ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic LSK : Calla Lily

    ลำดับตอนที่ #13 : บทที่ 12

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 53


    การรักใครสักคนอาจเป็นเรื่องยาก


    ...แต่การมีชีวิตอยู่ต่อไปเมื่อสูญเสียคนที่รักไปแล้ว ยากเย็นยิ่งกว่าหลายเท่า


    ข้าไม่เคยรู้ซึ้งถึงคำกล่าวเหล่านั้นได้ดีเท่ากับในเวลานี้ เวลาที่ข้าเจ็บปวดจนแทบมีชีวิตอยู่ต่อไม่ไหว


    วูบหนึ่ง ข้าคิดอยากจะลืมเลือนทุกเรื่องราว ขอให้ใครสักคนลบความทรงจำที่มีต่อนางทิ้งไปเสีย


    แต่ครั้นนึกถึงรอยยิ้มที่งดงามดุจดอกไม้แย้มบาน ข้าก็พลันเปลี่ยนใจ


    .....น่าเสียดายมิใช่หรือ หากจะทิ้งความรักและความทรงจำที่งดงามยิ่งกว่าความงามทั้งมวลบนโลกใบนี้ไปง่ายๆ


    แม้ไม่อาจอยู่เคียงข้างกันในชีวิตจริง อย่างน้อย....ก็ขอให้ได้อยู่เคียงข้างกันในความฝัน


    หรือต่อให้ย้อนเวลากลับไปอีกสักกี่ครั้ง ข้าก็คงจะเลือกหนทางเส้นเดิม


    เพราะ..การไม่เคยรู้จักแม้กระทั่งความรัก เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุด

    นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไม ข้าถึงไม่ยอมหักใจนำดอกแคลล่าลิลลี่เหี่ยวแห้งข้างหัวเตียงไปทิ้งเสียที


    และเป็นเหตุผลว่า ทำไม ข้าถึงยังคงไปที่บ้านน้อยสีเขียวหลังนั้น


    เพียงเพื่อจะทอดมองเปียโนไม้ที่ตั้งอยู่ริมบันไดอย่างเงียบสงบ ปราศจากกังวานเพลงรักหวานซึ้งที่เคยได้ยินติดหู


    เพียงเพื่อจะนั่งลงบนโซฟา ปล่อยให้สองมือว่างเปล่า ไม่มีแก้วชาคาโมมายล์ที่ใครบางคนเคยชงต้อนรับแขกคนสำคัญให้ถืออยู่ในมือ


    เพียงเพื่อจะยิ้ม หัวเราะ และร้องไห้ ให้กับอดีตที่ไม่มีวันหวนคืน...

    ทว่า นอกจากช่วงเวลาอันอ่อนไหวสองชั่วโมงต่อวันแล้ว ข้าก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์ของเทพอัศวินเทอร์มิสได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง


    โหดเหี้ยม เย็นชา จริงจังต่อทุกสิ่งที่ได้รับมอบหมาย และทำหน้าที่ให้สำเร็จโดยปราศจากข้อตำหนิใดๆ ทั้งสิ้น


    ...เหมือนหุ่นกลไร้วิญญาณ ครีอุสบอกข้าเช่นนั้น


    ข้ายอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งว่าเป็นความจริง


    ******************


    ครบเจ็ดวันแล้วนับตั้งแต่การจากไปของนาง


    แม้เพียงเจ็ดวัน แต่กลับยาวนานยิ่งนักในความรู้สึก ราวกับเวลาได้ผ่านพ้นไปแล้วถึงเจ็ดปี


    ครีอุสพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับฟ้าหลังฝนให้ข้าฟัง หากถ้อยคำเหล่านั้นล้วนลอยผ่านไปอย่างไร้ความหมาย


