่โดยมากยังคงหลับใหล แต่ก็มีบ้างที่ตื่นแต่เช้าขึ้นมารับอรุณ กระนั้นผู้คนก็ยังไม่พลุกพล่านมากนัก ยิ่งข้าเดินออกห่างไปทางย่านที่พักของนาง บรรยากาศรอบข้างก็ยิ่งเงียบเหงาวังเวง


    หยุดเท้าลงหน้าบ้านน้อยสีเขียวคุ้นตา ไฟทุกดวงในบ้านปิดมืด เว้นแต่ดวงโคมสีนวลตาในห้องนั่งเล่น ฉายส่องเรื่อเรืองผ่านผ้าม่านลูกไม้ถัก ประกาศให้คนผ่านไปผ่านมาได้รับรู้ว่าเจ้าของบ้านอยู่ในนั้น


    หัวใจของข้าเต็มตื้นขึ้นมาทันที อย่างน้อย นางก็ยังคงรอข้าตามนัด


    แคลล่านั่งนิ่งราวกับตุ๊กตาอยู่บนเก้าอี้ไม้ พนักพิงสีน้ำตาลแดงกลืนกับสีผมจนดูเหมือนเลือนหายเป็นเนื้อเดียว เหลือเพียงดวงหน้าขาวลอยเด่นประหนึ่งสวมหน้ากาก


    เปลือกตาของนางช้ำบวม เบ้าตาลึกโหลกลายเป็นสีเทาจางๆ บ่งบอกถึงยามค่ำคืนอันยืดยาวและทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับค่ำคืนของข้า


    ถึงกระนั้น กลีบปากสีชมพูเรื่อก็ยังคงคลี่เป็นรอยยิ้มอ่อนหวานพริ้มเพราราวดอกไม้บาน หากไม่ต่างอะไรจากรอยยิ้มบนใบหน้าของครีอุส


    ...หลอกลวง ไร้ซึ่งความจริงใจ...


    เห็นรอยยิ้มของนางแล้ว ข้าเจ็บปวดในอกยิ่งกว่าเดิมเสียอีก


    "เจ้าดูเหนื่อยๆ นะ อยากพักผ่อนก่อนไหม" ข้าเอ่ยถามอย่างห่วงใย ไม่อยากให้คนตรงหน้าต้องมาฝืนทำอะไรเพื่อข้าอีก


    นางส่ายหน้าแทนคำตอบ "ไปกันเถอะค่ะ ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ"


    ******************


    จุดหมายของข้าในวันนี้อยู่ค่อนข้างไกล อาจกล่าวได้ว่าอีกฟากของเมือง ซ้ำร่างน้อยข้างกายก็อ่อนล้าจากการอดนอนตลอดคืน ข้าจึงเลือกขึ้นรถม้าแทนการเดินตามปกติ


    เสียงกีบม้ากระทบพื้นดังกุบกับพลันหยุดลงเมื่อถึงปลายทาง ข้าจ่ายเงินให้คนขับรถม้าเป็นค่าจ้าง แล้วค่อยๆ ประคองแคลล่าลงมา


    สาวใช้หน้ารั้วบ้านหันมาเมียงมองอย่างสงสัย ข้าจึงปลดหมวกคลุมออกจากใบหน้า


    "ท่านเทพอัศวินเทอร์มิส" นางร้อง แล้วจัดแจงเปิดประตูรั้วให้ข้าอย่างรวดเร็ว


    ...นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ข้าไม่ได้แวะมาเยี่ยมบ้านของตัวเอง


    ท่านพ่อนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานเช่นเคย เอกสารบนโต๊ะกองพะเนินพอๆ กับโต๊ะของเทมเพส เนื่องจากพระราชาองค์ใหม่โปรดให้ชำระกฎหมายที่ล้าสมัยหลายฉบับ ท่านพ่อในฐานะขุนนางฝ่ายยุติธรรมจึงมีงานล้นมืออย่างไม่ต้องสงสัย


    ส่วนท่านแม่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว กำลังง่วนกับงานฝีมือชิ้นใหม่ แต่ครั้นได้ยินเสียงประตู ท่านก็เงยหน้าขึ้นแล้วเรียกชื่อข้า


