ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    produce 101/wannaone #pdxdg | all x baejinyoung

    ลำดับตอนที่ #9 : oneshot - you again #นยอนดีพ

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.ค. 60


     

     

     











    You asked me “can you recognize me?” and all I can do is only nod.
    the point is –inside my mind, there is one answer.
    oh yes, I never ever forget you, never once in my life.

     

     

     

     





     

                    เขาเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้า ยกแก้วทรงสวยที่บรรจุของเหลวสีเหลืองอำพันจรดริมฝีปากก่อนจะกระดกกลืนมันลงไปทั้งหมด รสชาติขมปร่าของเครื่องดื่มชั้นดียังติดที่ปลายลิ้น หากทว่านั้นก็เทียบไม่ได้เลยกับรสชาติแสนเฝื่อนที่คละคลุ้งอยู่ในลำคอ และอ่า –หายใจไม่ออก

                เสียงเพลงกระหึ่มที่ดังลอดเข้ามาในโสตประสาททำให้เขาใจชื้น นึกร้องขอและเฝ้าภาวนาในใจให้เพลงเหล่านี้ช่วยดังขึ้นอีกหน่อย อย่างน้อยก็เพิ่มระดับมากพอที่จะกลบเสียงหัวเราะเซ็งแซ่ในห้องสี่เหลี่ยมกว้างนี่ได้ ช่วยกลบรอยยิ้ม แววตาคู่นั้น และน้ำเสียงทุ้มหวานที่ลอยล่องอยู่ในอากาศ ช่วยกระชากร่างของเขาให้ออกจากวงโคจรเหล่านี้ทีเถิด

              ความวูบโหวงที่เกิดขึ้นอยู่ในช่องท้องหลังจากดื่มเข้าไปเป็นแก้วที่สี่ ถัดจากความรู้สึกโหวงก็แปรเปลี่ยนมาเป็นความเจ็บปวดที่อยู่ตรงอกข้างซ้าย แรงบีบรัดมันมากพอเหลือเกินที่จะทำให้เขาต้องแค่นหัวเราะ และให้ตายเถอะ –เหล้าแก้วนี้มันจืดชืดชะมัด   

     

              “ –?”

              แพจินยองไม่ชอบใจเอาเสียเลยที่สายตาของทุกคนในวงสนทนาตกมาอยู่ที่เขาแต่เพียงผู้เดียว แววตาสงสัยที่เจือด้วยความเป็นห่วงถูกส่งมาจากหญิงสาวข้างกาย เขาส่ายหน้าเพียงเล็กน้อยก่อนจะเขย่าแก้วทรงสวยในมือต่อครั้งแล้วครั้งเล่า กวักมือเรียกบริกรที่อยู่แถวนั้นให้เพิ่มความแรงของเครื่องดื่มอีกซักหน่อยก่อนจะละเมียดละไมชิมรสชาติเมื่อได้ตามที่พึงพอใจ

              เขากระดกมันลงเป็นครั้งที่หก เจ็ด และนับครั้งไม่ถ้วนที่บริกรคนเก่าถูกเรียกใช้บริการ ถึงจะไม่ใช่นักดื่มที่เก่งกาจ แต่ปริมาณแอลกอฮอล์เพียงเท่านี้ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก อาจจะหนักหน่อยที่เขารู้สึกว่าลิ้นมันพันกันแปลกๆ แต่ก็นั่นแหละ ความฝาดขมของมันยังกลบความเจ็บปวดในใจของเขาได้ไม่มิดเลย

              แก้วเหล้า อ่า –ห้าหรือหกนะ กำลังจะถูกดื่มเข้าถ้าหากไม่มีฝ่ามือขาวของใครบางคนคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขาเสียก่อน หัวใจเต้นระส่ำเมื่อปลายจมูกได้กลิ่นน้ำหอมชั้นดีที่ถูกฉีดอยู่ตรงชีพจรข้อมือ เขาจดจำกลิ่นนี้ได้ดีพอกันกับเจ้าของเรือนผมสีดำขลับ ดวงตาเรียวเล็กจ้องมองอย่างพินิจพิจารณา แพจินยองเบือนหน้าหนีพลางบิดข้อมือให้หลุดออกจากการกอบกุม

             

              “ –เดี๋ยวผมไปส่ง

              โคตรแย่

     

     

     

              ทำนองดนตรีในเพลย์ลิสต์เพลงโปรดดังคลออยู่ตลอดการเดินทาง ค่ำคืนวันศุกร์ที่ทั้งฝนตกและชื้นแฉะทำให้การจราจรติดขัดมากกว่าเคย เขาขยับตัวไปมาเมื่อลมหนาวจากเครื่องปรับอากาศกระทบผิวกาย ถึงข้างในอกจะร้อนรุ่มเพราะพิษของแอลกอฮอล์(หรือผลพวงจากคนข้างๆ เขาเองก็ไม่ค่อยชักจะแน่ใจ) แต่ความหนาวเย็นของอุณหภูมิก็ทำให้สั่นสะท้านได้เหมือนกัน

