ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [เปิดจอง Fic] Me & Mine Project [BumHyuk]

    ลำดับตอนที่ #16 : [Freeze] Intro : Stickwit U [by kumbi]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 367
      0
      23 เม.ย. 53

    Freeze’s Part

    Title : Stickwit U       

    Story by kumbi

     

              ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด...

     

                เสียงร้องแหลมเล็กดังออกมาจากหน้าจอของเครื่องวัดชีพจรหัวใจ หน้าจอสีดำสนิท มีเพียงเส้นกราฟสีเขียวสองเส้นที่เคลื่อนไหว บ่งบอกถึงการมีลมหายใจของคนที่หลับใหลอยู่บนเตียงสีขาว

     

                หากแต่ลมหายใจนั้นมันก็อ่อนลงทุกที...ทุกที...

     

                อุปกรณ์ช่วยหายใจที่ครอบอยู่ตรงจมูก ถุงบรรจุออกซิเจน สายอะไรต่อมิอะไรระโยงระยางทั่วเตียงเต็มไปหมด ใบหน้าหวานยังคงหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนั้น ไม่รับรู้ถึงสิ่งใดที่อยู่รายรอบตัว ผิวขาวละเอียดดุจหิมะ บัดนี้ซีดเซียวเสียจนน่ากลัว

     

                หยาดน้ำตาหยดหนึ่งไหลออกจากตาซ้ายของคนที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง มือบางปาดน้ำตาตัวเองออกอย่างลวกๆ ดวงตาแดงก่ำบอกถึงการร้องไห้อย่างหนัก นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มทอดมองไปยังใบหน้าของคนป่วยที่อยู่บนเตียง

     

                ใบหน้าที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว

     

                มีเพียงสีผมเท่านั้นที่เป็นเอกลักษณ์แยกคนทั้งสองออกจากกัน...

     

                ร่างบางที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องค่อยๆเดินไปที่ข้างเตียง มือนุ่มเอื้อมไปลูบเรือนผมสีน้ำตาลของคนที่หลับใหล ก่อนจะเลื่อนกุมมือที่ขาวซีดจนเกือบจะกลืนไปกับสีของผ้าปูที่นอนบนเตียง เสียงสะอื้นถูกปลดปล่อยออกมาเพราะเจ้าตัวไม่สามารถกลั้นมันได้อีกต่อไป

     

                ร่างบางทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ผมสีดำสนิทของตนต่างจากคนบนเตียงที่ผมสีน้ำตาลถูกขยำไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง เสียงสัญญาณที่ดังต่อเนื่องของเครื่องวัดชีพจรหัวใจทำให้มือขยุ้มผมตัวเองแรงขึ้นกว่าเดิม ร่างบางสะอื้นจนตัวโยน คำพูดของแพทย์เจ้าของไข้ลอยแว่วเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้ง

     

     

              ภายใน 7 วัน ถ้าคนป่วยไม่ได้รับการผ่าตัด โอกาสรอดนั้นเหลือศุนย์ครับ...

     

              ...

     

              ทางเราเข้าใจปัญหาด้านการเงินของคุณนะครับ...แต่คนไข้เป็นโรคหัวใจระยะสุดท้ายแล้ว ทางเดียวที่จะรอด...ก็คือการผ่าตัด

     

              มันต้องใช้เงินเท่าไหร่ครับ ?

     

              ประมาณ 5 ล้านวอนครับ...

     

               

                หยาดน้ำใสไหลออกมาจากหางตาอีกครั้ง ดวงตารีเล็กค่อยๆปิดลง ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากคิดอะไรแล้วทั้งนั้นในตอนนี้ จำนวนเงินมากมายขนาดนั้น ต่อให้อีก 10 ปี เขายังไม่มั่นใจเลยว่าเค้าจะหามันมาได้รึเปล่า หากแต่นี่เหลือเวลาอีกแค่ 7 วันเท่านั้นที่จะตัดสินความเป็นความตายของชีวิตน้องชายฝาแฝดที่นอนอยู่บนเตียง ถ้าเขาหาเงินก้อนนั้นมาไม่ได้ มันก็เท่ากับเขาต้องมองดูลมหายใจของน้องชายถูกพรากออกไปต่อหน้าต่อตา...

     

              แต่มันต้องมีวิธีสิ...

     

                ร่างบางบอกกับตัวเองเช่นนั้น คนที่ไม่ยอมจำนน ไม่ยอมพ่ายแพ้ให้กับเรื่องร้ายใดๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างเขาจะต้องไม่มานั่งท้อเพราะเรื่องเช่นนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ เขาก็ต้องหาเงินค่าผ่าตัดมาให้ได้...

     

                ด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ คนที่เขารักที่สุดจะต้องมีลมหายใจต่อไป...

     

                ขาเรียวหยัดลุกขึ้นยืน มือบางกุมมือที่ซีดผอมบางแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกของน้องชายเอาไว้พร้อมเอ่ยวาจาหนักแน่น

     

                “นายต้องกลับมาเป็นฮยอกแจคนเดิม...พี่สัญญา !

     

     

               

                เสียงเพลงที่ดังอึกทึกในสถานบันเทิงชื่อดังในย่านแหล่งราตรีของกรุงโซล เหล่าผีเสื้อกลางคืนโยกย้ายส่ายเอวกันไปมาตามจังหวะเสียงเพลงกลางฟลอร์ กลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่ อีกทั้งเสียงที่ดังออกจากลำโพงเกินพิกัดสร้างอันตรายต่อสุขภาพมากเพียงใดก็ไม่มีใครใส่ใจนัก ทุกคนล้วนแต่ต้องการเที่ยวหาความสุขใส่ตัว ทั้งความสุขทางกาย ทางใจ แม้แต่ทางเพศ

     

                วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ร่างบางในชุดฟอร์มของร้าน เสื้อกั๊กสีน้ำตาล ติดโบว์สีแดง ยืนประจำอยู่ที่หน้าเครื่องคิดเงิน ช่วงหนึ่งทุ่มจนถึงตีสองเป็นช่วงเวลาของเขาที่จะต้องมาทำงานที่สถานบันเทิงแห่งนี้ในหน้าที่ของพนักงานบัญชี มันก็โชคดีที่เขาทำงานในตำแหน่งที่ยืนอยู่หน้าเครื่องคิดเงินเฉยๆ ไม่ต้องออกไปเดินเสิร์ฟล่อเสือล่อนักท่องราตรีทั้งหลาย

     

                “โต๊ะ 3 คิดเงิน” เสียงพนักงานเสิร์ฟดังขึ้นจากทางด้านหน้าเคาน์เตอร์คิดเงิน มือบางดึงบิลของโต๊ะ 3 ออกมา ก่อนจะจิ้มตัวเลขลงบนแป้นสีขาวอย่างเบื่อๆ จนคนที่ยืนรอบิลอดแปลกใจไม่ได้

     

                “พี่อึนฮยอก อกหักหรือไง ?”

