ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    produce 101/wannaone #pdxdg | all x baejinyoung

    ลำดับตอนที่ #2 : oneshot – ex's #hoonyoung

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.ค. 60


     





    bae jinyoung hate a birthday,
    especially his ex’s.

     

     

     

             

              วัน-เฮง-ซวย

              เขาไม่รู้จะบัญญัติวันวันนี้ยังไง เพราะนอกจากคำว่า ซวย โคตรของโคตรซวย ห่วยแตก ย่ำแย่ และเลวร้าย ก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยายได้อีก

              เพราะเมื่อคืนร้านที่เขาไปทำงานพิเศษ รุ่นพี่ที่ทำงานช่วงต่อจากเขาดันติดธุระด่วนจนพาลให้เขาต้องมารับหน้าในส่วนของพี่เขาเสียอย่างนั้น กว่าจะจัดการอะไรให้แล้วเสร็จก็ล่อเข้าไปเกือบตีสอง อย่าเรียกว่าเดินกลับหอให้เรียกว่าแบกสังขารตัวเองซะยังจะดีกว่า อย่างน้อยก็ยังนึกขอบคุณตัวเองที่นึกครื้มอยากซักผ้าก่อนออกไปทำงาน ไม่งั้นในคืนนี้เขาคงต้องนั่งถ่างตารอเจ้าเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญนั่นไปยันเช้าแน่ๆ

              จำได้ลางๆแค่พอเปิดประตูห้องได้ก็กระโดดขึ้นเตียงในสภาพทั้งอย่างนั้น เพราะวันอาทิตย์นั้นเขารับศึกหนักต้องซ้อมพรีเซนท์งานกลุ่มตั้งแต่เช้าลากยาวไปจนถึงบ่าย พอมาทำงานก็ดันโดนให้ทำงานให้สองต่อซะงั้น ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเดินไปเปลี่ยนชุดทำงานเลยแม้แต่น้อย ตัดสินใจนอนลงไปทั้ง ๆ ที่สภาพแบบนั้นนั่นแหละ

     

              แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตื่นจนตัวโยนเมื่อเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ที่แผดเสียงดังตั้งแต่หกโมงเช้าทั้งที่วันนี้ก็ไม่มีทั้งตางเรียนและธุระที่ไหนแท้ๆ

              แทบจะปาโทรศัพท์ในมืออัดกำแพงเมื่อเปิดขึ้นมาดูแจ้งเตือนนาฬิกาปลุกที่ว่า อันที่จริงเขาคงจะหัวเสียน้อยลงกว่านี้หน่อยถ้าไม่ใช่เพราะตัวอักษรไม่กี่ตัวนั่น

     

              ‘my bae’s day’

     

              แบห่ าอะไรละ เลิกกันไปนานแล้วโว้ย!



              เพราะนิสัยที่พอตื่นแล้วจะไม่สามารถกลับไปนอนได้เหมือนเดิมทำให้เขาต้องลุกขึ้นมาจากที่นอนอย่างช่วยไม่ได้ ถึงจะพยายามกลิ้งตัวไปมาให้นอนหลับก็เถอะ แต่นั่นก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเขาสักนิด

              ไม่เข้าใจเลย ทั้งที่ง่วงจนตาจะปิดอยู่แล้ว แต่พอล้มตัวลงนอนหลับตาทีไรไอ่เจ้าของต้นเหตุของแจ้งเตือนโทรศัพท์ก็จะลอยหน้าลอยตาเข้ามาอยู่ในหัวทุกที อยากจะเอาปืนมายิงให้ตายๆไปซะ แพจินยองถึงทั้งชีวิตจะเคยมีแฟนมาแค่คนเดียว แต่เขาก็มั่นใจว่าไอ่หมอนี่นี่แหละ คือคนที่เขาเกลียดที่สุด และเป็นแฟนที่ห่วยแตกที่สุด

     

              ใช่ –แฟนคนแรกเขาคือผู้ชาย

              เหตุผลมันก็ไม่ได้อะไรหนักหนาขนาดนั้น แค่เพราะเราโสด หมอนั่นเหงา และเขาก็แค่อยากลองมีแฟนดูบ้าง จู่ๆสถานะเพื่อนสนิทตั้งแต่มอต้นก็กลายเป็นคนรักชนิดที่ยังงงกันอยู่ทั้งสองฝ่าย แต่เพราะไม่คิดอะไรมากทั้งคู่ก็เลยปล่อยเลยตามเลย คิดซะว่าคบไปเล่นๆ ไม่ไหวเมื่อไหร่เดี๋ยวมันก็พังไปเอง

              ไอ่คำว่าเล่นๆที่ว่าก็ล่อเข้าไปสี่ปีเต็ม จากมอปลายปีสองก็เข้าสู่มหาลัยปีสอง ถึงจะเป็นความสัมพันธ์ที่เรียกว่าคนรัก แต่มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากที่เราเป็นอยู่เท่าไหร่ แค่มันอาจจะพิเศษขึ้นในวันที่พิเศษอย่างเช่นวันเกิดเจ้านั่นหรือวันเกิดของเขา อาจมีของขวัญเล็กน้อยในวันครบรอบ แล้วก็มีชื่อเล่นปัญญาอ่อนที่ใช้เรียกเวลาไกลกันก็แค่นั้น

              แพจินยองก็คิดว่ามันไม่มีอะไรมาก เขาก็คงจะรู้สึกกับหมอนั่นไม่มากไปกว่าเพื่อนคนหนึ่งที่พิเศษหรอก คิดแค่ว่าถ้ามันจะเพิ่มขึ้นก็ยังดีถ้าเรายังเป็นแฟนกัน

              พอรู้ตัวว่ารักก็โดนบอกเลิกชนิดที่ยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ หน้าชากันไปเป็นปีเพราะจู่ๆก็โดนโทรศัพท์ในเช้าวันเกิด ถ้าคิดว่าตอนคบมันดูประหลาด เขาคิดว่าประโยคบอกเลิกมันง่ายดายยิ่งกว่าตอนคบซะอีก พอคิดก็ยิ่งทำให้แพจินยองรู้สึก ถ้ารู้แต่ว่ามันจะจบแบบนี้ก็คงจะไม่ถลำลึกลงไปตั้งแต่แรก

              เลิกกันเถอะ

              โทรมายังไม่ทันจะสามสิบวินาทีด้วยซ้ำ สั้นกว่าตอนรอสายจากเขาอีกล่ะมั้ง พอจะถามไถ่ว่าเป็นบ้าอะไรก็โดนตัดสายใส่ ทว่าโทรกลับไปก็ไม่รับ นอกจากนั้นยังโดนปิดเครื่องหนี ความรู้สึกของเขา ณ ตอนนั้นมันเคว้งไปหมด เพราะเป็นมนุษย์ที่ไม่รู้จักการเข้าสังคมเลยแม้แต่นิด ทั้งชีวิตนอกจากเพื่อนที่คบอยู่สองสามคนและเจ้าแฟนเก่างี่เง่า แพจินยองก็ไม่เข้าหาใครอีก

              ช็อคไปสามวันถึงได้รู้ตัวว่าควรจะไปหาหมอนั่นที่คอนโด แต่พอไปถึงก็กลายเป็นโดนประกาศขายหนีกันไปซะงั้น ครั้นจะตามไปถึงบ้านก็ดันนึกได้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งเอ่ยปากไปว่าทางบ้านเพิ่งจะย้ายออกจากบ้านเกิด ไม่รู้จะไปตามหาได้จากที่ไหน ที่ทำได้มากที่สุดก็คือไล่ถามทุกคนที่พอจะรู้จักถึงได้รู้ว่าอดีตแฟนของเขาก็มีชื่อเสียงไม่เบา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครซักคนที่จะให้คำตอบกับเขาได้เลย

              เพราะเรียนกันคนละคณะ อย่างมากที่สุดก็ทำได้แค่นั่งรออีกฝ่ายใต้ตึกอย่างที่เคยทำอยู่เป็นประจำ นอกจากจะพังล่มไม่เป็นท่า ยังทำให้เขาได้ผลตอบแทนมาเป็นอาการหวัดที่กว่าจะหายก็ปาเข้าไปสิบวันเต็มๆ พอหายหวัดดีก็เลยตามหาไปทั่วทั้งร้านอาหารโปรด คาเฟ่แมวที่ติดอกติดใจนักหนา ที่ที่คิดว่าอีกฝ่ายจะไป ถึงจะมีเพื่อนช่วยคอยตามหาให้อีกตั้งสองคน แต่ข้อมูลของหมอนั่นก็ไม่ได้เพิ่มอะไรมากไปกว่าไอ่ทุเรศที่ทิ้งคนอื่นได้ลงคอ

              แพจินยองสัญญาว่าถ้าเจอหน้า พัค จีฮุนอีกหน มันจะไม่จบแค่หมัดเดียวแน่ๆ

             

    พอนึกถึงพัคจีฮุน ทุกอย่างก็ดูจะเฮงซวยไปเสียหมด ทั้งเปิดหน้าต่างออกก็ต้องช็อคเมื่อพบว่าผ้าที่ตากเอาไว้ให้หายอับดันโดนฝนที่น่าจะตกเมื่อเช้ามืดสาดเข้าเต็มๆ และเพราะเป็นคนไม่ชอบแต่งตัว เสื้อผ้าที่มีก็ดูจะเหลือแต่ชุดนอนกับเสื้อต้องห้ามที่ประกาศกร้าวไว้แล้วว่าจะไม่มีทางเอามันขึ้นมาจากหลุมดำนั่นอีกแน่ ถึงจะเลิกกับอีกฝ่ายไปได้แค่ปีกว่าๆก็ตามทีเถอะ

              เสื้อเนื้อดีที่ถูกบรรจงคัดเลือกโดยแฟนเก่าทุเรศ ถึงจะเป็นแค่เสื้อยืดสีขาวธรรมดา แต่อีกฝ่ายก็ช่างคิดและช่างขี้แกล้งส่งไปปักตรงอกข้างซ้ายเป็นตัวอักษรสีแดงเล็กๆ ที่อ่านทีไรก็ขนลุกทุกที

              ‘my present’

              ทำไมต้องมาใส่เสื้อแฟนเก่าในวันเกิดของแฟนเก่าและมากไปกว่านั้น

              ทำไมเขาต้องมานั่งคิดถึงเจ้าพัค จีฮุนอะไรนั่นด้วย!

