คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 10
แคลล่าลิลลี่ดอกน้อยถูกตรึงอยู่บนขื่อคาสูงลิ่ว คมแส้ฟาดโบย ขยี้กลีบดอกชอกช้ำ แต่ละคราที่ริ้วหนามเฉือดผ่านผิวเนื้ออ่อนละมุน ล้วนเรียกโลหิตหยาดย้อม แต่งแต้มสีแดงจัดน่าขนลุกลงบนพื้นหลังขาวพิสุทธิ์
ข้าแสร้งทำสีหน้าสาสมใจ ทอดมองนักโทษผู้ถูกทรมานด้วยแววตาคมกล้า
ทว่า ทุกรอยกรีดของแส้บนเรือนร่างบอบบาง ไม่ต่างอะไรกับรอยกรีดกลางดวงใจของข้า
"มันยังไม่ยอมสารภาพเลยขอรับ ท่านเทพอัศวินเทอร์มิส" พัศดีคนหนึ่งวิ่งมาถามความเห็นจากข้าแทนลูกน้องในหน่วย ซึ่งข้าพอเข้าใจว่าทำไม
ใครเล่า จะลืมเลือนหญิงสาวแสนงาม เจ้าของรอยยิ้มหวานจับใจที่สามารถเปลี่ยนโลกทั้งใบให้สดใสขึ้นทันตา คู่หมั้นสุดรักของหัวหน้าหน่วยได้
นึกขอบคุณเทพอัศวินใต้บังคับบัญชาของตนอยู่ในใจ ...พวกเขาล้วนแต่เก็บเรื่องเงียบ ไม่มีใครปริปากบอกคนอื่นว่านางเป็นอะไรกับข้า
"โบยต่อไป" ข้าตอบคำของพัศดีคนนั้นด้วยเสียงเบาหวิว แทบจะล่วงไม่พ้นลำคอ
แม้ข้าอยากจะดึงร่างน้อยลงจากขื่อ เรียกนักบวชทั้งวิหารมารักษาอาการบาดเจ็บให้นาง แล้วรั้งร่างเข้ามาโอบกอดแนบกายอย่างทะนุถนอมเพียงใดก็ตาม แต่ข้าก็ทำไม่ได้
ข้าคือเทพอัศวินเทอร์มิส มีหน้าที่ลงทัณฑ์อาชญากรร้ายทั้งปวง รวมถึงมือสังหารที่ฆ่าคนไปแล้วถึงห้าศพในระยะเวลาเพียงสองเดือนกว่า
ฉะนั้น ข้าก็ทำได้เพียงทนมองภาพตรงหน้าต่อไป ด้วยความรู้สึกปวดใจเหลือจะกล่าวเป็นคำพูด
ยิ่งโบย คมแส้ก็ยิ่งกรีดลึก เศษชิ้นเนื้อปนกับกระเซ็นหยดเลือดปลิวว่อนไปทั่วลานลงทัณฑ์ จนข้าไม่อาจทานทนไหว
ไม่ใช่เพราะความสยดสยอง สะอิดสะเอียนดังเช่นที่ผ่านมา
...แต่เพราะน้ำตาเจ้ากรรม สัญลักษณ์ความอ่อนแอที่ไม่ควรมีของลูกผู้ชาย มันร่ำๆ จะไหลออกมาอยู่รอมร่อ
ข้าปกป้องคนทั้งเมืองลีฟบัดจากภยันตรายสารพัดได้ แต่ทำไม ถึงปกป้องคนที่ข้ารักที่สุดจากเงื้อมมือของการลงทัณฑ์อันโหดเหี้ยมไม่ได้
ข้าวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ เหมือนพระเจ้าทรงโปรด ครีอุสนั่งรออยู่ในนั้นพร้อมม้านั่ง กะละมังใส่น้ำ และผ้าขนหนู
ข้าทรุดตัวลงนั่งข้างเขา แล้วปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น
******************
ไม่รู้ว่าร้องไห้อยู่นานแค่ไหน นาน...จนกระทั่งน้ำตาไม่มีพอหลั่งไหลอีกแล้ว ข้าจึงเงยหน้าขึ้น
ราวกับรู้ใจ เพื่อนสนิทของข้ายื่นผ้าขนหนูให้ ข้ารับมาอย่างรวดเร็ว ซับรอยน้ำตาเนืองนองบนใบหน้าให้แห้งเหือดเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
แต่หากผ้าผืนนี้ สามารถซับน้ำตาที่ท่วมท้นในหัวใจของข้าให้เหือดแห้งได้ด้วย ก็คงดี..