              เหลือบมองคนรูปร่างสูงโปร่งที่ทำหน้าที่คนขับได้อย่างดีเยี่ยมตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง มือขาวกำพวงมาลัยรถแน่นจนเส้นเลือดที่ลำแขนแกร่งนั่นขึ้นนูน เชิ้ตสีฟ้าอ่อนถูกพับอย่างประณีตถึงข้อพับแขน ดูดีราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารชื่อดัง และนั่นแหละคือเสน่ห์เหลือร้ายของอีกฝ่ายเขาล่ะ

              เราทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยกันอีกตั้งแต่ในร้านอาหาร เขาไม่รู้ว่าควรจะเปิดประเด็นสนทนาเพื่อไม่ให้มันเงียบเกินไป หรือควรจะนิ่งเฉยแล้วปล่อยให้เรื่องราวทั้งหมดมันเป็นไปตามที่ควรจะเป็น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการทักทายด้วยประโยคง่ายๆอย่าง –ชีวิตช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ? มันดูจะงี่เง่าเกินไปหน่อยหรือเปล่า เขาไม่กล้าหยิบยกเรื่องราวในอดีตมาพูด เพราะกลัวว่าแผลลึกที่ถูกซ่อนมานับปีจะถูกเปิดออกด้วยมือของตัวเองอีกครั้ง

              “ดื่มเก่งแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

              น้ำเสียงเรียบนิ่งต่างชั้นกันกับเสียงทุ้มในห้องคาราโอเกะนั่นโดยสิ้นเชิง ถึงสติจะถูกดูดกลืนด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ไปถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่แพจินยองก็พอจะแยกแยะความมีน้ำโหและอารมณ์คุกรุ่นภายใต้ความเรียบนิ่งนั่นได้เป็นอย่างดี เขากระดกกลืนน้ำลายที่เหนียวฝืดลงคอพลางกระแอมไอเพื่อเรียกเสียงของตัวเองกลับมา

              “ไม่ได้ดื่มเก่งหรอกครับ”

              เหมือนได้ยินเสียงแค่นหัวเราะในลำคอ เขาช้อนสายตามองอีกฝ่ายที่ยังคงใส่ใจกับการจราจรเบื้องหน้ามากกว่าบรรยากาศระหว่างเรา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเชื่อคำที่เขาพูดออกไปหรือเปล่า แต่เขาก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้ดื่มเก่งแต่ก็แค่รู้ลิมิตของตัวเองว่าแบบไหนที่ควรจะพอ เพียงแค่ว่าวันนี้มันอาจจะดูมากเกินไปเสียหน่อย

              “แต่ก็เห็นกระดกไม่หยุดเลยนะ –ชอบหรอ?”

              คำถามสั้นๆแต่ทำเอาหนาวยะเยือกจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว เขาลูบแขนของตัวเองที่ถูกปกปิดเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวตามแบบฟอร์มของพนักงานบริษัท ไม่รู้ว่าเพราะฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆหรือน้ำเสียงของคนอายุมากกว่ากันแน่ที่ทำให้หนาวจับใจได้ขนาดนี้

              “เอ่อ ไม่ได้ชอบ แต่ก็ทานได้ครับ”

              “อืม”

              “...”

              “ก็โตแล้วนินะ”

              ความประชดประชันในเนื้อหาคำพูดทำให้โลกทั้งใบของเขาหมุนคว้าง ฮวังมินฮยอนเป็นคนที่แพจินยองจัดให้อยู่ในประเภทที่คิดก่อนพูด และทำทุกอย่างด้วยการไตร่ตรองมาดีแล้วเสมอ เขาจึงไม่แน่ใจนักยามที่อีกฝ่ายเอ่ยประโยคเหล่านั้นออกมา แต่อย่างที่ว่า กาลเวลาเปลี่ยนคนเราก็เปลี่ยน การที่อีกฝ่ายจะเผลอพูดอะไรพล่อยๆมันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

              เหมือนได้ยินเสียงลมหายใจขาดดังเฮือก เมื่อทำนองดนตรีที่คุ้นหูดังขึ้นจากลำโพงภายในห้องโดยสาร เขาจ้องมองรายชื่อเพลงที่วิ่งวนอยู่บนหน้าปัดแสดงเพื่อกำลังปลอบตัวเองว่าคงคิดมากไป และ –ใช่  นั่นเพลงโปรดเขาเลยล่ะ

              “ไม่ชอบหรอ?”

              เขาเพ่งพินิจกับรายชื่อเพลย์ลิสต์ที่ถูกบันทึกเอาไว้ ไม่ทันได้สังเกตเลยซักนิดว่ารายชื่อเพลงทั้งหมดที่ปรากฏคือรายชื่อเพลงในลิสต์โปรดตลอดกาลสำหรับเขาด้วยเช่นเดียวกัน อดฉุกคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายมีรสนิยมแบบเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่

              “ชอบครับ”

              “อืม งั้นก็แปลว่าพี่จำไม่ผิด”

              เขานิ่งเงียบและปล่อยให้เพลงบรรเลงอีกครั้ง การถ่ายทอดอารมณ์ของนักร้องเจ้าของเพลงทำให้บรรยากาศตอนนี้มันเงียบเหงากว่าที่เคย เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจะมีวันนี้เข้า วันที่ชีวิตของเขามันตรงกับเนื้อหาเพลงสุดๆไปเลย

              ฝนเริ่มซาพอๆกันกับจำนวนรถบนท้องถนนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ อีกฝ่ายไม่ได้เอื้อนเอ่ยถามทางกับเขาซักคำ กลับกันยังนำทางราวกับเชี่ยวชาญมันมากเหลือเกิน เขาอยากจะถามออกไปใจแทบขาดว่ายังจำมันได้อยู่อีกหรอ แต่ก็พับกล่องความคิดไว้แค่นั้นเมื่อคนอายุมากกว่าตบไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทางในขณะที่อีกไม่กี่บล็อกถนนก็จะถึงที่พักของเขาอยู่แล้ว

              “?”