             

              เริ่มต้นวันเฮงซวยด้วยทุกอย่างที่เกี่ยวกับแฟนเก่าคงยังทำร้ายความรู้สึกกันไม่พอ พระเจ้าถึงได้ลงโทษเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอตื่นขึ้นมาแล้วจะให้อยู่แต่ในห้องก็คงหดหู่(แม้จะอยากหลับมากที่สุดก็เถอะ แต่ถ้าหลับแล้วหมอนั่นยังตามมาหลอกมาหลอน ไม่เอาหรอก!) เลยคิดว่าจะออกมาซื้อของใช้ที่ห้างฆ่าเวลาและประหยัดค่าแอร์ห้องไปได้หน่อย

              เพราะหน้าร้อนของเกาหลีก็คือหน้าร้อน และหน้าร้อนไม่สมควรจะมีฝนตก เขาก็เลยเลือกที่จะไม่สนใจพยากรณ์อากาศที่ว่าพายุจะเข้า ก็คิดเข้าข้างตัวเองหน่อยละนะว่าคงจะไม่มีอะไรซวยไปมากกว่าที่ผ่านมาหรอก ถึงได้ใจกล้าเดินออกมาข้างนอกทั้งที่ใส่เสื้อผ้าเบาสบายสุดๆ ทั้งเสื้อกันหนาวสีดำ เสื้อยืดสีขาว(ที่เขาคิดว่าจบวันนี้ไปคงได้เริ่มลงมือเผาอย่างจริงจัง) และกางเกงยีนส์สีอ่อน ทุกอย่างมันดูลงตัวเสียจนเขาคิดว่าคำสาปวันเกิดพัคจีฮุนคงจะหมดฤทธิ์แล้วล่ะ

              และเพิ่งค้นพบกับตัวเองนี่แหละว่ามันไม่มีวันจางหาย

              เดินยังไม่ทันจะสิบนาทีดี ทั้งที่ป้ายรถเมล์ก็ยังอยู่อีกไกล แต่ฝนก็ดันตกหนักซะจนหาที่หลบฝนแทบไม่ทัน แถมที่ที่ไปหลบยังเป็นมินิมาร์ทเล็กๆที่ชอบเปิดแอร์เย็นฉ่ำซะด้วย

              ตัวสั่นงกๆเลยล่ะตอนที่เหยียบเข้าไปครั้งแรก ถ้าเกิดนี่เป็นหน้าร้อนปกติเขาก็คงจะนึกขอบคุณเจ้าของร้าน แต่เพราะฝนที่ตกหนักจนตัวเปียกไปหมดถึงได้ทำให้อากาศในมาร์ทตอนนี้มันแย่สุดๆไปเลย คิดว่าจะซื้อรามยอนซักถ้วย ต้มกินรอระหว่างให้ฝนซาลงดีกว่า แบบนั้นก็คงจะทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย และก็จะไม่ลืมที่จะซื้อร่มติดมือซักคั-

              “ร่มหมดแล้วจ้ะ”

              “หมดแล้วหรอครับ?” 

              อยากจะเอาหัวโขกเคาน์เตอร์บาร์แล้วแปลงร่างเป็นเดอะฮัลก์มันซะตอนนี้ ไม่รู้ว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรนักหนา แม้แต่ร่มคันเดียวก็จะไม่มีให้เขาเลยงั้นหรอ มันชักจะมากเกินไปแล้วนะพัคจีฮุน!

              ใบหน้าเล็กที่มีแก้มตอบรับกับดวงตากลมทำให้เขาดูแข็งกร้าวขึ้นมาในชั่วพริบตาเมื่อขมวดคิ้ว ซึ่งอันที่จริงก็มักจะโดนว่าบ่อยๆจาก –ไอ่ตัวเฮงซวย อะนะว่าให้เลิกทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวคนจะกลัวกันหมด แต่ตอนนี้เขาไม่สนอะไรอีกแล้ว เพราะวันนี้มันหนักหนาเกินกว่าจะรับไหว และถ้ามีเรื่องอะไรร้ายแรงไปกว่านี้ เขาจะเอาคืนกับพัคจีฮุนให้สาสมเลย คอยดู!

              -แต่ขอหาเจ้าหมอนั่นให้เจอก่อนเถอะ

     

               

              ท้ายสุด วันทั้งวันก่อนจะไปรับศึกกับการทำงานพิเศษที่ร้านก็นับว่าไม่มีเรื่องน่าหงุดหงิดไปมากกว่าเดิม แค่นั่งรถเลยป้าย แค่ร้านฟาส์ตฟู้ดทุกร้านคนเต็มแน่นเอี๊ยด แค่แชมพูที่ใช้ประจำก็ดันมาหมด แค่คิดวางแผนเล่นๆว่าจะทำอะไรก็ต้องล่มไปทุกที

              แค่เจอคนที่เหมือนจะเป็นจีฮุน แต่ก็ไม่ใช่

     

                ไม่ใช่หรอก จีฮุนตอนนี้ก็คงเป็นแค่ไอเด็กนิเทศที่วันๆไม่ทำอะไรนอกจากเล่นเกม หลีสาว แล้วก็แต่งตัวประหลาดล่ะนะ ไม่มีทางเป็นคนที่แต่งตัวยังกับหลุดออกมาจากนิตยสารหรอก พัคจีฮุนคงไม่มีทางแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีพื้น ถ้าจะให้เป็นหมอนั่นจริง มันต้องเป็นอะไรที่หลุดโลกไปเลย เช่น เชือกผูกรองเท้าสีเขียวและแดงนีออน แว่นกรอบเหลี่ยมใหญ่ หรืออะไรก็ตามที่แพจินยองคนนี้ลงความเห็นว่า ปัญญาอ่อน

              เพราะถ้าหมอนั่นคือพัคจีฮุนจริง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้มันคงดูเลวร้ายน้อยลงไปเลยด้วยซ้ำ

              พอตกเย็นก็รับงานหนักเป็นพี่คนเดิมอีกนั่นแหละที่ทั้งขอร้องและแทบจะลงไปคุกเข่าขอให้เขารับช่วงงานของตอนสี่ทุ่มถึงตีหนึ่งให้หน่อย แม้ใจจะอยากปฏิเสธไปแทบตายแต่พอเห็นใบหน้าหวานของอีกฝ่ายพร้อมสายตาเว้าวอนถึงได้รู้ว่าแพจินยองคนใจแข็งมันไม่มีอยู่จริง

              งานพาร์ทไทม์ของเขาก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเด็กเสิร์ฟในบาร์และภัตตาคาร ถึงหลายครั้งจะชอบโดนทักว่าโกงบัตรประชาชนเข้ามาก็เถอะ ที่เหนื่อยก็เห็นจะเป็นลูกค้าที่ชอบเมาแล้วเรื้อน ยิ่งพอช่วงตกดึกเข้าหน่อยก็มักจะควบคุมกันไม่ได้ ตามปกติแล้วเขามีหน้าที่ดูแลในส่วนของภัตตาคารช่วงหกโมงไปจนถึงสี่ทุ่ม หลังจากนั้นก็จะถูกเปลี่ยนจากภัตตาคารเป็นผับหรูที่มักจะมีแต่พวกมือหนักและคนมีหน้ามีตาเข้ามาใช้บริการ(อันนี้ก็ฟังเขาว่ากันมาอีกที ถึงเวลาแต่ละคนเมาจะไม่ได้ดูผู้ดีอย่างที่ว่าก็ตามทีเถอะ)

              เพราะรับช่วงต่อของพี่มินกิที่เป็นเด็กเสิร์ฟเครื่องดื่มในช่วงกลางคืน เขาก็เลยต้องตรากตรำทำงานหนักไปถึงเจ็ดชั่วโมงเต็ม พอจะได้พักอยู่หน่อยก็ตอนเขาปรับเปลี่ยนสถานที่แต่นั่นก็ไม่ได้รู้สึกเพียงพอเลยซักนิด เขาแทบจะกลายเป็นซอมบี้ทันทีที่รู้ว่าต้องเริ่มทำงานกะดึก อยากนอนใจแทบขาด

             

              “จินยอง วันนี้มีลูกค้ามาฉลองวันเกิดที่โต๊ะใหญ่นะ ฝากดูแลแทนมินกิด้วยได้ไหม?”