    "แลนซ์ ลูกมาได้ไง แล้วนั่น..." เนตรสีเดียวกับข้าหันมองใบหน้าซีดเซียวหากเปี่ยมล้นด้วยความงดงาม ดูน่ารักน่าเวทนาของแคลล่า "ใครกันหรือลูก" กล่าวพร้อมรอยยิ้มละไม ทั้งชื่นชมและหยอกเย้าอยู่ในที


    "อ้าว แลนซ์มาหรือ" ท่านพ่อเงยหน้าจากกองเอกสารขึ้นมาเอ่ยทักข้าบ้าง "ดีเลย วันนี้ลีแลนด์ก็จะกลับบ้าน ไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้ามาเป็นสิบปีแล้ว นั่งลงกันก่อนสิ" ลีแลนด์คือน้องชายของข้า เขาอายุน้อยกว่าข้าเจ็ดปี เป็นนักเรียนในโรงเรียนการปกครองและการยุติธรรม เพราะมีสุขภาพอ่อนแอตั้งแต่ยังเล็ก จึงเลือกศึกษาทางด้านวิชาการแทนการต่อสู้


    "ครับ พอดีข้ามีคนอยากแนะนำให้ท่านพ่อท่านแม่รู้จัก" ข้าผายมือไปทางแคลล่า นางก้มหน้าลงน้อยๆ สีหน้าแดงซ่านอย่างเขินอาย


    "ข้าชื่อแคลล่าค่ะ เป็น..."


    "นางเป็นคนรักของข้าครับ" ไม่รู้ว่าข้าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ข้าได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากทั้งท่านพ่อและท่านแม่


    "หน้าตาน่ารักเชียว ตาแหลมนะเรา อายุเท่าไหร่ละจ๊ะ" ท่านแม่เอ่ยถามก่อน


    "เพิ่งเต็มสิบแปดค่ะ" นางยังคงเอ่ยตอบเสียงเบา แต่ด้วยการต้อนรับที่อบอุ่น ทำให้ท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ที่มีตอนแรกเริ่มหายไปแล้ว


    "อืม..แก่กว่าลีแลนด์ปีนึงสินะ แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่ล่ะ" ท่านพ่อถามต่อด้วยเสียงทุ้มอบอุ่น ชวนให้คนฟังรู้สึกผ่อนคลาย ต่างจากเสียงทุ้มต่ำกระด้างแบบเทพอัศวินเทอร์มิสของข้าราวฟ้ากับดิน


    "ข้าขายดอกไม้อยู่ที่ตลาดตะวันออกค่ะ" และเมื่อแคลล่าเริ่มโปรยยิ้ม ใครเล่า....จะต้านทานมนตร์เสน่ห์ที่แฝงมาในนั้นได้


    แล้วเสียงประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มผู้ได้ผมสีน้ำตาลอ่อนมาจากบิดา แต่มีนัยน์ตาสีเข้มเหมือนข้าและมารดา ใบหน้าประดับด้วยแว่นกรอบดำเพิ่มความเคร่งขรึมให้แก่ใบหน้าอ่อนเยาว์พลันเดินเข้ามาในบ้าน พร้อมเอกสารกองโตในอ้อมแขน


    "กลับมาแล้วครับ...หะ ท่านพี่" เขาวางเอกสารประกอบการเรียนลงบนโต๊ะกลาง แล้วหันมามองหน้าข้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ


    "ว่าไง สบายดีไหมลีแลนด์"


    "ช่วงนี้เหนื่อยหน่อยครับ เรียนหนัก แล้วท่านพี่ละครับ" สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ดอกแคลล่าลิลลี่สีขาวข้างกายข้า ก่อนเอ่ยกระเซ้า "มีคนสวยๆ ขนาดนี้ข้างกาย ต้องมีความสุขอยู่แล้ว"


    เขาหย่อนตัวลงนั่ง แล้วเริ่มถกกับท่านพ่อว่าด้วยนโยบายพยุงราคาสินค้าการเกษตรเพื่อช่วยเหลือชาวไร่ชาวนาไม่ให้ถูกกดขี่เกินควร