    ไม่มีฟ้าหลังฝนอีกแล้ว....สำหรับข้า


    ข้าสาวเท้าไปยังบ้านน้อยของแคลล่า แม้จะเป็นเวลาบ่ายที่แสงอาทิตย์สาดส่องเจิดจรัสร้อนแรง แต่สองตาของข้ากลับมองเห็นเพียงรัตติกาลไร้ดาว มืดมิด..เสียยิ่งกว่าห้วงอนธกาลอันมืดมนที่สุด


    หยุดเท้าลงหน้าประตูไม้เมเปิ้ล ควานหากุญแจเตรียมไขประตูเข้าไปในบ้านตามปกติ


    ก่อนจะนึกแปลกใจครามครัน.....เมื่อลูกบิดที่ควรจะติดล็อกค้างอยู่เพียงครึ่ง กลับหมุนได้จนสุด


    ตามด้วยเสียงแหลมๆ ที่ข้าคุ้นเคยมาตลอดสิบกว่าปีในตำหนักเทพอัศวินดังลอดออกมาจากในตัวบ้าน


    "อื้ม...หอมน่าดื่มจริงๆ ข้าล่ะอิจฉาเจ้าแลนซ์นัก ได้คนรักที่ทั้งอ่อนหวาน ทั้งช่างเอาใจอย่างเจ้า"


    เกรเซียส ครีอุส หมอนั่นมาทำอะไรที่นี่!!!


    หากเสียงตอบกลับ ยิ่งทำให้ข้าตกตะลึงจนเกือบลืมหายใจ


    "ขอบคุณค่ะ ท่านเทพอัศวินครีอุส แต่ข้าไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอกค่ะ ข้าโกหก หลอกลวงเขามาตลอด แม้กระทั่งวินาทีสุดท้าย..." ท้ายเสียงสั่นเครือ เหมือนเจ้าของเสียงใสหวานปานเปียโนแก้วกำลังมีน้ำตา


    แคลล่า!!!!!!!!


    นางตายไปแล้วไม่ใช่หรือ......ข้ายังจดจำสัมผัสเย็นชืดยามโอบกอดร่างไร้วิญญาณของนางได้


    หรือสีสดของโลหิตที่สาดย้อม ก็ยังคงตามหลอกหลอนอยู่ในฝันร้ายของข้า..ทุกค่ำคืน


    เชื่องช้าราวชั่วกัปกัลป์ กว่าข้าจะยกมือขึ้น บิดหมุนลูกบิดเพื่อเปิดประตูออก


    แคลล่ายืนอยู่หน้าเปียโนตัวเก่งของนาง งดงามเหมือนดอกไม้ เหมือนภาพเขียน เหมือนนางฟ้าจากสรวงสวรรค์ แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความประหลาดใจระคนเศร้าสร้อยจนไม่อาจเรียกรอยยิ้มหวานจับใจขึ้นมาประดับได้ก็ตาม


    แต่อย่างน้อย นางก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา


    ไม่เหมือนร่างเย็นเยียบที่ข้านำไปฝังไว้ ณ ส่วนลึกที่สุดของเนโครโพลิสเมื่อเจ็ดวันก่อน


    ข้ากระพริบตาถี่ๆ สะบัดหน้าไปมา พยายามไล่ภาพลวงตาอันเกิดจากความฟุ้งซ่านให้เลือนหายไป


    แต่เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น


    "แลนซ์....."


    ดวงหน้าอ่อนหวานเผยอรอยยิ้มดุจดังดอกไม้แย้มบาน พร้อมกับหยาดน้ำตามากมายพรั่งพรูออกมาจากสองเนตรงามซึ้ง


    วินาทีต่อมา ข้าก็ได้รู้ว่าสิ่งที่เห็นคือความจริง มิใช่ภาพลวงตา


    ..เมื่อสองมือของข้าสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลจากเรือนร่างอ้อนแอ้นในอ้อมแขน


    กรุ่นกำจายกลิ่นมวลดอกไม้นานาหอมฟุ้งอยู่ในลมหายใจที่ยังคงขาดห้วงด้วยคาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะพลิกผัน จากร้าย....กลายเป็นดีเช่นนี้


    "ข้ากลับมาแล้วค่ะ ท่านจะยกโทษให้ข้าได้ไหม แลนซ์..ที่รัก"


    ก่อนความรู้สึกจะแปรเปลี่ยนเป็นลิงโลดอย่างสุดแสน


    ....แคลล่าของข้า นางยังมีชีวิตอยู่!!