     

                นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มตวัดมองพนักงานเสิร์ฟคนนั้นอย่างเคืองๆ ถาดบิลถูกกระแทกวางบนเคาน์เตอร์อย่างอารมณ์เสีย หากแต่คนถามกลับหัวเราะเบาๆในท่าทีของพนักงานบัญชีร้าน

     

                “หุบปากแกไปซะ !

     

                “แซวแค่นี้ทำเคือง” พูดจบก็เดินออกไปพร้อมถาดเล็กๆที่วางบิล สักพักก็กลับมาพร้อมแบงก์วอนหลายใบบนถาด เงินถูกเก็บแบ่งส่วนในลิ้นชัก อึนฮยอกถอนหายใจออกมาแรงๆก่อนจะเหลือบมองดูเวลาตรงมุมล่างขวาของคอมพิวเตอร์ เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาเลิกงานของเขาแล้ว แต่กว่าจะเคลียร์บัญชีเสร็จ ก็จวนๆตีสาม เขาถึงจะได้กลับบ้าน

     

                ร่างบางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์ก่อนจะมองไปรอบๆร้าน แม้ใกล้จะเป็นเวลาปิดทำการแล้ว แต่นักท่องราตรีก็ยังคงไม่ได้บางตาลงไปนัก กลางฟลอร์ยังมีขาแดนซ์แข่งกันวาดลวดลาย ตามโต๊ะต่างๆก็ยังมีคนนั่งดริ้งค์รวมถึงนั่งพลอดรักกัน ซึ่งบางรายที่นั่งโลมเลียกันอยู่ก็เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำ

     

                ชีวิตนักเที่ยวกลางคืน...จะต้องการอะไรมากล่ะนอกจากหาความสุขใส่ตัว

     

                จะมีใครที่ต้องเผชิญชะตาชีวิต ดิ้นรนต่อสู้ ลำบากลำบนแบบเขาบ้างล่ะ ? จะมีใครที่ชีวิตเจอกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัดแบบเขาบ้าง ?

     

                คิดกับตัวเองแบบนั้นได้ครู่เดียวน้ำตาก็รื้นออกมา นิ้วโป้งและนิ้วชี้บีบลงไปที่สันจมูกระหว่างดวงตาทั้งสองข้างเพื่อห้ามไม่ให้มันไหล

     

              เพราะอึนฮยอกเป็นคนที่เข้มแข็ง...

     

              แม้จะต้องอ่อนแอในบางครั้งแต่ความอ่อนแอก็ไม่ใช่ตัวตนของเขา

     

                ร่างบางถอนหายใจออกมาเบาๆอีกครั้ง เป็นที่เท่าไหร่ในรอบวันที่เขาถอนหายใจก็ไม่สามารถประมาณได้  ใบหน้าหวานก้มลงมองแป้นคีย์บอร์ดหน้าคอมพิวเตอร์ นิ้วเรียวเคาะที่แป้นเล่นเหมือนคนเหม่อลอย

     

                “ขอโทษนะครับ...”

     

                เสียงนุ่มทุ้มของใครบางคนดังขึ้นที่หน้าเคาน์เตอร์ อึนฮยอกเงยหน้าขึ้นไปมองหากแต่ต้องชะงักกึก เมื่อดวงตาประสานเข้ากับนัยน์ตาสีนิลน่าค้นหาของคนที่เรียกตน

     

                “ค...ครับ ?”

     

                “คือผมเรียกพนักงานให้มาเช็คบิลตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ยังไม่เห็นมีใครเอาบิลไปให้ที่โต๊ะ ผมเลยเดินมาจ่ายเองน่ะครับ”

     

                ประโยคถูกเอ่ยออกมาห้วนๆเพราะความไม่พอใจในบริการที่ไม่ทั่วถึงของพนักงาน อึนฮยอกรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะค้อมตัวขอโทษเป็นการใหญ่

     

                “ขอโทษแทนพนักงานด้วยนะครับ วันนี้แขกเราเยอะมากเลยทำงานบกพร่องไป ขอโทษจริงๆครับ...”

     

                “เอาไว้เป็นบนเรียนละกันครับ คราวนี้ผมจะไม่ถือสา เช็คบิลโต๊ะ 5 ด้วยครับ” น้ำเสียงบอกได้ว่าลูกค้าหนุ่มคงเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองพอควร อึนฮยอกไล่หาบิลของโต๊ะ 5 ก่อนจะจัดการคิดเงินให้เรียบร้อย ถาดใส่บิลถูกยื่นไปที่หน้าเคาน์เตอร์ มือหนาหยิบกระดาษสีขาวของรายการเครื่องดื่มที่สั่งไปขึ้นมาดู บัตรเครดิตการ์ดสีทองถูกวางกลับลงไปบนถาดเล็ก

     

                “สักครู่นะครับ...”

     

                อึนฮยอกเอ่ยก่อนจะหันไปจัดการกับเครื่องรูดบัตร มือบางสั่นๆอย่างตื่นเต้น เขาไม่อยากหันไปสบตากับลูกค้ารายนี้เอาเสียเลย ดวงตานั่นที่จ้องมองเขามันทำให้เขาอยากจะหลอมละลายไปเสียให้ได้

     

                สลิปบัตรเครดิตถูกยื่นไปให้ชายหนุ่มอีกครั้งพร้อมปากกา ปลายปากกาขีดเขียนเป็นชื่อของเจ้าของบัตรก่อนจะส่งสลิปคืนให้อึนฮยอก

     

                “ขอบคุณครับ...โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ...”