    "แล้วหนูล่ะ แคลล่า คิดยังไงเหรอจ๊ะ" สักพัก ท่านแม่ก็ละจากการฟังเงียบๆ พลางถักโครเชต์ไปด้วย หันมาถามความเห็นของอีกหนึ่งสาวผู้นั่งฟังอยู่เงียบๆ เช่นกัน


    ร่างน้อยเงยหน้าขึ้น "สินค้าที่รับพยุงราคา มีฝิ่นกับยาสูบรวมอยู่ด้วยใช่ไหมคะ"


    ท่านพ่อกับลีแลนด์พยักหน้าพร้อมกัน


    "ข้าไม่เห็นด้วยกับการพยุงราคาพืชสองชนิดนี้ค่ะ เพราะฝิ่นและยาสูบมีฤทธิ์เป็นยาเสพติด ให้โทษมากกว่าคุณประโยชน์ น่าจะสนับสนุนให้ปลูกพืชอย่างอื่นมากกว่าค่ะ" ช่างเป็นคำตอบที่เฉียบคมยิ่งนัก เรียกเสียงปรบมือได้อย่างพร้อมเพรียงจากทุกคนในห้อง รวมถึงข้าด้วย


    โดยเฉพาะผู้ตั้งคำถาม ท่านแม่ของข้าเคยเป็นบรรณารักษ์ประจำหอสมุดใหญ่กลางเมืองมาก่อน ท่านมีความคิดเสมอว่าผู้หญิงที่ดีไม่ควรมีแต่รูปโฉม แต่ควรมีความฉลาดรอบรู้ควบคู่กันไป


    ...นางผ่านการทดสอบของท่านแม่อย่างงดงาม


    แคลล่าเข้าร่วมการสนทนาเรื่องหนักๆ กับท่านพ่อและลีแลนด์ต่อ ข้าจึงถือโอกาสนั้นกระซิบบอกให้ท่านแม่ตามข้าออกมาข้างนอก


    ได้เวลาขอรับ 'สิ่งนั้น' ที่ข้าฝากไว้คืนแล้ว


    ******************


    "ครอบครัวของแลนซ์อบอุ่นดีจังนะคะ ข้าละอิจฉาจริงๆ รู้ไหมคะ ว่าข้าฝันจะมีครอบครัวดีๆ แบบนั้นมาตลอด" แคลล่านั่งอิงอยู่กับไหล่ของข้า แววตาเหม่อลอยคล้ายครุ่นคิดถึงเรื่องราวบางอย่าง


    ข้าคิดว่าคงเป็นเรื่องอดีตอันน่าเศร้าที่นางต้องสูญเสียผู้ให้กำเนิดไปตั้งแต่ยังเยาว์วัย


    รถม้าสะเทือนเบาๆ จากการแล่นผ่านถนนปูกรวด วัตถุเย็นเยียบในกระเป๋าชุดยาวกลิ้งมากระทบถูกท่อนขาของข้า ดังจะบอกว่าถึงเวลามอบของขวัญตามความตั้งใจแรกเริ่มแล้ว


    ข้าล้วงมือลงไป หยิบ 'สิ่งนั้น' ขึ้นมาซ่อนไว้ในอุ้งมือ


    "อยากมาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของข้าไหมล่ะ" ข้าดึงมือซ้ายของนางมาวางบนตัก พลางแบมืออีกข้างของตนเอง


    แหวนเพชรวงน้อยบนตัวเรือนทองคำขาวทอประกายวิบวับกับแสงแดดที่ส่องผ่านบานหน้าต่างรถม้าเข้ามา


    "หมั้นกับข้านะ"


    แคลล่าลิลลี่เรื่อสีชมพูอ่อนคลี่กลีบแย้มบาน งดงามราวภาพจากสรวงสวรรค์ หยาดน้ำค้างเม็ดใสหล่นร่วงจากหางตาเรียวรี ส่องประกายไม่ต่างกับอัญมณีเลอค่าบนนิ้วนางข้างซ้าย


    "ค่ะ"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×