ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    produce 101/wannaone #pdxdg | all x baejinyoung

    ลำดับตอนที่ #15 : spilt from joylada - first date with you #hoonyoung chapter 7

    • อัปเดตล่าสุด 10 ธ.ค. 60




    Spilt from joylada ‘first date with you’ chapter 7 #hoonyoung
              พาร์ทบรรยายสั้นๆ จากจอยลดาเรื่อง first date with you #ฟดวยฮุนยอง
              ถ้าหากสนใจ สามารถเข้าไปหาลิ้งค์เรื่องได้จากแท็กเลยนะคะ ขอบคุณค่า
    <3

     

     

     

     

     

    "คาดเข็มขัดแล้วยัง?"

    ถึงแม้รูปประโยคและท่าทางการแสดงออกของคนที่นั่งอยู่เบาะหลังของพัคจีฮุนจะค่อนไปทาง'ออกคำสั่ง'มากกว่าเป็นประโยคบอกเล่าธรรมดา แต่สำหรับเขาเองนั้นรู้ดีว่า ทั้งหมดที่อีกฝ่ายแสดงออกก็เพียงแค่อยากจะถนอมและปกป้องคนตรงกลางให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง

    "รัดแน่นกว่านี้ก็รัดคอแล้ว"

    "ถ้ารัดได้ กูรัดมึงไปนานแล้ว"

    คนที่นั่งอยู่ริมฝั่งซ้ายเอ่ยสวนทันทีพลางยัดหมอนอิงใบเล็กเข้าที่สีข้างของคนเป็นเพื่อน

     

    "อัน! ยัดขนาดนี้เอาบับเบิ้ลห่อกูเลยไหม"

    "ระดับมึงบับเบิ้ลคงเอาไม่อยู่"

    อีแดฮวี ที่นั่งอยู่ด้านหลังของพัคจีฮุนคลี่ผ้านวมผืนหนาที่จัดเตรียมมาอย่างดีคลุมรอบคนตรงกลางเอาไว้ เสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาอีกระลอกเมื่อผ้านวมผืนที่สองเริ่มถูกคลี่ออก

    "โว้ย -ร้อนๆๆ จะห่อกูเอาไปอบหรอ หนาขนาดนี้"

    คนที่ถูกประคบประหงมตั้งแต่ออกจากห้องพักในโรงพยาบาลอย่าง แพจินยอง ส่ายหน้าไปมาเมื่อคนเป็นเพื่อนทั้งสองหันมาโอบรัดตนเองไว้เสียจนแน่น แถมยังซ้ำด้วยการเอาผ้านวมผืนที่สามคลุมรอบทั้งหมดเอาไว้

    "หุบปากแล้วนอนไปแพจินยอง"

    "โอ้ย ก็กูร้อน มึงช่วยเอาไอ้พวกนี้ออกจากตัวกูให้หมดจะเป็นพระคุณมากๆ"

    "ไม่ได้ กูหนาว"

    "หนาวบ้าอะไร กูร้อนไปหมดแล้วเนี่ยสัด เป็นบ้ากันไปหมดแล้วหรอพวกมึงอ่ะ"

     

              แพจินยองไม่รู้ว่าตั้งแต่เช้าวันนี้เขาอุทานคำว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ยไปแล้วกี่รอบ ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลก็เป็นเรื่องช็อกโลกมากพออยู่แล้ว แหม มาป่วยเอาวันวาเลนไทน์ด้วยนะ

              แล้วไหนจะพวกเพื่อนตัวดีที่ไม่รู้ว่าไปเอาข่าวมาจากไหนว่าเขาเข้าโรงพยาบาล พากันยกโขยงแห่มาเยี่ยมพร้อมกับเขื่อนน้ำตาที่แตกพลั่กตั้งแต่เห็นหน้าของเขา อยากจะเข้าไปกอดโอ๋อยู่นะ แต่ไม่มั่นใจน่ะสิว่าร้องไห้เรื่องอะไรกันอยู่ตั้งนานสองนาน กว่าจะได้คุยกันดีๆก็ใช้เวลาไปเกือบตั้งชั่วโมงนึง และเอาจริงๆนะ .. เขายังไม่รู้เลยว่าไอ่เพื่อนพวกนี้มันร้องไห้เรื่องอะไรกัน

              ส่วนเรื่องสุดท้ายที่เขาคิดว่ามันประหลาดที่สุดก็เห็นจะเป็น..