    ไม่สำคัญอีกแล้วว่านางจะทำอะไรลงไปบ้าง ต่อให้นางชักมีดออกมาฆ่าข้าเสียตอนนี้ ข้าก็ยินดีจะให้อภัย


    ขอแค่..ร่างบอบบางยังอยู่ตรงนี้ ในอ้อมแขนของข้า


    มิได้จากไปไกลจนไม่อาจเอื้อมมือคว้า เหมือนเช่นเจ็ดวันก่อนหน้าที่มีเพียงความทุกข์ระทม


    ข้าจูบนางอย่างโหยหาที่สุด ส่งผ่านความรัก ความคิดถึง และความเศร้าทั้งมวลตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมาลงไปในรอยจุมพิตอันหวานฉ่ำ


    "อย่าไปจากข้าอีกนะ" กระซิบตอบนางเช่นนั้น


    ถูกที่เกรเซียสกล่าว ...ฟ้าหลังฝน มาถึงในที่สุด...


    แล้วทุกสิ่งรอบกายก็พลันเลือนราง ราวล่องลอยในห้วงภวังค์ เสมือนโลกทั้งใบมีอยู่เพียงสองเรา


    ..


    จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นเบาๆ จากทิศทางที่โซฟาตั้งอยู่


    ข้าหันกลับไปมอง แล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำจนคนฟังแทบอยากลาตาย


    "เกรเซียส เจ้าอธิบายมาเดี๋ยวนี้นะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น!!!"


    "อะไรกัน แลนซ์ ข้าช่วยเจ้าไว้แท้ๆ นะ ทำไมต้องมองหน้าข้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกันด้วย" เพื่อนสนิทของข้าเริ่มร้องอุทธรณ์ หากข้าไม่ฟังเสียง


    สิ่งเดียวที่ข้าต้องการรู้ในตอนนี้คือ 'ความจริง'


    "เกรเซียส ครีอุส!" ยิ่งอีกฝ่ายโอ้เอ้ ข้าก็ยิ่งหงุดหงิดจนแทบคำรามใส่เขาด้วยซ้ำ


    "ก็ได้ๆ" เทพอัศวินครีอุสยกมือทั้งสองข้างขึ้นเสมอไหล่ ประกาศการยอมจำนนแต่โดยดี "แล้ว....เจ้าอยากรู้อะไรล่ะ"


    "ทั้งหมด"


    ข้าประคองคู่หมั้นคนสวยไปนั่งเคียงกันที่โซฟายาว ก่อนเกรเซียสจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่ทำให้ทุกอย่างพลิกผัน จนบทสรุปออกมาเป็นเช่นนี้


    ******************


    "วันนั้น หลังจากข้าไล่ให้เจ้าไปนอนพัก ข้าก็ไปตามหาเรดที่เรือนจำ


    แต่พอข้าไปถึงเรือนจำ ข้าก็สัมผัสได้ถึงผู้หญิงรูปร่างอวบอึ๋มสะบึมคนหนึ่ง กำลังเดินเข้าไปในเรือนจำ ข้าก็เลยสะกดรอยตามนางไป


    เฮ้ย! อย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นสิแลนซ์ ข้าไม่ได้สะกดรอยตามนางเพราะนางหุ่นดีนะ แต่เพราะนางมีพลังไม้และพลังมืดสูงอย่างน่าตกใจต่างหาก


