คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : oneshot - you again #นยอนดีพ
You asked me “can you
recognize me?” and all I can do is only nod.
the point is –inside my mind, there is one answer.
oh yes, I never ever forget you, never once in my life.
เขาเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้า
ยกแก้วทรงสวยที่บรรจุของเหลวสีเหลืองอำพันจรดริมฝีปากก่อนจะกระดกกลืนมันลงไปทั้งหมด
รสชาติขมปร่าของเครื่องดื่มชั้นดียังติดที่ปลายลิ้น
หากทว่านั้นก็เทียบไม่ได้เลยกับรสชาติแสนเฝื่อนที่คละคลุ้งอยู่ในลำคอ และอ่า –หายใจไม่ออก
เสียงเพลงกระหึ่มที่ดังลอดเข้ามาในโสตประสาททำให้เขาใจชื้น
นึกร้องขอและเฝ้าภาวนาในใจให้เพลงเหล่านี้ช่วยดังขึ้นอีกหน่อย
อย่างน้อยก็เพิ่มระดับมากพอที่จะกลบเสียงหัวเราะเซ็งแซ่ในห้องสี่เหลี่ยมกว้างนี่ได้
ช่วยกลบรอยยิ้ม แววตาคู่นั้น และน้ำเสียงทุ้มหวานที่ลอยล่องอยู่ในอากาศ ช่วยกระชากร่างของเขาให้ออกจากวงโคจรเหล่านี้ทีเถิด
ความวูบโหวงที่เกิดขึ้นอยู่ในช่องท้องหลังจากดื่มเข้าไปเป็นแก้วที่สี่
ถัดจากความรู้สึกโหวงก็แปรเปลี่ยนมาเป็นความเจ็บปวดที่อยู่ตรงอกข้างซ้าย
แรงบีบรัดมันมากพอเหลือเกินที่จะทำให้เขาต้องแค่นหัวเราะ และให้ตายเถอะ –เหล้าแก้วนี้มันจืดชืดชะมัด
“
–?”
แพจินยองไม่ชอบใจเอาเสียเลยที่สายตาของทุกคนในวงสนทนาตกมาอยู่ที่เขาแต่เพียงผู้เดียว
แววตาสงสัยที่เจือด้วยความเป็นห่วงถูกส่งมาจากหญิงสาวข้างกาย
เขาส่ายหน้าเพียงเล็กน้อยก่อนจะเขย่าแก้วทรงสวยในมือต่อครั้งแล้วครั้งเล่า
กวักมือเรียกบริกรที่อยู่แถวนั้นให้เพิ่มความแรงของเครื่องดื่มอีกซักหน่อยก่อนจะละเมียดละไมชิมรสชาติเมื่อได้ตามที่พึงพอใจ
เขากระดกมันลงเป็นครั้งที่หก
เจ็ด และนับครั้งไม่ถ้วนที่บริกรคนเก่าถูกเรียกใช้บริการ
ถึงจะไม่ใช่นักดื่มที่เก่งกาจ แต่ปริมาณแอลกอฮอล์เพียงเท่านี้ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก
อาจจะหนักหน่อยที่เขารู้สึกว่าลิ้นมันพันกันแปลกๆ แต่ก็นั่นแหละ
ความฝาดขมของมันยังกลบความเจ็บปวดในใจของเขาได้ไม่มิดเลย
แก้วเหล้า
อ่า –ห้าหรือหกนะ กำลังจะถูกดื่มเข้าถ้าหากไม่มีฝ่ามือขาวของใครบางคนคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขาเสียก่อน
หัวใจเต้นระส่ำเมื่อปลายจมูกได้กลิ่นน้ำหอมชั้นดีที่ถูกฉีดอยู่ตรงชีพจรข้อมือ
เขาจดจำกลิ่นนี้ได้ดีพอกันกับเจ้าของเรือนผมสีดำขลับ
ดวงตาเรียวเล็กจ้องมองอย่างพินิจพิจารณา
แพจินยองเบือนหน้าหนีพลางบิดข้อมือให้หลุดออกจากการกอบกุม
“
–เดี๋ยวผมไปส่ง”
โคตรแย่
ทำนองดนตรีในเพลย์ลิสต์เพลงโปรดดังคลออยู่ตลอดการเดินทาง
ค่ำคืนวันศุกร์ที่ทั้งฝนตกและชื้นแฉะทำให้การจราจรติดขัดมากกว่าเคย เขาขยับตัวไปมาเมื่อลมหนาวจากเครื่องปรับอากาศกระทบผิวกาย
ถึงข้างในอกจะร้อนรุ่มเพราะพิษของแอลกอฮอล์(หรือผลพวงจากคนข้างๆ เขาเองก็ไม่ค่อยชักจะแน่ใจ)
แต่ความหนาวเย็นของอุณหภูมิก็ทำให้สั่นสะท้านได้เหมือนกัน
เหลือบมองคนรูปร่างสูงโปร่งที่ทำหน้าที่คนขับได้อย่างดีเยี่ยมตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง
มือขาวกำพวงมาลัยรถแน่นจนเส้นเลือดที่ลำแขนแกร่งนั่นขึ้นนูน
เชิ้ตสีฟ้าอ่อนถูกพับอย่างประณีตถึงข้อพับแขน ดูดีราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารชื่อดัง
และนั่นแหละคือเสน่ห์เหลือร้ายของอีกฝ่ายเขาล่ะ
เราทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยกันอีกตั้งแต่ในร้านอาหาร
เขาไม่รู้ว่าควรจะเปิดประเด็นสนทนาเพื่อไม่ให้มันเงียบเกินไป
หรือควรจะนิ่งเฉยแล้วปล่อยให้เรื่องราวทั้งหมดมันเป็นไปตามที่ควรจะเป็น
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการทักทายด้วยประโยคง่ายๆอย่าง –ชีวิตช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ?
