คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : oneshot - apple #hoonyoung #winkdeep
An apple a day, keep the doctor away.
“พี่จีฮุนครับ โตขึ้นไปอยากเป็นอะไรหรอครับ บอกคุณแม่ได้ไหม?”
“พี่จีฮุนอยากเป็นหมอครับ จะได้มาดูแลน้องจินยองตลอดไปเลย”
“...”
“เก่งจังเลยครับ แล้วน้องจินยองละครับ อยากเป็นอะไรหรอ?”
“อ่อ.. อยากเป็นเจ้าของไร่แอปเปิ้ลครับ”
“หืม... ทำไมละครับ? ชอบกินแอปเปิ้ลหรอ?”
“ก็ครูบอกว่า an apple a day keep the doctor away จินยองจะกินทั้งไร่ จะได้ไม่ต้องเจอหมอตลอดทั้งชาติ!”
“น้องจินยอง!”
รำคาญ
รู้สึกไม่ชอบใจกับไอ่หัวสีน้ำตาลที่เดินวนไปวนมาในห้องซะจริง อยากจะโพล่งถามไปดังๆว่าไม่มีการมีงานทำหรือไงถึงได้มาลอยหน้าลอยตาอยู่ที่นี่ แต่เพราะบริบทและสถานการณ์รอบข้างไม่เอื้ออำนวยซะเลย แพจินยองก็เลยทำได้แค่นั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่นี่ไงละ
เขาเป็นเด็กมัธยมปลายปีสาม มันก็คงเป็นเรื่องปกติที่ใครต่อใครมักจะถามว่าวางแผนอนาคตตัวเองไว้ว่าอย่างไร อยากเรียนต่อคณะไหน และโตไปอยากทำอะไร
แต่เชื่อเถอะ เขาไม่ใช่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้หรอกที่จวนจะจบเทอมหนึ่งอยู่แล้วก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ เขาไม่ได้ชอบวิชาอะไรเป็นพิเศษ หนักกว่านั้นก็คือแทบจะไม่เรียน ถ้าหากให้เลือกคณะจากสิ่งที่ตัวเองชอบทำ เขาก็คงจะต้องถามครูว่ามีคณะที่ให้นอนทั้งวันไหม ใช่ แพจินยองคือเด็กที่นอกจากนอนและกินก็ไม่เก่งเรื่องอะไรอีก เขาไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบผู้คนวุ่นวาย ไม่ชอบการรับมือกับคนจำนวนมาก ไม่ชอบยิ้ม ไม่ชอบอะไรทั้งนั้น สำคัญสุดคือไม่ชอบพัคจีฮุน
ถ้าหากถามว่าพัคจีฮุนคือใคร เขาก็จะตอบแบบไม่ต้องคิดว่าผู้ป่วยจิตเภท
สำหรับแพจินยอง นอกจากคำว่า ‘น่ารำคาญ’ ก็ไม่มีคำไหนเหมาะจะอธิบายถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้ขนาดนี้ คำฝากฝังจากคุณแม่เมื่อสมัยยังเป็นเด็กไร้เดียงสาทำให้เขาเชื่อสนิทใจว่าพัคจีฮุนที่ว่าคือพี่ชายที่เขาไว้วางใจได้ คือพี่ชายที่จะนำทางให้เขาได้เจอกับอนาคตที่ดี คือพี่ชายที่เท่ราวกับคุณซุปเปอร์แมนหรือแม้แต่คุณแบทแมนก็จะเทียบไม่ได้ คือพี่ชายที่จะไม่พาเขาไปเจอเรื่องเลวร้ายที่ไหนเพราะพี่จีฮุนจะปกป้องเขาไปตลอดชาติ
ซะที่ไหน
รู้จักกันได้สองวันก็พาเขาไปเล่นจนเลือดตกยางออก หากเอ่ยให้พาไปหาคุณแม่ก็โดนตอกหน้าด้วยประโยค ‘แค่เข่าถลอกเอง ไม่ได้ขาหัก เดินเองได้ดิ’ จากปากพัคจีฮุน เด็กที่ในขณะนั้นยังอายุเพียง 5 ขวบ ก็คิดดูเอาล่ะกันว่าพี่ชายที่ว่าในวัยห้าขวบยังปากร้ายนิสัยไม่ดีได้ถึงเพียงนั้น เมื่ออายุเพิ่มขึ้นตามประสบการณ์ปาก พลังการทำลายล้างจะสูงถึงขนาดไหน
เขาทั้งต่อต้านด้วยการไม่ออกไปเจอหน้าถึงแม้อีกฝ่ายจะบุกรุกเข้ามาถึงในบ้าน ไม่ตอบรับคำชวนไปเล่นถึงแม้อีกฝ่ายจะงัดเอาของเล่นที่เขาชอบที่สุดขึ้นมาอ้าง และพยายามหลีกเลี่ยงมนุษย์น่ารำคาญบ้านตรงข้ามเท่าที่เด็กสี่ขวบจะทำได้
สิ่งที่ทำให้พัคจีฮุนใจกล้าหน้าหนาก็คงเห็นจะเป็นคุณนายประจำบ้านของเขานี่แหละที่ทั้งเป็นคนเปิดประตูบ้านให้เข้ามา ทั้งตะโกนเรียกเขาจากข้างล่าง ทั้งเตรียมของว่างไว้ให้อย่างดิบอย่างดี และแพจินยองก็ได้รับรู้ว่าพัคจีฮุนซื้อแม่ของเขาไปแล้วในวันที่จู่ๆ ก็มีคนบุกรุกเข้ามาถึงในห้องนอน!