     

                ค้อมตัวให้ลูกค้าตามมารยาทพร้อมเอ่ยขอบคุณ เมื่อร่างสูงเดินออกไป อึนฮยอกมองสลิปแผ่นบางในมือก่อนจะอ่านชื่อที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆนั้นไปมา

     

                ชื่อของลูกค้าที่อึนฮยอกเห็นเขาคนนั้นมานั่งร้านนี้อยู่บ่อยครั้ง...

     

                ชื่อของลูกค้าที่ทำให้อึนฮยอกใจเต้นยามที่ได้มองหน้า...

     

                ชื่อของลูกค้าที่ทำให้อึนฮยอกแทบละลายเมื่อสบตา...

     

                ชื่อของลูกค้าที่อึนฮยอกยอมรับกับตัวเองมานานว่าหลงรักเขาเข้าเสียแล้ว...

     

              ชื่อของลูกค้าที่ชื่อ...คิม คิบอม...

     

     

     

                “ผมขอตัวนะครับ...”

     

                เสียงเล็กห้าวๆเอ่ยขึ้นหลังจากที่เคลียร์บัญชีของร้านเรียบร้อยแล้วร่างบางเดินออกไปยังหน้าร้าน เดินทอดน่องไปเรื่อยๆ เข้าซอยที่จะเป็นทางลัดไปยังที่พักของเขา ในใจก็ภาวนาขอไม่ให้เจอจิ๊กโก๋นักเลงหรือพวกขี้ยาตามทางเดิน ไม่เช่นนั้นเขาคงได้โชว์ลีลาบู๊เหมือนหลายๆครั้งที่เคยต้องทำยามที่เจอคนพวกนั้นมาหาเรื่อง

     

                แต่เหมือนพระเจ้าจะไม่รับฟังสิ่งที่เขาภาวนา...

     

                “อ...อย่าทำผมเลยนะครับ...”

     

    เสียงสั่นๆร้องขอชีวิตดังขึ้นจากซอกหลืบซักซอกหนึ่งของตึกแถวที่ขึ้นอยู่มากมาย ความเงียบสงัดยามค่ำคืนทำให้เสียงนั้นดังพอที่อึนฮยอกจะได้ยิน

     

    “งั้นมึงก็ไปบอกพี่มึงสิ ว่าอย่ากร่างให้มันมาก นี่ถิ่นกู ! ถ้าพี่มึงจะรับงานก็ให้มันไปลงมือที่อื่น ไม่งั้นไอ้พวกตำรวจมันจะเหมารวม คิดว่ากูเป็นคนก่อเรื่อง”

     

    “ครับๆ ผมจะบอกให้ครับ ฮึก...ปล่อยผมไปนะครับ”

     

    “กว่ากูจะให้ลูกน้องไปจับตัวมึงมา มึงคิดว่ามันง่ายนักหรอ”

     

    “...”

     

    “เฮ้ย ! จัดการ”

     

    สิ้นเสียงใหญ่นั้น เสียงทุบตีก็ดังแว่วออกมา อึนฮยอกยืนนิ่งก่อนจะเดินหาแหล่งที่มาของเสียง ในซอกตึกที่ลับตาคนมีการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต มือบางคว้าไม้หน้าสามที่อยู่ในกองขยะแถวนั้นมาไว้ในมือ ก่อนที่รองเท้าผ้าใบขาดๆจะเตะเข่งผักลอยเข้าไปกลางวง

               

    ตุบ !

     

                “เฮ้ย ! ใครวะ ?” เสียงใหญ่ที่อึนฮยอกได้ยินเมื่อครู่ตะโกนก้อง ปากบางกระตุกยิ้มโหดก่อนจะเอ่ย

     

                “กูเอง...”

     

                ไม่ทันที่จะโยคจะขยายความว่า กูที่ว่านั้นเป็นใคร ไม้หน้าสามอันใหญ่ก็ฟาดลงไปไม่ยั้งยังชายร่างโตสองคนที่ยืนอยู่ อาศัยแสงสลัวๆของไฟถนนเป็นเครื่องนำทาง ท่อนไม้ฟาดลงไปยังจุดสำคัญที่ทำให้สลบอย่างชำนาญ ผู้ชายอีกสองคนที่อยู่ด้านหลังท่าทางเหมือนคนเมายาวิ่งมาจับเขาเอาไว้ ขาเรียวแต่แข็งแรงยกขึ้นถีบยอดอกของชายคนหนึ่งล้มไป ก่อนจะหมุนตัวเหวี่ยงขาเข้าต้นคอของอีกคน

     

                “เฮ้ย ! พวกมึงจะนิ่งอยู่ทำไม ไปจัดการมันสิวะ !!!” เสียงใหญ่เจ้าเดิมนั้นสั่งอีกครั้ง ลูกน้องที่เหลืออยู่อีกสามคนรวมถึงหัวหน้าของมันพุ่งเข้ามาหาอึนฮยอกทันที วงล้อมย่อมๆล้อมตัวเขาเอาไว้ไม่ให้หนี ดวงตารีเล็กหาทางเอาตัวรอด แต่มันก็ช่างจะริบหรี่เหลือเกิน หมัดหนักต่อยผลัวะมาที่มุมปากได้รูป รสชาติคาวของเลือดที่เข้าปากไปทำให้มือเล็กที่ถือไม้เงื้อขึ้นและฟาดไปกลางหัวของผู้ที่ต่อยตนจนไม้แตก แต่ยังไม่ทันที่จะขยับตัวต่อ สองคนที่เหลือก็จับมือเขาไพล่หลังเอาไว้ ร่างใหญ่กำยำของผู้ที่เป็นหัวหน้าเดินย่างเข้ามาหาร่างบาง

     

                “มึงอวดดีมาจากไหน ?”