"ตกลงว่า คู่หมั้นของเจ้า เป็นคนเดียวกับนักฆ่าที่ตามจับกันอยู่" เขารับผ้าขนหนูคืน พลางเอ่ยถามด้วยถ้อยคำปกติ ไม่ใช่ถ้อยคำที่ต้องแปลความสามตลบกว่าจะเข้าใจเนื้อหา
คงเพราะรู้ดี...ว่าข้าไม่มีกะจิตกะใจจะตีความอะไรทั้งสิ้นในตอนนี้
"ใช่" ข้านิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยอมรับในที่สุด
เขายักไหล่ "ข้ายังไม่เห็นว่านางจะทำผิดที่ตรงไหน พวกที่นางฆ่า ก็มีแต่พวกชั่วๆ ที่สวมหน้ากากเป็นคนดีไม่ใช่หรือ"
ถึงจะยังโศกเศร้า แต่ข้าก็อดหัวเราะให้กับความคิดแผลงๆ ของเขาไม่ได้
"มีแต่เจ้าเท่านั้นแหละ ที่คิดอะไรแบบนี้ได้ น่าเสียดายที่กฎหมายกับพระราชาไม่ได้คิดแบบเดียวกับเจ้า"
"ดีแล้วที่เจ้ายิ้มได้" ครีอุสยื่นมือมาตบไหล่ข้า "เจ้าต้องเข้มแข็งไว้นะเทอร์มิส เจ้าเป็นเสาหลักของตำหนักเทพอัศวิน หากเจ้าล้มลงเหมือนตอนนั้น เหล่าพี่น้องเทพอัศวินที่เหลือจะอยู่กันอย่างไร"
ข้านึกชื่นชมครีอุสจริงๆ ถึงเขาจะดูไม่เหมือนอัศวินสักนิด ทั้งขี้เกียจ ปวกเปียก ใช้ดาบไม่เป็น ถนัดแต่วางแผนชั่ว แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ยังคงเข้มแข็ง ยืนหยัดต่อสู้กับสารพัดปัญหาที่ถาโถมเข้ามาอย่างสง่างาม
เขาว่าต่อ "เจ้าไปพักก่อนเถอะ รู้ไหมว่าร้องไห้มากๆ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียยิ่งกว่าเสียเลือดอีก เรื่องที่เหลือเดี๋ยวข้าจะไปบอกเรดให้จัดการแทนเจ้า"
"เวด" ข้ารีบแก้ชื่อรองหัวหน้าหน่วยของตนเอง
"เอาน่ะๆ จะชื่ออะไรก็ช่างเถอะ รีบไปสิ หรืออยากให้ข้าสั่งกักบริเวณเจ้าอีกรอบ"
******************
ข้าหลับใหล หลบหนีจากภาพความเป็นจริงอันโหดร้ายไปเกือบทั้งวัน ก่อนจะตื่นขึ้นด้วยเสียงเคาะประตูห้อง
"ใครน่ะ"
"ข้า เวด เองขอรับ" เสียงจากภายนอกบ่งบอกว่าเป็นรองหัวหน้าหน่วยเทพอัศวินเทอร์มิสของข้า
"เข้ามาได้" ข้าพยุงตัวขึ้นนั่ง สวมหน้ากากของเทพอัศวินเทอร์มิสผู้โหดเหี้ยมไร้ปรานีทับลงไปบนใบหน้าของแลนซ์ผู้ระทมทุกข์
เวดค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องอย่างกล้าๆ กลัวๆ ครีอุสคงสั่งเขาไว้แล้วว่าหากไม่มีเรื่องจำเป็น ไม่ต้องรบกวนข้าเด็ดขาด คำพูดรายงานของเขาจึงเต็มไปด้วยความลังเล
"นักโทษไม่ยอมให้การใดๆ ที่เป็นประโยชน์เลยขอรับท่านหัวหน้า ตลอดการสอบสวน นางพูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่แค่ประโยคเดียวขอรับ"
"พูดว่าอะไรล่ะ" ข้าเอ่ยถามสีหน้านิ่ง
ลูกน้องคนสนิทของข้าครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ คล้ายจะเรียบเรียงประโยคที่ตนได้รับฟังออกมาเป็นความหมายสั้นๆ