              พี่จงฮยอนบาร์เทนเดอร์ที่มักจะใจดีกับเขาเสมอทักทายเขาด้วยประโยคที่ดูจะไม่รักษาน้ำใจกันเลย อดคิดไม่ได้ว่ายังมีคนโชคร้ายที่ดันเกิดวันเดียวกับเจ้าจีฮุนเฮงซวยนั่นด้วยหรอ

    ขาพยักหน้ารับเพราะมันก็ไม่น่าจะเป็นงานหนักหนาสาหัสอะไร ไม่ว่าจะลูกค้าประเภทไหนเขาก็คงรับมือได้หมด หวังว่าคงไม่เป็นพวกตาแก่ที่คิดหวังจะเคลมเด็กเสิร์ฟในร้านหรอกนะ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงเหนื่อยจะต้องมานั่งตามใจแน่ๆ

    พี่จงฮยอนบอกว่าลูกค้าเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ เพื่อนที่เป็นลูกเจ้าของร้านก็เลยอยากช่วยฉลองวันเกิดด้วยการจองโต๊ะสุดพิเศษให้โดยเฉพาะ แถมยังเตี๊ยมกับพนักงานในร้านว่าขอเป็นเซอร์ไพร์สที่พิเศษที่สุดเท่าที่จะทำได้ เท่าที่ฟังมาหน้าที่ของเขาก็แค่รอจังหวะตอนไฟดับลง ค่อยๆเดินไปตรงโต๊ะนั่นพร้อมกับเค้กรสช็อคโกแลตและเทียนที่ปักอยู่รายล้อม เขาจะต้องถือมันอย่างเบามือและระมัดระวังที่สุด เพราะพี่จงฮยอนก็กำชับมาอีกทีว่าถ้าเกิดมันเป็นไปได้ด้วยดี ค่ำคืนนี้เขาคงจะได้รางวัลพิเศษเป็นทิปที่ใช้กินได้ตลอดเดือน

    ถึงมันจะฟังดูแปลกๆก็เถอะ แค่เดินเสิร์ฟมันจะไปยากอะไรขนาดนั้น ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกชายเจ้าของร้านถึงได้ใจปล้ำลงทุนจ่ายเงินขนาดนี้แค่เพื่อให้เขาเดินไปเสิร์ฟเค้ก ถ้าไม่บอกมาก่อนว่าเป็นเพื่อน เขาก็คงคิดว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ

    เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเดินเสิร์ฟ ก็อดจะประหม่าจนมือชื้นเหงื่อไม่ได้ ยอมรับว่ากดดันเล็กน้อยเพราะแขกงานฉลองวันเกิดก็ดูจะเยอะเหมือนกัน แถมเขายังทำงานหนักจนหลอนเห็นเพื่อนสนิทสองคนแว้บไปแว้บมาในงานซะด้วย เมื่อเพลงที่ทุกคนร้องเพื่ออวยพรวันเกิดจบลง ก็จะลงจังหวะที่เขามายืนอยู่ตรงหน้าของอีกฝ่าย พร้อมกับเค้กในมือ และคำกล่าวว่า แฮปปี้เบิร์ดเดย์ พร้อมกันรอบวง

     

    ก็เพราะลืมคิดไปว่าคำสาปพัคจีฮุนมันยังไม่หมดวัน

    .

    .

    เหมือนจะลืมคิด –มากเกินไปหน่อย

    .

    ผลของคำสาป มันเลยได้มาปรากฏอยู่ตรงหน้า หน้าเค้กสุดพิเศษนี่เลยล่ะ แถมยังมีลมหายใจ และเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าทุเรศที่สุดในโลก

    พัค จีฮุนตัวจริงเสียงจริง ที่นั่งแสยะยิ้มอยู่ตรงหน้านี่ไงละ

    และแพจินยองก็ได้ชวดเงินทิปสุดพิเศษตลอดทั้งเดือนไปแล้วเรียบร้อย

    พลั่ก!

    “ไอ่คนทุเรศ!

     

     

     

     

                ถามว่าเสียใจไหม ตอบได้ตรงนี้เลยว่าไม่

              แพจินยองไม่เสียใจหรอกนะกับเงินค่าทิปตลอดทั้งเดือนนั่นน่ะ เขาไม่ได้มีความจำเป็นเรื่องเงินขนาดนั้น

    เขาน่ะ คิดแค่ว่า เงินไม่กี่วอนทำงานไม่กี่เดือนก็เก็บได้ แต่การได้ต่อยหน้าพัคจีฮุนรอเป็นปีก็ยังทำไม่ได้

     

              เหมือนจะตกอยู่ในสภาวะงงกันไปเป็นแถบๆ ทุกคนในงานหรือแม้แต่เจ้าของความคิดอย่างคิมซามูแอลก็ดูจะคิดหาคำพูดออกมาไม่ทัน และมันก็ทำให้เขาได้รู้ว่าไม่ใช่เพราะทำงานหนักหรือคิดมากไป แต่เพราะเพื่อนสนิทของเขาทั้งสองคนอย่าง แดฮวี และ ฮยองซอบ ก็เหมือนจะเป็นแขกในงานอันทรงเกียรตินี้ด้วย

              แต่คนที่ดูจะมีสติที่สุดนอกเหนือจากแพจินยองก็คงเป็นคนตรงหน้านี่แหละ เพราะหลังจากได้รับหมัดเข้าไปเต็มเบ้า อีกฝ่ายก็นั่งนิ่งและทำเพียงแค่กุมใบหน้าบริเวณที่เจ็บเอาไว้ พร้อมกับจ้องมองเขาราวกับว่าเขาทำอะไรผิดหนักหนาซะอย่างนั้น

              สารเลว

              คนที่ควรจะต้องใช้สายตามองแบบนั้นมันคือเขาไม่ใช่หรือไง? มันควรจะเป็นเขาสิ คนที่โดนทิ้งให้อยู่คนเดียวในวันเกิดของตัวเองน่ะ มันควรจะเป็นเขาไม่ใช่หรือไงที่มีสิทธิ์มองอีกฝ่ายแบบนั้น เขาที่จู่ๆก็โดนบอกเลิกกะทันหัน เขาที่ยังไม่รู้อะไรเลยซักอย่าง เขาที่ต้องสะดุ้งตื่นทุกครั้งที่เผลอฝันถึงแฟนเก่าอย่างหมอนั่น มันควรจะเป็นเขาไม่ใช่หรือยังไงที่มีสิทธิ์โกรธอีกฝ่าย

              “ไหน- ไหนยูบอกว่า –เขาเป็นยัวร์บอยเฟรนด์ไงเล่า จีฮุน!

              “บอยเฟรนด์ห่าอะไร เลิกกันไปเป็นปีแล้วโว้ย!

              โอโห จู่ๆก็ดูเหมือนจะใจกล้าขึ้นมาสิบเท่าถึงได้พูดตอกหน้าลูกชายเจ้าของร้านไปอย่างไม่คิดถึงงานของตัวเองเลยแม้แต่น้อย กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็หันไปตวาดพร้อมใบหน้าไม่สบอารมณ์นี่แหละ ถึงจะพูดว่าไม่แคร์เงินขนาดนั้นแต่ตอนนี้ก็ตกงานไม่ได้จริงๆ ยิ่งถ้าต้องโดนไล่ออกด้วยปากตัวเองนี่ก็ยิ่งไม่ควร  

              ฝ่ายลูกเจ้าของร้านก็ดูจะตกใจไม่ใช่น้อยเหมือนกัน เพราะตั้งแต่เข้ามาทำงานที่ร้านคิมซามูแอลก็พยายามจะชวนเขาพูดคุยด้วยตลอด มันคงเป็นที่ประหลาดตาไปเลยล่ะเมื่อแพจินยองเจ้าของฉายาน้ำแข็งที่ใครต่อใครในครัวชอบขานเรียก ดันเป็นคนเดียวกันกับที่ต่อยหน้าลูกค้าคนพิเศษ และยังเป็นคนคนเดียวกันกับลูกจ้างหน้าหนาที่กล้าตอกหน้าเจ้าของร้านแบบนี้อีกด้วย

              แพจินยองรีบโค้งขอโทษให้กับผู้มีอำนาจมากกว่า แล้วตวัดสายตาไปมองไอ่ตัวต้นเหตุทั้งหมดที่นั่งลอยหน้าลอยตาเหมือนในความฝันหลอนๆนั่นไม่มีผิด ถ้าไม่ติดว่าครัวฝั่งนั้นปิดไปแล้วนะ เขานี่แหละจะเป็นคนวิ่งไปหยิบมีดเอามาแทงเจ้าหมอนี่เอง!

              พอเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติ ก็หันหลังเตรียมจะกลับเข้าที่ของตัวเองราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ใช่ แล้วเขาก็ไม่มีวันจะขอโทษเจ้าแฟนเก่างี่เง่านี่ด้วย

     

              “นี่ พนักงานเสิร์ฟร้านยูเขาขึ้นชื่อว่าบริการดีไม่ใช่หรอ ต่อยหน้าลูกค้าแบบนี้... จะรับผิดชอบยังไงดีละ?”

              “เอ่อ–“

              “อยากโดนอีกหมัดหรือไงพัคจีฮุน!