มันดูจะงี่เง่าเกินไปหน่อยหรือเปล่า เขาไม่กล้าหยิบยกเรื่องราวในอดีตมาพูด
เพราะกลัวว่าแผลลึกที่ถูกซ่อนมานับปีจะถูกเปิดออกด้วยมือของตัวเองอีกครั้ง
“ดื่มเก่งแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
น้ำเสียงเรียบนิ่งต่างชั้นกันกับเสียงทุ้มในห้องคาราโอเกะนั่นโดยสิ้นเชิง
ถึงสติจะถูกดูดกลืนด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ไปถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์
แต่แพจินยองก็พอจะแยกแยะความมีน้ำโหและอารมณ์คุกรุ่นภายใต้ความเรียบนิ่งนั่นได้เป็นอย่างดี
เขากระดกกลืนน้ำลายที่เหนียวฝืดลงคอพลางกระแอมไอเพื่อเรียกเสียงของตัวเองกลับมา
“ไม่ได้ดื่มเก่งหรอกครับ”
เหมือนได้ยินเสียงแค่นหัวเราะในลำคอ
เขาช้อนสายตามองอีกฝ่ายที่ยังคงใส่ใจกับการจราจรเบื้องหน้ามากกว่าบรรยากาศระหว่างเรา
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเชื่อคำที่เขาพูดออกไปหรือเปล่า แต่เขาก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
ไม่ได้ดื่มเก่งแต่ก็แค่รู้ลิมิตของตัวเองว่าแบบไหนที่ควรจะพอ
เพียงแค่ว่าวันนี้มันอาจจะดูมากเกินไปเสียหน่อย
“แต่ก็เห็นกระดกไม่หยุดเลยนะ
–ชอบหรอ?”
คำถามสั้นๆแต่ทำเอาหนาวยะเยือกจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว
เขาลูบแขนของตัวเองที่ถูกปกปิดเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวตามแบบฟอร์มของพนักงานบริษัท
ไม่รู้ว่าเพราะฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆหรือน้ำเสียงของคนอายุมากกว่ากันแน่ที่ทำให้หนาวจับใจได้ขนาดนี้
“เอ่อ
ไม่ได้ชอบ แต่ก็ทานได้ครับ”
“อืม”
“...”
“ก็โตแล้วนินะ”
ความประชดประชันในเนื้อหาคำพูดทำให้โลกทั้งใบของเขาหมุนคว้าง
ฮวังมินฮยอนเป็นคนที่แพจินยองจัดให้อยู่ในประเภทที่คิดก่อนพูด
และทำทุกอย่างด้วยการไตร่ตรองมาดีแล้วเสมอ เขาจึงไม่แน่ใจนักยามที่อีกฝ่ายเอ่ยประโยคเหล่านั้นออกมา
แต่อย่างที่ว่า กาลเวลาเปลี่ยนคนเราก็เปลี่ยน การที่อีกฝ่ายจะเผลอพูดอะไรพล่อยๆมันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เหมือนได้ยินเสียงลมหายใจขาดดังเฮือก
เมื่อทำนองดนตรีที่คุ้นหูดังขึ้นจากลำโพงภายในห้องโดยสาร
เขาจ้องมองรายชื่อเพลงที่วิ่งวนอยู่บนหน้าปัดแสดงเพื่อกำลังปลอบตัวเองว่าคงคิดมากไป
และ –ใช่ นั่นเพลงโปรดเขาเลยล่ะ
“ไม่ชอบหรอ?”
เขาเพ่งพินิจกับรายชื่อเพลย์ลิสต์ที่ถูกบันทึกเอาไว้
ไม่ทันได้สังเกตเลยซักนิดว่ารายชื่อเพลงทั้งหมดที่ปรากฏคือรายชื่อเพลงในลิสต์โปรดตลอดกาลสำหรับเขาด้วยเช่นเดียวกัน
อดฉุกคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายมีรสนิยมแบบเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่
“ชอบครับ”
“อืม
งั้นก็แปลว่าพี่จำไม่ผิด”
เขานิ่งเงียบและปล่อยให้เพลงบรรเลงอีกครั้ง
การถ่ายทอดอารมณ์ของนักร้องเจ้าของเพลงทำให้บรรยากาศตอนนี้มันเงียบเหงากว่าที่เคย
เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจะมีวันนี้เข้า
วันที่ชีวิตของเขามันตรงกับเนื้อหาเพลงสุดๆไปเลย
ฝนเริ่มซาพอๆกันกับจำนวนรถบนท้องถนนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ
อีกฝ่ายไม่ได้เอื้อนเอ่ยถามทางกับเขาซักคำ
กลับกันยังนำทางราวกับเชี่ยวชาญมันมากเหลือเกิน เขาอยากจะถามออกไปใจแทบขาดว่ายังจำมันได้อยู่อีกหรอ
แต่ก็พับกล่องความคิดไว้แค่นั้นเมื่อคนอายุมากกว่าตบไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทางในขณะที่อีกไม่กี่บล็อกถนนก็จะถึงที่พักของเขาอยู่แล้ว
“?”