     

                “กูไม่ได้อวดดี แต่กูเป็นคนดี” เสียงห้าวตะคอกใส่หน้าที่เต็มไปด้วยแผลเป็นของร่างใหญ่ มือหนายกขึ้นบีบคางเล็กอย่างแรง

     

                “งั้นวันนี้ กูจะแสดงให้มึงเห็นว่าคนดี มันไม่ตายดีเสมอไป !

     

                มีดเงาวับถูกชูขึ้นมาท้าแสงไฟสลัว เสียงใหญ่หัวเราะหึในลำคอ เตรียมจะเงื้อมีดในมือแทงไปยังกลางอกของคนตรงหน้า

     

                “ย่าส์ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!

     

                ตุบ !

     

                ชายหนุ่มตัวเล็กที่โดนรุมซ้อมเมื่อรู่เข้ามาช่วยฟาดไม้ลงบนท้ายทอยของผู้ที่กำลังจะจ้วงมีดแทง มีดในมือหลุดกระเด็นพร้อมร่างใหญ่ที่ล้มลงสลบ อึนฮยอกสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมทันทีที่สองคนด้านหลังเผลอ สองเท้ากะโดดลอยตัวถีบเข้าไปเต็มหน้าของทั้งสองคน

     

                “วิ่ง !!!

     

                อึนฮยอกตะโกนสั่งพร้อมคว้าแขนผู้ชายตัวเล็กคนนั้นออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตและไร้จุดหมาย เสียงฝีเท้าหนักๆยังตามมา นั่นทำให้ทั้งสองต้องเร่งความเร็วและซอกแซกเข้าไปในซอยที่ไม่รู้ว่ามันจะพาพวกเขาไปไหน

     

                กึก !

     

                ร่างของอึนฮยอกหยุดชะงักทันทีที่ร่างสูงของใครบางคนเดินเข้ามาขวาง ใบหน้าที่ดูดีเลยทีเดียวหากแต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความเย็นชา และความหยิ่งทะนงกำลังมองพวกเขาอยู่

     

                “พี่ฮีชอล !

     

                “เล่นอะไรอยู่รยออุค รู้มั้ยว่าพี่ตามหานายแทบจะพลิกโซลอยู่แล้ว” น้ำเสียงนิ่งๆเย็นๆดังลอดออกมาจากกลีบปากบาง ชายตัวเล็กที่ชื่อรยออุคพุ่งเข้าไปเกาะแขนนั้นไว้แน่น

     

                “ไอ้พวกที่มันคุมซอยด้านโน้นมันจับตัวผมมา มันแค้นพี่ที่พี่ไปรับจ้างฆ่าในเขตของมัน”

     

                คำบอกเล่าของรยออุคทำให้ฮีชอลยิ้มเย็น หากแต่อึนฮยอกกลับตัวชาวาบเพราะคำที่เพิ่งออกมาจากปากของคนตัวเล็กนั้น

     

              รับจ้างฆ่างั้นเหรอ ?

     

                ดวงตารีเล็กฉายแววตระหนกขึ้นมาทันที เขาไม่น่ามารู้มาได้ยินสิ่งที่มันผิดกฎหมายแบบนี้เลย ทางที่ดีเขาไม่น่าจะช่วยรยออุคตั้งแต่แรก เขาควรจะกลับบ้าน ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นตอนที่รยออุคถูกนักเลงพวกนั้นซ้อม

     

              แต่เขาก็ทำไมได้หรอก...

     

              เห็นคนอื่นถูกรังแกต่อหน้าต่อตา เขาทำไม่ได้จริงๆ...

     

                “แล้วหมอนี่เป็นใคร ?” ดวงตาที่เฉือดเฉือดมองอึนฮยอกอย่างไม่เป็นมิตร

     

                “เค้าช่วยผมเอาไว้จากไอ้พวกนั้น พี่เค้าเก่งมากเลย” รยออุคเอ่ยชื่นชม แต่คนถูกชมกลับไม่ได้ยิ้มภูมิใจในคำชมนั้นแม้แต่น้อย

     

                “งั้นหรอ ? ขอบใจมากละกันที่ช่วยน้องชายฉัน”

     

                ฮีชอลเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ อึนฮยอกพยักหน้ารับรู้ก่อนจะมองไปด้านหลัง ไม่มีคนตามมาแล้ว

     

                “ไม่ต้องห่วงหรอก...มันไม่ตามมาที่นี่หรอก” สิ้นเสียงเรียบๆของฮีชอล ทั้งอึนฮยอกและรยออุคค่างก็ขมวดคิ้ว แต่พอมองไปด้านหลังของฮีชอล โรงพักตั้งตระหง่านอยู่ทางด้านหลัง เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงไม่ตามมา นี่พวกเขาวิ่งมาจนถึงตรงนี้ได้ยังไงกันนะ มันไกลจากจุดเกิดเหตุเมื่อครู่มาก

     

                ฮีชอลเดินเข้าซอยข้างๆไปโดยที่ไม่รอใครหรือพูดอะไรทั้งนั้น รยออุคบ่นอะไรเล็กน้อยที่อึนฮยอกไม่ทันได้ฟัง ก่อนจะเดินตามฮีชอลไป แต่แล้วร่างเล็กนั้นก็หันกลับมา

     

                “มานี่สิครับพี่ !

     

                รยออุคเอ่ยเรียกนั่นทำให้อึนฮยอกเดินตามไป เขาเดินตามสองพี่น้องนั่นไปเรื่อยๆ ที่ไม่ขอตัวกลับก็เพราะหากย้อนไปทางเดิมเขาอาจจะกลับไปเจอคนพวกนั้นอีก ถ้าเดินไปทางนี้มันก็สามารถจะไปที่หอพักเขาได้เช่นกันแม้มันจะอ้อมเสียหน่อยแต่ก็ดีกว่ากลับทางเก่า แต่แล้วเมื่อเดินไปเรื่อยๆ คิ้วเรียวก็ขมวดหากันอย่างแปลกใจในเส้นทางที่เดิน  แล้วยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่เมื่อฮีชอลและรยออุคมาหยุดอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนท์โทรมๆที่เขาเช่าอยู่

     

                “นายรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่ ?”