‘เราน่ะไม่มีเพื่อนเลยนะจินยอง พี่จีฮุนเขาอุตส่าห์ไม่เล่นกับเพื่อนมาเล่นกับเราเลยนะ’
‘…’
‘หนูจะดื้อกับพี่เขาไม่ได้นะลูก ถ้าวันไหนแม่ไม่อยู่แล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนหนูละครับ?’
‘…’
‘แม่เป็นห่วงหนูนะครับ แถมพี่จีฮุนแค่ 5 ขวบยังดูแลตัวเองได้ขนาดนี้ ต้องดูแลจินยองได้ดีอยู่แล้ว ใช่ไหมครับพี่จีฮุน?’
‘พูดถูกที่สุดเลยครับ!’
ที่มันไม่เล่นกับเพื่อนเพราะเพื่อนมันไม่เล่นเป็นคนใช้ให้ไงโว้ยครับ! อยากจะตอบกลับไปใจแทบขาดแต่ก็กลัวว่าคุณแม่จะตีเอาได้โทษฐานที่ทำตัวไม่น่ารัก แต่ ฮื่อ! มันก็เรื่องจริงอะ เขาในวัยสี่ขวบต้องมาเป็นขี้ข้าเจ้าเด็กตัวกลมนั่นทุกวันเลย ที่ไม่อยากเล่นก็เพราะเขาไม่ได้อยากเป็นคนใช้นะ! แล้วเขาก็รู้หรอกว่าที่อีกฝ่ายเทียวไปเทียวมาบ้านเขาอยู่บ่อยๆเพราะอยากกินของว่างฝีมือคุณแม่ของเขาอ่ะ!
แพจินยองน่ะ รำคาญพัคจีฮุนที่สุดในโลกแล้ว!
ความทรงจำระหว่างเขาและพี่ชายบ้านตรงข้ามไม่มีอะไรที่เป็นเชิงบวกเลยซักครั้ง ลำพังแค่โดนกดขี่ตอนวัยเด็กก็เป็นเรื่องเลวร้ายมากพอแล้ว ยิ่งโตมาพบว่าจะต้องเจอมนุษย์หน้ากลมตั้งแต่เช้ายันเย็นด้วยเหตุที่ว่าโรงเรียนเดียวกันก็อีก ทำให้ชีวิตของแพจินยองตั้งแต่สี่ขวบจวบจนถึงตอนนี้ที่เพิ่งจะสิบเจ็ดได้ไม่นานไม่มีความสุขเลยซักนิด
แต่ช่วงนี้มันก็ดีขึ้นหน่อย พี่ชายข้างบ้านที่ต้องไปไหนมาไหนกับเขาตลอด(แน่นอนว่าเพราะก่อกวนไงละ!)ย้ายสำมะโนครัวของตัวเองไปอยู่มหาวิทยาลัยแล้วเรียบร้อย ทำให้เราห่างกันมากขึ้น มากชนิดที่แพจินยองคิดว่าปีนี้คงเป็นปีที่โชคดีไปตลอดแน่ๆ มากชนิดที่เขามักจะยิ้มกว้างทุกครั้งที่ได้เดินเข้าโรงเรียนและพบว่าจะไม่ต้องมาสะพายกระเป๋าให้ใครที่ไหนอีก
แต่ก็ไม่คิดว่าจะโผล่มาในวันที่อากาศดีขนาดนี้!