              “จินยอง”

              “...”

              “จำพี่ได้ไหม?”

              เป็นครั้งแรกในรอบหกปีที่แพจินยองได้มองเห็นใบหน้าของฮวังมินฮยอนอย่างถนัดตา ไม่มีอะไรแปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิด ทั้งสีผม โครงหน้า ริมฝีปาก หรือแม้กระทั่งดวงตาคู่นั้น

              และใช่ แพจินยองลืมไม่ลงหรอก

              คนที่มีสถานะเป็นแฟนเก่าของพี่สาวเขาน่ะ

     

              ใครจะลืมคนใจร้ายได้ลงคอกัน?

     

     

     

     

     

     

     

    -

     

     

              คนทุกคนล้วนมีอดีตที่ไม่น่าจดจำ

              สำหรับแพจินยองแล้ว มีลิสต์เรื่องพรรค์นี้อยู่เป็นร้อยรายชื่อเลยล่ะ ทั้งฉี่รดที่นอนในตอนอนุบาล สะดุดหกล้มตอนสารภาพรักกับคนที่ชอบครั้งแรก หรือไม่ว่าจะเป็นถูกกลั่นแกล้งสารพัดวิธีจากพี่สาวที่เป็นญาติคนสนิท

              ถ้าหากให้จัดอันดับมันตั้งแต่แรกว่าเรื่องไหนที่ควรจะถูกลืมๆไปได้แล้ว แพจินยองจะขอขีดเส้นใต้เอาไว้พร้อมกับทำตัวหนาว่า ฮวังมินฮยอน ทั้งน้ำเสียง ท่าทาง ความอบอุ่น การเอาใจใส่ และทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับจากคนคนนั้นควรจะเป็นสิ่งแรกๆที่เขาลืมมันได้ซักที

              และถ้าหากถามว่าฮวังมินฮยอนสำหรับแพจินยองนั้นคืออะไร ถ้าช้อยส์ข้อแรกมีคำว่า คนใจร้าย เขาก็จะกากบาททับ ถ้าหากช้อยส์ถัดมามีคำว่า คนเห็นแก่ตัว เขาก็จะกากบาทซ้ำอีก ไม่สิ คำถามข้อนี้มันควรจะเป็นคำถามปลายเปิดชนิดที่ว่าให้เขียนคำตอบมาอย่างต่ำสิบบรรทัดกันไปเลยเสียยังจะดีกว่า

              เขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรนักเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ จะมารู้อีกทีก็ตอนที่พี่สาวที่ว่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวเสมอเมื่อจ้องอยู่หน้าจอโทรศัพท์ เขาโพล่งถามออกไปสั้นๆว่า –คุยกับแฟนอยู่หรือไง แต่ก็ได้รับคำตอบเป็นแรงฟาดดังปั๊กที่หลังเข้าแทนให้ ไม่อยากจะเซ้าซี้ให้มากความและพาลให้เจ็บตัวไปเสียเปล่า แพจินยองก็เลยถือโอกาสตอนที่อีกฝ่ายไปเข้าห้องน้ำคว้าโทรศัพท์เข้าดูแจ้งเตือนที่ปรากฏชื่อใครบางคนเด่นหรา

              ชื่อของรุ่นพี่สุดฮอตฝั่งมัธยมปลายที่โรงเรียนคือคำตอบสุดท้าย ลอบถามยามอีกฝ่ายเผลอก็ได้ความว่าแค่ดูใจกันอยู่ จากที่คุยกันในโทรศัพท์ก็ถึงขั้นพากันไปเที่ยวไหนต่อไหน (และแน่ละ พี่สาวเขาก็ฉลาดมากพอที่จะลากเขาไปไหนมาไหนด้วย!) เขาได้รู้จักฮวังมินฮยอนในฐานะเพื่อนผู้ชายคนสนิทของพี่สาว เราทั้งคู่ห่างกันถึงห้าปี และเขาก็ชอบชะมัดยามที่เขาได้รับการดูแลราวกับเจ้าชายน้อย พูดได้เต็มปากเลยล่ะว่าฮวังมินฮยอนกุนน่ะเอ็นดูเขามากกว่าพี่สาวเขาเสียอีก!