    สูงเหมือนพวกนักฆ่าที่ใช้พิษในการโจมตี


    นางหยุดยืนหน้าประตูลูกกรงเหล็กบานหนึ่ง เบื้องหลังลูกกรง มีหญิงสาวอีกนางนั่งกอดเข่าอยู่ พลังลมของนางสูงมาก สูงยิ่งกว่าเนเฟลเสียอีก บางทีอาจจะใกล้เคียงกับเทมเพส


    ข้าเดาว่าหญิงสาวผู้มีพลังลมสูงในห้องขัง น่าจะเป็นคนรักของเจ้า


    และยิ่งแน่ใจ เมื่อได้ยินคำสนทนาระหว่างพวกนาง


    ...ไม่ต้องห่วงนะแคลล์ ท่านไวท์โรสสั่งให้ข้าลอบเข้าเมืองมาเพื่อช่วยเหลือเจ้า... อาเจ๊หุ่นสะบึมพูด เสียงของนางช่างเซ็กซี่เร้าใจจริงๆ


    โอ๊ย!! ข้าเจ็บนะเทอร์มิส ฟาดมาได้ หัวคนนะไม่ใช่หัวตอ


    อ่ะ เล่าต่อๆ ข้าได้ยินเสียงตอบอย่างสิ้นหวัง ดังจากคนด้านหลังลูกกรง


    ...ไม่ต้องลำบากเพื่อข้าหรอกค่ะ ท่านพี่แม็ก ปล่อยให้ข้าตายไปดีกว่า อย่างน้อย ความตายของข้า ก็สามารถช่วยผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งให้รอดพ้นจากสถานะลำบากได้...


    ผู้มาเยือนหัวเราะคิกทันที


    ...อย่างที่ราฟเฟิลเซียว่าจริงด้วย ผู้บริสุทธิ์ที่ว่า ก็คงจะเป็นเทพอัศวินที่เป็นคนรักของเจ้า นี่เจ้าคิดจะแลกชีวิตตัวเอง เพื่อประทับความทรงจำอันเป็นนิรันดร์ลงกลางใจชายผู้นั้นสินะ...


    เงียบไปชั่วครู่ ก่อน 'แม็ก' จะกล่าวต่อ


    ...หนีไปกับข้าเถอะ แคลล์ อย่าคิดจะสละชีวิตตัวเองเพื่อเรื่องเปล่าประโยชน์เช่นนี้เลย ไม่ว่าจากเป็น หรือจากตาย ซักวันความทรงจำก็จะถูกลืมเลือนหายไปอยู่ดี คำว่า 'รักนิรันดร์' ไม่มีอยู่จริงหรอก...


    หลังจากได้ยินสารพัดประโยคดูถูกดูหมิ่น ห้วงคิดของข้าก็เต็มไปด้วยภาพสีหน้าของเจ้า ยามร้องไห้คร่ำครวญเหมือนคนหัวใจสลาย


    คนพูดอาจไม่รู้ว่าเจ้าต้องทุกข์ทรมานด้วยเรื่องของสาวคนรักมากมายเพียงใด แต่ข้ารู้


    ข้าตัดสินใจแสดงตัวออกมาทันที


    ...การพานักโทษคดีอุกฉกรรจ์หลบหนีถือเป็นความผิดมหันต์ ข้า เทพอัศวินครีอุส จะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด... ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง


    นัยน์ตาของพวกนางเบิกโตขึ้นอย่างตกตะลึงระคนหวาดกลัว


    ข้าจึงต้องรีบพูดต่อ ก่อนพวกนาง โดยเฉพาะแม่สาวหุ่นเซ็กซี่นอกห้องขัง จะเข้าใจผิดแล้วหันมาจัดการข้าแทน


    ...เว้นแต่ พวกเจ้าจะยอมร่วมมือกับข้า...