พี่จีฮุนของสาวๆทั้งห้องยิ้มหวานพร้อมกับบรรยายถึงประสบการณ์ของตัวเองตลอดสามเดือนที่ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยมา เห็นหน้าตาและนิสัยแล้วก็อดทึ่งไม่ได้จริงๆว่ามีปัญญาถึงขั้นไปเรียนเป็นสัตวแพทย์ได้ยังไง(เพราะตอนสอบเข้ามหา’ลัยเขายังโดนอีกฝ่ายบุกเข้ามาเล่นเกมในห้องตั้งดึกตั้งดื่นไม่ได้นอนเป็นเดือน!) ไม่รู้ว่าตอนสอบลอกคนข้างๆหรือไปขโมยใบคำตอบของเพื่อนที่เรียนเก่งในห้องมากันแน่
แต่ที่รู้ตอนนี้ว่าต่อให้อีกฝ่ายจะพูดด้วยน้ำเสียงน่าฟัง หรือรอยยิ้มทรงเสน่ห์ แพจินยองก็ไม่คิดจะสนใจหรอก เพราะนี่ไม่ใช่แนวทางสำหรับเขา ถึงจะชื่นชอบทั้งน้องหมาและน้องแมว แต่ถ้าให้ต้องอยู่กับสัตว์ประเภทอื่นด้วยเขาก็คงต้องขอลา
เพราะวันนี้ในวิชาโฮมรูมนั้นว่าง คุณครูที่เคยดูแลในเรื่องเรียนต่อของนักเรียนก็เลยเชิญพี่ที่เพิ่งเรียนจบไปมาเล่าประสบการณ์ของตัวเองในมหาวิทยาลัยให้น้องๆฟัง อีกหนึ่งก็เพื่อจะเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจสำหรับใครที่ยังไม่รู้แนวทางของตัวเองเช่นอย่างเขา
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีพัคจีฮุนในชุดนักศึกษายืนยิ้มแป้นอยู่หน้าห้องเรียนของเขา อ่อ ล่ะอย่าเพิ่งคิดล่ะว่าอีกฝ่ายยิ้มกว้างได้ขนาดนี้เพราะเจอหน้าเขา เพราะนั่นมันผิดทั้งเพ รู้จักกันมาก็นาน ทำไมจะไม่รู้ว่าที่ยิ้มจนปากจะฉีกถึงรูหูนั่นก็เพราะเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่ให้ความสนใจเจ้าตัวมากขนาดนั้นไง
เบือนหน้าหนีภาพตรงหน้าที่มันชักจะน่ารำคาญขึ้นเรื่อยๆ เขาน่ะไม่ได้อะไรหรอกกับการแนะแนวการเรียนต่อ แต่การที่จะยิ้มกว้างแล้วเล่าเรื่องอื่นที่ไม่ถูกไม่ควรมันก็ไม่ใช่หรือยังไง?
“น้องจินยองนี่ –จำพี่ได้ไหมครับ?”
เสียงทักจากตรงหน้าโต๊ะทำให้เขาต้องหันหน้ากลับมามอง คนตรงหน้าคือรุ่นพี่กลุ่มพี่จีฮุนที่อยู่ในชุดนักศึกษาถูกกฎเรียบร้อย แถมเปลี่ยนทรงผมให้ดูดีซะจนแทบจะจำไม่ได้ ทั้งยังผิดแปลกไปจากเดิมด้วยการเริ่มต้นทักเขาก่อนนี่แหละ
“อ่า .. พี่อูจิน จำได้ครับ”
เพราะตอนนี้เป็นคาบว่าง และการแนะแนวของเราก็ไม่ได้ไปในทางที่เคร่งเครียดเกินไปพี่ๆในห้องที่ไม่ได้พูดอยู่ก็สามารถเลือกเดินไปไหนหรือนั่งตรงไหนก็ได้ตามใจชอบ นี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่พี่อูจินเลือกจะนั่งลงตรงโต๊ะข้างเขาแทนที่เพื่อนอีกคนที่ลาป่วยเพราะไม่สบาย
เพราะต้องเดินตามเป็นเบ๊ให้กับพี่จีฮุน เขาก็เลยมีโอกาสได้เล่นกับพี่คนอื่นๆในกลุ่มบ้าง แล้วก็พบว่าพี่จีฮุนเป็นคนเดียวเลยที่ไม่สมควรจะอยู่ในกลุ่มนี้ที่สุด เพราะนอกจากพูดมาก นิสัยไม่ดี ยังไม่มีมารยาท ผิดกันกับพี่คนอื่นในกลุ่มที่ดูแลและเทคแคร์เขาเป็นอย่างดี อีกทั้งยังคอยช่วยปกป้องเขาเวลาโดนอีกฝ่ายแกล้งมากเกินไปอีกด้วย
คนเดียวที่ดูเหมือนจะเงียบสุดในกลุ่มก็คงจะเป็นพี่อูจินนี่แหละ เพราะขนาดเขาที่รู้สึกว่าตัวเองพูดน้อยแล้วเมื่อไปยืนอยู่กับอีกฝ่ายก็แทบจะเทียบไม่ติด พี่อูจินทำเพียงแค่ยิ้มบางๆเมื่อเขาทัก และโบกมือลาเมื่อต้องแยกทางกลับบ้านกับกลุ่มเพื่อน
ถ้าย้อนเวลาแล้วเลือกพี่ข้างบ้านได้ เขาก็คิดว่าเขาจะเลือกพี่อูจินนี่แหละ!
“แล้วนี่เลือกคณะไว้หรือยังครับ ว่าอยากเรียนอะไร?”
“ยังเลือกไม่ได้เลยครับ เพราะก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองชอบอะไรเป็นพิเศษ”
“พี่ให้คำปรึก-“
เสียงกรี้ดที่ดังมาจากหน้าห้องทำให้ความสนใจของทั้งคู่ต้องตกไปอยู่ที่เจ้าตัวปัญหาที่ยืนโปรยยิ้มอยู่หน้าห้อง และนั่นก็ทำให้เขาหงุดหงิดใช่ย่อย รู้หรอกโว้ยว่าตั้งใจทำให้คนอื่นกรี้ดมากลบระหว่างที่เขาคุยกับพี่อูจิน มากเกินไปหน่อยละ!
