คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 คุณหนูสกุลลู่
ตอนที่ 1
คุณหนูสกุลลู่
ณ งานชมบุปผาแห่งเมืองหลวงวันนี้ฟ่านฮูหยินเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเช่นทุกครั้ง ภายในงานมีฮูหยินและคุณหนูมากมายมารวมตัวกันเพื่อพูดคุยสังสรรค์ทำความรู้จักทำความสนิทสนมต่อกัน
ผู้ที่จะถูกเชื้อเชิญมาให้ร่วมงานนั้นล้วนเป็นเหล่าฮูหยินและคุณหนูของขุนนางในราชสำนัก ไม่ก็สกุลใหญ่ที่มีชื่อเสียง งานพบปะของเหล่าสตรีในที่นี่เปรียบได้กับการกระชับมิตรเพื่อผลประโยชน์ของสามีของพวกนางด้วย
ลู่ฮูหยินนั้นก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกเชื้อเชิญให้มารวมงานทุกครั้งที่มีการจัดงานขึ้นไม่เคยขาด
ครั้งก่อนนางใช้ข้ออ้างว่าป่วยปฏิเสธไปครั้งหนึ่งแล้ว รอบนี้ที่ถูกเชื้อเชิญจึงได้แต่จำใดพาบุตรสาวคนรองของตนมาร่วมงานอย่างเสียไม่ได้ มิเช่นนั้นหากครั้งนี้นางยังไม่ยอมมาอีกผู้คนอาจจะได้พากันพูดไปว่านางเกิดขัดแย้งกับฟ่านฮูหยินจึงไม่ยอมมาร่วมงาน
นางจะปล่อยให้ลือออกไปเช่นนั้นไม่ได้ เพราะอย่างไรฟ่านฮูหยินกับนางก็ถือว่ามีมิตรภาพต่อกันมากว่าสิบปี
“ลู่ฮูหยินเจ้ามาแล้วหรือข้ากำลังรอเจ้าอยู่ที่เดียว”
“ก่อนออกจากจวนรถม้าข้ามีปัญหาเล็กน้อยจึงได้ล่าช้า ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”
“มาช้าแค่นิดหน่อยเท่านั้น ไม่ถือเป็นอันใด ด้านหลังของเจ้าคือหลานชิงอี้ใช่หรือไม่ นางไปอยู่กับท่านย่าที่บ้านเดิมถึงสองปีกลับมาครั้งนี้โตขึ้นมาก รูปโฉมก็งดงามกว่าเดิมอีก” ฟ่านฮูหยินเอ่ย
“คารวะฟ่านฮูหยินเจ้าค่ะ” ลู่ชิงอี้เอ่ยขึ้นเสียงหวาน พร้อมทั้งย่อกายคารวะฟ่านฮูหยินด้วยท่าทีอ่อนน้อม
“ท่าทีเจ้าเรียบร้อนสง่างามเหมือนท่านแม่เจ้าไม่มีผิดทีเดียว” ฟ่านฮูหยินเอ่ยชมขึ้นอย่างเอ็นดูเด็กสาวตรงหน้า
“ขอบพระคุณฟ่านฮูหยินที่เอ่ยชมเจ้าค่ะ”
“ไปเถอะรีบเข้าไปในงาน คนในนั้นเอ่ยถามถึงเจ้าอยู่หลายคนทีเดียว วันนี้มีคุณหนูหลายบ้านติดตามท่านแม่มาเช่นเดียวกันกับเจ้า เข้าไปแล้วก็ลองทำความรู้จักพวกนางดู”
สตรีทั้งสามเข้าไปในงานชมบุปผาพร้อมกัน
และแน่นอนว่าทันทีที่แม่ลูกสกุลลู่ย่างเท้าเข้าไปในงานก็กลายเป็นจุดสนใจในทันที
เหตุที่ทำให้พวกนางกลายเป็นจุดสนใจได้ในทันทีนั้นก็คงเป็นความเรียบร้อยและอ่อนโยนอย่างยิ่งถึงขั้นที่แม้จะแค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ยังทำให้คนอื่นที่มองไปยังพวกนางรู้สึกได้ถึงความอ่อนหวานนั้น
“ฟ่านฮูหยินทางนั้นดูครึกครื่นนัก เป็นฮูหยินจากสกุลไหนหรือจึงได้เป็นจุดสนใจเช่นนี้”
“ลู่ฮูหยินกับบุตรสาวของนางลู่ชิงอี้”
“ฮูหยินสกุลลู่หรือ ครั้งก่อจำได้ว่านางไม่ได้มาครั้งนี้พาบุตรสาวมาด้วย”