              ถึงจะไม่ได้เจอกันปีกว่า แต่ความกวนประสาทของอีกฝ่ายไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย กลับกันยังดูจะมีความสุขมากซะจนเขารู้สึกคันมือยิบยับไปหมด เดือดร้อนไปถึงเพื่อนที่ต้องมาห้ามทัพอย่างแดฮวีและฮยองซอบที่ออกมาดึงเขาไม่ให้เข้าไปต่อยอีกรอบอย่างตั้งใจ ก็พยายามจะคิดในแง่ดีล่ะนะว่าเพื่อนเป็นห่วงกลัวว่าสถานการณ์จะแย่ไปกว่าเดิม แต่มันก็ลบล้างความผิดของเจ้าสองคนนี้ที่มีสิทธิ์ได้มาร่วมงานวันเกิดของพัคจีฮุนคนทรยศไม่ได้ไม่ใช่หรือไง

              “ขอโทษแทนพี่จินยองด้วยนะครับ”

              จากโดนเพื่อนทั้งสองขนาบข้างและรั้งข้อมือเอาไว้ไม่ให้พุ่งไปทำร้ายแขกของร้าน ก็กลับกลายเป็นเด็กอีกคนเข้ามาแทนที่ มือของเขาที่กำเอาไว้แน่นถูกคลายลงพร้อมประสานเข้ากับฝ่ามืออีกฝ่ายได้อย่างพอดิบพอดี หันไปมองหน้าเจ้าเด็กตัวสูงด้วยความสงสัยถึงได้รับสีหน้าอมยิ้มพร้อมตาที่ขยิบเป็นสัญญาณว่ารู้กันมาให้

              “พอดีเมื่อคืนพักผ่อนน้อยก็เลยหงุดหงิดง่ายน่ะครับ สำหรับความเสียหายทั้งหมดทางเรายินดีรับผิดชอบให้ แต่ตอนนี้ต้องขอตัวพี่เขาก่อนนะครับ”

              เด็กน้อยโค้งขอโทษทุกคนด้วยความนอบน้อม เขาอมยิ้มเล็กน้อยให้กับความมีมารยาทของอีกคน นับว่าไม่เสียดายที่เคยเลี้ยงไอติมเจ้าเด็กนี่แทบทุกคืน ตั้งแต่รู้จักกันมาเพิ่งจะเคยเห็นว่าทำตัวเป็นประโยชน์มากๆก็วันนี้นี่แหละ

              พอโดนกระตุกฝ่ามือที่ถูกกุมเอาไว้เขาก็โค้งตัวลงตามมารยาท(ถึงจะฝืนใจอยู่หน่อย) ก่อนจะเดินตามแรงจูงของเจ้าไลควานลิน เด็กเสิร์ฟหน้าตาดีสัญชาติจีนที่เข้ามาทำงานในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกับเขาพอดี

              ถ้าไม่นับเรื่องชอบวอแวจนต้องโดนปรามอยู่บ่อยๆว่ารำคาญ ไลควานลินก็เป็นเด็กน่ารักคนหนึ่งที่พึ่งพาได้ มักจะฉลาดเป็นกรดในเรื่องการเอาตัวรอดในสถานการณ์อันตราย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ช่วยพี่มินกิให้พ้นเงื้อมมือของพวกตาแก่ตัณหากลับ ทั้งยังช่วยเขาให้รอดพ้นจากพัคจีฮุนด้วย จบงานคืนนี้ก็คงต้องมีเลี้ยงขอบคุณกันสักหน่อย

              “ขอบคุณ”

              รู้สึกกระดากปากที่ต้องพูดคำนี้กับเจ้าเด็กจอมเกาะแกะ แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าถ้าหากเขาไม่ได้ควานลินเข้ามาห้าม การได้ต่อยพัคจีฮุนอีกครั้งหรือจะเป็นการที่เขาโดนคิมซามูแอลไล่ออกคงได้เกิดขึ้นจริงจากที่คิดเอาไว้แน่ๆ

              “อะไรนะ”

              ก็เป็นซะแบบเนี้ย

              มองใบหน้าของคนที่ตีเนียนกุมมือของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อยตั้งแต่เดินออกมาจากจุดเกิดเหตุ แถมยังยิ้มกว้างชอบใจนักหนาที่ได้ลากเขาไปนู่นมานี่ เพราะนอกจากแพจินยองจะเป็นมนุษย์ไม่ถูกกับสังคม เขายังเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่ใต้การบังคับของใครอีกด้วย พลาดหนึ่งครั้งนี่กะจะเก็บเรียบให้หมดเลยใช่ไหมเจ้าเด็กต่างด้าว!

              “ขอบ-คุณ”

              กระแทกเสียงตัดด้วยความรำคาญพร้อมกระตุกมือให้หลุดจากการจับกุม แต่ก็นะ เหนียวยิ่งกว่ากาวอีกมั้งมือของอีกฝ่ายเนี่ย

              “แหม ชื่นใจจัง –ว่าแต่จินยองรู้จักเขาหรอ?”

              นอกจากจะชอบวอแวเขาให้ได้โดนด่าอยู่ตลอด ไลควานลินก็มักจะเมินเฉยต่อการใช้สรรพนามแทนเขาด้วยคำว่าพี่ ไม่ใช่ว่าไม่เคยเตือน แต่เพราะด่ามามากจนเหนื่อยใจที่จะพูดก็เลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

              ถูกจูงมาได้สักพักถึงพึ่งรู้ตัวว่าเข้ามาอยู่ในบริเวณห้องครัวแล้วเรียบร้อย เพราะภัตตาคารปิดไปแล้วตั้งแต่สี่ทุ่ม คนงานที่เหลืออยู่ก็จะมีเพียงแค่คนที่รับผิดชอบทำเมนูง่ายๆ จึงลดจำนวนคนที่เคยใช้ชีวิตอย่างแออัดในนี้ได้ลงไปเกือบครึ่ง เมื่อเดินทะลุห้องครัวไปก็จะเป็นห้องพักพนักงานที่เขาชอบแอบเข้ามางีบหลับอยู่บ่อยๆ

              ไลควานลินจุงมือเขาไปหยุดอยู่ตรงม้านั่งตรงกลางห้องพักของพนักงาน ก่อนจะดันไหล่ให้เขานั่งลง พร้อมกับย้ายตัวเองมานั่งด้วยกัน

              “อือ แฟนเก่าอะ”

              จากที่ยิ้มกว้างชอบใจก็ชะงักและหันมามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ คงจะคิดล่ะสิว่าคนที่ไม่ชอบสุงสิงกับใครอย่างเขาหรือจะไปมีแฟนได้ลง เอาเถอะ เขาเองก็แปลกใจตัวเองไม่น้อยที่ไปทนคนอย่างหมอนั่นได้เป็นปีๆ

              “แฟนเก่า? แฟนที่แบบ คนรักอะนะ?”

              “อือ”

              “เคยมีแฟนด้วยอ่อ? แพจินยองเนี่ยนะ?”

              เอาล่ะ รู้สึกคิ้วจะกระตุกนิดหน่อยละที่ได้ยินคำถามจากเจ้าเด็กนี่ ก็รู้อยู่หรอกว่ามันค่อนข้างน่าประหลาด แต่ก็ไม่เห็นจะต้องตกใจอะไรขนาดนั้น

              “เออ”

              “คบกันนานปะ? แล้วทำไมถึงเลิกกันอะ”

              สีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้นี่มันน่าจิ้มให้ตาแตกจริงๆ เข้าใจบ้างไหมว่าไอ่สิ่งที่อยากรู้อยู่เนี่ยมันแทงใจดำคนอื่นเขาเข้าอย่างจัง

              “ไม่บอก”

              “บอก”

              “...”

              “บอก”

              “...”

              “จะบอกดีๆหรือจะให้ไปถามแฟนเก่า”

              “สี่ปี ไม่มีสาเหตุเพราะโดนเขาบอกเลิก พอใจยัง”

              “คนอย่างจินยองโดนทิ้งได้ด้วยหรอเนี่ย”

              มนุษย์จินยองมันเป็นสัตว์สปีชี่ส์แตกต่างจากชาวบ้านเขานักหรือไงถึงได้แปลกใจนักหนาเนี่ย เป็นคนไม่ชอบยุ่งกับใครก็จริงแต่ก็ไม่ได้ความว่าจะไม่เคยมีแฟนและไม่เคยถูกทิ้งซักหน่อย หรือเพราะตัวเองมีแต่คนเข้าหาถึงได้ฟังดูไม่เข้าหูนักเวลาคนอื่นเขาโดนทิ้งกันแน่

              “จะอยากรู้อีกนานปะ”

              “ก็อยากรู้ทุกเรื่องของจินยองอ่ะแหละ”

              ...

              ไม่อยากให้รู้โว้ย!

              อ่าใช่ นอกจากไลควานลินจะเก่งเรื่องวอแวคนอื่น ไลควานลินยังเก่งนักเรื่องไม่เคยละเลิกความพยายามที่จะจีบแพจินยองด้วย ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ตัว ปรามไปก็แล้ว พูดตรงๆก็แล้ว ด่าก็แล้ว ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านอะไรซักนิด ก็เลยคิดว่าปล่อยเลยตามเลยมันไปล่ะกัน พอมาคิดดูอีกทีดูท่าว่าเขาจะยอมเจ้าเด็กนี่มากเกินไปหน่อยแล้วล่ะมั้ง

              “ไปทำงานละ”

              เดินหนีจากอีกฝ่ายแต่ก็โดนฉุดข้อมือเอาไว้อีกจนได้ เขาไม่ได้ชอบนักหรอกนะ แล้วก็รู้ตัวดีด้วยว่าที่ทำอยู่มันคือการให้ความหวังกับอีกฝ่าย เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าตัดสินใจพัฒนาความสัมพันธ์กับเด็กนี่มันจะดีหรือเปล่า แต่เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าไอ่ความคิดทั้งหลายทั้งแหล่ที่เกิดขึ้นเนี่ยเพราะต้องการจะประชดเพื่อลืมคนเฮงซวยทั้งนั้น เลยคิดว่าเป็นแค่เพื่อนกันแบบนี้แหละจะดีที่สุด เดี๋ยวพอเจอคนใหม่ไลควานลินก็จะลืมเขาไปได้เอง

                “จินยอง –ยังลืมเขาไม่ได้หรอ?”