“พี่อูจินว่าไงนะครับ”
“อ่อ –คือพี่จะบอกว่า”
“สัตว์เลี้ยงของเรา ถ้าห่างเจ้าของไปนาน ก็จะจำเจ้าของตัวเองไม่ค่อยได้น่ะครับ”
เอาอีกแล้ว!
เสียงพัคจีฮุนที่ดังลอดเข้ามาขัดจังหวะในบทสนทนาระหว่างเราสองคนทำให้เขาหัวเสียไม่ใช่น้อย นี่ไม่ได้เจอหน้ากันแค่สี่ห้าเดือนก็จะเอาให้ได้เลยใช่ปะ ไม่เข้าใจจริงๆว่าที่มหา’ลัยไม่มีใครให้คุยด้วยหรอ เรียนสัตวแพทย์ก็ไปคุยกับหมาไป๊
“บางทีก็จะแสดงอาการต่อต้านเช่น เข้าหาคนอื่นแทนเจ้าของน่ะครับ”
ฟังเสียงอ่อนหวานหยาดเยิ้มแล้วก็ได้แต่กลอกตาไปมา จะเน้นเรื่องเจ้าของอีกนานไหม ไม่เข้าใจหรอว่ารำคาญ ไม่อยากเห็นหน้า แล้วนี่อะไร ใจกล้ามากนักนะที่ยกมือรุ่นน้องผู้หญิงตัวเองใกล้หน้าขนาดนั้น มหา’ลัยไม่มีคนที่สวยหรือไง ถึงได้มาหาเศษหาเลยกับเด็กมอปลายอ่ะ!
“พี่อูจินว่ามันน่ารำคาญไหมครับ?”
“หืม... อะไรหรอ?”
“แบบ เนี่ย พอเราจะคุยกันก็จะมีอะไรไม่รู้ลอยมาขัดจังหวะ”
พี่อูจินยิ้มกว้างพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ แต่แล้วก็ต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันทั้งคู่เมื่อจู่ๆมือของรุ่นพี่ก็วางแหมะลงบนหัวเขาพร้อมลูบไปมาราวกับเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกาย
“เอ่อ-“
“หรือบางทีมันก็ไม่ได้ผิดที่สัตว์เลี้ยงเรานะครับ แต่ผิดที่คนอื่นเนี่ยที่เข้าไปทำให้สัตว์เราหลงผิด!”
“เห้ย!”
แทบจะหยิบไม้เบสบอลฟาดเข้าไปตรงกลางห้องถ้าไม่ติดว่าชะงักเห็นหน้าผู้บุกรุกได้ก่อน ใบหน้าที่เคยยิ้มหวานหยดย้อยเมื่อตอนกลางวันเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงพร้อมกับขึ้นริ้วแดงๆที่หน้า ชุดนักศึกษาที่เคยใส่เรียบร้อยจนน่านับถือก็หลุดลุ่ย พอจะรู้อยู่ว่าชอบถือคติบ้านของเขาก็เหมือนบ้านของตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมาบุกห้องคนอื่นแล้วอยู่ราวกับเป็นเจ้าของห้องแบบนี้ไหมละ?
“มาทำไมอีกเนี่ย!”
โยนกระเป๋าเป้ลงกับเก้าอี้ที่อยู่อีกฝั่งของห้องแล้วเดินไปฟาดใส่คนเป็นพี่ที่ยังคงทำหน้าไม่พอใจอยู่ตรงเตียง นี่มันห้องเขาแล้วมีสิทธิ์อะไรไปนั่งบนเตียงอย่างนั้น แล้วอย่าบอกนะว่าที่คุณแม่ทำหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตอนกินข้าวข้างล่างก็เพราะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเข้ามารอในห้องแล้วอ่ะ! จะเป็นลูกรักกันไปถึงไหนเนี่ย!
“ก็จะมาอะ”
“แล้วใครอนุญาตให้เข้ามา ออกไปเลยนะ!”
ฉุดกระชากคนอายุมากกว่าให้ลุกออกจากเขตหวงห้าม ที่บ้านไม่มีให้อาศัยหรือไงถึงชอบมายุ่งกับบ้านคนอื่นเนี่ย อยากจะรู้จริงๆเลยว่าไปกินอะไรมาถึงได้หน้าด้านหน้าทนตั้งแต่เด็กจนโต
“เจ้าของบ้าน พอใจยัง?”
“แต่เจ้าของห้องไม่อนุญาต โอเคปะ!?”
นอกจากจะตัวหนักเป็นบ้าแล้วแรงก็ไม่ใช่น้อยๆ เพราะขนาดเขาทุ่มเทจนสุดตัวแล้วอีกฝ่ายก็ดูไม่กระเทือนเลย หนำซ้ำยังทำหน้าตึงไปอีกเมื่อเขาฟาดลงเข้าที่ต้นแขนเสียอย่างดัง
“มีความผิดติดตัวแล้วยังกล้ามาทำร้ายพี่อีกนะ!”
