คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 8 [Lunatic] : Fate Card
บทที่ 8 [Lunatic] : Fate Card
แปล็บ...
สัมผัสแปลกๆที่รับรู้ได้ ราวกับร่างทั้งร่างถูกกระตุกด้วยด้ายที่มองไม่เห็น และหัวใจคล้ายถูกบีบรัดด้วยความไม่สบายใจบางอย่างจนหายใจผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง
“......”ร่างนั้นลุกขึ้นท่ามกลางความมืดมิด
......เริ่มแล้วหรือ......
“...ฟรอส...”ชายหนุ่มเอ่ยนามด้วยเสียงที่แผ่วเบา
แกร็ก...
แสงสว่างส่องเข้ามาในห้องที่มืดมิดแห่งนี้ด้วยประตูที่ถูกเปิดออก
“ฝันร้ายหรือ...ท่านพี่เชดด์”
“ฟูดินัส”ชายหนุ่มเจ้าของนาม “เชดด์” เอ่ยทักผู้ที่เปิดประตูเข้ามาในโลกอันมืดมิดของเขา “...ปิดประตูด้วย”
“ท่านนี่นะ...”เสียงที่สองเหมือนจะเหนื่อยใจ แต่ก็ก้าวเข้ามาในห้องและปิดประตูแต่โดยดี
ฟู่...
คบเพลิงที่กำแพงถูกจุดขึ้นทันทีที่ประตูปิดลง เผยให้เห็นสภาพของห้องได้อย่างชัดเจน
ห้องนี้...คือห้องนอนห้องหนึ่งในปราสาทเก่าแก่ ตัวปราสาทนั้นเก่าถึงขนาดที่กำแพงยังสร้างขึ้นจากหินก้อนใหญ่โดยไม่มีวอลเปเปอร์คลุมทับ และยังไม่มีการใช้หลอดไฟ มีแต่คบเพลิงที่ผนังห้องแทน พรมกำมะหยี่นุ่มเท้าสีแดงสดที่คลุมพื้นดูหรูหรามีราคา โดยรวมแล้วปราสาทเก่าหลังนี้น่าจะมีประวัติยาวนาน และเป็นถึงราชวังโบราณหลังใหญ่เลยทีเดียว
ชายหนุ่มเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียงนั้นมีเส้นผมสีขี้เถ้ายาวสยายแผ่คลุมรอบกายและกองอยู่กับเตียงบางส่วน ดวงตาข้างซ้ายมีรอยแผลยาวตั้งแต่หน้าผากจรดปลายคาง ทำให้ดวงตาข้างนั้นต้องปิดอยู่ตลอดเวลา หากแต่ดวงตาข้างขวาที่เหลือเพียงข้างเดียวนั้น...กลับไม่ใช่ดวงตาของมนุษย์
ดวงตาสีอำพันที่มีขีดสีดำยาวตรงกลางราวกับรูม่านตาของแมว หากแต่รอบนอกในส่วนที่ขวรจะเป็นลูกตาขาว...กลับแดงก่ำเป็นสีเลือดดูน่าหวาดกลัว
“...ข้าไม่ชอบแสงสว่าง”เชดด์หันไปมองคบเพลิงที่ผนังห้อง ที่ถูกแขกจุดขึ้นมา
“สายตาข้าไม่ดีเท่าท่าน ท่านพี่”ชายหนุ่มผู้เข้ามาในห้องนอนของอีกฝ่ายเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
ชายหนุ่มคนที่สองนั้น แค่มองผ่านๆก็จะรู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามจนแทบจะก้มหัวไม่กล้าสบตาเสียแล้ว ร่างกายแข็งแกร่งสูงใหญ่ที่แม้จะอยู่ในท่วงท่าสบายๆ แต่ก็ราวกับมีรัศมีแห่งอำนาจแผ่ออกมาแบบปิดไม่มิด ดวงตาสีเขียวแม้จะดูเฉยชา ทว่ามีความเด็ดขาดแฝงอยู่ภายใน เส้นผมยาวถึงช่วงกลางหลังสีแดงเพลิง แต่ก็ยาวไม่เท่ากันเท่าไหร่นัก สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาทันทีเลยก็คือเขายาวโค้งงอตั้งแต่ส่วนขมับไปจนเกือบถึงต้นคอสีน้ำตาลดำ ที่ดูยังไงๆ...มันก็ไม่ใช่ของที่ใส่ตามแฟชั่นแน่