              “..”

              “รู้ใช่ไหมว่าทำแบบนี้เพราะอะไร”

              “ปล่อยเร็ว จะไปทำงานแล้ว”

              เขาไม่ค่อยชอบสถานการณ์แบบนี้เท่าไหร่ โดยเฉพาะตอนที่ต้องตกมาอยู่ในสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังแบบนี้ และบางทีนี่อาจจะเป็นหนึ่งในคำสาปของพัคจีฮุนก็ได้

              เพราะสายตาของไลควานลินน่ะ

             

                “จินยองจะรักเขาก็รักไปสิ แต่อย่าทำเหมือนมองไม่เห็นความรู้สึกกันแบบนี้เลยนะ”

              มันไม่ควรจะต้องมาใช้กับคนที่รักใครไม่เป็นเหมือนเขาเลยนะ..

     

     

     

     

              “นั่นใคร”

              “...”

              “แพจินยอง รู้ใช่ไหมว่าไม่ชอบถามซ้ำ”

              แล้วไม่รู้อ่อว่าไม่ชอบมนุษย์แฟนเก่าเหมือนกัน

             

              ตั้งแต่เดินออกจากที่ทำงานก็รู้สึกเหมือนจะมีสัมภเวสีตามติดไปทั่ว เพราะโดนพี่จงฮยอนทำโทษฐานสร้างความวุ่นวายในร้านก็เลยต้องยกเก้าอี้ทั้งหมดเองคนเดียวเก็บไว้ให้เป็นระเบียบ ทั้งยังโดนอบรมเดี่ยวเข้าไปอีกสิบนาทีที่ดันลักลอบแอบเข้าห้องพักทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา

              ส่วนไอ่ตัวต้นเหตุที่เป็นแกนนำลากเขาเข้าห้องเนี่ย หลังจากตัดพ้อก็หลบหน้ากันเฉยเลย แถมยังจงใจเข้าไปบริการโต๊ะของพัคจีฮุนอยู่ตลอดอีกด้วย แล้วก็คงจะไปฟ้องพี่จงฮยอนว่าเขาน่ะเป็นฝ่ายลากเข้าห้องพักไปเองถึงได้โดนสวดจนยับอยู่คนเดียวนี่ไง

              พอเปิดประตูหลังของร้านก็ต้องเจอกับลูกค้ากิตติมศักดิ์ที่เป็นถึงเพื่อนสนิทของหัวหน้ายืนทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ตรงทางออก อยากตะโกนด่ามันซะตรงนี้ว่าบ้านช่องไม่มีให้กลับหรือไงดึกดื่นป่านนี้ แต่เพราะรู้อยู่ว่าถ้าได้พูดออกไปมันคงจะต้องยืดยาวมากกว่านี้อีกแน่ และเขาก็ไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตไร้มนุษยธรรมอย่างคนแถวนี้ซักเท่าไหร่

              “ใคร”

              “...”

              “นั่นใคร”

              “...”

              “แพจินยอง รู้ใช่ไหมว่าไม่ชอบถามซ้ำ”

              “ยุ่ง”

              “จินยอง!

              โดนบีบข้อมือจนต้องเบ้หน้าเพราะความเจ็บ เล่นกันมาตั้งนานพอจะรู้อยู่หรอกว่าแรงของอีกฝ่ายไม่ใช่ธรรมดา แต่ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะแรงจนเขาต้องร้องบอกให้ปล่อย แถมสีหน้าก็ยังขึ้นริ้วแดงๆที่เขาก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าเพราะความโกรธหรือเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์กันแน่

              “ขอโทษ .. เอ่อ -เจ็บไหม?”

              “เมาแล้วก็อย่าเรื้อน”

              สะบัดข้อมือไปมาเพราะความเจ็บจากแรงบีบ พัคจีฮุนทั้งตอนที่ยังคบกันและตอนที่มีสถานะเป็นแค่แฟนเก่า เวลาเมาก็ยังน่ารำคาญเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน เขาไม่ชอบให้อีกฝ่ายดื่มแอลกอฮอล์ก็เพราะรู้ดีว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้

              “ไม่ได้เมานะ แค่โกรธนิดหน่อย”

              สีหน้าของอีกฝ่ายสลดลง แต่ถึงมันจะแฝงไปด้วยใบหน้าของความรู้สึกผิดเขาก็ไม่ยกโทษให้ง่ายๆหรอก เขาไม่ใช่ของตายที่คิดว่าจะบอกเลิกแค่โทรมาก็จบ บทคิดจะกลับเข้ามาในชีวิตก็มาเจ้ากี้เจ้าการราวกับยังรักกันอยู่ เขาไม่ได้โง่ถึงขนาดจะกลับไปโดนหลอกซ้ำๆซากๆหรอกนะ

              “บอกไม่ได้หรอ”

              “บอกอะไร”

              “คนนั้น เอ่อ -คนที่เข้ามาลากนายอ่ะ เป็นใครหรอ”

              “แฟนใหม่”

              ปล่อยระเบิดไว้แค่นั้นก่อนที่จะเดินเลี่ยงมาอีกทาง เขาไม่ชอบนักหรอกนะที่จะต้องมานั่งเถียงกับพัคจีฮุนหรือจะโดนอีกฝ่ายไล่ต้อนแบบนี้ ไม่ชอบเข้าไปใหญ่เพราะตอนนี้เขาง่วงเต็มแก่ อยากจะนอนลงมันตรงนี้แต่ก็กลัวจะมีตำรวจมาไล่เพราะคิดว่าเป็นคนไร้บ้าน(ถึงสภาพจะเหมือนซอมบี้อยู่ก็เถอะ) สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดก็คือการกลับบ้านและทิ้งตัวเองลงบนเตียง นอนหลับจนกว่าจะถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดินของวันพรุ่งนี้มันไปซะเลย

              “แพจินยอง เฮ้! อย่ามาเดินหนีกันแบบนี้นะ”

              จู่ๆมนุษย์แฟนเก่าก็วิ่งมาตัดหน้าพร้อมกางแขนดักไม่ให้เขาเดินไปทางไหนทั้งนั้น ย้ายบ้านไปอยู่เกาหลีเหนือหรือไงถึงได้มีนิสัยเผด็จการเนี่ย!

              “จะกลับบ้านแล้ว เลิกยุ่งซักทีจะได้ปะ”

              เริ่มจะหมดความอดทนแล้วนะ นอนก็ไม่ได้นอน ตื่นก็เพราะไอ่นาฬิกาปลุกเฮงซวย แถมยังจะโดนไล่ออกก็เพราะหมอนี่ แล้วเขาจะต้องมายืนไล่ต้อนพร้อมกับสั่งให้ทำนู่นนี่เหมือนคนโง่หรือไง เลิกกันไปแล้วก็เลิกให้มันเด็ดขาดไปเลยดิ จะมาทำตัวเหมือนหมาหวงก้างไปทำไมทั้งๆที่คนบอกเลิกมันไม่ใช่เขา

              “ฉันแค่อยากคุยด้วย”

              “แต่-ฉัน-ไม่”

              เน้นเสียงทีละคำพร้อมกับผลักคนตรงหน้าออกไป เขาเหนื่อยมาก มากเกินกว่าจะต้องมานั่งฟังคำไร้สาระของอีกฝ่าย ก็เพราะคบกันมันก็ต้องมีทะเลาะบ้าง เขาเลยรู้ว่าที่เราทำกันอยู่เนี่ย รุ่งเช้าขึ้นมามันก็จะเป็นแค่ลมปาก รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะจำใส่ใจและมันก็ออกมาเพราะความเมา เพราะแบบนี้ก็เลยไม่อยากฟังให้รู้สึกหนักหัวหรอก

              แต่นอกจากจะแรงเยอะจนเจ็บข้อมือ อีกฝ่ายยังหน้าหนาหน้าทนถึงขนาดไม่ขยับเขยื้อนไปเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังทำการอุกอาจดึงเขาเข้าไปกอดอีกด้วยเนี่ย!

              ทั้งที่ก็สูงกว่าตั้งเยอะแต่ก็โดนกดหัวจนจมลงไปอยู่ตรงอกของมนุษย์แฟนเก่า ขัดขืนอยู่ได้ไม่นานก็โดนกอดแน่นซะจนหายใจไม่ออก

              คอยบอกตัวเองอยู่เสมอว่าถ้าเกิดได้เจออีกฝ่ายเข้าด้วยความบังเอิญในที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะได้รับคำปลอบโยน คำขอโทษ อ้อมกอด หรือแม้แต่จูบก็ไม่มีวันจะยกโทษให้ จะต้องไม่ใจอ่อน และถึงจะโดนทำดีด้วยแค่ไหนสุดท้ายอีกฝ่ายก็จะทิ้งเขาไปเหมือนเก่าอยู่ดี

              แต่พอโดนกอดเข้าแบบนี้ในวันที่มันเหนื่อยแสนเหนื่อย เขากลับรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคย อ้อมกอดที่มันไม่ได้โรแมนติกเหมือนฉากในหนังแต่กลับทำให้เขาเจ็บปวดที่อกอย่างบอกไม่ถูก ขัดขืนได้อยู่ไม่นานก็ต้องพ่ายแพ้และยอมรับกับความดื้อด้านของพัคจีฮุนที่ไม่เคยลดลงไปเลย

              เออ ยอมรับก็ได้ว่าคิดถึง

              “คิดถึง”

              ...