ราวกับโดนวิญญาณเดอะฮัลก์เข้าสิง เพราะอีกฝ่ายจากที่เคยนั่งนิ่งรองรับแรงจากเขาก็กลายเป็นฝ่ายฉุดข้อมือของเขาไว้แทน แถมยังมีสีหน้าติดรำคาญเสียด้วย อะไรเล่า เขาผิดตรงไหนเนี่ย
“อะไร ทำอะไร”
“ก็บอกไว้แล้วไม่ใช่อ่อว่าจอง จอง จอง จองแล้วจะให้คนอื่นมายุ่งด้วยทำไมเนี่ย!”
โดนตะโกนใส่ซะจนความมั่นใจหดหาย ตั้งแต่รู้จักกันมาก็หลายปี เป็นขี้ข้าเขาก็หลายครั้ง ไม่เห็นจะเคยโดนขึ้นเสียงพร้อมกับสีหน้าแบบนี้เลยซักนิด พอเห็นคนเป็นพี่ทำแบบนี้ใส่ก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง ได้แต่อ้าปากพะงาบๆด้วยความงุนงง
อะไรวะ..
“เป็นอะไรเนี่ย?”
หยุดดิ้นไปมาแล้วเพราะรู้ตัวว่ายังไงก็สู้ไม่ได้ เลยพยายามเปลี่ยนไปคุยอย่างมีเหตุผลแทน ดูเหมือนว่าจะมันช่วยให้บรรยากาศมาคุนี้ดีขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้นแหละ
“ก็สัตว์เลี้ยงตัวเองไปหาคนอื่น จะให้รู้สึกยังไงละ”
....
สรุปคือ.... ไม่คนใช้ก็สัตว์เลี้ยงหรอ....
“สัตว์เลี้ยงอะไร แล้วมาเกี่ยวอะไรกับผมเนี่ย”
“ก็จินยองเป็นสัตว์เลี้ยงของพี่ พี่เป็นเจ้านาย”
ป้าบ!
ฟาดแขนอีกฝ่ายเข้าอย่างแรงให้เท่ากับที่บังอาจเอาเข้าไปเปรียบกับสัตว์เลี้ยง ถึงจะเป็นคนไม่พูดไม่จาก็ไม่ได้หมายความว่าจะพูดไม่ได้โว้ย แล้วเนี่ย เกิดมาสิบเจ็ดปีก็เป็นคนถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ ไม่ใช่หมา ไม่ใช่แมวนะโว้ย!
“โอ้ย –อย่าตี เป็นแมวก็ต้องหัดฟังบ้างดิ”
“แมวบ้าอะไรเล่า คนโว้ย!”
ฟาดซ้ำๆลงไปเผื่อว่าคนบ้าตรงหน้าจะตั้งสติขึ้นมาได้ คิดอยู่แล้วว่าคนอย่างไอ่พี่จีฮุนน่ะไม่มีเหตุผลดีๆกับเขาหรอก มันไม่ปกติตั้งแต่ให้เขาเล่นบทคนใช้ตั้งแต่ห้าขวบแล้วไหมละ?
“แมวดิ หน้าตาก็ใช่ นิสัยก็เหมือน ขาดอยู่อย่างเดียวอะ น่ารักกว่าแมวตั้งเยอะ”
“จะไม่หยุดใช่ไหม!”
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ชอบพัคจีฮุนมากๆเลยก็เพราะแบบนี้ อีกฝ่ายสามารถพูดจาแทะโลมเขาได้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย บางทีก็พูดด้วยความสนุก บางทีก็โพล่งพูดขึ้นมาเฉยๆ หรือบางทีก็ชอบพูดในตอนสถานการณ์ล่อแหลม แต่พอพูดเสร็จก็ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเหมือนที่พูดออกมามันคือเรื่องธรรมดาไม่ได้สลักสำคัญอะไร
ไม่ได้ห่วงใจของคนฟังเลย
“ตีไปเลย ถ้าหายเหนื่อยเมื่อไหร่พี่เอาคืนแน่”
พูดพร้อมกับเอนตัวเล็กน้อยเพื่อให้เขาตีได้ถนัดขึ้นอย่างที่พูด แพจินยองที่เห็นแบบนี้ก็ได้แต่ทำท่าฮึดฮัด เออ สู้ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเอาคืนด้วยอะไรเขาก็สู้จีฮุนไม่ได้ทั้งนั้นอะ
“ส่วนเรื่องให้คนอื่นมายุ่งเนี่ย พี่จะเอาคืนแบบทบต้นทบดอกเลย”
“หน้าด้าน!”