“จินยอง”
“...”
“จำพี่ได้ไหม?”
เป็นครั้งแรกในรอบหกปีที่แพจินยองได้มองเห็นใบหน้าของฮวังมินฮยอนอย่างถนัดตา
ไม่มีอะไรแปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิด ทั้งสีผม โครงหน้า ริมฝีปาก
หรือแม้กระทั่งดวงตาคู่นั้น
และใช่
แพจินยองลืมไม่ลงหรอก
คนที่มีสถานะเป็นแฟนเก่าของพี่สาวเขาน่ะ
ใครจะลืมคนใจร้ายได้ลงคอกัน?
-
คนทุกคนล้วนมีอดีตที่ไม่น่าจดจำ
สำหรับแพจินยองแล้ว
มีลิสต์เรื่องพรรค์นี้อยู่เป็นร้อยรายชื่อเลยล่ะ ทั้งฉี่รดที่นอนในตอนอนุบาล
สะดุดหกล้มตอนสารภาพรักกับคนที่ชอบครั้งแรก
หรือไม่ว่าจะเป็นถูกกลั่นแกล้งสารพัดวิธีจากพี่สาวที่เป็นญาติคนสนิท
ถ้าหากให้จัดอันดับมันตั้งแต่แรกว่าเรื่องไหนที่ควรจะถูกลืมๆไปได้แล้ว
แพจินยองจะขอขีดเส้นใต้เอาไว้พร้อมกับทำตัวหนาว่า ฮวังมินฮยอน ทั้งน้ำเสียง
ท่าทาง ความอบอุ่น การเอาใจใส่
และทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับจากคนคนนั้นควรจะเป็นสิ่งแรกๆที่เขาลืมมันได้ซักที
และถ้าหากถามว่าฮวังมินฮยอนสำหรับแพจินยองนั้นคืออะไร
ถ้าช้อยส์ข้อแรกมีคำว่า คนใจร้าย เขาก็จะกากบาททับ
ถ้าหากช้อยส์ถัดมามีคำว่า คนเห็นแก่ตัว เขาก็จะกากบาทซ้ำอีก ไม่สิ คำถามข้อนี้มันควรจะเป็นคำถามปลายเปิดชนิดที่ว่าให้เขียนคำตอบมาอย่างต่ำสิบบรรทัดกันไปเลยเสียยังจะดีกว่า
เขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรนักเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่
จะมารู้อีกทีก็ตอนที่พี่สาวที่ว่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวเสมอเมื่อจ้องอยู่หน้าจอโทรศัพท์
เขาโพล่งถามออกไปสั้นๆว่า –คุยกับแฟนอยู่หรือไง แต่ก็ได้รับคำตอบเป็นแรงฟาดดังปั๊กที่หลังเข้าแทนให้
ไม่อยากจะเซ้าซี้ให้มากความและพาลให้เจ็บตัวไปเสียเปล่า แพจินยองก็เลยถือโอกาสตอนที่อีกฝ่ายไปเข้าห้องน้ำคว้าโทรศัพท์เข้าดูแจ้งเตือนที่ปรากฏชื่อใครบางคนเด่นหรา
ชื่อของรุ่นพี่สุดฮอตฝั่งมัธยมปลายที่โรงเรียนคือคำตอบสุดท้าย
ลอบถามยามอีกฝ่ายเผลอก็ได้ความว่าแค่ดูใจกันอยู่
จากที่คุยกันในโทรศัพท์ก็ถึงขั้นพากันไปเที่ยวไหนต่อไหน (และแน่ละ
พี่สาวเขาก็ฉลาดมากพอที่จะลากเขาไปไหนมาไหนด้วย!) เขาได้รู้จักฮวังมินฮยอนในฐานะเพื่อนผู้ชายคนสนิทของพี่สาว
เราทั้งคู่ห่างกันถึงห้าปี
และเขาก็ชอบชะมัดยามที่เขาได้รับการดูแลราวกับเจ้าชายน้อย
พูดได้เต็มปากเลยล่ะว่าฮวังมินฮยอนกุนน่ะเอ็นดูเขามากกว่าพี่สาวเขาเสียอีก!