แต่เป็น “ของจริง”
“เป็นปิศาจเพลิงกาฬแท้ๆ”เชดด์ส่ายหัวน้อยๆ
“ปิศาจแห่งไฟไม่ได้ต้องมองในที่มืดชัดนี่”ฟูดินัสเถียงกลับ “ถ้ามองในที่มืดได้สบายๆแบบท่านก็คงดี”
“ฮึ...”เชดด์แค่นเสียง
“...ท่านฝันร้ายหรือ?”ผู้เป็นน้องวกเข้าเรื่องเดิม
“เปล่า”เชดด์ส่ายหัวอีกครั้ง “...คิดถึงสหายเก่านิดหน่อย”
“ยามอยู่มิติวิญญาณ ท่านมีสหายซักกี่คนกัน”ฟูดินัสเลื่อนเก้าอี้มานั่งลงข้างผู้เป็นพี่ชาย
“......”เชดด์ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง
“นับครบด้วยมือเดียว?”ฟูดินัสกุมขมับ “น้อยจนน่าอนาถ”
“ฟรอส...วอร์เรส...ริออนไม่นับ...ฟิวเรียสไม่นับ...ทรีมิท...ควอซ่าไม่นับ...เพรโทรเรี่ยน...มีแค่นี้”
“สี่คน...แถมสองในสี่เป็นพวกคนเก่าแก่”ฟูดินัสถอนใจ “...คนไหนล่ะที่คิดถึง”
“ฟรอส”
“อ้อ”ฟูดินัสพยักหน้ารับ “...ข้าจะส่งคนไปดูให้”
“......”เชดด์พยักหน้าน้อยๆ
“เร็วๆนี้คุณริออนจะกลับมา”ฟูดินัสเปิดประเด็นที่สอง
“......”แววตาของเชดด์ปรากฏแววประหลาดวูบหนึ่งก่อนจะจางหายไป
“มีข่าวของพี่น้องเพกัซเซียแล้ว...ข้าส่งคนออกไปตามล่าแต่ก็โดนมือดีเก็บเรียบ”
“...คลอรีส เวียร์”
“ใช่ มีแค่เขาที่แย่งเหยื่อกับเราอยู่ตอนนี้”
“......”เชดด์คว้าผ้าคลุมสีเทาหม่นที่พับอย่างเรียบร้อยข้างหัวนอนขึ้นมาคลุมร่างของตน
“...ข้าจะไปดูฟรอส...จากนั้นจะตามล่าเด็กพวกนั้นให้”
“รบกวนด้วยขอรับ ท่านพี่”ฟูดินัสพยักหน้า
“ฟรอสมอนท์ จีลาเรส หัวหน้าเจ็ดดาราผู้ดูแลมิติความตาย สมญา “Ice Queen” ...เทพแห่งน้ำแข็งและความเย็นชา...ขอรับคำท้าของเจ้า บลัดด์วอร์”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง...ที่หนึ่งในมหาเทพแห่งตำนานยอมรับคำท้าสู้ของข้า”บลัดด์วอร์เอ่ย เสี้ยวหน้าที่โผล่พ้นหน้ากากสีขาวขยับเป็นรอยยิ้มที่หาได้ยาก
“ข้ามีเวลาไม่มาก...คงต้องจัดการเจ้า แล้วกลับไปช่วยกีลเลียสก่อน”ฟรอสมอนท์สะบัดดาบน้ำแข็งในมือ
ฟุ่บ...
......หายไปแล้ว?...ไม่สิ......บลัดด์วอร์รีบกระโดดถอยหลัง
ฉัวะ!
ร่างบางโผล่มาอยู่เบื้องหน้าบลัดด์วอร์ในชั่วพริบตา คมมีดน้ำแข็งตัดผ้าคลุมของผู้คุมกฎโลกมืดจนขาดสะบั้นลง ซึ่งหากบลัดด์วอร์ไม่หลบ สิ่งที่จะขาด น่าจะเป็นแขนของเขา
“...ปีกน้ำแข็งนั่นช่วยเพิ่มความเร็วได้ด้วยเหรอ”บลัดด์วอร์เอ่ยยั่ว
“ไม่เกี่ยวซักนิด”ฟรอสมอนท์เมื่อรู้ว่าพลาดก็ยังไม่ยอมถอย ร่างบางรุกประชิดบลัดด์วอร์ พัวพันไม่ยอมให้อีกฝ่ายทิ้งระยะห่างได้ง่ายๆ
“แต่เข้ามาใกล้ๆแบบนี้ก็อันตรายนา”บลัดด์วอร์สะบัดขาขึ้นเตะ
ปึ๊ก!