     

                “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่านายอยู่ที่ไหน แต่ตัวฉัน...ฉันอยู่ที่นี่...” โทนเสียงเรียบๆนั่นเอ่ยขึ้นอย่างยียวน อึนฮยอกถอนหายใจก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้น 4 ที่เขาพักอยู่ ฮีชอลกับรยออุคอยู่ชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้าย

     

                “พี่ชื่ออะไรครับ ผมยังไม่รู้เลย...” รยออุคเอ่ยถามเมื่อร่างบางจะเดินเข้าชั้น 4 ไป

     

                “อึนฮยอก...” ตอบสั้นๆก่อนจะหมุนตัวกลับ แต่เสียงเย็นๆของฮีชอลก็รั้งเท้าเขาเอาไว้เสียก่อน

     

                “ฉันขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ...รยออุค ขึ้นห้องไปนอนไป” ประโยคสุดท้ายหันไปสั่งน้องชาย ร่างเล็กวิ่งขึ้นบันไดไปแต่โดยดี เหลือทิ้งไว้เพียงฮีชอลกับอึนฮยอกที่ยืนมองหน้ากันอยู่

     

     

     

                “สนใจจะไปทำงานกับฉันมั้ย ?” น้ำเสียงหยิ่งๆของฮีชอลเอ่ยชวน อึนฮยอกขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะส่ายหน้าดิก

     

                “รับจ้างฆ่าน่ะเหรอ ? ฉันไม่เอาหรอก...”

     

                “แต่อย่างนายกล้าต่อกรกับไอ้พวกนั้นได้ก็แสดงว่าฝีมือไม่ธรรมดานะ” ฮีชอลเอ่ยถึงสิ่งที่รยออุคเล่าให้เขาฟังระหว่างทางเดินมาอพาร์ตเมนท์

     

                “ถึงฉันจะล้มพวกมัน แต่ฉันก็ไม่ได้ฆ่าพวกมันนี่” อึนฮยอกตอกกลับอย่างไม่เกรงกลัว นั่นทำให้ฮีชอลยิ้มเย็นพร้อมๆกับที่อึนฮยอกถามต่อ

     

                “นายมีเหตุผลอะไรที่ต้องเป็นนักฆ่า ?”

     

                “เงินไงล่ะ...”

     

                คำตอบสั้นๆทำให้อึนฮยอกชะงักกึก จากที่ไม่สนใจและออกจะรังเกียจในอาชีพที่ฮีชอลทำ เขากลับนิ่งฟังสิ่งที่ฮีชอลกำลังจะพูด

     

                “แม้มันจะเป็นอาชีพที่เลวร้าย เงินที่ได้บางทีแทบจะไม่คุ้มเลยหากโดนจับได้ แต่ฉันก็จำเป็นต้องทำ...”

     

     

     

                แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาจากประตูมุ้งลวดเหล็กดัดตรงระเบียง แสงอาทิตย์ยามรุ่งสาดส่องเข้ามาในห้องพักแคบๆแทบไม่มีที่เดิน ที่นอนปิกนิกปูแผ่อยู่บนพื้น ฮยอกแจนั่งอยู่บนที่นอน พิงหลังไปที่ผนังกอดเข่าแบบนั้นตั้งแต่เข้าห้องมา ปลายที่นอนมีพัดลมเก่าๆให้ความเย็นพร้อมส่งเสียงดังเนื่องจากอายุการใช้งานที่นาน โต๊ะหนังสือตัวเล็กๆที่ตั้งอยู่  เป็นมุมประจำของฮยอกแจ น้องชายฝาแฝดของเขาในการทบทวนบทเรียน หากแต่อึนฮยอกกลับไม่ได้ใช้มัน เพราะตนนั้นเรียนแค่มอปลายก็เพียงพอ

     

                กรอบรูปของสองพี่น้องวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ ในรูปนั้น ชายหนุ่มที่ผมสีดำสนิทยิ้มน้อยๆที่มุมปาก ต่างกับชายหนุ่มอีกคนที่หน้าเหมือนราวกับพิมพ์เดียวแต่มีเรือนผมสีน้ำตาลเพราะทำไฮไลท์ ปากบางนั้นยิ้มกว้าง สองนิ้วชูให้กล้องเป็นท่าประจำ

     

              สนใจจะไปทำงานกับฉันมั้ย ?

     

                คำพูดของฮีชอลลอยเข้ามาในหูอีกครั้งหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนเลวร้ายแต่ที่เขาต้องทำก็เพื่อความอยู่รอดของตัวเองและน้องชาย หนี้สินมากมายจากการพนันและการกู้ยืมเงินทั้งนอกและในระบบที่พ่อของเขาได้ก่อไว้ก่อนตายทำให้ผู้เป็นลูกต้องมานั่งชดใช้ และจำต้องมาตกอยู่ในวงจรที่มือต้องเปื้อนเลือดเช่นนี้

     

              ถ้าฉันใช้หนี้หมดเมื่อไหร่ และเก็บเงินได้ซักก้อน ฉันจะเลิกและจะพารยออุคไปตั้งตัวใหม่...บอกตามตรงนะ ถ้าไม่มีรยออุค ป่านนี้ฉันฆ่าตัวตายไปนานละ...

     

                อึนฮยอกถอนหายใจให้กับความไม่ยุติธรรมบนโลกใบนี้ แม้ว่าเขาจะลำบากเพียงใด แต่บนโลกนี้ก็ยังมีคนลำบากกว่าเขาอีกร้อยเท่าพันเท่า ชีวิตของฮีชอลเปรียบเหมือนกระจกเงาที่ส่องสะท้อนชีวิตของเขา แม้ว่าปัญหาชีวิตเขาจะไม่ได้มากมายเท่าฮีชอล แต่เหตุผลในการหายใจต่อไปเพื่อน้องชายมันกลับเหมือนกัน...

     

                ดวงตาสีน้ำตาลจ้องไปยังกรอบรูปนั้นอีกครั้ง พร้อมเอ่ยถ้อยคำออกมาเบาๆ

     

                “ฮยอกแจ...พี่ขอโทษ...”

     

               

     

                ปัง !!!