เราทั้งสามคงอยู่ในสถานะแบบนั้นมาร่วมห้าปี
จากเด็กน้อยมัธยมต้นก็เลื่อนขั้นมาเป็นหนุ่มหล่อแห่งชั้นมัธยมปลายปีสอง
เขาสนุกสนานกับเพื่อนวัยเดียวกันมากพอกับที่เคยสนุกสนานในยามที่ได้ใช้เวลากับพี่สาว
ตั้งแต่ขึ้นมหาวิทยาลัย ทั้งญาติของเขาและพี่ชาย(แถมตำแหน่งคนดูแลแพจินยองเป็นพิเศษเลย!)ก็ไม่ค่อยกลับมาให้เจอหน้ากันอีก เขารู้ตัวว่าตัวเองโตมากพอแล้วที่จะไม่ไปทำตัวเกาะแกะกับทั้งคู่
แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคิดถึงการไปเที่ยวด้วยกันสามคนชะมัดยาก
เขาไม่ได้ไถ่ถามอะไรพี่สาวอีกตั้งแต่นั้นว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างไร
มันมีแผนไปในทิศทางไหน
และเขาควรจะเตรียมชุดเพื่อนเจ้าบ่าวมันซะตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือไม่
แต่แล้วโลกของแพจินยองก็พังทลาย
เขาได้รับคำถามเชิงอยากรู้จากเพื่อนผู้หญิงในห้องว่าตอนนี้หัวใจของเขาน่ะมีใครจับจองไปหรือยัง
ไอด้วยความที่ก็มีแต่พี่สาวและฮวังมินฮยอนมาตลอดทั้งชีวิต
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกโรแมนติกอะไรนั่นมันเป็นยังไง
ก็เลยแยกแยะไม่ออกว่าอันไหนคือความรักกันแน่ พอปรึกษามาจนพอใจ
แพจินยองก็เลยทำการสำรวจตัวเองมันซะเลยว่ากำลังหลงรักใครอยู่หรือเปล่า ก็ –แหม
อยากได้ช็อกโกแลตหรือของขวัญในวันครบรอบเหมือนกันนะ
ช็อคตาตั้งกันไปเป็นแถบเมื่อผลสำรวจมันกำลังบอกว่าเขาน่ะหลงรักฮวังมินฮยอนเข้าเต็มๆ!
ครั้งแรกที่ทำก็คิดว่าไม่เอาสิ
แพจินยองไม่ควรจะเอาความรู้สึกตัวเองมาเป็นที่ตั้งขนาดนั้น พอลองทำครั้งที่สองก็ดันมีผลออกมาตรงกับที่เขารู้สึกตอนอยู่กับฮวังมินฮยอนซะงั้น
เขาที่กำลังจะตัดสินใจทำแบบทดสอบรอบที่สามให้มันชัวร์กันไปเลยก็แทบชะงักเมื่อกลับมาบ้านแล้วเจอเข้ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยดน้ำตาของญาติผู้พี่
เธอในตอนนี้ดูอ่อนแอไม่สมกับที่เคยสอนให้เขาปีนต้นไม้เลยซักนิด เดินด้อมๆมองๆร่างเล็กที่สะอื้นน้ำตานองหน้า
แค่เพียงแตะที่ไหล่อย่างแผ่วเบาเธอก็ผวาคว้าเขาเข้าไปกอด
–เขามีคนใหม่
แพจินยองจับใจความได้อย่างนั้น
มันเป็นประโยคที่ญาติของเขาพูดซ้ำไปซ้ำมา
คงไม่ต้องถามก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงใคร เขาโอบพี่สาวเอาไว้อย่างหลวมๆ
ลูบหลังอย่างแผ่วเบา
และพยายามสรรหาคำพูดปลอบประโลมให้มากที่สุดเท่าที่เด็กผู้ชายวัยสิบเจ็ดปีจะทำได้
เธอบอกพร้อมกำชับเขาเสมอว่าถ้าหากอีกฝ่ายกลับมาหาก็ให้ไล่ไปไกลๆ
อย่าทำร้ายใจของพี่ด้วยการไปเข้าข้างผู้ชายคนนั้น และเป็นไปได้ก็ควรหนีออกจากชีวิตของอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด
และแพจินยองก็ทำแบบนั้นได้จริงๆ
เขาไม่ตอบข้อความ
หรือแม้กระทั่งในสมัยนั้นที่การใช้งานอินเตอร์เน็ตยอดฮิตอย่างเอ็มเอสเอ็นเขาก็เลือกที่จะบล็อกอีกฝ่าย
ไอการสงสัยว่าตัวเองจะหลงรักอีกฝ่ายจริงไหมก็ถูกเก็บงำไว้กับตัวเองตลอดมา เขาไม่เคยพูดกับใคร
ไม่ได้ถามเพื่อนผู้หญิงร่วมห้องอีกเลยว่ามันพอจะมีอาการแบบอื่นไหมที่ไม่ใช่หลงรัก
แค่ลำพังมารู้สึกอะไรกับแฟนของญาติก็ลำบากใจมากพออยู่แล้ว
เขาไม่ควรจะเก็บมาคิดอีกถ้าหากแฟนที่ว่าได้ถูกเลื่อนขั้นเป็นแฟนเก่าไปแล้ว
เราไม่ได้เจอกันอีกเลยตลอดหกปี
ในบรรดาบริษัทเป็นล้านๆบนโลกใบนี้ แพจินยองฉลาดนักล่ะที่เลือกจะสมัครมาทำงานในเครือของฮวังกรุ๊ป