ปีกน้ำแข็งด้านหลังพับมาด้านหน้าเป็นโล่น้ำแข็งทันท่วงที
“โห สารพัดประโยชน์จัง...”บลัดด์วอร์ใช้แรงถีบส่งตัวทิ้งระยะห่างได้สำเร็จ แต่...
แกร็ก...แกร็ก...
“...แถมยังร้ายไม่ใช่เล่นเลย”บลัดด์วอร์มองขาของตนเองที่สัมผัสถูกปีกน้ำแข็งเมื่อครู่...ซึ่งตอนนี้ถูกแช่แข็งจนเจ็บแปลบ แถมน้ำแข็งยังแพร่กระจายกัดกินขึ้นมาอย่างรวดเร็วอีกต่างหาก
“ขอย้ำอีกครั้ง ข้ามีเวลาไม่มาก”ฟรอสมอนท์สะบัดมือไปข้างลำตัว ปีกน้ำแข็งก็กางแผ่ขยายออก ซึ่งเมื่อนำขนาดของปีกมาเทียบ ยิ่งขับเน้นถึงความบอบบางของร่างแห่งเทพน้ำแข็งให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“Ice Ages”
แกร็ก...
ขนปีกน้ำแข็งแยกตัวออกจากตัวปีก ก่อนจะถูกปลดปล่อยออกมาด้วยความเร็วสูง
“งั้นข้าก็ยิ่งต้องถ่วงเวลาท่าน จนกว่าอิกนิสจะจัดการเสร็จสินะ”
......อิกนิส!?!......ฟรอสมอนท์ชะงักไป
“เวทย์อัญเชิญระดับ 9 : Grand Meteor!!!”
ซู่ม!!!!!
ลูกไฟขนาดใหญ่ถูกเรียกออกมาด้วยพลังของบลัดด์วอร์ ซึ่งเวทย์อัญเชิญระดับ 9 นี้ก็ถือเป็นระดับที่สูงมากจนแทยจะไม่มีใครใช้ได้แล้วด้วยซ้ำ แต่การที่เขาสามารถใช้มันได้สบายๆโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าหรือมีอาการเหนื่อยหอบใดๆ ก็แสดงถึงความลึกล้ำของพลังฝีมือที่มีได้แล้ว
ฟุ่บ ฟุ่บ
ขนปีกน้ำแข็งปะทะกับลูกเพลิงขนาดใหญ่อันร้อนแรง และด้วยขนาดที่ต่างกันมาก ทำให้ขนปีกนั้นถูกแผดเผาทำลายจนสิ้น
“ฟรอสมอนท์!!!”เคิร์สร้องอย่างตกใจ...เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรก...ครั้งแรกจริงๆที่ขนปีกน้ำแข็งของฟรอสมอนท์ถูกทำลายก่อนที่จะถึงตัวเป้าหมายเสียอีก
“อย่าห่วงเลย”ฟรอสมอนท์กลับไม่ปัดป้องซักนิด ร่างบางยื่นฝ่ามือออกมาข้างหน้าจนน่ากลัวว่าจะคิดฆ่าตัวตายหรืออย่างไร? จึงได้กล้าเผชิญหน้ากับลูกเพลิงขนาดใหญ่ราวกับอุกกาบาตแบบนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว
เปรี๊ยะ!!!
ทว่า สิ่งที่เหล่าคนนอกผู้ชมการต่อสู้หวาดกลัวกลับไม่เกิดขึ้น เมื่อทันทีที่สะเก็ดเพลิงแรกสัมผัสถูกฝ่ามือเรียวขาว...ลูกเพลิงขนาดใหญ่นั้นก็ดับมอดหายไปราวกับภาพลวงตา!
“...เวทย์บทนี้...ก็ใช้ Fate Card สร้างได้เหมือนกัน”ฟรอสมอนท์จำได้ขึ้นใจ...กับเวทย์มนต์ทั้งหมดที่ “เจ้าของ Fate Card” สามารถสร้างได้
......ไม่ใช่เรื่องแปลก...ที่จะจดจำเวทย์มนต์หลายร้อยหลายพันบทนั้นได้......
......เพราะมันเป็น...เวทย์ของคนคนนั้น......
......เวทย์ที่วอร์เรส...คิดค้นขึ้น......
“ข้าได้รับการงดเว้นจากเวทย์มนต์อัญเชิญทั้งหมด 881 เวทย์...ซึ่งเป็นเวทย์ที่ Fate Card สามารถผสมขึ้นได้”ฟรอสมอนท์เอ่ยขึ้น “...เจ้าคิดว่า เวทย์อัญเชิญที่มนุษย์รู้จักและใช้กันจริงๆ มีถึง 100 เวทย์รึเปล่าล่ะ?”