     

                ปลายกระบอกปืนจากคนที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์จ่อยิงเข้าไปในรถยุโรปคันหรูตรงส่วนของคนขับที่เป็นเสี่ยร่างท้วม กระจกหน้าต่างที่ติดฟิล์มทึบแตกเป็นรูร้าว ก่อนที่รถจะเป๋ไปมาไร้การควบคุมจากคนขับและถลาลงข้างทางในที่สุด นัยน์ตาเรียวหันมองคนขับที่ฟุบคาพวงมาลัยผ่านกระจกสีชาของหมวกกันน็อก ลูกกระสุนที่ฝังลึกไปในขมับนั้น ไม่มีทางรอดแน่...

     

                “เรียบร้อยมั้ย ?” น้ำเสียงนิ่งๆของคนที่ขับรถมอเตอร์ไซค์ไร้ป้ายทะเบียนเอ่ยถามขึ้น คนที่ซ้อนอยู่ตอบด้วยเสียงที่ได้ยินกันสองคน

     

                “ภารกิจแรก...สำเร็จ...”

     

     

     

                ขาเรียวเดินผ่านประตูอัตโนมัติเข้าไปในโรงพยาบาลหลังจากที่ไม่ได้มาเยี่ยมน้องชายฝาแฝดตนมาเกือบ 5 วันเต็มๆ หากแต่คราวนี้เขากลับมาพร้อมเงินค่าผ่าตัดที่หามาได้อย่างง่ายดาย แม้จะรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่เขาไม่มีทางเลือกจริงๆ เงินที่หามาได้ อึนฮยอกเอาใส่เข้าบัญชีของฮยอกแจทั้งหมด เพราะตัวเขาเองไม่มั่นใจว่าอาชีพเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางเช่นนี้มันจะพาหายนะมาสู่เขาเมื่อไหร่ เงินที่อยู่ในบัญชีแม้จำนวนเงินเกินค่าผ่าตัดไปแล้ว แต่เขาก็ต้องพยายามเก็บให้ได้มากกว่านี้ เพื่อชีวิตในวันข้างหน้า หากไม่มีเขา น้องชายจะได้ดำเนินชีวิตอยู่ได้อย่างไม่ลำบาก

     

                ประตูห้องคนป่วยชื่อลี ฮยอกแจถูกเปิดเข้าไปช้าๆ พยาบาลสาวที่กำลังเช็คความดันโลหิตของคนป่วยอยู่เงยหน้าของมองอึนฮยอกก่อนจะยิ้มให้

     

                “หายไปหลายวันเชียวนะคะ...”

     

                “ไปทำงานน่ะครับ...”

     

                “คุณหมอจองซูแกก็ร้อนใจนะคะกับอาการของคนป่วย...คุณไปพบคุณหมอหน่อยสิคะจะได้คุยอาการของน้องชายคุณด้วย...”

     

                พยาบาลสาวเอ่ยก่อนจะขอตัวออกจากห้องไปดูคนไข้รายอื่น อึนฮยอกเดินไปที่ข้างเตียงก่อนจะจับมือน้องชายเอาไว้

     

                “ใกล้จะรอดแล้วนะฮยอกแจ...”

     

     

     

                ที่ห้องของนายแพทย์ปาร์ค จองซู

     

                “คุณหมอว่ายังไงนะครับ ?” อึนฮยอกทวนถามซ้ำราวกับต้องการได้ยินชัดๆว่าสิ่งที่คุณหมอหนุ่มเพิ่งพูดเมื่อครู่ เขาไม่ได้ฟังผิดไป

     

                “ตอนนี้หัวใจที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ กำลังขาดแคลนครับ...”

     

                สิ้นประโยค หลังบางก็พิงไปยังพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง นี่เขายอมไปฆ่าคนตายตั้งหลายสิบศพ แต่สุดท้ายก็ยังหาหัวใจมาเปลี่ยนให้น้องเขาไม่ได้อยู่ดี

     

              โลกนี้จะเล่นตลกกับเขาไปถึงไหน ?

     

                “ผมส่งเรื่องขออย่างเร่งด่วนแล้วนะครับ...ทั้งในและนอกประเทศ คุณไม่ต้องห่วง...ผมจะพยายามช่วยน้องชายคุณอย่างเต็มที่...” นายแพทย์หนุ่มเอ่ยจากใจจริง อึนฮยอกพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นค้อมตัวขอบคุณแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ความหวังเต็มร้อยในตอนแรก หากแค่ตอนนี้กลับเหลือเกือบศูนย์ มีเวลาอีก 2 วันเท่านั้นที่จะยื้อชีวิตฮยอกแจเอาไว้ได้ แต่ปาฏิหาริย์มันจะเกิดขึ้นได้ภายใน 2 วันได้หรือ ?

     

                ไม่รู้ว่าโชคดีของอึนฮยอกหรือโชคร้ายของฮยอกแจกันแน่ที่โรคหัวใจนี้เกิดขึ้นกับฮยอกแจเพียงคนเดียวตั้งแต่เกิด ครอบครัวที่ฐานะปานกลางเลี้ยงดูลูกทั้งสองมาอย่างทุกลักทุเลเพราะโรคร้ายของแฝดคนน้องที่ยามใดอาการกำเริบจะต้องหมดเงินจำนวนมากไป ตอนที่ทั้งคู่อายุได้ 15 ปี ทั้งพ่อและแม่ก็มาด่วนจากไป ไม่มีสมบัติใดๆที่เหลือไว้ให้ลูกทั้งสองเลยนอกจากบ้านเก่าๆหลังหนึ่ง อึนฮยอกตัดสินใจขายมันไปในราคาที่ถูกก่อนจะย้ายเข้ามาในโซลหางานพิเศษทำและนำเงินก้อนที่ขายบ้านได้นั้นส่งตัวเองและฮยอกแจเรียนจนจบมัธยมฯปลาย อึนฮยอกพยายามให้ฮยอกแจทำงานพิเศษที่มันสบายๆ พร้อมๆกับเรียนมหาวิทยาลัยเปิดไปด้วย เขาไม่อยากให้น้องที่มีโรคร้ายรุมเร้าต้องมาลำบากทำงานทุกประเภทแบบเขา

     

                เมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา อาการของฮยอกแจเริ่มกำเริบหนักขึ้น การให้ยาและการรักษาตามปกติไม่ช่วยทำให้อาการดีขึ้นเลย วิธีเดียวที่จะทำให้อาการดีขึ้นและหายเป็นปกติเหมือนคนอื่นๆ คือการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเท่านั้น...   