"นางพูดแต่ว่า อยากพบท่าน แต่จะไม่ยอมบอกอะไรกับท่าน ขอรับ"
ข้าลุกขึ้นยืน พยายามถ่ายน้ำหนักลงสู่สองเท้าให้สมดุลกันที่สุด เพื่อประคับประคองไม่ให้ร่างกายอ่อนล้าล้มลงไปเสียก่อน
"ไปที่เรือนจำ ข้าจะเป็นคนสอบสวนนางเอง"
******************
ภายในห้องขัง หญิงสาวเจ้าของร่างโชกเลือดนั่งกอดเข่า แววตาเลื่อนลอยเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย
แม้ข้าจะหยุดยืนอยู่เบื้องหน้านาง ห่างเพียงลูกกรงเหล็กคั่น เนตรคู่สวยก็ยังคงไร้ซึ่งชีวิตชีวา สะท้อนเพียงความว่างเปล่าชืดชาต่อสรรพสิ่งทั้งมวล
มีเพียงกลีบปากบางเท่านั้นที่ขยับเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
"ข้าจะไม่บอกอะไรกับท่าน เทพอัศวินเทอร์มิส ....ข้าอยากพบคู่หมั้นของข้า"
เวดรีบเอ่ยเสริม "นางพูดอย่างนี้แหละครับ ซ้ำไปซ้ำมา ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่านางต้องการอะไร"
แม้เขาจะไม่เข้าใจ แต่ข้าเข้าใจดี...ว่าแคลล่าของข้าต้องการอะไรกันแน่
ข้าร้องสั่งลูกน้อง "เวด ออกไปก่อน"
พลางล้วงมือลงควานหากุญแจห้องขังในกระเป๋าชุดยาว หยิบมันขึ้นมาไขเปิดประตูห้องขัง แล้วจึงก้าวเข้าไปด้านใน
"แคลล่า คู่หมั้นของเจ้า...แลนซ์ของเจ้า อยู่ที่นี่แล้ว"
ข้ายอบตัวลงต่ำ รั้งร่างบอบบางอ่อนแรงราวกับตุ๊กตาแก้วที่เต็มไปด้วยรอยร้าวเข้ามากอดแนบกาย
กลีบปากที่เคยนุ่มนวลหวานฉ่ำ บัดนี้แห้งกระด้าง เต็มไปด้วยรสชาติโลหิตขื่นคาว
ทว่า ข้ากลับจุมพิตมันอย่างโหยหาที่สุด ดูดดื่มแนบแน่นราวกับไม่มีวันแยกจาก เสมือนรอยจูบคืออากาศสำหรับหายใจ หล่อเลี้ยงชีวิตให้ดำเนินต่อไป
เนิ่นนาน...กว่าจะยอมตัดใจ ถอนริมฝีปากของตนออกมาได้
ดวงตางามซึ้งของนางเริ่มกลับสู่ความมีชีวิตชีวาอีกครั้ง แม้ข้าจะเห็นแต่เพียงความเศร้าหมองภายในนั้นก็ตาม
หยาดน้ำใสกลั่นตัวออกมาขังคลอเต็มเบ้า ก่อนจะค่อยๆ เอ่อล้น หลั่งรินอาบสองแก้มบวมช้ำ
"ข้าขอโทษ... ขอโทษที่ทำให้ท่านผิดหวัง ข้าทำใจไว้แล้วว่าท่านคงโกรธเกลียดข้าจนไม่อยากเจอหน้ากันอีก นึกไม่ถึง..ว่าท่านจะยอมมาเจอข้า"
ข้าค่อยๆ ประคองร่างน้อยให้ซบอิงอยู่กับไหล่กว้าง
ตอนแรกข้ายอมรับว่าโกรธ โกรธมาก.... แต่พอได้เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความปวดร้าวของนาง ข้าก็พร้อมอภัยให้กับทุกสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น
ทว่า แลนซ์....ไม่มีอำนาจใดๆ จะตัดสินชะตาชีวิตของหญิงสาวผู้เป็นที่รักสุดหัวใจ
ถึงข้าจะยอมอภัย แต่บัญชาของกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ จักยอมอภัยให้นางได้หรือ??