และแน่นอน เขาไม่ใช่คนที่พระเจ้าทรงโปรด
ฮวังกรุ๊ปที่ว่าก็คือครอบครัวของเจ้าของรถหรูนี่
และฮวังมินฮยอนก็คือหัวหน้าประจำสาขาที่เขาทำงานอยู่ซะด้วย
เขาคิดว่าเขาควรได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง
การหลีกเลี่ยงหรือเพิกเฉยต่อหัวหน้าในสายงานไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ง่ายๆ
คนไร้ทางเลือกอย่างเขาจึงได้แต่แสร้งทำเป็นราวกับเพิ่งเคยเจอหน้า
อีกฝ่ายก็คงรับรู้ได้ถึงพายุที่ก่อตัวอยู่ภายในจึงรับเล่นบทละครนี้ไปอย่างแนบเนียน
เขาไม่คิดว่าความอึดอัดทั้งหมดจะถูกระบายลงกับการดื่มในวันนี้ แต่ก็นั่นแหละ
ฮวังมินฮยอนคนนั้นเมื่อหกปีก่อนก็คือคนที่ใส่ใจเรื่องราวของคนอื่นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก็จะต้องมีเรื่องให้ได้แปลกใจ
อย่างตอนนี้ก็ใช่
คนเป็นพี่จับไหล่ทั้งสองข้างของเขาให้หันไปประจันหน้ากับตัวเอง
เสียงเพลงยังคงดังคลออยู่เรื่อยๆ
แต่แพจินยองคิดว่าเขาได้ยินแค่เพียงเสียงของหัวใจตัวเองที่เต้นดังไม่แพ้บีทใดใด มันทุ้มหนักจนหัวใจรู้สึกบีบแน่นไปหมด
ความรู้สึกสับสนมันตีรวนอยู่ในหัว
เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมถึงต้องรู้สึกแบบนี้
ทำตัวยังกับอกหัก
คำพูดทักทายของเพื่อนสนิทเมื่อสมัยมัธยมปลายดังก้องอยู่ในหู
เขาพยายามนึกหาเหตุผลว่าอะไรเป็นตัวบ่งชี้ว่าเขากำลังอกหัก ทั้งที่ก็ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย
พร่ำเพ้อถึงคนไหน
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังหลงรักฮวังมินฮยอนแบบที่ผลลัพธ์มันออกมา
เขายังรู้สึกไม่สบอารมณ์ทุกครั้งที่ได้ยินพี่สาวพูดถึงเขาคนนั้น
เขาถามเพื่อนอยู่หลายครั้งว่าอะไรถึงดลใจให้คิดแบบนั้นกัน
อีกฝ่ายทำเพียงยักไหล่แล้วก็พูดว่า –คงสัญชาตญาณมั้ง แต่เพราะนายไม่ได้ชอบใคร
มันก็เลยดูประหลาดไปหน่อย เขาพยักหน้าแล้วเก็บข้อมูลนั้นมาไว้กับตัวเอง
และมันก็ถูกเก็บไว้กับตัวเขาเองแบบนั้นจนกระทั่งวันนี้
“จำพี่ได้ไหม?”
คำถามเดิมแต่ความรู้สึกกลับถาโถมมากกว่าเก่า
แววตาของคนตรงหน้าเหมือนเครื่องย้อนเวลาไปสมัยเขายังเพิ่งจะสิบสองสิบสามใหม่ๆ
ทั้งน้ำเสียง กลิ่นน้ำหอมเดิมๆ รวมไปถึงริมฝีปากนั่นที่ทำให้เขานึกถึงยามวันวาน
พยักหน้าเล็กๆเพื่อเลี่ยงการสนทนาทั้งหมดทั้งปวง
แม้ในใจอยากร่ำร้องตะโกนแทบตายว่าผมไม่เคยลืมพี่ได้เลยแต่ก็คิดว่ามันคงไม่มีประโยชน์
เราเคยถูกขีดสถานะเอาไว้แค่พี่น้อง ออกจะเป็นญาติของแฟนเสียด้วยซ้ำ
อาการร้อนผ่าวในช่องท้องมันตีรวนมาจุกอยู่ตรงอก
เขาละสายตาจากการสบประสานเพื่อมาทุบอกตัวเองไล่อาการเหล่านั้นให้ออกไป และ –แม่งเอ้ย
ทำไมมันจุกขนาดนี้วะ
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ
ไม่เป็นไร”
เอ่ยปฏิเสธทั้งๆที่ยังกำมือทุบอกอยู่อย่างนั้น
ความแสบร้อนเริ่มทุเลาลงตามลำดับ ได้ยินเสียงพรูลมหายใจของคนข้างกายเมื่อเขาหยุดการรักษาตัวเองนี่ลง
“พี่ถามอะไรหน่อยได้ไหม”
มันดูเหมือนจะการเป็นการตัดพ้อมากกว่าไถ่ถาม
เขาชั่งใจอยู่นานว่าควรจะปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้หรือจบทุกอย่างด้วยการลงจากรถหรูนี่ไปซะ
ตัวเลือกหลังมันก็ดูน่าใช้ได้อยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าเขายังคงพึ่งพาอีกฝ่ายในเรื่องเงินเดือนเพื่อการอยู่การกิน
