ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE GOD II-3 : Chosen Seven-Sins [Yaoi เหมือนเดิม]

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 8 [Lunatic] : Fate Card

    • อัปเดตล่าสุด 26 พ.ค. 55


      

    บทที่ 8 [Lunatic] : Fate Card

     

     

     

    แปล็บ...

     

    สัมผัสแปลกๆที่รับรู้ได้ ราวกับร่างทั้งร่างถูกกระตุกด้วยด้ายที่มองไม่เห็น และหัวใจคล้ายถูกบีบรัดด้วยความไม่สบายใจบางอย่างจนหายใจผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง

     

    “......”ร่างนั้นลุกขึ้นท่ามกลางความมืดมิด

     

    ......เริ่มแล้วหรือ......

     

    “...ฟรอส...”ชายหนุ่มเอ่ยนามด้วยเสียงที่แผ่วเบา

     

    แกร็ก...

     

    แสงสว่างส่องเข้ามาในห้องที่มืดมิดแห่งนี้ด้วยประตูที่ถูกเปิดออก

     

    “ฝันร้ายหรือ...ท่านพี่เชดด์”

     

    “ฟูดินัส”ชายหนุ่มเจ้าของนาม “เชดด์” เอ่ยทักผู้ที่เปิดประตูเข้ามาในโลกอันมืดมิดของเขา “...ปิดประตูด้วย”

     

    “ท่านนี่นะ...”เสียงที่สองเหมือนจะเหนื่อยใจ แต่ก็ก้าวเข้ามาในห้องและปิดประตูแต่โดยดี

     

    ฟู่...

     

    คบเพลิงที่กำแพงถูกจุดขึ้นทันทีที่ประตูปิดลง เผยให้เห็นสภาพของห้องได้อย่างชัดเจน

     

    ห้องนี้...คือห้องนอนห้องหนึ่งในปราสาทเก่าแก่ ตัวปราสาทนั้นเก่าถึงขนาดที่กำแพงยังสร้างขึ้นจากหินก้อนใหญ่โดยไม่มีวอลเปเปอร์คลุมทับ และยังไม่มีการใช้หลอดไฟ มีแต่คบเพลิงที่ผนังห้องแทน พรมกำมะหยี่นุ่มเท้าสีแดงสดที่คลุมพื้นดูหรูหรามีราคา โดยรวมแล้วปราสาทเก่าหลังนี้น่าจะมีประวัติยาวนาน และเป็นถึงราชวังโบราณหลังใหญ่เลยทีเดียว

     

    ชายหนุ่มเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียงนั้นมีเส้นผมสีขี้เถ้ายาวสยายแผ่คลุมรอบกายและกองอยู่กับเตียงบางส่วน ดวงตาข้างซ้ายมีรอยแผลยาวตั้งแต่หน้าผากจรดปลายคาง ทำให้ดวงตาข้างนั้นต้องปิดอยู่ตลอดเวลา หากแต่ดวงตาข้างขวาที่เหลือเพียงข้างเดียวนั้น...กลับไม่ใช่ดวงตาของมนุษย์

     

    ดวงตาสีอำพันที่มีขีดสีดำยาวตรงกลางราวกับรูม่านตาของแมว หากแต่รอบนอกในส่วนที่ขวรจะเป็นลูกตาขาว...กลับแดงก่ำเป็นสีเลือดดูน่าหวาดกลัว

     

    “...ข้าไม่ชอบแสงสว่าง”เชดด์หันไปมองคบเพลิงที่ผนังห้อง ที่ถูกแขกจุดขึ้นมา

     

    “สายตาข้าไม่ดีเท่าท่าน ท่านพี่”ชายหนุ่มผู้เข้ามาในห้องนอนของอีกฝ่ายเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ

     

    ชายหนุ่มคนที่สองนั้น แค่มองผ่านๆก็จะรู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามจนแทบจะก้มหัวไม่กล้าสบตาเสียแล้ว ร่างกายแข็งแกร่งสูงใหญ่ที่แม้จะอยู่ในท่วงท่าสบายๆ แต่ก็ราวกับมีรัศมีแห่งอำนาจแผ่ออกมาแบบปิดไม่มิด ดวงตาสีเขียวแม้จะดูเฉยชา ทว่ามีความเด็ดขาดแฝงอยู่ภายใน เส้นผมยาวถึงช่วงกลางหลังสีแดงเพลิง แต่ก็ยาวไม่เท่ากันเท่าไหร่นัก สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาทันทีเลยก็คือเขายาวโค้งงอตั้งแต่ส่วนขมับไปจนเกือบถึงต้นคอสีน้ำตาลดำ ที่ดูยังไงๆ...มันก็ไม่ใช่ของที่ใส่ตามแฟชั่นแน่