              ไม่คิดถึงก็ได้โว้ย!

     

              “ปล่อยได้แล้วมั้ง”

              หลังจากอีกฝ่ายกอดเขาซะแน่นแถมยังพูดจาเพ้อเจ้ออย่างคิดถงคิดถึงอะไรนั่นออกมาก็ดูเหมือนจะปิดสวิตซ์ตัวเองไปเลย ถ้าหากไม่มีลมหายใจที่รดอยู่ตรงหัว แพจินยองจะคิดแล้วนะว่ามนุษย์แฟนเก่าได้ตายคาที่ไปแล้วน่ะ

              “อีกนิดไม่ได้หรอ”

              “กลับบ้านไปกอดหมอนข้างไป ง่วงจนจะหลับอยู่แล้วโว้ย!

               “งั้นไปนอนกัน”

              ไม่เพียงแต่แค่พูด พัคจีฮุนยังถือวิสาสะจูงมือเขาไปด้วยกันซะเลย นี่คงลืมไปมั้งว่าจะตีสามอยู่แล้ว สีหน้าท่าทางไม่ได้มีความอิดโรยอะไรสักนิด

              และดูเหมือนแพจินยองจะลืมซะด้วย

              ...

              ลืมไปเลยอะว่าโกรธอยู่ โดนทิ้งมาด้วยเนี่ย ทำไมใจง่ายจังอะ

              “เฮ้ย!ไม่ไป! ปล่อยนะจีฮุน!

              สะบัดมือที่ถูกกุมไว้อย่างแนบแน่นแถมประสานมือยิ่งกว่าตอนควานลินทำเสียอีก เพิ่งมารู้สึกว่ามันเหนียวเกินกว่าปกติก็ตอนที่จะสะบัดออกนี่แหละ นอกจากหน้าของพัคจีฮุนแล้ว ยังมีมืออีกหรอที่มันหน้าด้านหน้าทนเหมือนเจ้าของเนี่ย!

              “ก็จินยองง่วง จะพาไปนอนไง”

              “ไม่ไป”

              “ไหนบอกง่วง นี่จะพาไปนอนเตียงนอนที่นุ่มที่สุดในโลกด้วยนะ แถมยังมีตุ๊กตาตัวใหญ่อีก ทั้งตัวนุ่ม ทั้งตัวหอม กอดได้ทั้งคืนไม่มีเบื่อเลยอะ”

              “มันมีซะที่ไหนเล่าไอ่ที่แบบนั้นอ่ะ!

              “ก็ห้องเราไง

              พัคจีฮุน!

             

     

              ไม่รู้ว่าไปไงมาไง สิบโมงเช้าของอีกวันแพจินยองถึงได้ลืมตาตื่นขึ้นดูโลกพร้อมกับแขนของใครซักคนที่พาดอยู่ตรงช่วงเอว ถ้าหากนี่เป็นละคร เขาคงจะมีท่าทางตกใจแล้วถอยกรูไปชิดขอบเตียงแน่ๆ แต่เพราะเรื่องเมื่อคืนที่มันตราตรึงอยู่ในหัวก็เลยพอจะรู้อยู่ว่าไอเจ้าของมือเนี่ยก็คนเดียวกันกับที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์(หน้าด้าน)แฟนเก่า

              แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะให้อภัยอีกฝ่ายหรอกนะ ที่ยอมมานอนก็เพราะหมดแรงจนไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วยหรอก เขาไม่ได้มีพลังมากพอที่จะมาสะบัดมือจีฮุนออก แล้วก็หมดแรงที่จะต่อยหมอนี่อีกสักหมัด

              สะบัดแขนที่ชักจะพาดเกินหน้าเกินตาของอีกฝ่ายละลุกขึ้นจากเตียง โชคดีที่วันนี้เป็นอีกวันที่เขาไม่มีเรียนถึงได้กล้าตื่นอีกทีก็ตอนพระอาทิตย์จะอยู่กลางหัวรอมร่อ พอออกมาจากส่วนของห้องนอนก็เลยได้รู้ว่านี่คือห้องเดิมกับที่อีกฝ่ายเคยอยู่ และสภาพมันค่อนข้างจะ..

              สาบานเถอะว่ามีป้าแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาด

              เพราะเคยเป็นเพื่อนกันมานานก็เลยพอรู้นิสัยของกันและกันดี นอกจากความกวนประสาทแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ดูจะเข้าคู่กันกับจีฮุนได้ดีที่สุดก็คงจะเป็นความสกปรกนี่แหละ ดูได้จากสภาพห้องครัวที่นอกจากขวดเบียร์และกองจานที่ค้างอยู่ที่ซิงค์ ราวกับสมัยก่อนไม่มีผิดที่ถึงจะมีป้าแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดทุกสัปดาห์ละสองครั้ง พัคจีฮุนก็ยังมีความสามารถมากพอที่จะเปลี่ยนสภาพห้องสุดหรูให้กลายเป็นรังหนูได้ในพริบตา

              “จีฮุน!

              อีกฝ่ายเดินออกมาจากห้องนอนด้วยสภาพสะลืมสะลือ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันเคยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับเหตุการณ์ในอดีต อีกฝ่ายที่เพิ่งตื่นและเขาที่ยืนเท้าสะเอวอยู่กลางห้อง ที่ดูจะเปลี่ยนไปอย่างนึงก็คงจะเป็นสถานะระหว่างเราสองคนนี่แหละ

              “ฉันจะกลับแล้ว”

              “อย่าเพิ่งรีบกลับสิ”

              กอดอีกแล้ว!

              พอได้ยินว่าเขาจะกลับ เจ้าของห้องรังหนูก็รีบปรี่เข้ามากอดเขาให้จมอกเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิด แถมรอบนี้ยังมีออพชั่นเสริมด้วยการโยกตัวไปมาอีกต่างหาก เป็นบ้าหรอพัคจีฮุน!

              “ปล่อย”

              พูดพลางทุบหลังอีกฝ่ายไปพลาง แต่ดูเหมือนจะไม่สะเทือนอีกฝ่ายเลยซักนิด แถมทุกครั้งที่ทุบลงไปตรงกลางหลัง แรงกอดรัดก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

              “นี่”

              “หืม”

              “เลิกกันแล้วก็อย่ามารุ่มร่ามดิ ไม่ชอบ”

              “ใครบอกว่าเราเลิกกับจินยองแล้วอะ”

              โอโห หน้าด้านหน้าทนมากๆถึงได้กล้าพูดคำนี้ออกมา ใครบอกเลิก ใครบอกเลิก ใครมันเป็นคนโทรมาละโว้ย! วันที่สิบพฤษภาคมน่ะ! หมาที่ไหนมันกดโทรศัพท์แล้วพูดกับฉันหรือไงเจ้าทึ่ม! นี่อย่าบอกนะว่าจะแกล้งเล่นบทความจำเสื่อมทำเป็นจำไม่ได้ว่าทำอะไรกับเขาไว้บ้าง มันชักจะมากเกินไปแล้วปะ หัวใจของเขาไม่ใช่ของเล่นนะที่อยู่ๆคิดจะแกล้งทำมันพังแล้วพอซ่อมมันจะกลับมาเป็นแบบเดิมอ่ะ นี่หัวใจของคนทั้งคนเลยนะเว้ย!

              “เป็นบ้าอ่อ”

              “ก็เราไม่ได้เลิกกับจินยองจริงๆ ถึงวันนั้นเราจะโทรมาบอกเลิกจินยองก็จริง”

              “มันก็ถือว่าเลิกแล้วปะ!

              “แต่จินยองไม่ได้บอกว่าตกลงอะ! เราก็ไม่ถือว่าเลิกกันดิ”

              หน้าด้านเกินไปแล้วนะพัคจีฮุน!!!

     

              หน้าด้าน หน้าด้าน หน้าด้าน หน้าด้าน หน้าด้าน!

              พัคจีฮุนในโหมดนี้นี่มันเกิดกว่าคำว่าหน้าด้านอีกแล้วมั้ง เพราะนอกจากจะไม่ยอมปล่อยกอดเขาแล้ว พูดจาดูถูกความทรงจำตลอดหนึ่งปีทีผ่านมาก็แล้ว ยังถือวิสาสะเดินไปนั่งทั้งๆที่ยังกอดเขาเอาไว้อยู่ แถมก่อนจะนั่งยังมีการหมุนตัวเขาแล้วจับให้นั่งลงตรงตักด้วยนะ หน้าด้าน!

              “ปล่อยเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นจะโกรธมากกว่าเดิม”

              “บอกว่าคิดถึงก่อนเดี๋ยวจะปล่อย”

              ไม่ได้คิดถึงโว้ย!

              ดิ้นขลุกขลักอะไรก็แล้ว กระทืบเท้าก็แล้ว ฟาดมือลงบนขาก็แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังยิ้มร่าหัวเราะชอบใจที่ได้กวนประสาทเขาจนหัวเสียขนาดนี้

              “ไม่อยากรู้หรอว่าเราหายไปไหน”

              “ไม่”

              “ไม่อยากรู้จริงๆหรอ”

              กลอกตามองบนให้กับความดื้อด้านของอีกฝ่าย นี่ดูเหมือนจะอัพเลเวลมากกว่าตอนที่คบกันซะอีก(ไม่เลิกบ้าไม่เลิกบออะไร เลิกกันไปนานแล้วโว้ย!) ดูเซ้าซี้วอแวเสียยิ่งกว่าตอนเจ้าเด็กควานลินงอแงจะเอาไอติมให้ได้

              “จะไม่เล่าก็เรื่องของนาย”

              “เล่าก็ได้”

              “...”