และอีกอย่าง พี่สาวของเขาก็ทำใจได้มากพอที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครไปแล้ว
ยกเว้นเขาน่ะนะ
“อ่า
–ได้ครับ”
“หลบหน้าพี่ทำไม”
ถ้านี่คือการต่อยมวย
แพจินยองคงมีเครื่องหมายคำว่าน็อคดาวน์เด่นหราอยู่บนหัวไปแล้วเรียบร้อย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกพลางนึกไปถึงเหตุผลล้านแปดประการที่ลอยอยู่ในอากาศ
พร้อมที่จะให้เขาเป็นฝ่ายเลือกมันออกมาใช้
“คือ
ผมว่ามันไม่เหมาะถ้าจะทำตัวเหมือนสนิทกับลูกชาย-“
“พี่หมายถึงหกปีก่อน”
และนี่ก็คงเป็นการน็อคดาวน์รอบที่สอง
เอาล่ะ เหตุผลล้านแปดเหล่านั้นจางหายไปในอากาศ
พยายามไขว่คว้าแต่ก็เหลืออยู่แค่สองทางเลือก
“พี่เลิกกับพี่สาวผมแล้ว
มันคงไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะติดต่อกันอีก”
และผมก็น่าจะ
–คงจะ และอาจจะยังหลงรักพี่
อีกฝ่ายทำเพียงแค่แค่นหัวเราะก่อนจะเสตามองไปที่อีกฝากฝั่งของถนน
เราเงียบกันอย่างนั้นสักพัก ปล่อยให้เสียงเพลงในลิสต์เพลงโปรดของเขาคอยทำให้มันไม่ดูน่าอึดอัดจนเกินไป
เขาพยายามลอบมองปฏิกิริยาของอีกคนจากเงาสะท้อนในกระจก มันเป็นเวลาเกือบห้านาที
หรือบางทีมันอาจจะมากกว่านั้นที่อีกฝ่ายเงียบหายไป
ปล่อยให้เขาจมอยู่กับกล่องความคิดราวกับเด็กสิบเจ็ดปีไม่มีผิดเพี้ยน
“ถ้าคนเราหัดยอมรับความจริงได้ง่ายๆก็คงดีสินะ”
รู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งใบหน้าเมื่อคำพูดบางคำหลุดออกจากปากของคนที่มีศักดิ์เป็นเจ้านาย
เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงเรื่องอะไร
ยอมรับความจริงที่ว่าก็คือการที่พี่สาวของเขาต้องยอมรับงั้นหรือว่าฮวังมินฮยอนกำลังมีคนใหม่
หรือพี่สาวของเขาควรจะยอมรับความจริงที่ว่าเธอเลิกกับเขาแล้ว หรือมากไปกว่านั้น
เขาควรจะหัดยอมรับความจริงที่หลงรักอีกฝ่ายงั้นหรอ?
“ครับ?”
แพจินยองไม่ใช่คนที่เก็บความรู้สึกเก่งอะไรมากมายขนาดนั้น
เขาก็เลยคิดว่าตัวเองเผลอพูดใส่น้ำเสียงลงไปเล็กน้อย
มันฟังดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
ฮวังมินฮยอนตัดพ้อราวกับคนที่เป็นคนผิดของเรื่องนี้น่ะมันคือตัวญาติของเขา
ทั้งๆที่คนนอกใจก็คือฝ่ายชายไม่ใช่หรือไง
เขาละอยากจะตะโกนแล้วกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายมาให้มันรู้แล้วรู้รอด
–โถ่เว้ย ก็ถ้าไม่หลายใจแล้วจะเลิกกันไหมละ?
“ถ้าพี่สาวเรายอมรับความจริงได้ง่ายๆก็คงจะดี”
“ให้เขายอมรับน่ะหรอว่าคุณกำลังมีใจให้คนอื่น
เหอะ”
เราหันกลับมาสบสายตากันอีกครั้ง
คราวนี้ในแววตาคู่นั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความคาดหวังเหมือนอย่างเคย
มีแต่อะไรบางอย่างที่แพจินยองคิดว่ามันมีแต่ความเจ็บปวด และไม่
เขาจะไม่มีทางปักใจเชื่ออย่างแน่นอน
“ใช่
ถ้าเขายอมรับว่าพี่รักคนอื่นอยู่ตอนนั้น เรื่องราวมันก็คงไม่เป็นแบบนี้”
“คุณจะเห็นแก่ตัวมากเกินไปแล้วนะ!”
ตวาดเสียงดังลั่นเสียจนตัวสั่น
ความโกรธที่กักเก็บเอาไว้กับตัวเองตั้งแต่หกปีก่อนเหมือนกำลังสุมอยู่ที่อก
ไม่รู้หรอกนะว่าตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันอีกฝ่ายเอาตัวตนส่วนไหนเข้าหาเขา
แต่เขาคิดว่าไอ่ตัวตนตรงหน้านี่มันเส็งเคร็งสุดๆไปเลย
“พี่เห็นแก่ตัวตรงไหนที่รักคนอื่น?”