              “พี่จีฮุนครับ พร้อมแล้ว ออกเดินทางได้ครับ!!”

              คงจะเป็นสารถีหน้าตาดีที่นั่งอยู่หน้ารถตั้งนานสองนานนี่แหละมั้งที่เป็นเรื่องประหลาดที่สุดสำหรับวัน แพจินยองไม่ค่อยมั่นใจนักว่าเขาเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ที่ไหนมาก่อน แต่อีแดฮวีแนะนำให้รู้จักว่าเป็นพี่ชายข้างบ้านที่เพิ่งย้ายเข้ามา ก็คงจะเป็นตอนที่ไปหาแดฮวีที่บ้านตอนปีใหม่นั่นแหละที่ทำให้เขาเคยเห็นใบหน้าของอีกคน แต่ถึงอย่างนั้น..

              ไอ่ประกายบางอย่างที่อยู่ในแววตาของพัคจีฮุนนี่มันทำให้รู้สึกแปลกๆแฮะ..

              มันไม่ใช่ประกายแวววับเหมือนกับราชสีห์ที่เจอเหยื่อของตัวเองจนเขาต้องรู้สึกหวาดกลัว อันที่จริงมันไม่ใช่แววตาที่ส่อไปทางอันตรายอะไรเลย แต่มันเป็นประกายบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด เหมือนจะไม่ดีที่รู้สึกแบบนี้กับคนที่เพิ่งเจอหน้ากัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทำให้เขารู้สึกดีมากๆ พัคจีฮุนให้ความรู้สึกเหมือนว่าเขาสามารถฝากโลกทั้งใบไว้กับอีกฝ่ายได้ มันเป็นความรู้สึกแบบนั้นนั่นแหละ

     

              “มึงไม่รู้สึกว่ามันร้อนบ้างหรอแดฮวี..”

              หลังจากออกรถได้สักพัก บรรยากาศของทั้งรถก็กลับมาเงียบสงบ พี่จีฮุนขับรถไม่ได้เร็วนักเมื่อเทียบกับควานลิน ซึ่งสำหรับเขาแล้วแบบนี้น่ะมันโอเคกว่ามาก เห็นแดฮวีว่าเอาไว้ว่าเมื่อสองเดือนก่อนพี่จีฮุนเพิ่งเกิดอุบัติเหตุขาหักก็เลยยังมีปมฝังใจอยู่กับการขับรถไปที่ไกลๆ

              แล้วมันก็ลากพี่เขาให้มาขับรถให้เนี่ยนะ...

              “ไม่”

              “ไอ่สัด กูร้อน! เหงื่อออกหมดแล้วเนี่ย”

              ว่าพลางขยับตัวให้พอหายใจออกหน่อย เพื่อนตัวดีของเขาทั้งคู่พากันห่อเขาอย่างกับเขาจะออกไปอยู่ขั้วโลกเหนืออย่างนั้นแหละ ส่วนฝั่งอึยอุงที่ตั้งแต่ขึ้นรถมาก็ไม่พูดไม่จาซักคำ .. คือปกติแล้วอย่างน้อยต้องโดนด่าโดนว่ากันไปแล้วอ่ะนะ...

              “มึงอยู่เฉยๆได้มะ พี่จีฮุนขับรถไม่ได้”

              แดฮวีว่าพลางซุกเขาให้แน่นกว่าเดิมเข้าไปใหญ่ รู้โว้ยว่าเป็นคนขาดความอบอุ่นไม่ได้ แต่คือไม่ต้องซุกกูขนาดนี้ก็ได้ไหม หายใจไม่ออกโว้ย!