              “บอกว่าคิดถึงก่อนแล้วจะเล่าให้ฟัง”

               

              คิดหรอว่าแพจินยองจะทำ

              เขายกแขนอีกฝ่ายขึ้นกัดจนร้องจ้ากถึงได้ไถลลงออกจากตักของอีกฝ่ายได้สำเร็จ ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากรู้ไม่ใช่น้อยเรื่องราวของอีกฝ่ายตอนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ถ้าจะต้องให้เสียหน้าด้วยการไปบอกอีกฝ่ายว่าคิดถึง นั่นมันก็จะดูมากไปหน่อย

              “จะเล่าดีๆหรืออยากไหล่หลุด?”

              “ชอบซาดิสต์ก็ไม่เห็นจะบอก เปลี่ยนรสนิยมแล้วหรอ?”

              “พัค-จี-ฮุน”

              เอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอกแล้วกดสายตาให้ดูน่าเกรงขาม มนุษย์แฟนเก่าก็น่าจะฉลาดพอว่าคำขู่ที่เขายกขึ้นมามันไม่ใช่การขู่เล่นๆ และถ้าหากไม่ได้อย่างที่หวังล่ะก็-

             

    “เล่าก็ได้”

              “ก็ –เออ แม่ป่วยกะทันหัน พี่ก็ไปดูไม่ได้เพราะทำงานอยู่ญี่ปุ่น”

              “แล้ว?”

              “ก็เลยต้องย้ายไปดูแลแม่ที่เมกา ก็เลยต้องดรอปไว้ก่อนจนกว่าแม่จะดีขึ้น”

              “อืม”

              “ที่โทรมาบอกเลิกตอนนั้นก็เพราะกลัวว่าถ้าแม่ป่วยหนักมาก ชนิดที่ว่าคงไม่มีทางหายเลยในปีสองปี –ก็ –ก็ไม่อยากรั้งกันไว้ กลัวว่าถ้าระหว่างที่ฉันไม่อยู่ จะมีคนที่ดีกว่า และนายจะพลาดโอกาสนั้นไปเพียงเพราะต้องรอฉัน ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเจอกันอีกทีตอนไหน”

              โอโห พ่อพระเอ๊กพ่อพระเอก ดูเป็นคนเสียสละดีเนอะกับการตัดสินใจเนี่ย ไม่ใช่เหตุลผลแค่ว่าแหม่มฝรั่งสวยหุ่นดีนมโตหรอกหรอถึงได้ตัดสินใจจะบอกเลิกกันอะ

     

              “ไม่อยากจะไปเหมือนกัน จริงๆก็เตรียมของขวัญวันเกิดให้แล้วด้วย แต่ญาติก็โทรมาบอกว่าแม่เข้าห้องฉุกเฉิน พร้อมกับจองตั๋วเครื่องบินไว้ให้แล้ว ถ้าไม่ไปตอนวันเกิดนายก็ไม่รู้ว่าแม่จะอยู่รอกันไหม”

              “...”

              “แต่แม่ก็หายดีอะ แถมยังไล่ฉันกลับมาเกาหลีด้วย นี่อะ เห็นปะ”

              “...”

              “แม่บอกว่ากล้ามากที่ทำลูกชายแม่เสียใจ แม่ตีฉันทุกวันเลยเนี่ยที่รู้ว่าฉันทิ้งนายไปหาแม่ แม่รักนายมากกว่าฉันอีกอะ”

              “...”

              “ก็แค่นี้แหละ ที่บอกเลิกไว้ก่อนเพราะเผื่อว่าระหว่างตอนเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ก็คิดว่าจะปล่อยให้นายไปเจอกับคนที่ดีกว่า แต่พอกลับมาแล้วก็เลยรู้ว่าคนที่เหมาะสมกับแพจินยองที่สุดในโลกแล้วเนี่ย คือพัคจีฮุนคนนี้!

     

              “แล้วถามบ้างปะ”

              “เอ่อ –ถามไรอ่อ?”

              “เวลาตัดสินใจจะทำอะไร เคยถามความสมัครใจกันบ้างไหมล่ะ? คิดจะบอกเลิกก็บอกกันโต้งๆทางโทรศัพท์แบบนี้หรอ คิดจะหายหัวก็หายไปเลยแบบนี้หรอ? ถ้าฉันทำบ้างอะ บอกเลิกนายบ้างจะทำไง ไปหาที่บ้านบ้านก็โดนประกาศขาย ไปรอที่คณะก็ตากแดดตากลมจนป่วยไปเป็นอาทิตย์”

              “ขอ-“

              “ไปถามคนอื่นก็มีแต่บอกว่าไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ลองมาเป็นคนที่โลกทั้งใบมีแต่คนคนเดียวแล้วจู่ๆโลกใบนั้นมันก็ไม่มีเขาไหมอะ ลองมาเป็นดูปะ ทำไมไม่ถามอะว่ารอได้ไหม ฉันไม่ได้งี่เง่านะจีฮุนที่จะไม่รู้ว่ารอได้หรือรอไม่ได้ ฉันไม่ได้รักใครง่ายๆถึงขั้นเจอใครที่ดีกว่าแล้วจะรักเขาปะ”

              “คือ-“

              “ทำไมไม่ถามอะว่าอยากอยู่ด้วยหรืออยากไปมีคนใหม่ คิดจะตัดสินใจเองคนเดียวทั้งชาติเลยปะ แฟนบ้าแฟนบอประสาอะไร จู่ๆจะบอกเลิกก็โทรมาบอกเลิกอะ ฟังคำพูดคนอื่นเขาหรือยัง โลกใบนี้ไม่ได้มีแค่นายคนเดียว ทำเหมือนที่ผ่านมาเผชิญปัญหาอยู่คนเดียวงี้อะ”

             

    “...”

              “จะบอกเลิกไม่บอกเลิกฉันก็รออยู่ดีปะ –ที่ทำอยู่เนี่ยมันก็รอทั้งนั้น ทรมานเป็นเดือนๆก็เพราะรอทั้งนั้น จะไปก็ได้แต่หันกลับมาบอกเหตุผลก็ดี ไม่ใช่ไปแบบนี้ ฉันจะได้เลือกถูกว่าควรเกลียดนายหรือควรรักนายต่อ”

              “...”

              “เป็นเพื่อนกันมานานขนาดนี้ยังไม่รู้อีกหรอว่าทั้งชีวิตของฉัน นอกจากนาย ฉันก็ไม่มีใครอีกแล้ว ฉันไม่ใช่นายนะที่จะเข้าหาคนอื่นง่ายขนาดนั้น”

              “... ขอโทษ”

              พูดไปทั้งๆที่ตารื้นจนน้ำตาหยดเปาะแปะ ความอึดอัดทั้งหมดที่สะสมอยู่คนเดียวมาเกือบปีหลั่งไหลออกมาไม่มีหยุด เขาอยากจะด่าด่าด่าให้พัคจีฮุนรู้สึกสำนึกซักหน่อยว่าที่ทำลงไปมันส่งผลร้ายแรงกับเขามากขนาดไหน แต่ดูเหมือนว่ายิ่งพูดมันออกมาเท่าไหร่ หัวใจของเขาก็บีบรัดแน่นขึ้นมากเท่านั้น และดูเหมือนจะบ่อน้ำตาแตกไปแล้วเรียบร้อยด้วย

              มนุษย์แฟนเก่างี่เง่าเฮงซวยลุกขึ้นและดึงเขาไปกอดพร้อมกับลูบหัวอย่างที่เคยชอบทำ ทั้งโกรธทั้งเกลียดทั้งน้อยใจทั้งเสียใจมันประดังประเดไปหมด เขาเลือกไม่ถูกแล้วว่าควรจะต่อยอีกฝ่ายซักหมัด หรือควรยอมถูกกอดแบบนี้ต่อไป

     

              “อย่าร้องเลยนะ จะทำหน้าบูดก็ได้ จะตีฉันแรงๆก็ได้ จะต่อยอีกทีก็ยังได้ แต่อย่าร้องไห้เลยนะ”

              อ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นพร้อมกับการลูบหัวที่ทำให้ภาพในอดีตย้อนกลับมาอีกครั้ง พัคจีฮุนเก่งเสมอเรื่องที่ทำให้เขาแพ้ ใช่ เพราะเขายังเลิกรักอีกฝ่ายไม่ได้ถึงได้แพ้ซ้ำไปซ้ำมา

              “ขอโทษนะ”

              “...”

              “เพราะฉันคิดไม่ดีเองแหละ ไม่ยอมถามความสมัครใจของนายสักคำ ถึงได้ทำร้ายกันได้ขนาดนี้ ขอโทษนะที่ทำให้ต้องอยู่คนเดียวมาตลอด”

              “ไอ่ทุเรศ”

              “ชู่ว –พูดไม่เพราะเลย นี่ไง จีฮันนี่ของมายแบกลับมาแล้วนะ”

              ...

              ลืมไปซะสนิทเลย

              ลืมไปเลยกับไอ่ชื่อเรียกกันสองคนปัญญาอ่อนนี่น่ะ แทบจะฝังลึกอยู่ในความทรงจำที่ลึกที่สุด เพราะนอกจากมันจะน่าอายและสิ้นคิด มันยังกลายเป็นปมด้อยที่อีกฝ่ายชอบใช้เรียกเขาอีกด้วย

              “ปล่อยเลยไม่ต้องมากอด เป็นแค่แฟนเก่าชักจะมากไปแล้วนะ!