              เราทั้งสามคงอยู่ในสถานะแบบนั้นมาร่วมห้าปี จากเด็กน้อยมัธยมต้นก็เลื่อนขั้นมาเป็นหนุ่มหล่อแห่งชั้นมัธยมปลายปีสอง เขาสนุกสนานกับเพื่อนวัยเดียวกันมากพอกับที่เคยสนุกสนานในยามที่ได้ใช้เวลากับพี่สาว ตั้งแต่ขึ้นมหาวิทยาลัย ทั้งญาติของเขาและพี่ชาย(แถมตำแหน่งคนดูแลแพจินยองเป็นพิเศษเลย!)ก็ไม่ค่อยกลับมาให้เจอหน้ากันอีก เขารู้ตัวว่าตัวเองโตมากพอแล้วที่จะไม่ไปทำตัวเกาะแกะกับทั้งคู่ แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคิดถึงการไปเที่ยวด้วยกันสามคนชะมัดยาก

              เขาไม่ได้ไถ่ถามอะไรพี่สาวอีกตั้งแต่นั้นว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างไร มันมีแผนไปในทิศทางไหน และเขาควรจะเตรียมชุดเพื่อนเจ้าบ่าวมันซะตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือไม่

              แต่แล้วโลกของแพจินยองก็พังทลาย เขาได้รับคำถามเชิงอยากรู้จากเพื่อนผู้หญิงในห้องว่าตอนนี้หัวใจของเขาน่ะมีใครจับจองไปหรือยัง ไอด้วยความที่ก็มีแต่พี่สาวและฮวังมินฮยอนมาตลอดทั้งชีวิต ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกโรแมนติกอะไรนั่นมันเป็นยังไง ก็เลยแยกแยะไม่ออกว่าอันไหนคือความรักกันแน่ พอปรึกษามาจนพอใจ แพจินยองก็เลยทำการสำรวจตัวเองมันซะเลยว่ากำลังหลงรักใครอยู่หรือเปล่า ก็ –แหม อยากได้ช็อกโกแลตหรือของขวัญในวันครบรอบเหมือนกันนะ

                 ช็อคตาตั้งกันไปเป็นแถบเมื่อผลสำรวจมันกำลังบอกว่าเขาน่ะหลงรักฮวังมินฮยอนเข้าเต็มๆ! ครั้งแรกที่ทำก็คิดว่าไม่เอาสิ แพจินยองไม่ควรจะเอาความรู้สึกตัวเองมาเป็นที่ตั้งขนาดนั้น พอลองทำครั้งที่สองก็ดันมีผลออกมาตรงกับที่เขารู้สึกตอนอยู่กับฮวังมินฮยอนซะงั้น เขาที่กำลังจะตัดสินใจทำแบบทดสอบรอบที่สามให้มันชัวร์กันไปเลยก็แทบชะงักเมื่อกลับมาบ้านแล้วเจอเข้ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยดน้ำตาของญาติผู้พี่ เธอในตอนนี้ดูอ่อนแอไม่สมกับที่เคยสอนให้เขาปีนต้นไม้เลยซักนิด เดินด้อมๆมองๆร่างเล็กที่สะอื้นน้ำตานองหน้า แค่เพียงแตะที่ไหล่อย่างแผ่วเบาเธอก็ผวาคว้าเขาเข้าไปกอด

             

                –เขามีคนใหม่

              แพจินยองจับใจความได้อย่างนั้น มันเป็นประโยคที่ญาติของเขาพูดซ้ำไปซ้ำมา คงไม่ต้องถามก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงใคร เขาโอบพี่สาวเอาไว้อย่างหลวมๆ ลูบหลังอย่างแผ่วเบา และพยายามสรรหาคำพูดปลอบประโลมให้มากที่สุดเท่าที่เด็กผู้ชายวัยสิบเจ็ดปีจะทำได้ เธอบอกพร้อมกำชับเขาเสมอว่าถ้าหากอีกฝ่ายกลับมาหาก็ให้ไล่ไปไกลๆ อย่าทำร้ายใจของพี่ด้วยการไปเข้าข้างผู้ชายคนนั้น และเป็นไปได้ก็ควรหนีออกจากชีวิตของอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด

              และแพจินยองก็ทำแบบนั้นได้จริงๆ เขาไม่ตอบข้อความ หรือแม้กระทั่งในสมัยนั้นที่การใช้งานอินเตอร์เน็ตยอดฮิตอย่างเอ็มเอสเอ็นเขาก็เลือกที่จะบล็อกอีกฝ่าย ไอการสงสัยว่าตัวเองจะหลงรักอีกฝ่ายจริงไหมก็ถูกเก็บงำไว้กับตัวเองตลอดมา เขาไม่เคยพูดกับใคร ไม่ได้ถามเพื่อนผู้หญิงร่วมห้องอีกเลยว่ามันพอจะมีอาการแบบอื่นไหมที่ไม่ใช่หลงรัก แค่ลำพังมารู้สึกอะไรกับแฟนของญาติก็ลำบากใจมากพออยู่แล้ว เขาไม่ควรจะเก็บมาคิดอีกถ้าหากแฟนที่ว่าได้ถูกเลื่อนขั้นเป็นแฟนเก่าไปแล้ว

     