              “กูไม่ได้ไปเหยียบเกียร์ซักหน่อย นี่พวกมึงนั่งกันดีๆได้ไหม คือจะกอดกูก็กอด แต่ไม่เอาไอ่พวกห่อๆนี่แล้วได้ม้ะ หายใจไม่ออกจริงๆ จะตายแล้ว”

              เจรจาต่อรองให้ทุกฝ่ายสงบลงด้วยดี รู้สึกอายนิดๆแหะที่คนนอกอย่างพี่จีฮุนต้องมาเห็นอะไรเด็กๆแบบนี้ พวกเวรนะพวกเวร ทีเมื่อวานซืนยังพูดใส่เขาอยู่เลยว่าเหม็นขึ้หน้า แค่เข้าโรงพยาบาลยังไม่ทันจะยี่สิบสี่ชั่วโมงดีเลยทำอย่างกับไม่เจอหน้ากันเป็นเดือน

              แดฮวีจิ๊ปากอย่างขัดใจก่อนจะตีหน้ายุ่งแล้วหยิบผ้าห่มที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนคิมบับเข้าไปทุกทีออกจนได้ อารมณ์อ่อนไหวเข้าไปทุกที นี่วาเลนไทน์หรือวันคนร้องไห้เก่งแห่งโลก

              “เบะปาก ตาแดง ทำจะร้องไห้ แหมมึงยังไม่บอกกูเลยนะว่าร้องไห้ขนาดนี้เพราะไร”

              เอ่ยถามทันทีที่คนเป็นเพื่อนเอาผ้าห่มออกหมดแล้วซุกเข้าที่เดิม คือจะว่าห่วงก็ห่วงมากๆแหละ ก็มีมันอยู่คนเดียว แล้วมันก็มีเขาอยู่คนเดียวมาโดยตลอด แต่จะไม่ให้ขำก็ไม่ได้ เพราะเวลาแดฮวีร้องไห้ทีไรก็หน้าเหมือนน้องนากเข้าไปทุกที น่ารักจะตาย

              “กูไม่บอกมึงหรอก มึงไม่ยอมรับความหวังดีกู”

              “เดี๋ยวๆๆ กูทำไร”

              อันฮยองซอบที่คลายกอดนิดหน่อยก็ดันหัวแดฮวีที่ยังคงซุกหน้าไม่เลิก สองตัวนี้ก็กัดกันบ่อยเหมือนเกิดมาเพื่อเป็นคู่แข่งกัน แต่วันนี้มานี่แทบจะไม่เห็นได้กัดกันจริงๆซักครั้ง เอาแต่ร้องไห้ไปร้องไห้มา นี่เริ่มคิดแล้วนะว่าพวกมันไม่สบาย.. ทางจิตน่ะ

              “มึงไม่ให้พวกกูห่มผ้าให้”

              “ถ้าพวกมึงเรียกว่าการที่เอาผ้านวมหนาๆสามชั้นห่มรอบตัวกูในอากาศแบบนี้มึงก็ควรร้องไห้ให้น้ำตาท่วมโลกไปเลยไอ่ห่า กู! ร้อน!

              “มึงอ่ะ!

              เถียงกลับไม่ได้ก็เลยถือคติเบะปากเอาน้ำตาเข้าแลกซะเลย เฮ้ๆๆ นี่มันจะร้องไห้บ่อยเกินไปไหมเนี่ย คือเขาประชดอ่ะ ไม่ได้หมายความว่าให้มันร้องไห้จริงๆแบบนี้ซักหน่อย   

              “มึงใจเย็น ไอ่เหี้ย จะร้องไห้กันทั้งรถแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย เดี๋ยวกูร้องตามเลยเนี่ย”

              จะปลอบคนก็ไม่รู้จะเลือกปลอบใครก่อน เลยจับหัวทั้งหมดสุมหัวแล้วลูบหลังมันซะเลย คือได้ข่าวว่าเขาเป็นคนป่วยที่หนีออกจากโรงพยาบาล แล้วทำไมคนป่วยต้องมาดูแลเพื่อนคนป่วยด้วยกันว่ะเนี่ย..