     

    แต่เป็น “ของจริง”

     

    “เป็นปิศาจเพลิงกาฬแท้ๆ”เชดด์ส่ายหัวน้อยๆ

     

    “ปิศาจแห่งไฟไม่ได้ต้องมองในที่มืดชัดนี่”ฟูดินัสเถียงกลับ “ถ้ามองในที่มืดได้สบายๆแบบท่านก็คงดี”

     

    “ฮึ...”เชดด์แค่นเสียง

     

    “...ท่านฝันร้ายหรือ?”ผู้เป็นน้องวกเข้าเรื่องเดิม

     

    “เปล่า”เชดด์ส่ายหัวอีกครั้ง “...คิดถึงสหายเก่านิดหน่อย”

     

    “ยามอยู่มิติวิญญาณ ท่านมีสหายซักกี่คนกัน”ฟูดินัสเลื่อนเก้าอี้มานั่งลงข้างผู้เป็นพี่ชาย

     

    “......”เชดด์ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง

     

    “นับครบด้วยมือเดียว?”ฟูดินัสกุมขมับ “น้อยจนน่าอนาถ”

     

    “ฟรอส...วอร์เรส...ริออนไม่นับ...ฟิวเรียสไม่นับ...ทรีมิท...ควอซ่าไม่นับ...เพรโทรเรี่ยน...มีแค่นี้”

     

    “สี่คน...แถมสองในสี่เป็นพวกคนเก่าแก่”ฟูดินัสถอนใจ “...คนไหนล่ะที่คิดถึง”

     

    “ฟรอส”

     

    “อ้อ”ฟูดินัสพยักหน้ารับ “...ข้าจะส่งคนไปดูให้”

     

    “......”เชดด์พยักหน้าน้อยๆ

     

    “เร็วๆนี้คุณริออนจะกลับมา”ฟูดินัสเปิดประเด็นที่สอง

     

    “......”แววตาของเชดด์ปรากฏแววประหลาดวูบหนึ่งก่อนจะจางหายไป

     

    “มีข่าวของพี่น้องเพกัซเซียแล้ว...ข้าส่งคนออกไปตามล่าแต่ก็โดนมือดีเก็บเรียบ”

     

    “...คลอรีส เวียร์”

     

    “ใช่ มีแค่เขาที่แย่งเหยื่อกับเราอยู่ตอนนี้”

     

    “......”เชดด์คว้าผ้าคลุมสีเทาหม่นที่พับอย่างเรียบร้อยข้างหัวนอนขึ้นมาคลุมร่างของตน

     

    “...ข้าจะไปดูฟรอส...จากนั้นจะตามล่าเด็กพวกนั้นให้”

     

    “รบกวนด้วยขอรับ ท่านพี่”ฟูดินัสพยักหน้า

     

     

     

     

     

    “ฟรอสมอนท์ จีลาเรส หัวหน้าเจ็ดดาราผู้ดูแลมิติความตาย สมญา “Ice Queen” ...เทพแห่งน้ำแข็งและความเย็นชา...ขอรับคำท้าของเจ้า บลัดด์วอร์”

     

    “เป็นเกียรติอย่างยิ่ง...ที่หนึ่งในมหาเทพแห่งตำนานยอมรับคำท้าสู้ของข้า”บลัดด์วอร์เอ่ย เสี้ยวหน้าที่โผล่พ้นหน้ากากสีขาวขยับเป็นรอยยิ้มที่หาได้ยาก

     

    “ข้ามีเวลาไม่มาก...คงต้องจัดการเจ้า แล้วกลับไปช่วยกีลเลียสก่อน”ฟรอสมอนท์สะบัดดาบน้ำแข็งในมือ

     

    ฟุ่บ...

     

    ......หายไปแล้ว?...ไม่สิ......บลัดด์วอร์รีบกระโดดถอยหลัง

     

    ฉัวะ!