“คุณ-!”
“เพราะในตอนนั้นพี่กับพี่สาวของเรา
..เราเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ”
เหมือนได้ยินเสียงเพล้ง
ดังขึ้นจากส่วนลึกของจิตใต้สำนึก
แพจินยองคิดว่าเขาหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อได้ยินประโยคเหล่านั้น ภาพในอดีตที่เราสามคนไปไหนมาไหนย้อนกลับมาเป็นฉากๆ
เขาพยายามนึกถึงรายละเอียดส่วนเล็กส่วนน้อยที่อาจถูกหลงลืมไปแต่ก็พบว่ามันไม่ได้ผล
พยายามให้ตายก็เค้นไม่ออก อาจเพราะหนึ่งเขายังเด็กมากเกินไป
และสองเขาดันความทรงจำเหล่านั้นให้อันตรธานหายไปในส่วนของความรู้สึกแย่ๆเสียแล้ว
“ไม่รู้ว่านี่จะฟังดูเป็นการแก้ตัวหรือเปล่า”
“...”
“และไม่รู้ว่าเราจะยังเชื่อคำพูดพี่อยู่ไหม”
“...”
“รับรู้เอาไว้เสมอนะ
ว่าพี่ยังคงเป็นคนที่คิดก่อนพูด”
ภาพที่ไปเที่ยวสวนสนุกในวันหยุดลอยเข้ามา
ตามด้วยตอนที่เขาถูกเอาอกเอาใจด้วยไอศกรีมหลากรส ภาพตอนเขาถูกเซอร์ไพร์สด้วยของขวัญชิ้นโปรดในคืนคริสต์มาสต์
ภาพตอนวันจบการศึกษาชั้นมัธยมต้นของเขาที่ได้รับดอกไม้ช่อโต
ภาพความทรงจำเหล่านั้นไหลเข้ามาในหัวอยู่เรื่อยๆจนมันรู้สึกปวดตุ้บไปหมด
“และคนอื่นคนนั้น
–ก็คือเราไง จินยอง”
ฮวังมินฮยอนเป็นคนทำลายมิตรภาพระหว่างเราสามคนให้ขาดสะบั้น
‘อย่าไปยุ่งกับฮวังมินฮยอน’
‘เขาทิ้งพี่ไปรักคนอื่น เห็นแก่ตัวไหมละ?’
‘จินยอง นายต้องเลือกพี่มาก่อนผู้ชายพรรค์นั้นเสมอนะ!’
จู่ๆคำพูดในอดีตก็กรอกลับไปมาเหมือนเทปเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก
ท่าทางและการแสดงออกของพี่สาวทำให้เขาหลงเชื่อไปเต็มเปาว่าคนอื่นที่ว่าก็คือผู้หญิงแสนดีที่เหมาะกับพี่เขาคนนั้น
ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนอื่นคนนั้น มันจะเป็นชื่อแพจินยองอย่างวันนี้
“เขาชอบพี่มาหกปี
บางทีมันอาจจะมากกว่านั้น แต่ท้ายสุดเขาก็เลือกที่จะสารภาพมันออกมา
และพี่คิดว่าบางทีมันถึงเวลาแล้วที่ต้องจบเรื่องราวแบบนี้”
“..”
“คนเรามักมีอาการต่อต้านต่อเรื่องที่กระทบความรู้สึกทั้งนั้นแหละ”
“..”
“ใช่
–เขารับไม่ได้ที่คนที่พี่ชอบ คือเรา”
“..”
“ทั้งหมดที่อยากจะบอกมาตลอดหกปี
ก็มีเท่านี้แหละ”
อีกฝ่ายเร่งเครื่องพร้อมกับทะยานไปในท้องถนนอีกครั้ง
สำหรับแพจินยองในตอนนี้มันเหมือนกับการนั่งเครื่องบินไปที่ไกลๆ ตกหลุมอากาศ
แล้วสุดท้ายก็บู้ม แตกกระจายเป็นผุยผงอยู่กลางอากาศ เขาคิดว่านี่มันบ้า
และใช่ เรื่องบ้าๆพรรค์นี้ก็มักจะถาโถมเข้ามาแบบไม่รู้สึกตัว
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรรับมือยังไง
เขาควรทำยังไงกับข้อมูลใหม่นี้
ฮวังมินฮยอนในความทรงจำถึงจะเป็นคนที่ดีแต่มันก็ถูกกลบด้วยข้อมูลใหม่ว่าเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด
นี่อาจจะเป็นการโกหกที่ทำให้เขาตายใจก็ได้ การโกหกที่ทำให้รู้สึกผิด
การโกหกที่ดึงกระชากกล่องความรู้สึกของเด็กชายวัยสิบเจ็ดปีคนนั้นให้กลับมาอยู่ในร่างผู้ใหญ่วัยยี่สิบสามปีคนนี้
เรามาถึงหน้าบ้านของเขาในห้านาทีให้หลัง
มันเป็นห้านาทีแรกในชีวิตที่แพจินยองมองไม่เห็นทางอะไรซักอย่าง
ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ดูเหมือนจะถูกกลืนกินหายไปเมื่อสติสัมปชัญญะเขากลับมาครบถ้วน
คำว่าทำยังไง ทำยังไง ทำยังไง นี่มันเรื่องอะไร คืออะไร เกิดอะไรขึ้น
ลอยขึ้นเป็นควันจางๆเต็มกล่องความคิด
เขาไม่รู้ว่าจะสู้หน้าพี่สาวคนนั้นได้อีกครั้งไหม
หรือจะแบกหน้าไปในเช้าวันจันทร์ยังไงให้เหมือนสภาพคนปกติที่สุด และให้ตายเถอะ
เขาอยากจะกินเหล้าชะมัดยาก!