คำพูดของฟรอสมอนท์ไม่มีทางจะจริงไปกว่านี้ได้อีกแล้ว ในเมื่ออายุขัยของมนุษย์นั้นสั้นมาก และเมื่อเทียบกับพลังชีวิตและพลังเวทย์...เวทย์มนต์ที่มนุษย์จะเรียนได้จึงมีจำกัด และข้อจำกัดเหล่านั้นเอง ทำให้เวทย์มนต์จำนวนมากที่มนุษย์ไม่สามารถใช้ได้ถูกลืมเลือนไป ซึ่ง “อักษรรูน” ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างพวกนั้น
อักขระรูน เดิมทีก็เป็นเวทย์มนต์แขนงหนึ่งของมนุษย์ แต่เพราะการใช้เวทย์เหล่านี้คือการจดจำตัวอักขระรูนให้ได้ และใช้อักขระเหล่านั้นประกอบกับเวทย์มนต์ ซึ่งกินทั้งพลังเวทย์และพลังชีวิตมหาศาลจนหาคนใช้ได้ยาก เวทย์มนต์แขนงนี้จึงไม่มีผู้สืบทอด และค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลาในที่สุดนั่นเอง
“ฮะๆ...ฮะๆๆๆๆ...ยอด...ยอดจริงๆ...ยอดมาก...ท่านแน่กว่าที่ข้าคิดไว้มากทีเดียว”บลัดด์วอร์กลับหัวเราะออกมา
“...หมอนั่นเพี้ยนรึเปล่าน่ะ”เคิร์สขมวดคิ้ว
“ข้าเคยคิดว่า...เทพก็คงทำให้ข้าผิดหวังเหมือนพวกก่อนหน้านี้...แต่ไม่เลย...ข้าไม่ผิดหวังซักนิด”บลัดด์วอร์หัวเราะอย่างถูกใจ “...ท่านน่าสนใจกว่าที่ข้าคาดไว้มาก ฟรอสมอนท์ จีลาเรส”
“เจ้าเป็นมนุษย์แน่รึเปล่าเนี่ย”ฟรอสมอนท์ส่ายหัวน้อยๆ “แนวคิดที่แปลกเกินกว่าจิตใต้สำนึกมนุษย์พวกนั้นมาจากไหนกัน”
“...นั่นสินะ...”บลัดด์วอร์ค่อยๆหยุดหัวเราะไป “...แต่เพราะแบบนั้นแหละ ถึงน่าสนุกเหลือเกิน”
ครึ่ก...ครึ่ก...
“ลิเวียธาร”กีลเลียสเรียกดาบสีทองที่ยังลอยอยู่บนฟ้ากลับมา
“ว่าไงบ้าง?”
[คิดว่า...เขาป้องกันได้ขอรับ] ลูไมน์...หรือดาบทองคำลิเวียธารตอบด้วยกระแสจิต
“...สมกับเป็นมือขวาของปิศาจสงคราม”กีลเลียสกระชับดาบแน่น
ครึ่ก...ครึ่ก...
“...เจ็บนะเนี่ย”
ฟู่...
ท่ามกลาง “ซาก” ที่เคยเป็นถนนมาก่อน...ซึ่งตอนนี้กลับเหลือเพียงหลุมลึกที่มีรอยแยกกว้างจนมองแทบไม่เห็นก้น อิกนิสได้ยืนอยู่ข้างๆรอยแยกนั้นอย่างหมิ่นเหม่จะตกแหล่มิตกแหล่ แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้ม...
“รอดมาได้ยังไงน่ะ...ดาบนั่นน่าจะตัดผ่านได้แม้แต่เกราะของเวริเอลเสียด้วยซ้ำนะ”กีลเลียสเผลอก้าวถอยหลังเล็กน้อย
“...ใช้อุปกรณ์ช่วยนิดหน่อยสิครับ ถามได้”อิกนิสยิ้มยียวน พร้อมกับโบกของในมือไปมา
“นั่นมัน...ไพ่?”