“อะไร รอให้ตัวเองสิบแปดก่อนเถอะค่อยมาพูด”
ชัดเจน
หน้าตาแบบพี่จีฮุนเคยมีอะไรเป็นสาระหรือเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาหรอ ขอตอบได้เลยตรงนี้ว่าไม่ ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาออกว่าไอ่เหตุผลที่ให้รออายุถึงสิบแปดน่ะคืออะไร
“ใครผิดกันแน่”
จากที่รับรู้ว่าตีกันต่อไปก็คงไม่ดีกับตัวเองตามที่อีกฝ่ายพูดแน่ๆก็เลยตัดสินใจกอดอกยืนมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญที่นั่งเอนอย่างสบายใจเฉิบ ไม่เห็นต้องมาทำเป็นเก๊กหล่อ แถวนี้ไม่มีสาวไซส์เล็กหน้าอกโตปากนิดจมูกหน่อยตาโตๆหรอกโว้ย ไม่มีประโยชน์!
“พี่ผิดอะไร”
“ก็ทีตัวเองยังไปยิ้มใส่ผู้หญิงคนอื่นได้ ผมก็ยิ้มให้คนอื่นได้ดิ”
“หึงหรอ”
พูดอะไรไม่เข้าหูได้อย่างหน้าตาเฉย แถมยังยิ้มมุมปากเล็กน้อยราวกับเป็นผู้กุมชัยชนะ พัคจีฮุนนี่มัน..
เฮ้อ
ก็ต้องโทษเพราะอยู่ด้วยกันมากเกินไปเนี่ยแหละที่เป็นเหตุ เพราะเขาใช้ชีวิตแบบผูกติดกับอีกฝ่ายเสียจนราวกับแฝดคนละฝาทำให้ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปตอนไหนก็ไม่รู้ พอตอนแรกที่รู้ตัวเองก็ทำใจไม่ค่อยจะได้(เสียเซลฟ์ปะละมาชอบคนที่ให้ตัวเองเป็นคนใช้เนี่ย!) เลยพยายามตีตัวออกห่างอีกฝ่ายเท่าที่จะทำได้
แต่เหมือนมันจะไม่เป็นผล ยิ่งตีตัวออกห่างก็ยิ่งโดนต้อนให้เข้าใกล้ไปเรื่อยๆ เขาไม่อยากเข้าใกล้พี่จีฮุนด้วยเหตุผลที่ไม่บริสุทธิ์ใจแบบนี้ และอีกอย่าง ถ้าหากอีกฝ่ายเกิดตกลงปลงใจกับสาวๆคนไหนสักคนพร้อมกับขอคำปรึกษาจากเขาในฐานะคนสนิทที่สุด ถึงตอนนั้นก็คงทนไม่ไหวแน่ๆ
แล้ววันนึงก็เหมือนพระเจ้ากำลังลงโทษ เพราะจู่ๆขณะที่กำลังนอนดูหนังที่อีกฝ่ายลงทุนบุกเข้ามาพร้อมกับบังคับให้นั่งดูเป็นเพื่อน ก็โดนไถ่ถามด้วยประโยคที่ฟังยังไงก็รู้สึกจั๊กจี๊หัวใจแปลกๆ
‘รำคาญพี่หรอ?’
‘ห๊ะ?’
‘ก็เห็นช่วงนี้หลบหน้า.. ก็เลยสงสัยว่าถูกรำคาญแล้วหรอ’
‘เออ รำคาญ พี่ชอบมายุ่งกับผมอะ’
อีกฝ่ายเงียบไปสักพักจนเขาเริ่มชักใจไม่ดีก็เลยต้องลอบมองคนเป็นพี่ที่นอนอยู่บนโซฟา และสายตาก็ยังไม่ละไปจากหน้าจอเลยสักนิด
‘กับคนที่ชอบ ใครเขาก็อยากเข้าใกล้ทั้งนั้นแหละ’
หลังจากนั้นก็กลายเป็นว่าทำแพจินยองนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ไม่รู้ว่าที่พูดออกมานั่นคิดอะไรอยู่หรือบางทีอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความหมายของประโยคนั้นหมายถึงอะไร และที่หนักไปกว่านั้นก็คือไม่รู้จะจัดการยังไงกับหัวใจที่มันเต้นแรงทุกครั้งที่ได้ยินเสียงนั้นลอยเข้ามาในโสตประสาท
และแล้วความสัมพันธ์ของเราก็กลับเข้ามาสู่สภาวะปกติ เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินหรือไม่เคยแม้แต่จะมีบทสนทนานั้นอยู่ในหัว เขาปล่อยให้มันดำเนินไปอย่างนั้นจนกระทั่งวันสุดท้ายที่อีกฝ่ายจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้
ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆชีวิตที่เคยมีคนคนนึงเข้ามาวุ่นวายตลอดมันจะเงียบเหงาและน่าเบื่อเมื่อไม่มีใครซักคนมาคอยก่อกวน เขาไม่เคยเตรียมใจรับกับการจะต้องกลับบ้านคนเดียว มาโรงเรียนคนเดียว กินข้าวคนเดียว หรือแม้กระทั่งนั่งคิดถึงอีกฝ่ายอยู่คนเดียว
วันสุดท้ายของพัคจีฮุนต่างก็รายล้อมไปด้วยรุ่นน้องที่ต้องการจะเข้ามาแสดงความยินดีด้วย แพจินยองก็คิดจะเป็นหนึ่งในนั้น แต่เมื่อยืนมองจากที่ไกลๆและเห็นอีกฝ่ายแบบนี้เขาก็คิดว่าเอาไว้โอกาสหลังดีกว่า เขาไม่ค่อยชอบความวุ่นวาย โดยเฉพาะความวุ่นวายที่เกิดจากฝีมือของพัคจีฮุน
กลับมาถึงบ้านพร้อมกับของขวัญที่ยังไม่มีโอกาสให้อีกฝ่าย เพราะต้องไปฉลองส่งท้ายกันที่อื่นเขาก็เลยอาสากลับบ้านด้วยตัวคนเดียว พอกลับมาถึงบ้านก็ทำได้แค่นั่งมองกล่องของขวัญที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะเป็นของขวัญแสดงความยินดีให้กับคนเป็นพี่ สงสัยก็คงจะได้ซื้อมาใส่เองแล้วล่ะมั้งงานนี้
‘ขอของขวัญหน่อยดิ’
จู่ๆก็โดนบุกรุกอีกครั้งจากคนที่มีศักดิ์เป็นแค่พี่ชายบ้านตรงข้าม เขาซ่อนกล่องของขวัญขนาดเล็กไว้ในมือก่อนจะส่ายหน้าพรืดเมื่ออีกคนสุมเข้ามาใกล้
‘ของขวัญอะไร ไม่มี มั่วปะเนี่ย’
‘ก็เห็นนั่งมองมาตั้งนานแล้ว เลยเข้ามาขอซะเลย’
อีกฝ่ายเอนตัวเข้ามาใกล้พร้อมกับเอื้อมมือไปข้างหลัง ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นระหว่างเราทำให้เขาชะงักพร้อมกับปล่อยมือออกจากกล่องนั่นเมื่อได้รับแรงกระตุกเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้เขารู้ว่าไม่ว่าจะต่อสู้ยังไง แพจินยองก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะพัคจีฮุนได้เลยซักครั้ง
‘หืม สวยนะเนี่ย’
ยกกำไลหนังสีดำที่เขาสะดุดตาตอนเดิน่ผานร้านแถวๆบ้าน มันก็เป็นแค่กำไลหนังธรรมดาไม่ได้มีอะไรสำคัญ แต่นั่นมันก็ทำให้เขาตัดสินใจเลือกมันมาเพราะคิดว่าเข้ากับอีกฝ่ายมากที่สุด
‘ให้พี่ใช่ไหมเนี่ย? เลือกเก่งจริงเลย’
เขามองอีกคนด้วยความหวาดหวั่น เพราะรอยยิ้มและสายตาพราวระยับนั่นมันทำให้ไว้ใจไม่ได้ บางทีก็พาลให้นึกถึงตอนที่ถูกวางบทบาทให้เป็นเพียงแค่คนใช้ของคุณชายพัคจีฮุน
‘ถ้างั้นก็ใส่ให้หน่อยนะ ถือว่าเป็นการจอง’
คว้าข้อมือของเขาไปพร้อมกับสวมเข้าอย่างพอดิบพอดี .. เดี๋ยว พัคจีฮุนสับสนอะไรหรือเปล่า แบบ บางทีนี่ไม่ใช่เขาหรือเปล่าที่ต้องเป็นคนที่ใส่อะ .. เอ่อ .. เขาคือคนซื้อนะ
‘จองไว้ก่อน ไว้อายุสิบแปดเมื่อไหร่ค่อยมาเป็นแฟนกัน’
“จะหึงทำไม”
“ไม่หึงแล้วหน้าบึ้งทำไมอะ”
ว่าพลางยืดตัวขึ้นมาบิดแก้มของเขาให้เบ้ไปเบ้มาแล้วก็หัวเราะชอบใจ โอ่ย! ลองมาเป็นคนโดนทำไหมว่ามันเจ็บอะ!
“อากาศมันร้อน หงุดหงิด!”
“หรอ แต่แอร์ก็เปิดนะ ปกติขี้หนาวไม่ใช่หรอ?”
หมดคำจะพูด
เกลียดมากกว่าพัคจีฮุนเมื่อตอนกลางวันก็พัคจีฮุนโหมดคนกุมอำนาจนี่แหละ รู้ทันเขาไปหมดราวกับใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทั้งชีวิต ม่อสาวคนอื่นแล้วยังมีหน้ามายิ้มอีกนะ!