              เราไม่ได้เจอกันอีกเลยตลอดหกปี ในบรรดาบริษัทเป็นล้านๆบนโลกใบนี้ แพจินยองฉลาดนักล่ะที่เลือกจะสมัครมาทำงานในเครือของฮวังกรุ๊ป และแน่นอน เขาไม่ใช่คนที่พระเจ้าทรงโปรด ฮวังกรุ๊ปที่ว่าก็คือครอบครัวของเจ้าของรถหรูนี่ และฮวังมินฮยอนก็คือหัวหน้าประจำสาขาที่เขาทำงานอยู่ซะด้วย

              เขาคิดว่าเขาควรได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง การหลีกเลี่ยงหรือเพิกเฉยต่อหัวหน้าในสายงานไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ง่ายๆ คนไร้ทางเลือกอย่างเขาจึงได้แต่แสร้งทำเป็นราวกับเพิ่งเคยเจอหน้า อีกฝ่ายก็คงรับรู้ได้ถึงพายุที่ก่อตัวอยู่ภายในจึงรับเล่นบทละครนี้ไปอย่างแนบเนียน เขาไม่คิดว่าความอึดอัดทั้งหมดจะถูกระบายลงกับการดื่มในวันนี้ แต่ก็นั่นแหละ ฮวังมินฮยอนคนนั้นเมื่อหกปีก่อนก็คือคนที่ใส่ใจเรื่องราวของคนอื่นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก็จะต้องมีเรื่องให้ได้แปลกใจ

              อย่างตอนนี้ก็ใช่

     

              คนเป็นพี่จับไหล่ทั้งสองข้างของเขาให้หันไปประจันหน้ากับตัวเอง เสียงเพลงยังคงดังคลออยู่เรื่อยๆ แต่แพจินยองคิดว่าเขาได้ยินแค่เพียงเสียงของหัวใจตัวเองที่เต้นดังไม่แพ้บีทใดใด มันทุ้มหนักจนหัวใจรู้สึกบีบแน่นไปหมด ความรู้สึกสับสนมันตีรวนอยู่ในหัว เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมถึงต้องรู้สึกแบบนี้

              ทำตัวยังกับอกหัก

              คำพูดทักทายของเพื่อนสนิทเมื่อสมัยมัธยมปลายดังก้องอยู่ในหู เขาพยายามนึกหาเหตุผลว่าอะไรเป็นตัวบ่งชี้ว่าเขากำลังอกหัก ทั้งที่ก็ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย พร่ำเพ้อถึงคนไหน ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังหลงรักฮวังมินฮยอนแบบที่ผลลัพธ์มันออกมา เขายังรู้สึกไม่สบอารมณ์ทุกครั้งที่ได้ยินพี่สาวพูดถึงเขาคนนั้น

              เขาถามเพื่อนอยู่หลายครั้งว่าอะไรถึงดลใจให้คิดแบบนั้นกัน อีกฝ่ายทำเพียงยักไหล่แล้วก็พูดว่า –คงสัญชาตญาณมั้ง แต่เพราะนายไม่ได้ชอบใคร มันก็เลยดูประหลาดไปหน่อย เขาพยักหน้าแล้วเก็บข้อมูลนั้นมาไว้กับตัวเอง

              และมันก็ถูกเก็บไว้กับตัวเขาเองแบบนั้นจนกระทั่งวันนี้

     



              “จำพี่ได้ไหม?”

              คำถามเดิมแต่ความรู้สึกกลับถาโถมมากกว่าเก่า แววตาของคนตรงหน้าเหมือนเครื่องย้อนเวลาไปสมัยเขายังเพิ่งจะสิบสองสิบสามใหม่ๆ ทั้งน้ำเสียง กลิ่นน้ำหอมเดิมๆ รวมไปถึงริมฝีปากนั่นที่ทำให้เขานึกถึงยามวันวาน

              พยักหน้าเล็กๆเพื่อเลี่ยงการสนทนาทั้งหมดทั้งปวง แม้ในใจอยากร่ำร้องตะโกนแทบตายว่าผมไม่เคยลืมพี่ได้เลยแต่ก็คิดว่ามันคงไม่มีประโยชน์ เราเคยถูกขีดสถานะเอาไว้แค่พี่น้อง ออกจะเป็นญาติของแฟนเสียด้วยซ้ำ

              อาการร้อนผ่าวในช่องท้องมันตีรวนมาจุกอยู่ตรงอก เขาละสายตาจากการสบประสานเพื่อมาทุบอกตัวเองไล่อาการเหล่านั้นให้ออกไป และ –แม่งเอ้ย ทำไมมันจุกขนาดนี้วะ

              “เป็นอะไรหรือเปล่า?”