               

     

                ร่างบางเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ขาก็ไปหยุดอยู่ที่ริมแม่น้ำฮันกว้างใหญ่ ดวงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องเป็นประกายสีทองทั่วผืนน้ำ ดวงตารีที่ทอดมองประกายของแสงอาทิตย์หยีตาเล็กน้อยเพราะแสบตา ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆด้วยเรื่องตึงเครียดที่อยู่ในหัว

     

                “เค้าว่ากันว่า...ถอนหายใจ 1 ครั้ง อายุจะสั้นลง 1 วินาที”

     

                เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาอึนฮยอกสะดุ้งวาบ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะหันไปมองคนพูด ร่างสูงเจ้าของเสียงก็เดินมายืนข้างๆเขา

     

                แต่นั่นกลับทำให้เขาอยากจะหมดลมหายใจลงไปจริงๆ ณ ที่ตรงนี้

     

                “คุณ...คิบอม...”

     

                “คุณรู้จักชื่อผมหรอ ?” ร้องถามเสียงสูงอย่างแปลกใจ

     

                “เอ่อ...ในสลิปเครดิตการ์ดที่คุณเซ็นต์วันนั้น” เสียงหวานแก้ตัวออกไปอย่างมีเหตุผล อันที่จริงเขาไม่เคยจำชื่อของลูกค้าที่เซ็นต์สลิปได้สักคน แต่นี่เป็นคนที่เขาอยากรู้ชื่อมานาน เขาก็ต้องจดจำมันให้ได้

     

                “ผมไม่เห็นคุณที่ร้านหลายวันแล้ว...ลาออกเหรอ ?” ประโยคที่ส่งออกมาทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะ นี่แปลว่าคิบอมก็จำเขาได้เช่นกัน

     

                “แค่พักร้อนน่ะครับ...สิ้นเดือนถึงกลับไปทำ” อึนฮยอกตอบตามความจริง ดวงตาเสมองไปยังผืนน้ำไม่ยอมมองหน้าคิบอม เป็นคิบอมเองที่ลอบมองเสี้ยวข้างของอึนฮยอก

     

                อันที่จริงคิบอมมักจะมาสังสรรค์กับเพื่อนยังร้านที่อึนฮยอกทำงานอยู่เป็นประจำ มาทีไรเขาก็มักจะเห็นคนตัวเล็ก หน้าไม่ค่อยยิ้มที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ เขาแอบมองอึนฮยอกอยู่บ่อยครั้ง เขาชอบยามที่มองไปแล้วเห็นอึนฮยอกยิ้ม แม้จะไม่ได้ยิ้มให้เขาก็ตาม...

     

                คิบอมไม่ได้ตกหลุมรักอึนฮยอกหรอก เพียงแค่เขาแค่แอบชอบอึนฮยอกเพียงเท่านั้น แต่หากความสัมพันธ์ได้พัฒนาไปเรื่อยๆ เขาอาจจะหลงรักอึนฮยอกจนถอนตัวไม่ขึ้นเลยก็ได้

     

                และวันนี้ เขาก็บังเอิญมาเจอร่างบางคนนี้พอดี ต้องขอบคุณเจ้านายของเขา ที่วานให้เขามาทำธุระแถวนี้

     

                 “อึนฮยอก...”

     

                “...”

     

                “ชื่อคุณเพราะจังเลยนะครับ...”

     

                “ข...ขอบคุณครับ...”

     

                อึนฮยอกยิ้มให้กับคิบอม ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคิบอมรู้ชื่อเขาได้ยังไง ก็คงเป็นการถามไถ่เอาจากคนในร้าน มือบางยกขึ้นปัดผมที่ลมพัดมาปรกหน้า หากแต่ทุกสิ่งก็ต้องชะงักเมื่อคิบอมพูดเอ่ยขึ้นเบาๆ...

     

                “วันนี้คุณว่างไปดินเนอร์กับผมมั้ย ?”

     

     

     

                เวลาเกือบสี่ทุ่ม ประตูห้องพักเก่าๆถูกเปิดออกมาโดยเจ้าของของมัน อึนฮยอกกระโดดใส่ที่นอนที่กางแผ่อยู่กับพื้น ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มอย่างมีความสุข

     

                แม้มันจะเป็นแค่ดินเนอร์ธรรมดาๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกินข้าวและการพูดคุย แต่อึนฮยอกกลับรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด ความสุขที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงกลับช่วยบรรเทาความเจ็บปวด ความทรมานที่มีอยู่อัดแน่นเต็มหัวใจออกไปได้

     

                ไม่ว่าพรุ่งนี้เขาจะตื่นมาเจอกับเรื่องร้ายใดๆ เขาก็จะขอจดจำเรื่องราวดีๆในวันนี้เอาไว้ใน หัวใจ...ตลอดไป...

     

     

     

                “มาแล้ว...”

     

                น้ำเสียงเย็นๆของฮีชอลเอ่ยขึ้นเมื่อร่างสูงกำยำของเหยื่อที่เขาต้องมาฆ่าในวันนี้เดินลงมาจากรถที่จอดอยู่ไม่ไกลจุดที่เขาดักรออยู่มาก อึนฮยอกกระชับปืนในมือก่อนจะเล็งไปยังเป้าหมายที่กำลังกดรีโมทล็อกรถ

     

                มือบางประคองปืนเอาไว้อย่างชำนาญ นิ้วเรียวเหนี่ยวไก พร้อมลูกกระสุนที่พุ่งออกไป

     

                ปัง !!!

     

                ลูกกระสุนฝังลึกที่กลางหน้าผากของเหยื่อ เลือดสีสดไหลพุ่งกระจายไปทั่วบริเวณ เสียงกรีดร้องของคนที่เห็นเหตุการณ์ดังขึ้นทั่วบริเวณ

     

                ปัง !!!