     

    ร่างบางโผล่มาอยู่เบื้องหน้าบลัดด์วอร์ในชั่วพริบตา คมมีดน้ำแข็งตัดผ้าคลุมของผู้คุมกฎโลกมืดจนขาดสะบั้นลง ซึ่งหากบลัดด์วอร์ไม่หลบ สิ่งที่จะขาด น่าจะเป็นแขนของเขา

     

    “...ปีกน้ำแข็งนั่นช่วยเพิ่มความเร็วได้ด้วยเหรอ”บลัดด์วอร์เอ่ยยั่ว

     

    “ไม่เกี่ยวซักนิด”ฟรอสมอนท์เมื่อรู้ว่าพลาดก็ยังไม่ยอมถอย ร่างบางรุกประชิดบลัดด์วอร์ พัวพันไม่ยอมให้อีกฝ่ายทิ้งระยะห่างได้ง่ายๆ

     

    “แต่เข้ามาใกล้ๆแบบนี้ก็อันตรายนา”บลัดด์วอร์สะบัดขาขึ้นเตะ

     

    ปึ๊ก!

     

    ปีกน้ำแข็งด้านหลังพับมาด้านหน้าเป็นโล่น้ำแข็งทันท่วงที

     

    “โห สารพัดประโยชน์จัง...”บลัดด์วอร์ใช้แรงถีบส่งตัวทิ้งระยะห่างได้สำเร็จ แต่...

     

    แกร็ก...แกร็ก...

     

    “...แถมยังร้ายไม่ใช่เล่นเลย”บลัดด์วอร์มองขาของตนเองที่สัมผัสถูกปีกน้ำแข็งเมื่อครู่...ซึ่งตอนนี้ถูกแช่แข็งจนเจ็บแปลบ แถมน้ำแข็งยังแพร่กระจายกัดกินขึ้นมาอย่างรวดเร็วอีกต่างหาก

     

    “ขอย้ำอีกครั้ง ข้ามีเวลาไม่มาก”ฟรอสมอนท์สะบัดมือไปข้างลำตัว ปีกน้ำแข็งก็กางแผ่ขยายออก ซึ่งเมื่อนำขนาดของปีกมาเทียบ ยิ่งขับเน้นถึงความบอบบางของร่างแห่งเทพน้ำแข็งให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

     

    Ice Ages

     

    แกร็ก...

     

    ขนปีกน้ำแข็งแยกตัวออกจากตัวปีก ก่อนจะถูกปลดปล่อยออกมาด้วยความเร็วสูง

     

    “งั้นข้าก็ยิ่งต้องถ่วงเวลาท่าน จนกว่าอิกนิสจะจัดการเสร็จสินะ”

     

    ......อิกนิส!?!......ฟรอสมอนท์ชะงักไป

     

    “เวทย์อัญเชิญระดับ 9 : Grand Meteor!!!

     

    ซู่ม!!!!!

     

    ลูกไฟขนาดใหญ่ถูกเรียกออกมาด้วยพลังของบลัดด์วอร์ ซึ่งเวทย์อัญเชิญระดับ 9 นี้ก็ถือเป็นระดับที่สูงมากจนแทยจะไม่มีใครใช้ได้แล้วด้วยซ้ำ แต่การที่เขาสามารถใช้มันได้สบายๆโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าหรือมีอาการเหนื่อยหอบใดๆ ก็แสดงถึงความลึกล้ำของพลังฝีมือที่มีได้แล้ว

     

    ฟุ่บ ฟุ่บ

     

    ขนปีกน้ำแข็งปะทะกับลูกเพลิงขนาดใหญ่อันร้อนแรง และด้วยขนาดที่ต่างกันมาก ทำให้ขนปีกนั้นถูกแผดเผาทำลายจนสิ้น

     

    “ฟรอสมอนท์!!!”เคิร์สร้องอย่างตกใจ...เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรก...ครั้งแรกจริงๆที่ขนปีกน้ำแข็งของฟรอสมอนท์ถูกทำลายก่อนที่จะถึงตัวเป้าหมายเสียอีก

     

    “อย่าห่วงเลย”ฟรอสมอนท์กลับไม่ปัดป้องซักนิด ร่างบางยื่นฝ่ามือออกมาข้างหน้าจนน่ากลัวว่าจะคิดฆ่าตัวตายหรืออย่างไร? จึงได้กล้าเผชิญหน้ากับลูกเพลิงขนาดใหญ่ราวกับอุกกาบาตแบบนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว

     

    เปรี๊ยะ!!!