              “ไม่ครับ ไม่เป็นไร”

              เอ่ยปฏิเสธทั้งๆที่ยังกำมือทุบอกอยู่อย่างนั้น ความแสบร้อนเริ่มทุเลาลงตามลำดับ ได้ยินเสียงพรูลมหายใจของคนข้างกายเมื่อเขาหยุดการรักษาตัวเองนี่ลง

              “พี่ถามอะไรหน่อยได้ไหม”

              มันดูเหมือนจะการเป็นการตัดพ้อมากกว่าไถ่ถาม เขาชั่งใจอยู่นานว่าควรจะปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้หรือจบทุกอย่างด้วยการลงจากรถหรูนี่ไปซะ ตัวเลือกหลังมันก็ดูน่าใช้ได้อยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าเขายังคงพึ่งพาอีกฝ่ายในเรื่องเงินเดือนเพื่อการอยู่การกิน และอีกอย่าง พี่สาวของเขาก็ทำใจได้มากพอที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครไปแล้ว

              ยกเว้นเขาน่ะนะ

              “อ่า –ได้ครับ”

              “หลบหน้าพี่ทำไม”

              ถ้านี่คือการต่อยมวย แพจินยองคงมีเครื่องหมายคำว่าน็อคดาวน์เด่นหราอยู่บนหัวไปแล้วเรียบร้อย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกพลางนึกไปถึงเหตุผลล้านแปดประการที่ลอยอยู่ในอากาศ พร้อมที่จะให้เขาเป็นฝ่ายเลือกมันออกมาใช้

              “คือ ผมว่ามันไม่เหมาะถ้าจะทำตัวเหมือนสนิทกับลูกชาย-“

              “พี่หมายถึงหกปีก่อน”

              และนี่ก็คงเป็นการน็อคดาวน์รอบที่สอง เอาล่ะ เหตุผลล้านแปดเหล่านั้นจางหายไปในอากาศ พยายามไขว่คว้าแต่ก็เหลืออยู่แค่สองทางเลือก

              “พี่เลิกกับพี่สาวผมแล้ว มันคงไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะติดต่อกันอีก”

              และผมก็น่าจะ –คงจะ และอาจจะยังหลงรักพี่

              อีกฝ่ายทำเพียงแค่แค่นหัวเราะก่อนจะเสตามองไปที่อีกฝากฝั่งของถนน เราเงียบกันอย่างนั้นสักพัก ปล่อยให้เสียงเพลงในลิสต์เพลงโปรดของเขาคอยทำให้มันไม่ดูน่าอึดอัดจนเกินไป เขาพยายามลอบมองปฏิกิริยาของอีกคนจากเงาสะท้อนในกระจก มันเป็นเวลาเกือบห้านาที หรือบางทีมันอาจจะมากกว่านั้นที่อีกฝ่ายเงียบหายไป ปล่อยให้เขาจมอยู่กับกล่องความคิดราวกับเด็กสิบเจ็ดปีไม่มีผิดเพี้ยน

             

              “ถ้าคนเราหัดยอมรับความจริงได้ง่ายๆก็คงดีสินะ”

              รู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งใบหน้าเมื่อคำพูดบางคำหลุดออกจากปากของคนที่มีศักดิ์เป็นเจ้านาย เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงเรื่องอะไร ยอมรับความจริงที่ว่าก็คือการที่พี่สาวของเขาต้องยอมรับงั้นหรือว่าฮวังมินฮยอนกำลังมีคนใหม่ หรือพี่สาวของเขาควรจะยอมรับความจริงที่ว่าเธอเลิกกับเขาแล้ว หรือมากไปกว่านั้น เขาควรจะหัดยอมรับความจริงที่หลงรักอีกฝ่ายงั้นหรอ?

              “ครับ?”

              แพจินยองไม่ใช่คนที่เก็บความรู้สึกเก่งอะไรมากมายขนาดนั้น เขาก็เลยคิดว่าตัวเองเผลอพูดใส่น้ำเสียงลงไปเล็กน้อย มันฟังดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ฮวังมินฮยอนตัดพ้อราวกับคนที่เป็นคนผิดของเรื่องนี้น่ะมันคือตัวญาติของเขา ทั้งๆที่คนนอกใจก็คือฝ่ายชายไม่ใช่หรือไง

              เขาละอยากจะตะโกนแล้วกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายมาให้มันรู้แล้วรู้รอด –โถ่เว้ย ก็ถ้าไม่หลายใจแล้วจะเลิกกันไหมละ?

                “ถ้าพี่สาวเรายอมรับความจริงได้ง่ายๆก็คงจะดี”

              “ให้เขายอมรับน่ะหรอว่าคุณกำลังมีใจให้คนอื่น เหอะ”

              เราหันกลับมาสบสายตากันอีกครั้ง คราวนี้ในแววตาคู่นั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความคาดหวังเหมือนอย่างเคย มีแต่อะไรบางอย่างที่แพจินยองคิดว่ามันมีแต่ความเจ็บปวด และไม่ เขาจะไม่มีทางปักใจเชื่ออย่างแน่นอน

              “ใช่ ถ้าเขายอมรับว่าพี่รักคนอื่นอยู่ตอนนั้น เรื่องราวมันก็คงไม่เป็นแบบนี้”

              “คุณจะเห็นแก่ตัวมากเกินไปแล้วนะ!

              ตวาดเสียงดังลั่นเสียจนตัวสั่น ความโกรธที่กักเก็บเอาไว้กับตัวเองตั้งแต่หกปีก่อนเหมือนกำลังสุมอยู่ที่อก ไม่รู้หรอกนะว่าตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันอีกฝ่ายเอาตัวตนส่วนไหนเข้าหาเขา แต่เขาคิดว่าไอ่ตัวตนตรงหน้านี่มันเส็งเคร็งสุดๆไปเลย

              “พี่เห็นแก่ตัวตรงไหนที่รักคนอื่น?”