              “ต้องให้ลงโทษหรอ บอกว่าไม่ใช่แฟนเก่าไง ยังไม่ได้เลิกกันซักหน่อย!

              “ยังไม่หายโกรธนะพัคจีฮุน!

              “ก็มาตามง้อแล้วนี่ไงครับ”

              “ง้อบ้าง้อบออะไร!

              พูดยังไม่ทันขาดคำ แรงกอดก็แน่นขึ้นจนเริ่มจะหายใจไม่ออก นี่มันชักจะค้ากำไรเกินควรแล้วนะโว้ย

              “ก็เนี่ย รู้ว่าคิดถึงกัน เลยกอดแรงๆให้หายคิดถึงไปเลยไงละ”

              โคตรข้ออ้าง

              คิดว่าแพจินยองโง่หรอถึงไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าแต๊ะอั๋งอะ ไม่ได้กินหญ้าแทนข้าวนะเว้ยถึงจะไม่รู้ว่าโดนเอาเปรียบอยู่

              “แต่ดูเหมือนยิ่งกอดจะยิ่งคิดถึงแหะ ว่าแล้วก็-“

              ยกมือกุมแก้มด้วยความยากลำบาก(นี่มันไปอเมริกาเพื่อเพิ่มกำลังแขนหรือไงถึงได้มีแรงเยอะขนาดนี้!) เพื่อไม่ให้ถูกอีกฝ่ายเอาเปรียบด้วยการจงใจกดจมูกลงเน้นๆพร้อมสูดหายใจดังหอดแบบเมื่อกี๊น่ะ! กอดก็มาเกินพอ นี่ยังจะมาหอมอีกหรอ!

              “ยังไม่หายคิดถึงเลยอะ อีกข้างดิ”

              “ไม่ให้โว้ย!

     

     

     

     

     

     

              “อยากได้ของขวัญวันเกิดปะ”

              หลังจากตบตีกันมากับอีกฝ่ายจนขี้เกียจจะมานั่งเถียงกันก็เลยปล่อยเลยตามเลย เพราะถ้าหากไม่ยอมก็จะไม่มีโอกาสได้กินข้าวทั้งที่ก็หิวจนไส้กิ่ว พอจะออกไปซื้อของเจ้าตัวก็อาสาบอกว่าจะทำการง้อด้วยการนำอาหารชั้นเลิศมาเสิร์ฟ

              ไอ่เราน่ะหรอก็คิดว่าพอไปอเมริกามาปีกว่าคงจะพัฒนาฝีมือกันมาบ้างแล้ว น่าจะต้องทำกินเองบ่อยเลยกล้าที่จะเอาอาหารที่ว่ามาเสิร์ฟ

              อืม

              เสิร์ฟจริงๆ

              เสิร์ฟจากรถรูมเซอร์วิสที่ถูกเข็นมาอีกทีโดยพนักงานตึกนี่ไง เออ รู้แล้วว่ามีตัง แต่ไม่จำเป็นถึงขั้นต้องสั่งรูมเซอร์วิสมาปะวะ ทำมาม่าให้กินตอนนี้ยังกินได้เลยอะ นี่ต้องมานั่งรออีกสิบกว่านาที กว่าจะพิถีพิถันเดินมาเสิร์ฟถึงโต๊ะเขาก็คงแทะไม้เล่นรอไปแล้วมั้ง

              “นี่หรออาหารชั้นเลิศ”

              “อืม เลือกมาเองกับมือ”

              “...”

              “กินไปดิ แพงนะ เนี่ย ถ้าไม่ง้อจริงๆก็ไม่ค่อยสั่งหรอก เอาเงินไปซื้อหมวกดีกว่าเยอะ”

              ถ้าหน้าคนแสดงเป็นอีโมติคอนได้จริงๆ ป่านนี้สีหน้าของแพจินยองคนนี้คงจะหนีไม่พ้นสีหน้าเหนื่อยหน่ายแน่ๆ ไม่รู้จริงว่าทำไมถึงทนคบกับอีกฝ่ายมาได้นานขนาดนั้น หรือสี่ปีที่ผ่านมันจะเป็นเรื่องหลอกลวง เพราะพัคจีฮุนตรงหน้ามันช่าง..

              เป็นพัคจีฮุนจริงๆ

              เขาหลงรักและหลงคิดว่าทั้งโลกของเขามีพัคจีฮุนคนเดียวได้ยังไงมาตั้งนานแสนนาน ดูจะอ้วนขึ้นด้วยนะ หรือคนตรงหน้าจะเผลอกินพัคจีฮุนคนก่อนลงท้องไปหมดแล้ว

              เห้อ..

              “แล้วสรุป ยังอยากได้ของขวัญปีก่อนอยู่ปะ?”

              เคี้ยวข้าวผัดตรงหน้าหนึบหนับพร้อมกับเงยหน้ามองคนตรงข้ามที่ชักพูดอะไรไม่เข้าหู เขาเลิกคิ้วด้วยความสงสัยกับใบหน้าเจ่าเล่ห์เต็มที่ คงไม่ได้มีแผนการอะไรใช่ไหม

              “อยากได้หรือเปล่า –รองเท้าคู่นั่นน่ะ ยังอยากได้อยู่ไหมน้า?”

              “อยาก”

              ตอบด้วยความไม่กระดากปากหรือเหนียมอายใดใดทั้งสิ้น ถ้าหากจะซื้อพัคจีฮุนได้ด้วยเสื้อผ้าประหลาด การหลอกล่อแพจินยองด้วยเงินก็เป็นเรื่องธรรมดาได้เหมือนกัน

              “ต้องทำอะไรให้อย่างนึง”

              “อะไรล่ะ?”

              “โทรไปบอกเจ้าเด็กควานลินว่า แพจินยองมีแฟนแล้วชื่อพัคจีฮุน แล้วก็บอกด้วยว่าแฟนขี้หวงมาก”

              “ปัญญาอ่อน”

              นี่กินยาไม่เขย่าขวดมาหรอถึงได้คิดให้เขาทำอะไรตลกๆ ทั้งยังทำร้ายความรู้สึกของคนที่ดีกับเขาขนาดนั้นอ่ะหรอ ไม่หรอก เขาทำไม่ลง

              “ถ้าโทรไปบอกตอนนี้ แล้วก็เดินมาหอมแก้มฉันดีๆ”

              “...”

              “จะซื้อคู่ใหม่ของปีนี้ให้สองคู่เลยนะ”

              “หอมแก้มหนึ่งข้างรองเท้าหนึ่งคู่”

              “ไม่ได้ ต้องโทรบอกเจ้าเด็กนั่นด้วย เพราะเดี๋ยวจะลามปามมาจีบนายขึ้นมาทำไงอะ”

              “อะไร เป็นแค่แฟนเก่าก็อยู่ส่วนแฟนเก่าไปสิ”

              “ก็ง้ออยู่เนี่ย”

              “จะเอาไหม หอมแก้มอ่ะ?”

              “เอาก็ได้”

              “เออ ดี หอมแก้มหนึ่งข้างรองเท้าหนึ่งคู่”

              “จูบด้วยได้ปะ”

                “ทำตัวทุเรศแบบนี้ชาติหน้าก็ไม่ได้จูบหรอกโว้ย!



     



    -end-








    #pdxdg

    หูว ง่วงมาก แต่อยากเขียนวันเกิดทั่นวิ้งค์
    ถึงจะล่าช้าไปหน่อย แต่ว่าก็งงมากๆเหมือนกัน แง ซอรี่ค่า
    เอาเป็นว่าเดี๋ยวอีก 40% จะตามมาทีหลังนะคะ ช่วยอดใจรอกันนิดนึงนะ♥
    แล้วมาช่วยพี่จีฮุน ง้อน้องกันเถอะค่ะ รัก <3

    ---------------------------

    เออ จบเหอะ .. เขียนอะไรไม่รู้วายป่วงตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบ
    60%ที่ว่าดูเหมือนจะเป็นตอนหลังมากกว่ามั้งคะ 5555555555
    เขียนไปเพลินๆรู้อีกทีก็เนี่ย ปาไปยี่สิบกว่าหน้า (หกสิบเปอร์แรกแค่เก้าเองค่ะ orz)
    ถ้าเกิดเน้นบทพูดมากไปต้องขอโทษด้วยนะคะ แง แต่แบบ..
    เรารู้ค่ะว่าน้องแพโหมดนี้มันหายาก 5555 เพราะน้องเป็นคนเงียบมาโดยตลอด
    ค่ะ .. ภายใตหน้ากากเงียบน้องเองก็ปกปิดตัวตนเด็กกวนๆได้ดีเยี่ยมเลย คิคิ
    ดูได้จากวิ้งค์ดีพที่ออกมาเรื่อยๆค่ะ โอ้ย น่ารัก อีแม่ใจบ่ดีมาก ๆ เขินไปหมด
    ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นนะคะ ดีใจที่ชอบ♥
    ถ้าเกิดชอบอะไรยังไงจะสกรีมในแท็ก #pdxdg ก็ได้นะคะ รอฟังความเห็นทุกคนอยู่น้า♥
    สำหรับใครที่อยากหวีดวิ้งค์ดีพ แวะมาคุยกับเราได้นะคะ อิอิ ♥
    รักนะคะ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×