“บุตรสาวนางเพิ่งกลับจากบ้านเดิมของท่านย่อนาง ที่พามาด้วยก็เพราะจะพามาเปิดหูเปิดตาด้วย เมื่อครู่ข้าได้คุยกับนางช่างเป็นหญิงสาวที่ไม่ต่างจากมารดานางเลยเรียบร้อยอ่อนหวานเหมือนกันไม่มีผิด” ฟ่านฮูหยินอดที่จะเอ่ยชมออกมาไม่ได้
“ข้ามองจากไกลๆ ก็คิดว่านางเหมือนมารดาไม่ผิดเช่นกันอีกทั้งยังงดงามไม่น้อยจริงๆ อย่างที่เจ้าว่า” หนิงฮูหยินเองก็เห็นพ้องต้องกัน
“หากไม่ใช่ว่าบุตรชายทั้งสามคนของข้าล้วนแล้วแต่ตบแต่งสะใภ้ไปจนหมดแล้ว หลังจากวันนี้ข้าก็คงบอกเจ้าได้เลยว่าข้าจะต้องเร่งไปทำการสู่ขอที่สกุลลู่อย่างแน่นอน” น้ำเสียงของนางนั่นแฝงความเสียดายอยู่ไม่น้อยทีเดียว
“ท่านยังดี บุตรชายท่านยังแต่งลูกสะใภ้เข้าจวนให้ทุกคน แต่ข้านี่สิบุตรชายเพียงคนเดียวของสกุลอยู่ค่ายทหารที่ชายแดนนานจึงจะกลับบ้านสักที อายุก็เลยวัยแต่งงานมาไม่น้อยแล้ว”
“นี่ก็ไม่ใช่ว่าเหมาะแล้วหรือ ข้าไม่อาจสู่ขอลูกสะใภ้จากสกุลลู่ได้ แต่เจ้าสามารถสู่ขอได้ เจ้าเห็นว่าเป็นอย่างไร”
“หญิงสาวที่เรียบร้อยอ่อนหวานดูเหมือนจะเหมาะกับลูกชายข้า เป็นบุตรสาวจากสกุลลู่นี่แหละ ข้าตัดสินใจแล้วจะสู่ของบุตรสาวสกุลลู่ให้บุตรชายข้าหนิงเฟยอวี้”
หนิงฮูหยินกล่าวออกมาด้วยใบหน้าและน้ำเสียงจริงจัง ด้านฟ่านฮูหยินเองก็เห็นดีเห็นงานด้วยเป็นอย่างดี
พวกนางพากันไปพูดคุยกับลู่ฮูหยินและบุตรสาวแต่ยังไม่ได้เอ่ยทาบทามแต่อย่างไร เพราะตั้งใจว่าจะไปเยือนที่จวนสกุลลู่และทำการพูดคุยอย่างจริงจังจึงจะเหมาะสมกว่าที่งานชมบุปผานี้
บรรยากาศจวนราชครูลู่โดยปกติยามเช้าจะค่อนข้างเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกร้อง และเสียงสายลมพัดเบาๆ เท่านั้น แต่จู่ๆ ยามที่ลู่ฮูหยินและบุตรสาวคนโตกำลังเดินชมสวนอยู่อย่างสบายอารมณ์อยู่นั้น ก็มีเสียงตะโกนดังลั่นมาจากหน้าประตูจวน
“ท่านแม่ พี่ใหญ่ ข้ากลับมาแล้ว!!!” เสียงตะโกนนำมาแต่ไกล ไม่นานก็ปรากฎร่างหญิงสาววัยแรกแย้มที่มีใบหน้ายิ้มแย้มดูทะเล้นตามมาโผล่เข้ากอดนางอย่างรวดเร็ว
“มาถึงก็ส่งเสียงดังเลยนะลูกคนนี้ เสียงมาก่อนคนเสียอีกใช้ได้ที่ไหนกัน”
“ก็ข้าคิดถึงพวกท่านนี่เจ้าคะ” นางเอ่ยพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้หินเบื้องหน้าตน แล้วก็หยิบของวางบนโต๊ะเข้าปากทันที “พี่สาวเป็นขนมที่ท่านทำใช่ไหมเจ้าคะรสชาติอร่อยยิ่งนัก เป็นหนึ่งในใต้ล้าได้เลยนะเนี่ย”
“น้องสามเจ้าปากหวานเกินไปแล้ว หนึ่งในต้าหล้าข้าจะกล้ารับไว้ได้อย่างไร แล้วนี่เจ้าทานอะไรมาหรือยังพี่เข้าครัวไปดูอาหารให้เจ้าดีหรือไม่”
“รบกวนพี่ใหญ่แล้ว ข้าหิวข้าวมากจริงๆ ตั้งใจหิวท้องมากินฝีมือทานโดยเฉพาะเลยนะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นเจ้ารอพี่ประเดี๋ยวก็แล้วกัน” นางเอ่ยกับน้องสาว ก่อนจะตรงไปที่โรงครัวของจวนในทันที