              “คุณ-!

              “เพราะในตอนนั้นพี่กับพี่สาวของเรา ..เราเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ”

              เหมือนได้ยินเสียงเพล้ง ดังขึ้นจากส่วนลึกของจิตใต้สำนึก แพจินยองคิดว่าเขาหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อได้ยินประโยคเหล่านั้น ภาพในอดีตที่เราสามคนไปไหนมาไหนย้อนกลับมาเป็นฉากๆ เขาพยายามนึกถึงรายละเอียดส่วนเล็กส่วนน้อยที่อาจถูกหลงลืมไปแต่ก็พบว่ามันไม่ได้ผล พยายามให้ตายก็เค้นไม่ออก อาจเพราะหนึ่งเขายังเด็กมากเกินไป และสองเขาดันความทรงจำเหล่านั้นให้อันตรธานหายไปในส่วนของความรู้สึกแย่ๆเสียแล้ว

              “ไม่รู้ว่านี่จะฟังดูเป็นการแก้ตัวหรือเปล่า”

              “...”

              “และไม่รู้ว่าเราจะยังเชื่อคำพูดพี่อยู่ไหม”

              “...”

              “รับรู้เอาไว้เสมอนะ ว่าพี่ยังคงเป็นคนที่คิดก่อนพูด”

              ภาพที่ไปเที่ยวสวนสนุกในวันหยุดลอยเข้ามา ตามด้วยตอนที่เขาถูกเอาอกเอาใจด้วยไอศกรีมหลากรส ภาพตอนเขาถูกเซอร์ไพร์สด้วยของขวัญชิ้นโปรดในคืนคริสต์มาสต์ ภาพตอนวันจบการศึกษาชั้นมัธยมต้นของเขาที่ได้รับดอกไม้ช่อโต ภาพความทรงจำเหล่านั้นไหลเข้ามาในหัวอยู่เรื่อยๆจนมันรู้สึกปวดตุ้บไปหมด

              “และคนอื่นคนนั้น –ก็คือเราไง จินยอง”

             

     

              ฮวังมินฮยอนเป็นคนทำลายมิตรภาพระหว่างเราสามคนให้ขาดสะบั้น

                อย่าไปยุ่งกับฮวังมินฮยอน

                ‘เขาทิ้งพี่ไปรักคนอื่น เห็นแก่ตัวไหมละ?

                ‘จินยอง นายต้องเลือกพี่มาก่อนผู้ชายพรรค์นั้นเสมอนะ!’

               จู่ๆคำพูดในอดีตก็กรอกลับไปมาเหมือนเทปเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก ท่าทางและการแสดงออกของพี่สาวทำให้เขาหลงเชื่อไปเต็มเปาว่าคนอื่นที่ว่าก็คือผู้หญิงแสนดีที่เหมาะกับพี่เขาคนนั้น ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนอื่นคนนั้น มันจะเป็นชื่อแพจินยองอย่างวันนี้

              “เขาชอบพี่มาหกปี บางทีมันอาจจะมากกว่านั้น แต่ท้ายสุดเขาก็เลือกที่จะสารภาพมันออกมา และพี่คิดว่าบางทีมันถึงเวลาแล้วที่ต้องจบเรื่องราวแบบนี้”

              “..”

              “คนเรามักมีอาการต่อต้านต่อเรื่องที่กระทบความรู้สึกทั้งนั้นแหละ”

              “..”

              “ใช่ –เขารับไม่ได้ที่คนที่พี่ชอบ คือเรา”

              “..”

              “ทั้งหมดที่อยากจะบอกมาตลอดหกปี ก็มีเท่านี้แหละ”

              อีกฝ่ายเร่งเครื่องพร้อมกับทะยานไปในท้องถนนอีกครั้ง สำหรับแพจินยองในตอนนี้มันเหมือนกับการนั่งเครื่องบินไปที่ไกลๆ ตกหลุมอากาศ แล้วสุดท้ายก็บู้ม แตกกระจายเป็นผุยผงอยู่กลางอากาศ เขาคิดว่านี่มันบ้า และใช่ เรื่องบ้าๆพรรค์นี้ก็มักจะถาโถมเข้ามาแบบไม่รู้สึกตัว

              ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรรับมือยังไง เขาควรทำยังไงกับข้อมูลใหม่นี้ ฮวังมินฮยอนในความทรงจำถึงจะเป็นคนที่ดีแต่มันก็ถูกกลบด้วยข้อมูลใหม่ว่าเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด นี่อาจจะเป็นการโกหกที่ทำให้เขาตายใจก็ได้ การโกหกที่ทำให้รู้สึกผิด การโกหกที่ดึงกระชากกล่องความรู้สึกของเด็กชายวัยสิบเจ็ดปีคนนั้นให้กลับมาอยู่ในร่างผู้ใหญ่วัยยี่สิบสามปีคนนี้

             

              เรามาถึงหน้าบ้านของเขาในห้านาทีให้หลัง มันเป็นห้านาทีแรกในชีวิตที่แพจินยองมองไม่เห็นทางอะไรซักอย่าง ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ดูเหมือนจะถูกกลืนกินหายไปเมื่อสติสัมปชัญญะเขากลับมาครบถ้วน คำว่าทำยังไง ทำยังไง ทำยังไง นี่มันเรื่องอะไร คืออะไร เกิดอะไรขึ้น ลอยขึ้นเป็นควันจางๆเต็มกล่องความคิด เขาไม่รู้ว่าจะสู้หน้าพี่สาวคนนั้นได้อีกครั้งไหม หรือจะแบกหน้าไปในเช้าวันจันทร์ยังไงให้เหมือนสภาพคนปกติที่สุด และให้ตายเถอะ เขาอยากจะกินเหล้าชะมัดยาก!