              “มึงห้ามร้อง ถ้ามึงร้องกูโกรธมึงแน่ๆ!

              อีแดฮวีหัวหน้าในการนำร้องไห้ครั้งนี้ปาดน้ำตาที่เปรอะหน้าไปหมดก่อนจะใช้มือดึงให้หัวเขาซุกเข้าที่อกของอีกฝ่าย โว้ย ทำไมวันนี้พวกมันวอแวกับเขาประหลาดจริง วันวาเลนไทน์ไม่มีผู้ชายให้ไปหากันหรือไงวะ

              “มึงยังร้องไห้เลยแล้วทำไมกูจะร้องไม่ได้ ไอ่พวกบ้า!

              “พวกมึงหยุดร้องไห้แล้วกลับไปนั่งกันดีๆเลย น้ำตาจะท่วมรถพี่จีฮุนหมดแล้วโว้ย!

              เสียงสั่นๆที่ดังขึ้นจากหน้ารถเปรียบเสมือนเสียงของพระเจ้าที่ดังขึ้นท่ามกลางความมืดมน และแน่นอนว่ามันคือเสียงของอีอึยอุง ผู้ที่มีสติครบถ้วนที่สุดในกลุ่ม ถ้าจะให้เปรียบก็คงเหมือนพ่อของกลุ่มอย่างนั้นแหละ

              “คร้าบ พ่อ!

              และก็เป็นเขาอีกนั่นที่รับบทลูกชายคนโตของบ้าน หล่อแล้วยังควบคุมอารมณ์เก่ง แพจินยองนี่มันแพจินยองจริงๆ

              และให้ตายเถอะ

              มองหน้าเขาแล้วร้องไห้หนักกว่าเดิมนี่มันหมายความว่าอะไรกัน พวกเวร!

             

     

     

              ‘พี่จีฮุนค้าบ ฝากมันหน่อย พวกผมเหนื่อยแล้วอ่ะขี้เกียจขึ้นเขาเยอะๆ

              ‘พามันไปถึงยอดหน่อยนะพี่ แล้วถีบมันลงจากยอดให้พวกผมด้วย ขอบคุณค้าบ!’

              ‘ถ้ามันงอแงก็เอามือฟาดปากมันเลยนะพี่! เอาให้มันลงมาแล้วเป็นใบ้ไปเลย ขอบคุณอีกทีค้าบ!’

     

              และนั่นก็เป็นคำฝากฝัง ออกไปทางสั่งเสียซะมากกว่า ของเพื่อนๆที่รักและหวังดีต่อตัวเขามาก (กัดฟันพูดหน่อยขอภาพลักษณ์ดีๆ) จนทิ้งให้เขาเดินขึ้นยอดเขากับพี่ชายข้างบ้านของอีแดฮวีเพียงลำพัง จะว่ามันสนุกก็สนุกอ่ะนะ คือทุนเดิมเขาก็ชอบปีนเขาอยู่แล้ว แต่ไอ่ความเงียบที่เกิดรอบตัวเรานี่แหละที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดชะมัดยาก

              เป็นภาระพี่เขาไหมอะ.. คือได้ยินว่าขาเพิ่งหัก แล้วเดินขึ้นยอดเขาที่สูงขนาดนี้ไม่เมื่อยขาแย่หรอ แบบปล่อยให้เขาเดินขึ้นเขาคนเดียวก็ได้ถ้าจะทำคนอื่นลำบากขนาดนี้T_T

              “พี่ เอ่อ เหนื่อยไหมครับ? เจ็บขาหรือเปล่า? หยุดเดินก่อนแปบนึงก็ได้นะครับ”

              พี่จีฮุนที่เดินนำหน้าเขาไปเพียงสองสามก้าวหยุดชะงักก่อนจะหันมามองหน้าเขายิ้มๆ ไม่รู้ว่าคนข้างบ้านของแดฮวีจะเป็นคนดีขนาดนี้ที่เหนื่อยแทบตายก็ยังยิ้มออก เห็นเหงื่อที่ขึ้นผุดตามกรอบใบหน้าแล้วก็มือขางขวาของพี่เขาที่พยุงขาตัวเองไว้แล้วมันรู้สึกผิดชะมัด แง