     

                กระสุนอีกนัดจากปลายปืนของฮีชอลพุ่งเข้ากลางอกของเหยื่อคนเดิม ร่างใหญ่นั้นฟุบลงทันทีพร้อมลมหายใจที่หมดลง คนก่อเหตุไม่ได้ยิ้มพอใจกับผลงาน ทั้งคู่เก็บปืนเข้าไปในเสื้อแจ็กเก็ตหนังของตนพร้อมหันหลังเดินราวกับไม่รับรู้ในเหตุการณ์ใดๆ

     

                แต่แล้วอึนฮยอกและฮีชอลก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเสียงไซเรนของรถตำรวจดังมาแต่ไกลก่อนที่รถเก๋งหลายคันที่มีไซเรนอยู่บนหลังคาจะเคลื่อนเข้ามาจอดตรงจุดเกิดเหตุ

     

                “จมูกไวกันจัง !” ฮีชอลสบถออกมาเบาๆพลางฉุดมืออึนฮยอกให้รีบวิ่ง แต่แล้ว...

     

                “เฮ้ย !!! สองคนนั้น” เสียงหนึ่งดังออกมาจากกลุ่มตำรวจ ทุกคนหันไปมองที่ตามที่ตำรวจนายนั้นชี้ แผ่นหลังของชายสองคนที่สวมแจ็กเก็ตหนังสีดำพร้อมหมวกแก๊ปกำลังวิ่งหนีอยู่ ตำรวจราวๆ 4 นายวิ่งตามไปทันที เหลือเพียงตำรวจอีก 2 นายที่จัดการกับศพที่ถูกยิงเมื่อครู่

     

     

     

                “หนีไปไหนแล้ววะ !” เสียงทุ้มของสารวัตรหนุ่มในชุดนอกเครื่องแบบบ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหันซ้ายขวาและสั่งลูกน้องที่เหลือ “แยกย้ายกันไปตามหาสองคนนั้น หมวดซองโฮโทรตามกำลังเสริมด่วน”

     

                สิ้นเสียงคำสั่งของสารวัตรผู้ที่เป็นหัวหน้าทีมในวันนี้ ตำรวจที่เหลือพากันแยกย้ายไปค้นหาคนร้าย สารวัตรหนุ่มเดินแยกเข้าไปในซอยแคบๆ สองขาแกร่งวิ่งไปตามพื้นปูน หลบหลีกกล่องกระดาษ ลังไม้ที่อยู่รายทาง ดวงตาคมทั้งสองข้างกวาดมองหาคนร้ายแต่ก็ไม่พบ

     

                แต่แล้วเสียงของการเคลื่อนไหวของคนที่ดังมาจากด้านหลังทำให้สารวัตรหนุ่มหันขวับ ชายสองคนวิ่งออกมาจากที่ซ่อนห่างจากเขาออกไป

     

                “หยุดเดี๋ยวนี้นะ !!!

     

                เสียงที่ดังไล่มาทางด้านหลังไม่ได้ทำให้ฮีชอลและอึนฮยอกหยุดได้เลย ทั้งสองวิ่งไปโดยมีตำรวจคนนั้นวิ่งตามมาอย่างไม่ลดละ เมื่อถึงทางแยก ฮีชอลหันมาพูดกับอึนฮยอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน

     

                “เดี๋ยวนายกับฉันแยกกันตรงนี้ หนีไปสองคนมันอันตราย !

     

                “ระวังตัวด้วยนะฮีชอล !

     

                “นายก็ด้วย แล้วเจอกันที่อพาร์ทเมนต์ !

     

                ฮีชอลเอ่ยก่อนจะเตรียมวิ่งไปทางแยกด้านซ้ายมือ แต่อึนฮยอกกลับดึงมือฮีชอลเอาไว้

     

                “ฉันดีใจนะที่ได้รู้จักนาย ขอบคุณที่ช่วยเหลือฉันเสมอมา...”

     

                “นายเพี้ยนหรือไง มาทำซึ้งอะไรกันตอนนี้ !

     

                แม้ปากจะเอ่ยว่าอึนฮยอก แต่ฮีชอลก็อดใจหายกับคำพูดนั้นไม่ได้ แต่เขาเชื่อว่าคนมีฝีมืออย่างอึนฮยอกคงไม่เป็นอะไรง่ายๆ

     

                เสียงฝีเท้าที่ดังอยู่ไม่ไกลนักทำให้มือบางของอึนฮยอกผลักฮีชอลไปทางแยกด้านซ้าย

     

                “รีบไปซะฮีชอล ! ทางนี้ฉันจัดการเอง”

     

                “...”

     

                “ไปซิ เร็วเข้า !

     

                ฮีชอลมองหน้าอึนฮยอกก่อนจะวิ่งไปแต่โดยดี ดวงตารีเล็กมองเพื่อนที่วิ่งออกไปไกลและหันกลับไปมองทางที่ตนเพิ่งวิ่งออกมา ตำรวจนอกเครื่องแบบตัวสูงวิ่งโผล่พ้นมุมตึกออกมา นั่นทำให้ร่างบางออกวิ่งไปทางแยกด้านขวาทันที

     

                สารวัตรหนุ่มวิ่งตามร่างบางที่ออกวิ่งไปไม่ไกลจากเขานัก มือที่ถือปืนอยู่ยิงพุ่งออกไปด้านหน้า เขาไม่ได้ต้องการจะปลิดชีวิตคนร้ายแต่ต้องการจะยิงขู่เท่านั้น

     

                ปัง !

     

                กระสุนเงินพุ่งเฉียดไหล่บางไปเพียงนิดเดียว เสียงปืนที่ดังไล่หลังมาอีกทำให้สองขาเล็กต้องเร่งความเร็ว ใบหน้าหวานหันกลับไปมองตำรวจที่วิ่งตามตนมา

     

                แต่สองขากลับหยุดวิ่งราวกับถูกตรึงอยู่กับที่ทันทีที่เห็นใบหน้าของตำรวจนายนั้นอย่างชัดเจน...

     

                “คิบอม...”

     

    (อ่านต่อในหนังสือนะค้า...)

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×