                “ขอบคุณครับ”

              เอ่ยขอบคุณด้วยเสียงแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบระหว่างเราสอง คว้าเอากระเป๋าและอุปกรณ์ทั้งหมดที่เป็นของเขาไว้กับตัวและพร้อมจะเปิดประตูออกไป แต่แล้วทั้งหมดก็หยุดชะงักเมื่อฝ่ามือที่เคยจับแต่พวงมาลัยแปรเปลี่ยนมาคว้าแขนของเขาเอาไว้อีกครั้ง

              หันกลับมามองด้วยความไม่เข้าใจ ในบรรดาคนบนโลกทั้งหมดตอนนี้ แพจินยองไม่อยากจะพบเจอหน้าพี่สาวมากพอกันกับคนตรงหน้า เขายังไม่พร้อมที่จะวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมด ไม่อยากยอมรับ และอยากจะให้เวลาตัวเองมากกว่านี้

     

              สัมผัสอุ่นร้อนที่ทาบทับลงมาตรงริมฝีปากทำเอาลมหายใจขาดห้วง เขาสะดุ้งเฮือกจนเกร็งมือแน่น ยามที่ลิ้นชื้นไล่เล็มรอบริมฝีปากก่อนจะคว้านลึกเข้ามาข้างในตอนที่เขาเผลอทำเอาหัวใจมันเต้นตุบจนรัดแน่นไปหมด ความรู้สึกวูบโหวงในช่องท้องแปรเปลี่ยนเป็นหินก้อนโตเมื่อใบหน้าของพี่สาวคนสนิทลอยเข้ามาในจิตสำนึก

              ฮวังมินฮยอนบดจูบอยู่อย่างนั้นจนเขาต้องทุบไปที่อกเมื่อเริ่มรู้สึกจะรับไม่ไหว หลังจากผละออกเพียงเล็กน้อยสิ่งเดียวที่แพจินยองมองเห็นก็มีเพียงแต่แววตาที่อีกฝ่ายมองมา มันมีแต่ความเจ็บปวดและโหยหาย ราวกับหนังรักเรื่องหนึ่งที่เขาเคยดูไม่มีผิดเพี้ยน

              “อย่ากินเหล้าอีกเลยนะครับ”

              “..”

              “ถึงเวลาหกปีจะมากพอที่จะทำให้เด็กน้อยจินยองในวันนั้นเก่งกาจเรื่องการกินเหล้าแบบในวันนี้”

              “..”

              “แต่หกปีมันไม่ได้มากพอ ที่จะทำให้พี่เปลี่ยนใจหรอกนะครับ”

              และนี่คือการน็อคดาวน์ครั้งที่สามสำหรับค่ำคืนนี้ของแพจินยอง

              มันคงเป็นการน็อคดาวน์ที่จะเปลี่ยนกล่องความคิด และจิตใต้สำนึกของเขาไปตลอดกาล









    end

    #pdxdg






         ฮั่นน่อว มาแบบงงๆก็เพราะเป็นคนงงๆ 5555555 นี่คือนิยามของการลั่นค่ะ
    จริงๆนี่ไม่ใช่ฟิคเรื่องแรกที่แต่งนยอนดีพนะคะ เคยมี ficlet ออกไปแล้วในทวิต ฮ่าา ไปตามอ่านในแท็กได้ค่า
    สำหรับทุกคนอาจเป็นคู่พ่อลูกหน้าตาดี สำหรับคนขี้ชิปอย่างเราเองก้อ //////////
    (ตราบใดที่คนพี่ยังชอบวอแว คนน้องยังคงยอมให้วอแว รับรองว่าคนพายอย่างดิฉันพร้อมทำงานเต็มเปี่ยม)
    ไม่รู้จะงงๆกันไหมนะคะ ฮือ ถ้างงเม้นถามไว้ได้ค่ะ เดี๋ยวเราจะพยายามไล่่ตอบของทุกคนเลย 
    ไม่ถนัดแนว angst แล้วจริงๆด้วยค่ะ เขียนยากกว่า fluff อีก จาเปงลมมมม
    ท้ายสุด ขอบคุณทุกคนที่ชื่นชอบนะคะ คิดว่าคงมาเรื่อยๆ แต่คงกลับไปแนว fluff แล้วค่ะ ยอมแพ้จริงๆ
    และท้ายไปกว่านั้น งานใช้หนี้เรายังไม่จบค่ะ ฮ่อก เขียนใหม่รอบที่สามแล้วแงงงงงงงง

    ปล.เค้ามาอีดิทคำเฉยๆค้าบ T_T

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×