    ...ร่วมมือ???... หญิงสาวเจ้าของนาม 'แม็ก' หันมาถามข้าด้วยสีหน้างุนงง


    ข้าชี้ไปที่ร่างหลังลูกกรงเหล็ก พลางกล่าวอธิบาย


    ...นางเป็นคนรักของเพื่อนสนิทข้า ตอนนี้เขากำลังเสียใจอย่างมาก เพราะรู้ว่านางไม่มีทางรอดจากโทษประหาร แต่ข้ามีแผนที่จะทำให้นางรอดชีวิต และสามารถอยู่ในเมืองต่อไปได้ด้วย...


    ...แล้วข้าจะเชื่อใจท่านได้อย่างไร ว่าท่านจะไม่เอาพวกเราไปขาย... ร่างอวบอัดนอกห้องขังยืดตัวขึ้นเต็มความสูง แล้วหันมาประจันหน้ากับข้า


    ข้าหัวเราะร่วน
    ...ข้าแอบฟังเจ้าสองคนนั่งวางแผนกันอยู่ตั้งนมนาน ถ้าข้าคิดจะจับกุมเจ้าจริงๆ เจ้าคงได้เข้าไปอยู่ในห้องขังเป็นเพื่อนนางแล้ว อีกอย่าง ข้าไม่คิดว่านางทำอะไรผิด พวกที่นางฆ่าก็มีแต่พวกหนักแผ่นดิน สมควรตายทั้งนั้น ไม่ตายด้วยมือนาง พวกนั้นก็ต้องตายด้วยมือเพื่อนข้าอยู่ดี...


    แม่สาวหุ่นอึ๋มตวัดหางตาค้อนข้าประหลับประเหลือก น่าเสียดายที่สายตาของข้าไม่อาจมองเห็นความงดงามของสตรีเพศอีกแล้ว


    ก่อนจะตัดสินใจ ยอมรับข้อเสนอของข้าในที่สุด


    ...พวกข้าตกลง ว่าแผนของท่านมาสิ...


    ...เจ้าพอรู้จักยาพิษที่กินเข้าไปแล้ว จะทำให้มีสภาพเหมือนคนตายชั่วขณะหนึ่งรึเปล่า... ข้าเอาแผนนี้มาจากบทละครเวทีโศกนาฏกรรมชื่อก้องเรื่องหนึ่ง


    ...แน่นอน... เป็นเสียงยั่วยวนของผู้ใช้พิษ
    ...มียาพิษชนิดไหนบ้างที่เวนอม แม็กโนเลีย ราชินีแห่งพิษคนนี้ไม่รู้จัก...


    ข้าตบมือผาง


    ...ดีมาก ถ้าเช่นนั้น เจ้าไปเตรียมยาพิษชนิดนี้มาที ข้าจะให้นางแกล้งทำเป็นกินยาตายหนีความผิด แล้วค่อยบอกความจริงกับเพื่อนของข้าเมื่อนางฟื้นแล้ว..."


    ******************


    อย่างที่ข้าเดาไว้ไม่มีผิด เป็นแผนการของครีอุสจริงๆ


    หมอนั่นยังคงกล่าวต่อ "และเพื่อไม่ให้เจ้าจับได้ ข้าขอร้องให้แคลล่าเล่นละครอย่างแนบเนียนที่สุด ให้เจ้าเชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไขว่านางได้ตายไปแล้วจริงๆ"


    "ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมบอกข้า" ข้าแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เกือบเป็นการทะลุกลางปล้อง


    "ถ้าข้าบอกเจ้าก่อน คนจริงจังกับหน้าที่ยิ่งกว่าชีวิตอย่างเจ้า จะยอมเห็นชอบกับแผนการของข้าหรือ" เหตุผลของเขาทำให้ข้ายอมจำนนโดยดุษณี ช่างสมเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของข้าจริงๆ


    ก็แม้แต่พระราชา เขายังหาทางปลดออกจากบัลลังก์ได้เลย


    "จริงของเจ้า" ข้ายักไหล่ ก่อนจะหันไปมองร่างน้อยที่พิงอยู่กับไหล่ของข้า "ว่าแต่ แคลล่า เจ้าจะเอายังไงต่อไปเรื่ององค์กร"