"ท่านอยากฟังเรื่องราวของข้าไหมคะ ความจริงทั้งหมด ที่ข้าไม่เคยเล่าให้ท่านฟัง และบางอย่าง ข้าถึงกับปิดบังท่าน..." นางเอ่ยถามต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า น้ำตายังคงหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย
ข้าพยักหน้า
เป็นการสอบสวนนักโทษครั้งแรกของข้า ที่แส้หนามและสารพัดเครื่องทรมาน ไม่อาจรีดเค้นความจริงได้เท่าอ้อมกอดอบอุ่นและรอยจูบแสนหวาน...
******************
"อย่างที่ข้าเคยบอกท่านว่า พ่อแม่ของข้าเป็นคนค้าขาย และเสียชีวิตตั้งแต่ข้ายังเด็ก
พวกท่านถูกฆ่าปิดปาก ด้วยฝีมือของอัศวินชั้นสูงรายหนึ่ง...เหยื่อรายแรกในเมืองนี้ของข้า เหตุเพราะท่านพ่อเห็นมันสังหารศัตรูอย่างเหี้ยมโหด เลยจะนำข่าวไปบอกทางการตามหน้าที่พลเมืองดี
มีเพียงข้าในวัยเจ็ดขวบเท่านั้นที่รอดมาได้ ถึงกระนั้นก็บาดเจ็บใกล้ตาย หากมิได้มีผู้ใจบุญคนหนึ่งผ่านมาพบเข้าเสียก่อน...
คนผู้นั้นคือท่านผู้มีพระคุณของข้า ท่านไวท์โรส หัวหน้าองค์กรไฟน์คิลลิ่งลิเบอร์ตี้
ข้าเติบโตขึ้นมาโดยมีท่านไวท์โรสเป็นเสมือนแม่คนที่สอง ภายในองค์กรที่ยึดถือปณิธานเพียงหนึ่ง 'จะไม่ปล่อยให้คนชั่วทั้งหลาย แฝงตัวเข้าหากินในคราบของคนดี'
พออายุครบสิบสาม ข้าก็ตัดสินใจฝึกเป็นมือสังหาร และแสดงฝีมือการสังหารอันปราณีต รวมถึงการลักลอบแฝงตัวอย่างไร้ร่องรอย จนได้เลื่อนขั้นเป็นมือสังหารชั้นสูงด้วยอายุเพียงสิบห้า
ในการคัดเลือกผู้เข้ารับตำแหน่งไวท์โคฟเวอร์เมื่อปีก่อน ข้าก็เป็นมือสังหารอายุน้อยที่สุดที่เข้ารับการคัดเลือก ด้วยวัยเพียงสิบเจ็ดปี
แน่นอน ข้าผ่านการคัดเลือก
จนเมื่อสามเดือนก่อน ท่านไวท์โรสได้รับคำว่าจ้างสังหารจากเมืองลีฟบัด แต่ด้วยชื่อเสียงอันเลื่องระบือของเหล่าเทพอัศวิน ท่านจึงตัดสินใจส่งนักฆ่าระดับไวท์โคฟเวอร์เข้าแฝงตัวในเมือง
ข้ารับอาสาทำงานนี้ เพราะถึงไฟน์คิลลิ่งลิเบอร์ตี้จะเหมือนกับบ้านของข้ามากเพียงใดก็ตาม แต่ข้าก็อยากกลับบ้านเกิดเมืองนอนที่แท้จริงของตนอีกครั้ง
....นอกจากนั้นยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง
ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของเทพอัศวินเทอร์มิสมาบ้าง ว่าเป็นผู้ชายที่มีเส้นผมและนัยน์ตาสีดำ สวมชุดคลุมดำสนิท เป็นผู้ผดุงความยุติธรรมของเมืองลีฟบัด นิสัยโหดเหี้ยมเย็นชา ไม่เคยปรานีต่อคนชั่วทั้งหลาย
ข้าแอบชื่นชมคนผู้นี้อยู่เงียบๆ ในใจ เพราะทั้งเขาและข้าต่างมีความคิดตรงกัน คนชั่ว...ไม่สมควรจะได้รับโอกาสให้มีชีวิตอยู่สืบไป
และในวันหนึ่ง ข้าก็มีโอกาสได้เจอตัวจริงของเขา ระหว่างตระเวนตรวจตรารอบเมือง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมเย็นชาเช่นเดียวกับคำร่ำลือ
คิดไม่ถึง เมื่อเขาชนข้าล้มลงไป เขากลับช่วยประคองข้าให้ลุกขึ้นยืน ซ้ำยังเก็บดอกไม้ที่หล่นเกลื่อนกลับคืนมาให้ข้า
ณ วินาทีนั้น ข้าหลงลืมเหตุผลทุกประการที่มายืนอยู่ในเมืองนี้
ความคิดเดียวที่วนเวียนอยู่ในสมอง คือต้องพิชิตใจคนตรงหน้าให้ได้
ข้าหลงรักเทพอัศวินเทอร์มิสเข้าเสียแล้ว..."