     

    ทว่า สิ่งที่เหล่าคนนอกผู้ชมการต่อสู้หวาดกลัวกลับไม่เกิดขึ้น เมื่อทันทีที่สะเก็ดเพลิงแรกสัมผัสถูกฝ่ามือเรียวขาว...ลูกเพลิงขนาดใหญ่นั้นก็ดับมอดหายไปราวกับภาพลวงตา!

     

    “...เวทย์บทนี้...ก็ใช้ Fate Card สร้างได้เหมือนกัน”ฟรอสมอนท์จำได้ขึ้นใจ...กับเวทย์มนต์ทั้งหมดที่ “เจ้าของ Fate Card” สามารถสร้างได้

     

    ......ไม่ใช่เรื่องแปลก...ที่จะจดจำเวทย์มนต์หลายร้อยหลายพันบทนั้นได้......

     

    ......เพราะมันเป็น...เวทย์ของคนคนนั้น......

     

    ......เวทย์ที่วอร์เรส...คิดค้นขึ้น......

     

    “ข้าได้รับการงดเว้นจากเวทย์มนต์อัญเชิญทั้งหมด 881 เวทย์...ซึ่งเป็นเวทย์ที่ Fate Card สามารถผสมขึ้นได้”ฟรอสมอนท์เอ่ยขึ้น “...เจ้าคิดว่า เวทย์อัญเชิญที่มนุษย์รู้จักและใช้กันจริงๆ มีถึง 100 เวทย์รึเปล่าล่ะ?

     

    คำพูดของฟรอสมอนท์ไม่มีทางจะจริงไปกว่านี้ได้อีกแล้ว ในเมื่ออายุขัยของมนุษย์นั้นสั้นมาก และเมื่อเทียบกับพลังชีวิตและพลังเวทย์...เวทย์มนต์ที่มนุษย์จะเรียนได้จึงมีจำกัด และข้อจำกัดเหล่านั้นเอง ทำให้เวทย์มนต์จำนวนมากที่มนุษย์ไม่สามารถใช้ได้ถูกลืมเลือนไป ซึ่ง “อักษรรูน” ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างพวกนั้น

     

    อักขระรูน เดิมทีก็เป็นเวทย์มนต์แขนงหนึ่งของมนุษย์ แต่เพราะการใช้เวทย์เหล่านี้คือการจดจำตัวอักขระรูนให้ได้ และใช้อักขระเหล่านั้นประกอบกับเวทย์มนต์ ซึ่งกินทั้งพลังเวทย์และพลังชีวิตมหาศาลจนหาคนใช้ได้ยาก เวทย์มนต์แขนงนี้จึงไม่มีผู้สืบทอด และค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลาในที่สุดนั่นเอง

     

    “ฮะๆ...ฮะๆๆๆๆ...ยอด...ยอดจริงๆ...ยอดมาก...ท่านแน่กว่าที่ข้าคิดไว้มากทีเดียว”บลัดด์วอร์กลับหัวเราะออกมา

     

    “...หมอนั่นเพี้ยนรึเปล่าน่ะ”เคิร์สขมวดคิ้ว

     

    “ข้าเคยคิดว่า...เทพก็คงทำให้ข้าผิดหวังเหมือนพวกก่อนหน้านี้...แต่ไม่เลย...ข้าไม่ผิดหวังซักนิด”บลัดด์วอร์หัวเราะอย่างถูกใจ “...ท่านน่าสนใจกว่าที่ข้าคาดไว้มาก ฟรอสมอนท์ จีลาเรส”

     

    “เจ้าเป็นมนุษย์แน่รึเปล่าเนี่ย”ฟรอสมอนท์ส่ายหัวน้อยๆ “แนวคิดที่แปลกเกินกว่าจิตใต้สำนึกมนุษย์พวกนั้นมาจากไหนกัน”

     

    “...นั่นสินะ...”บลัดด์วอร์ค่อยๆหยุดหัวเราะไป “...แต่เพราะแบบนั้นแหละ ถึงน่าสนุกเหลือเกิน”

     

     

     

     

     

    ครึ่ก...ครึ่ก...

     

    “ลิเวียธาร”กีลเลียสเรียกดาบสีทองที่ยังลอยอยู่บนฟ้ากลับมา

     

    “ว่าไงบ้าง?