              “ถ้าเราเหนื่อย เราพักก่อนก็ได้นะ”

              พี่เขาพูดแบบหอบๆ ถ้าเป็นพี่องนะป่านนี้ได้โดนไล่ให้ลงไปเล่นข้างล่างแล้ว แต่นี่เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็ไม่กล้าจะโวยวายอะไร .. แล้วอาการเหนื่อยนี่พี่เขาเป็นอยู่คนเดียวเลยครับ ที่อยากให้พักไม่ใช่เพราะจินยองเหนื่อยหรอก แต่เพราะสงสารอีกฝ่ายนี่ไงเล่า

              “พี่เจ็บขาไหมอ่ะ”

              “นิดนึง แต่ชินแล้ว เราเหนื่อยหรอ น้ำไหม? หิวหรือเปล่า?”

              จู่ๆก็ใจเต้นแรงกับการที่เขายิ้มให้แล้วพยายามค้นหาของที่ว่าในกระเป๋าของตัวเอง เอ้อ อีกอย่างนะ กระเป๋าที่แพจินยองขนเสบียงและของใช้ทั้งหมดมาเจ้าตัวก็อาสาขอไปถือเอง พอจะขอมาถือก็สะบัดแล้วรีบก้าวเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม

              อู้หู้ งานดี งานพรีเมี่ยมสัดตามตำราของอีแดฮวีจริงๆ

              “ม่าย พี่ไม่เจ็บขาจริงหรอ เรานวดให้ไหม?”

              ช้อนตามองคนเป็นพี่ที่ยื่นน้ำมาให้ตรงหน้า เขารับมาพลางชี้ไปที่ขาข้างขวาของอีกฝ่ายที่ดูเก้ๆกังๆอย่างประหลาด เห็นแล้วสงสารอ่ะ ในชีวิตนี้ยังไม่เคยใกล้ประสบการณ์เฉียดตายอย่างรถชนเลย ไม่อยากนึกสภาพว่าถ้าเป็นเขาเองที่โดนมั่งจะรู้สึกยังไง

              “ไม่เป็นไรครับ เราจะนั่งพักก่อนไหม อีกกิโลเดียวเองนะ ไหวหรือเปล่าครับ?”

              อยู่ดีไม่ว่าดีพี่จีฮุนก็เอามือมาลูบผมเฉยเลย ว่าจะไม่เขินให้กับใครในชีวิตนี้นอกจากไลควานลินแล้วนะ ทำไมต้องมาทำให้เขินก็ไม่รู้เขา รู้แต่แค่ว่าหุบยิ้มกับทนหน้าร้อนไม่ไหวแล้วโว้ย

              “ไหวๆ พี่ต้องถามตัวเองนะไหวไหม ถ้าไม่ไหวต้องบอกเรานะ เดี๋ยววิ่งไปตามคนมาช่วยให้ เราปฐมพยาบาลคนไม่เป็นหรอก เป็นแต่นวดให้พี่องอ่ะ”

              คนเป็นพี่ยิ้มกว้างกว่าเก่าก่อนจะส่ายหัวให้เหมือนเวลาที่แพจินยองคนนี้ฟังคำโอ้อวดของเด็กสามขวบ เฮ้ๆ เดี๋ยวนะ

              “ยิ้มไรเนี่ย”

              “ยิ้มเฉยๆ พี่ชอบยิ้ม ทำไมอ่ะ จินยองไม่ชอบหรอ?”