“อย่ามาบิดแก้ม ไม่ชอบ”
“แต่พี่ชอบ”
ยกมือขึ้นพร้อมฟาดแต่ก็นึกได้ว่าอีกฝ่ายเคยเปรยเอาไว้ว่าอย่างไรบ้าง เลยต้องลดมือลงอย่างช่วยไม่ได้ ทำไมต้องเกิดมาพ่ายแพ้กับคนแบบนี้ตลอดเลยนะ
“ปล่อยได้แล้ว ไหนบอกอายุสิบแปดก่อนไง”
“ยังไม่เป็นแฟนก็ยังบีบแก้มได้ หอมแก้มยังได้เลย”
“มากไปละ”
สะบัดมืออีกฝ่ายออกจากการกอมกุมใบหน้า เออ ไปอยู่มหา’ลัยแล้วปากกล้าขาแข็งขึ้นเยอะเชียวนะ
“เป็นหมอหมาไม่ใช่อ่อ ทำไมไม่หัดผ่าหมาออกจากปากบ้าง”
“หมาบ้าที่ชอบกัดอะเอาออกไปแล้ว แต่หมาบ้าที่รักจินยองเนี่ย เอาเท่าไหร่ก็เอาออกไม่หมดวะ ช่วยหน่อยดิ”
..................
เฮ้อ
ไปนอนไป
“พี่ยังไม่หายโกรธเรื่องอูจินนะ ไม่ต้องทำมาเปลี่ยนเรื่อง”
“ทีตัวเองม่อสาวทั้งห้องผมยังไม่โกรธเลย ผมแค่คุยกับพี่อูจินเอง ทำมาเป็นคิดมาก”
อีกฝ่ายกอดอกเชิงไม่พอใจบ้าง เออ จะโกรธอะไรก็โกรธไปเลย ไหนบอกให้เขาอายุสิบแปดก่อนค่อยมาเป็นแฟน นี่ยังไม่ทันจะเป็นแฟนเลยก็หึงอะไรไม่เข้าเรื่อง
“แต่อูจินมันทำเหมือนชอบจินยองอะ พี่ก็ไม่ชอบดิ”
“ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกันปะ จะมาหึงอะไรเนี่ย”
ว่าพลางเดินเลี่ยงไปเก็บของออกจากกระเป๋าแล้ว มันก็เป็นอย่างนี้ตลอด ทุกครั้งที่อีกฝ่ายบุกมาถึงที่ห้องพอตีกันจนหนำใจ เขาก็ต้องมานั่งทำการบ้านดึกดื่นๆทุกที ทั้งๆที่ควรจะทำเสร็จตั้งแต่ตอนตีกันแรกๆแล้วอะ
“อายุสิบเจ็ดก็จูบได้นะ!”
“ไปจูบกับหมาไป๊!”
“น้องจินยอง!”
หันมองคนเป็นพี่ที่ดิ้นเร่าๆอยู่บนเตียง พอไม่ได้ดั่งใจก็ชอบทำตัวเป็นเด็ก เขาควรตัดสินใจยกเลิกสัญญามันตอนนี้ซะเลยดีไหม?
“กลับบ้านไปได้แล้วไป”
“ไม่กลับ”
“พัค-จี-ฮุน”
“จนกว่าจะสัญญาว่าจะไม่คุยกับอูจินอีก จะยอมกลับ”
เด้งตัวขึ้นมาพร้อมชี้หน้าคาดโทษ เขาขี้เกียจจะมารับมือกับอีกฝ่ายในโหมดงอแงเป็นที่สุด ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนแบบนี้ แต่พอนึกถึงความทรงจำสมัยเด็กๆก็เลยรู้ว่าคนไข้จิตเภทมักจะอาการขึ้นๆลงๆแบบนี้นี่แหละ
“กลับไปได้แล้ว”
ลากอีกฝ่ายได้สำเร็จจนมาถึงหน้าห้อง ครั้นจะดันหลังให้พ้นอาณาเขตไปจะได้ปิดห้องแล้วลงกลอนจะได้ไม่มีการบุกรุกอีก(แต่ก็เหมือนจะลืมว่าหมอนี่ดันมีกุญแจสำรอง!) นั่นก็ยังไม่ใช่ว่าพัคจีฮุนจะยอมถอยทัพกลับไปง่าย ๆ เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้แพจินยองต้องกลับมานั่งทบทวนกับตัวเองอีกครั้งว่าเขาตัดสินใจไม่ผิดจริงๆใช่ไหม
“จินยองถามอีกอย่างดิก่อนกลับ”
“อะไรอีก”
“เมื่อไหร่จะสิบแปด อยากจูบจะแย่อยู่แล้ว”
- end -
#pdxdg
ไม่มีเหตุผลอะไรเลยค่ะ ... แบบ....
ทำไมชอบเขียนให้สองคนนี้ตีกันก็ไม่รู้ค่ะ รู้แค่ว่าคนพี่ต้องโดนบ้างอะ!
อิอิ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันนะคะ♥ ฮือ ดีใจที่ทุกคนชอบน้องในโหมดต่างๆค่ะ
ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ ไม่รู้จะพูดอะไรเลยนอกจากน้องน่าร้าก อิ
อยากลองเขียนอะไรที่แหวกดูบ้าง... แต่ฟังเพลงแล้วก็...วกมาแบบนี้อ่ะค่ะ TT_TT
ความคิดเห็น