    "รอข้าแข็งแรงกว่านี้หน่อย ข้าจะกลับไฟน์คิลลิ่งลิเบอร์ตี้ไปเยี่ยมท่านไวท์โรสค่ะ" นางยกแก้วชาคาโมมายล์ขึ้นจิบแล้วกล่าวต่อ


    "ส่วนเรื่องภารกิจในเมืองนี้ ข้าจะไม่ถอนตัว เพราะองค์กรและท่านไวท์โรสมีบุญคุณต่อข้าท่วมท้น แต่ข้าขอจัดการอะไรบางอย่างให้เรียบร้อยก่อนได้ไหมคะ แล้วสองมือนี้ของข้า จะไม่กลับไปเปื้อนเลือดอีก ข้าสัญญาค่ะ"


    ข้ามุ่นหัวคิ้วลง นึกแปลกใจในคำกล่าวที่ขัดแย้งกันเอง


    ...ไม่ถอนตัว แต่จะไม่ให้มือเปื้อนเลือดอีก...


    เปียโนแก้วกล่าวไขข้อข้องใจเสียงใสแจ๋ว "องค์กรระบุแค่ 'ทำให้เหยื่อตาย' นี่คะ แต่ไม่ได้จำกัดวิธีการเสียหน่อย จะเอามีดเชือดคอ หรือส่งไปรับโทษที่ลานประหาร ก็ถือว่าเป็นการ 'ทำให้เหยื่อตาย' เหมือนกัน"


    พูดง่ายๆ นางกะจะโยนภาระทั้งหมดให้ข้าทำแทน...


    แต่เอาเถอะ ข้ามาเป็นเทพอัศวินเทอร์มิสก็เพราะ 'ไม่อยากให้คนชั่วทั้งแผ่นดิน มีโอกาสทำผิดซ้ำสอง' มิใช่หรือ


    ได้ประหารคนชั่วเพิ่มจากเดิมซักคนสองคน ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ดีเสียอีกด้วยซ้ำ


    "เอาล่ะ หมดธุระของข้าแล้ว ข้าไปก่อนนะ" ครีอุสวางแก้วชาว่างเปล่าของตนลงบนโต๊ะ พลางหันมากล่าวกับข้า "หวังว่าวันนี้ ข้าจะไม่เห็นเจ้าที่ตำหนัก หรือเดินว่อนไปมาทั่วเมืองนะ ไม่เช่นนั้น ข้าจะสั่งกักบริเวณเจ้า"


    ก่อนเขาจะเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์


    ข้าอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ด้วยรู้ถึงนัยที่แฝงมาในคำพูดของเพื่อนสนิทคนนี้เป็นอย่างดี


    ขอบใจจริงๆ เกรเซียส ครีอุส!!


    ข้าหันกลับมาส่งสายตาแพรวพราวให้หญิงสาวในอ้อมแขน


    "เล่นเปียโนให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม"


    นางยิ้มรับ สองแก้มเป็นสีชมพูสดใส


    "ได้สิคะ"

    ...ยังมีเวลาอีกมากมาย จนกว่าจะถึงยามเช้าของวันรุ่งขึ้น...


    ---------------------------------------------------

    Writer Talk

    //หนีสหบาทาคนอ่านอีกรอบ ข้อหาหลอกลวง ปล่อยให้เฟลกันฟรีๆ

    สรุปว่าเรื่องนี้ก็จบลงอย่าง Happy Ending ค่ะ ^^ คงสมใจหลายคนที่รอคอย

    แต่อย่าเพิ่งเลิกอ่านกันนะคะ เพราะยังเหลือบทส่งท้ายอีกหนึ่งบท ที่รับประกันความโหด มันส์ ฮา อย่างแน่นอน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×