พูดมาถึงตอนนี้ แคลล่าของข้าก็ถอนสะอื้น ก่อนจะกล่าวต่อเสียงเครือ
"ถึงข้าจะเป็นคนเลว โกหก หลอกลวง ทำให้ท่านต้องลำบากสารพัด แต่โปรดรู้ไว้นะคะว่า ความรักของข้าที่มีต่อท่าน จริงแท้แน่นอน และจะเป็นเช่นนี้ไปชั่วนิรันดร์"
ข้าเชยใบหน้าของนางขึ้นมาจูบซับรอยน้ำตา กระซิบตอบแผ่วเบา
"ถึงเจ้าจะเป็นมือสังหาร ถึงเจ้าจะโกหกหลอกลวงข้า แต่ข้าก็ยังรักเจ้าไม่เสื่อมคลาย แม้จะต้องตายด้วยมือของเจ้าก็ตาม อย่าห่วงเลยนะ ข้าจะต้องช่วยเจ้าให้ได้"
..ข้าไม่อาจปล่อยให้นางจากไปโดยที่ตัวเองไม่ทำอะไรเลย แม้ความหวังจะริบหรี่เพียงใด ข้าก็ต้องพยายามเอื้อมมือคว้าไว้ให้ได้
แสงทองสนธยาลอดผ่านซี่ลูกกรงแคบๆ เข้ามาในห้องขัง คล้ายระฆังสั่นเตือน..ย้ำถึงหน้าที่ที่รออยู่ ณ ตำหนักเทพอัศวิน
เวลาของเราสอง เหลือน้อยลงทุกที.....
"ข้าคงต้องกลับแล้วล่ะ แต่ก่อนไป ข้าขอคุยกับเจ้าอีกสักหน่อยได้ไหม" ข้าตัดสินใจเอ่ยปากถามเรื่องที่ยังค้างคาใจอยู่ "ตอนที่ข้าช่วยเจ้าไว้ในตรอก ตอนนั้นเจ้ากำลังเสียท่าจริงๆ หรือแกล้งเล่นละครเพื่อเอาชนะใจข้ากันแน่"
นางยิ้มละไม...เป็นรอยยิ้มแรกที่ข้าได้เห็นนับตั้งแต่ความจริงถูกเปิดเผย
"แม่ค้าที่ไหนจะพกมีดสังหาร กับรองเท้าบูทติดใบมีดไปมาตามตลาดละคะ"
******************
ตลอดสองสามวันที่แคลล่าอยู่ในคุก ข้าอุทิศเวลาว่างที่เหลือจากการทำงานให้กับการค้นข้อกฎหมาย พยายามหาทางแก้ต่างให้ความผิดของนาง หรืออย่างน้อย ผ่อนหนักให้เป็นเบาก็ยังดี
น่าเศร้าที่กฎหมายทุกฉบับล้วนเขียนตรงกัน
โทษทัณฑ์เพียงอย่างเดียวของมือสังหาร คือความตาย.......
ความคิดเห็น