     

    [คิดว่า...เขาป้องกันได้ขอรับ] ลูไมน์...หรือดาบทองคำลิเวียธารตอบด้วยกระแสจิต

     

    “...สมกับเป็นมือขวาของปิศาจสงคราม”กีลเลียสกระชับดาบแน่น

     

    ครึ่ก...ครึ่ก...

     

    “...เจ็บนะเนี่ย”

     

    ฟู่...

     

    ท่ามกลาง “ซาก” ที่เคยเป็นถนนมาก่อน...ซึ่งตอนนี้กลับเหลือเพียงหลุมลึกที่มีรอยแยกกว้างจนมองแทบไม่เห็นก้น อิกนิสได้ยืนอยู่ข้างๆรอยแยกนั้นอย่างหมิ่นเหม่จะตกแหล่มิตกแหล่ แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้ม...

     

    “รอดมาได้ยังไงน่ะ...ดาบนั่นน่าจะตัดผ่านได้แม้แต่เกราะของเวริเอลเสียด้วยซ้ำนะ”กีลเลียสเผลอก้าวถอยหลังเล็กน้อย

     

    “...ใช้อุปกรณ์ช่วยนิดหน่อยสิครับ ถามได้”อิกนิสยิ้มยียวน พร้อมกับโบกของในมือไปมา

     

    “นั่นมัน...ไพ่?

     

    [หรือว่า...Fate Card!!!!!] เสียงของลูไมน์ดูตื่นตระหนก แต่นามของสิ่งนั้นกลับทำให้กีลเลียสหน้าซีดกว่าเดิม

     

    Fate Card นั้น...เรียกได้ว่าเป็นอาวุธที่ไม่ใช่สิบสามอาวุธเทพปกรณัม แต่ก็มีความร้ายกาจไม่แพ้อาวุธระดับนั้น...รูปแบบของมันคือ “ไพ่” สองสำรับ ซึ่งรวม Joker ของทั้งสองสำรับเข้าไปด้วย ทั้งหมดคือ 108 ใบ แบ่งเป็นไพ่ปรกติ 52 ใบ 2 ชุด และโจ๊กเกอร์ 2 ใบ 2 ชุด

     

    ความน่ากลัวของมันคือ...ไพ่แต่ละใบ ต่อให้เป็นไพ่เลขเดียวกัน ดอกเดียวกัน [แต่คนละสำรับ] ก็จะมีเวทย์ที่บรรจุลงไปแตกต่างกัน การใช้อาวุธชนิดนี้คือการผสมเวทย์มนต์จากไพ่แต่ละใบเข้าด้วยกัน กลายเป็นเวทย์ทำลายล้างที่รุนแรง แต่ก็ใช้งานยากมาก

     

    และผู้ใช้ของมันคือ...

     

    “...ไพ่ของวราทต์”กีลเลียสเม้มปาก

     

    “ก็นะ...ใช่แล้วครับ”อิกนิสยิ้ม “ไพ่ในมือผมนี่คือ 8 โพธิ์ดำ...เวทย์เกราะพลังจิต”

     

    “...ทำไม...ทำไมไพ่พวกนั้นถึง...”กีลเลียสแทบอยากจะหันหลังวิ่งหนีไปตอนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เขาก็รู้ดีพอๆกันว่าหนีไปก็ไม่มีทางพ้น

     

    “...เพราะผมมีสิทธิ์...ที่จะใช้มันได้น่ะสิครับ”อิกนิสหัวเราะแผ่วเบา “...เอาล่ะ...มาเล่นกันต่อดีกว่านะครับ คุณกีลเลียส!

     

    ฟุ่บ

     

    อิกนิสดึงไพ่อีกใบขึ้นมาจากแขนเสื้อ พร้อมกับขานชื่ออย่างรวดเร็ว

     

    “เท็นท์! จงออกมา Fire Wheel [วงล้อเพลิง]!

     

    พรึ่บ!

     

    เพลิงรูปร่างคล้ายวงล้อของรถเกวียนหมุนเข้าใส่กีลเลียส ร่างบางรู้ดีว่าไม่อาจหนีได้จึงได้แต่ต้องตั้งดาบขึ้นรับ

     

    แคร้ง!

     

    ครืด...