“จดหมายครั้งก่อนที่เจ้าเขียนมา ไม่ใช่ว่าบอกว่าจะติดตามอาจารย์เจ้าท่องเที่ยวพร้อมพี่รองเจ้ามิใช่หรืออย่างไร” ลู่ฮูหยินเอ่ยถามบุตรสาวคนเล็กของนาง
“ข้าโดนท่านอาจารย์และพี่รองทิ้งแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวกล่าวเสียงเศร้า มือก็ยังหยิบขนมชิ้นที่สามเข้าปากต่อไป
ลู่เข่อชิงนั้นตั้งแต่แปดขวบก็ได้กราบอาจารย์คนเดียวกันกับพี่ชายคนรองของตนที่เขาลั่วหาน และอยู่ฝึกฝนอยู่ที่นั่นเลยมาหนึ่งปีจึงจะลงเขากลับมาสักครั้งเป็นเวลาเพียงไม่ถึงสิบวันพร้อมทันพี่ชายคนรอง
ที่ว่าฝากตัวเป็นศิษย์นั่นไม่ใช่ว่าเกิดจากความยินยอมของทั้งท่านพ่อท่านแม่ของนางหรือกระทั่งท่านอาจารย์ซือเต๋อผู้ที่นางกราบเป็นอาจารย์เองก็เหมือนกัน
จำได้ว่าตอนนั้นนางติดตามท่านพ่อท่านแม่ไปเยี่ยมพี่ชาย (เมื่อก่อนสามปีพี่ชายนางจึงจะกลับบ้านสักครั้ง แต่เมื่อมีนางจึงเปลี่ยนมากลับทุกปี) แล้วก็อยากเรียนวิชากระบี่อ่อนที่นั่นจึงดึงดันไม่อยู่ต่อไม่อยากกลับ สุดท้ายก็ก่อกวนอาจารย์ซือเต๋อครั้งใหญ่จนท่านรำคาญทนไม่ไหวจึงได้จำใจรับนางเป็นศิษย์
นางไปเพื่อเรียนวิชากระบี่อ่อนแต่พี่ชายคนรองของนางไม่ได้ไปเพื่อศึกษาวิชากระบี่เช่นเดียวกัน แม้จะกราบอาจารย์คนเดียวกัน แต่ที่พี่ชายนางไปศึกษานั้นกับเป็นการวิเคราะห์อะไรสักอย่างที่ดูยากยิ่ง
ครั้งหนึ่งนางเคยคิดสงสัยว่าทั้งที่บิดาของพวกนางเป็นถึงราชครู อีกทั้งยังเปิดสำนักศึกษาเป็นของตัวเอง เหตุใดพี่รองจึงต้องไปศึกษาที่อื่นด้วย นางเคยถามดูก็ได้คำตอบกลับมาว่า เรื่องที่พี่รองอยากเรียนอาจารย์ซือเต๋อเป็นผู้ที่สอนได้ลึกมากที่สุด ท่านพ่อเองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่รองนางเลือก
“พวกเขาหลอกให้ข้าลงเขาไปซื้อของแล้วก็แอบพากันหนีไปเจ้าค่ะท่านแม่” มีเพียงจดหมายเพียงฉบับเดียวเท่านั้นเหลือทิ้งเอาไว้ให้นางเมื่อกลับไปถึง
‘ทัศนาจรครั้งนี้ไม่รู้จุดสิ้นสุด กี่วัน กี่ปีไม่อาจรู้ได้ เจ้ากลับจวนสกุลลู่ไปเสียเถอะ’
“เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว เดิมทีแม่เองก็ไม่อยากให้เจ้าไปทัศนาจรอะไรนั่นนักหรอก ไม่รู้ว่าอันตรายขนาดไหน เจ้าเป็นสตรีเป็นลูกสาวคนเล็กของแม่ เพียงชั่วขณะจิตไม่มีไม่หวงเจ้าเลย” ลู่ฮูหยินเสียงสั่นเมื่อเอ่ยจบก็เอื้อมมือไปจับมือบุตรสาวของนางมากุมเอาไว้
“ท่านแม่ลูกต้องขออภัยที่ทำให้ท่านต้องคอยเป็นกังวลเพราะข้านะเจ้าคะ” คำพูดที่ออกจากปากท่านแม่เมื่อครู่ทำเอา นางถึงกลับลืมความไม่พอใจที่ถูกอาจารย์ทิ้งไปเลย
ในใจบังเกิดความดีใจขึ้นมาที่ได้กลับมาอยู่กับท่านแม่และครอบครัวอีกครั้ง
“แม่ไม่เคยถือโกรธเจ้า กลับมาแล้วก็ดี กลับมาแล้วก็ดีเป็นอย่างยิ่ง”
ความคิดเห็น