              เออ ไม่ชอบแล้ว! ก็ยิ้มของพัคจีฮุนมันทำให้ใจเต้นแรงแปลกๆอ่ะ แม่งเง้ย

     

     

              “ถึงยอดซ้ากที กิโลเดียวก็เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย”

              บ่นกับตัวเองพลางทุบขาทุบไหล่ไปพลาง เหลือบมองคนข้างกายที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว เอ่อะ ยิ้มบ่อยๆแบบนี้บางทีแพจินยองก็นึกว่าเป็นคนบ้าได้นะ

              “พี่ยิ้มอะไรอีกแล้วเนี่ย ตลก”

              ขำน้อยๆให้กับใบหน้าของอีกฝ่าย คือตอนแรกมันก็ใจเต้นแหละตอนเขายิ้มให้ แต่พอเห็นเขาไม่หุบยิ้มซักทีมันก็ดูตลกยังไงชอบกล

              “แค่รู้สึกเหมือนทำความฝันเป็นจริงยังไงไม่รู้”

              “แค่ขึ้นเขาแค่นี้ได้อ่ะนะ? โห ยิ่งใหญ่จริ้ง”

              สาวเท้าเข้าไปหาอีกฝ่ายที่กำลังยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายบรรยากาศโดยรอบเอาไว้ ช่างเป็นการบันทึกความทรงจำที่จืดชืดซะจริงๆเล้ย

              “มานี่ ขึ้นเขาแล้วมันต้องถ่ายแบบนี้”

              หยิบโทรศัพท์ของอีกฝ่ายขึ้นแล้วเสียบเข้ากับไม้เซลฟี่ที่อีแดฮวียัดมาในมือตั้งแต่อยู่ที่ตีนเขา เขาประกอบอะไรให้เรียบร้อย คลิกเข้าแอพพลิเคชั่นถ่ายรูป ปรับให้เป็นโหมดวิดีโอก่อนจะยืดไม้ออกไปจนสุดความยาว

              นับหนึ่งสองสามในใจแล้วกดให้โทรศัพท์ของพัคจีฮุนบันทึกภาพทั้งหมดก่อนจะหมุนวนเป็นวงกลมด้วยความสนุกสุดเหวี่ยง เนี่ย ขึ้นเขามาได้ทั้งทีมันต้องแบบนี้!

              หมุนจนเริ่มมึนหัวจึงยอมศิโรราบแต่โดยดี แพจินยองเดินหลับตาเซไปเซมาก่อนจะจับเข้าที่อะไรบางอย่างที่พอจะให้ทรงตัวได้ พอลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้านี่เรียกได้ว่าอย่างกับฉากในนิยาย ใบหน้าของพัคจีฮุนที่อยู่ห่างกันไม่กี่คืบเนี่ย แถมดวงตาที่สุกสกาวที่จ้องลงมานี่ก็ด้วย

              แพจินยองรู้แล้วว่าแววตาพวกนั้นมันทำให้เขานึกถึงอะไร

              “เวลามองตาพี่จีฮุนเนี่ย”

              “...”

              “เหมือนมองโลกทั้งใบ จักรวาลทั้งจักรวาลเลยเนอะ”

              “...”

              “เป็นประกายวิบวับ ชอบจัง”

              ว่าพลางเผลอเอามือไปลูบหน้าเขาด้วยความเคยชิน เพิ่งจะเข้าใจถึงความหมายของคำว่าเผลอตัวก็วันนี้จริงๆล่ะนะ

     

              กว่าจะรู้ตัวก็ ... เชี่ย.. แพจินยองเอาไลควานลินไปไว้ตรงไหนในความทรงจำแล้วเนี่ย!

             

     

                มึงเป็นไร ลงเขาแล้วเหนื่อยหรอหน้าแดงเชียว

                ‘เบื่อหน้ามึงอ่ะ ที่หน้าแดงนี่โกรธล้วนๆ

                ‘หรอ อีสัด! เชื่อตายแหละ ทำมาเป็นหลบหน้าหลบตาอย่างกับทำความผิด

                ‘เรื่องของกู!’

                ‘ก็กูจะเสือก!’

                ‘กูไม่ให้เสือกโว้ย ไปๆ กลับๆ พี่องให้กูหนีหมอมาได้แค่สี่โมงเย็นโว้ย

     

     

     

     

     

    True friends never let you go again,
    and yes they won’t.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×