     

    “...อั่ก...”แน่นอนว่าด้วยเรื่องของแรงแล้ว กีลเลียสไม่ได้มีพละกำลังมากมายอะไร แค่โดนวงล้อเพลิงชนเข้าทีหนึ่งก็โดนดีดกระเด็นแล้ว แม้ว่าจะตั้งรับได้จนไม่โดนเพลิงคลอก แต่แรงกระแทกกลับทำร้ายกีลเลียสได้ไม่ต่างกัน

     

    “คุณอ่อนแอลงมากจริงๆนะ”อิกนิสขมวดคิ้วน้อยๆ “...ไป!

     

    ครึ่กๆๆๆๆ

     

    ......ไม่ไหว......กีลเลียสพยายามยกดาบขึ้นตั้งรับ แต่เรี่ยวแรงที่มีก็หมดไปอย่างรวดเร็ว

     

    ......ชาเร...เพียร์ซ......

     

    ......ดูเหมือนว่า...วิ่งไล่จับครั้งนี้...ชั้นคงไปวิ่งไล่ตามนายไม่ได้อีกแล้ว......

     

    พรึ่บ!!!

     

    ผ้าคลุมสีเทาหม่นสะบัดคลุมร่างของกีลเลียสโดยไม่ทันตั้งตัว ร่างบางยังไม่ทันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็มีเสียงการกระทบกันดังลั่น

     

    ปึง! โครม!!!

     

    “อะ...ไรน่ะ”กีลเลียสดึงผ้าคลุมที่อยู่ๆก็ถูกคลุมลงมาเพื่อชะโงกหน้าดูสถานการณ์

     

    เบื้องหน้าของเขา...มีใครคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จักยืนอยู่ตรงหน้า แม้จะหันหลังให้ แต่เส้นผมสีขี้เถ้าที่ปลิวสยายกับไหล่กว้าง ร่างกายสูงใหญ่แข็งแกร่งแบบนั้น ก็ไม่ใช่ใครที่กีลเลียสคุ้นเคยเลย

     

    “...คุณคือ...”กีลเลียสเอ่ยถาม

     

    “......”ร่างสูงไม่ได้หันมา แต่กลับจดจ้องที่อิกนิสเขม็ง

     

    “...ให้ตายสิ...”อิกนิสยีหัวตัวเอง “...ทำไมกับแค่เรื่องง่ายๆ ถึงกลายเป็นเรื่องยากไปซะแล้วล่ะ”

     

    “......”ชายหนุ่มไม่พูดไม่จาอะไร แต่กลับกวาดสายตามองไปรอบๆพื้นที่ ซึ่งเหล่าคนนอกที่แอบเฝ้าดูอยู่ ไม่ว่าจะแอบอยู่ตรงไหน ต่างก็สะดุ้งเฮือก พร้อมกับเสียงพึมพำเซ็งแซ่

     

    “...ท่านเชดด์นี่นา...”

     

    “...ราชาปิศาจ...”

     

    “...ทำไมท่านผู้นี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้...”

     

    “เชดด์...เหรอ?”กีลเลียสทวนคำ ชื่อที่คุ้นหูในความรู้สึกทำให้ร่างบางขมวดคิ้ว

     

    “...เฮอร์เมส”ร่างสูงเอ่ยเรียบๆ เป็นคำแรกที่เอื้อนเอ่ยออกมา

     

    “อึก!”ครั้งนี้กลับเป็นอิกนิสที่ก้าวถอยหลัง

     

    “...ถอยไป”

     

    “อย่าเรียกด้วยชื่อนั้นอีกนะครับ...ผมในตอนนี้ คืออิกนิส ไม่ใช่เฮอร์เมส”อิกนิสสวนกลับทันที ก่อนจะหันมามองกีลเลียสที่ด้านหลังด้วยสายตาเหมือนจะเสียดายเล็กน้อย

     

    “...ครั้งนี้ผมจะยอมถอนตัวก่อนก็ได้...แต่อย่าคิดว่าจะรอดได้ทุกครั้งนะครับ คุณกีลเลียส...”

     

    วิ้ว...

     

    ร่างของอิกนิสค่อยๆเลือนรางลง แต่ในขณะที่กีลเลียสกำลังจะถอนหายใจโล่งอกเท่านั้นแหละ อิกนิสกลับโยนระเบิดลงมาแบบไม่ปราณี

     

    “...แต่กับฟรอสมอนท์ จีลาเรส...ทางนี้คงไม่ยอมถอยไปง่ายๆหรอกครับ”

     

    ......คุณฟรอสมอนท์!?!......

     

    ####################################################################

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×