“ขอบคุณครับ”
เอ่ยขอบคุณด้วยเสียงแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบระหว่างเราสอง
คว้าเอากระเป๋าและอุปกรณ์ทั้งหมดที่เป็นของเขาไว้กับตัวและพร้อมจะเปิดประตูออกไป
แต่แล้วทั้งหมดก็หยุดชะงักเมื่อฝ่ามือที่เคยจับแต่พวงมาลัยแปรเปลี่ยนมาคว้าแขนของเขาเอาไว้อีกครั้ง
หันกลับมามองด้วยความไม่เข้าใจ
ในบรรดาคนบนโลกทั้งหมดตอนนี้
แพจินยองไม่อยากจะพบเจอหน้าพี่สาวมากพอกันกับคนตรงหน้า
เขายังไม่พร้อมที่จะวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมด ไม่อยากยอมรับ
และอยากจะให้เวลาตัวเองมากกว่านี้
สัมผัสอุ่นร้อนที่ทาบทับลงมาตรงริมฝีปากทำเอาลมหายใจขาดห้วง
เขาสะดุ้งเฮือกจนเกร็งมือแน่น
ยามที่ลิ้นชื้นไล่เล็มรอบริมฝีปากก่อนจะคว้านลึกเข้ามาข้างในตอนที่เขาเผลอทำเอาหัวใจมันเต้นตุบจนรัดแน่นไปหมด
ความรู้สึกวูบโหวงในช่องท้องแปรเปลี่ยนเป็นหินก้อนโตเมื่อใบหน้าของพี่สาวคนสนิทลอยเข้ามาในจิตสำนึก
ฮวังมินฮยอนบดจูบอยู่อย่างนั้นจนเขาต้องทุบไปที่อกเมื่อเริ่มรู้สึกจะรับไม่ไหว
หลังจากผละออกเพียงเล็กน้อยสิ่งเดียวที่แพจินยองมองเห็นก็มีเพียงแต่แววตาที่อีกฝ่ายมองมา
มันมีแต่ความเจ็บปวดและโหยหาย ราวกับหนังรักเรื่องหนึ่งที่เขาเคยดูไม่มีผิดเพี้ยน
“อย่ากินเหล้าอีกเลยนะครับ”
“..”
“ถึงเวลาหกปีจะมากพอที่จะทำให้เด็กน้อยจินยองในวันนั้นเก่งกาจเรื่องการกินเหล้าแบบในวันนี้”
“..”
“แต่หกปีมันไม่ได้มากพอ
ที่จะทำให้พี่เปลี่ยนใจหรอกนะครับ”
และนี่คือการน็อคดาวน์ครั้งที่สามสำหรับค่ำคืนนี้ของแพจินยอง
มันคงเป็นการน็อคดาวน์ที่จะเปลี่ยนกล่องความคิด
และจิตใต้สำนึกของเขาไปตลอดกาล
end
#pdxdg
ฮั่นน่อว มาแบบงงๆก็เพราะเป็นคนงงๆ 5555555 นี่คือนิยามของการลั่นค่ะ
จริงๆนี่ไม่ใช่ฟิคเรื่องแรกที่แต่งนยอนดีพนะคะ เคยมี ficlet ออกไปแล้วในทวิต ฮ่าา ไปตามอ่านในแท็กได้ค่า
สำหรับทุกคนอาจเป็นคู่พ่อลูกหน้าตาดี สำหรับคนขี้ชิปอย่างเราเองก้อ //////////
(ตราบใดที่คนพี่ยังชอบวอแว คนน้องยังคงยอมให้วอแว รับรองว่าคนพายอย่างดิฉันพร้อมทำงานเต็มเปี่ยม)
ไม่รู้จะงงๆกันไหมนะคะ ฮือ ถ้างงเม้นถามไว้ได้ค่ะ เดี๋ยวเราจะพยายามไล่่ตอบของทุกคนเลย
ไม่ถนัดแนว angst แล้วจริงๆด้วยค่ะ เขียนยากกว่า fluff อีก จาเปงลมมมม
ท้ายสุด ขอบคุณทุกคนที่ชื่นชอบนะคะ คิดว่าคงมาเรื่อยๆ แต่คงกลับไปแนว fluff แล้วค่ะ ยอมแพ้จริงๆ
และท้ายไปกว่านั้น งานใช้หนี้เรายังไม่จบค่ะ ฮ่อก เขียนใหม่รอบที่สามแล้วแงงงงงงงง
ปล.เค้ามาอีดิทคำเฉยๆค้าบ T_T
ความคิดเห็น