[หรือว่า...Fate Card!!!!!] เสียงของลูไมน์ดูตื่นตระหนก แต่นามของสิ่งนั้นกลับทำให้กีลเลียสหน้าซีดกว่าเดิม
Fate Card นั้น...เรียกได้ว่าเป็นอาวุธที่ไม่ใช่สิบสามอาวุธเทพปกรณัม แต่ก็มีความร้ายกาจไม่แพ้อาวุธระดับนั้น...รูปแบบของมันคือ “ไพ่” สองสำรับ ซึ่งรวม Joker ของทั้งสองสำรับเข้าไปด้วย ทั้งหมดคือ 108 ใบ แบ่งเป็นไพ่ปรกติ 52 ใบ 2 ชุด และโจ๊กเกอร์ 2 ใบ 2 ชุด
ความน่ากลัวของมันคือ...ไพ่แต่ละใบ ต่อให้เป็นไพ่เลขเดียวกัน ดอกเดียวกัน [แต่คนละสำรับ] ก็จะมีเวทย์ที่บรรจุลงไปแตกต่างกัน การใช้อาวุธชนิดนี้คือการผสมเวทย์มนต์จากไพ่แต่ละใบเข้าด้วยกัน กลายเป็นเวทย์ทำลายล้างที่รุนแรง แต่ก็ใช้งานยากมาก
และผู้ใช้ของมันคือ...
“...ไพ่ของวราทต์”กีลเลียสเม้มปาก
“ก็นะ...ใช่แล้วครับ”อิกนิสยิ้ม “ไพ่ในมือผมนี่คือ 8 โพธิ์ดำ...เวทย์เกราะพลังจิต”
“...ทำไม...ทำไมไพ่พวกนั้นถึง...”กีลเลียสแทบอยากจะหันหลังวิ่งหนีไปตอนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เขาก็รู้ดีพอๆกันว่าหนีไปก็ไม่มีทางพ้น
“...เพราะผมมีสิทธิ์...ที่จะใช้มันได้น่ะสิครับ”อิกนิสหัวเราะแผ่วเบา “...เอาล่ะ...มาเล่นกันต่อดีกว่านะครับ คุณกีลเลียส!”
ฟุ่บ
อิกนิสดึงไพ่อีกใบขึ้นมาจากแขนเสื้อ พร้อมกับขานชื่ออย่างรวดเร็ว
“เท็นท์! จงออกมา Fire Wheel [วงล้อเพลิง]!”
พรึ่บ!
เพลิงรูปร่างคล้ายวงล้อของรถเกวียนหมุนเข้าใส่กีลเลียส ร่างบางรู้ดีว่าไม่อาจหนีได้จึงได้แต่ต้องตั้งดาบขึ้นรับ
แคร้ง!
ครืด...
“...อั่ก...”แน่นอนว่าด้วยเรื่องของแรงแล้ว กีลเลียสไม่ได้มีพละกำลังมากมายอะไร แค่โดนวงล้อเพลิงชนเข้าทีหนึ่งก็โดนดีดกระเด็นแล้ว แม้ว่าจะตั้งรับได้จนไม่โดนเพลิงคลอก แต่แรงกระแทกกลับทำร้ายกีลเลียสได้ไม่ต่างกัน
“คุณอ่อนแอลงมากจริงๆนะ”อิกนิสขมวดคิ้วน้อยๆ “...ไป!”
ครึ่กๆๆๆๆ
......ไม่ไหว......กีลเลียสพยายามยกดาบขึ้นตั้งรับ แต่เรี่ยวแรงที่มีก็หมดไปอย่างรวดเร็ว
......ชาเร...เพียร์ซ......
......ดูเหมือนว่า...วิ่งไล่จับครั้งนี้...ชั้นคงไปวิ่งไล่ตามนายไม่ได้อีกแล้ว......
พรึ่บ!!!
ผ้าคลุมสีเทาหม่นสะบัดคลุมร่างของกีลเลียสโดยไม่ทันตั้งตัว ร่างบางยังไม่ทันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็มีเสียงการกระทบกันดังลั่น
ปึง! โครม!!!
“อะ...ไรน่ะ”กีลเลียสดึงผ้าคลุมที่อยู่ๆก็ถูกคลุมลงมาเพื่อชะโงกหน้าดูสถานการณ์
เบื้องหน้าของเขา...มีใครคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จักยืนอยู่ตรงหน้า แม้จะหันหลังให้ แต่เส้นผมสีขี้เถ้าที่ปลิวสยายกับไหล่กว้าง ร่างกายสูงใหญ่แข็งแกร่งแบบนั้น ก็ไม่ใช่ใครที่กีลเลียสคุ้นเคยเลย
“...คุณคือ...”กีลเลียสเอ่ยถาม
“......”ร่างสูงไม่ได้หันมา แต่กลับจดจ้องที่อิกนิสเขม็ง
“...ให้ตายสิ...”อิกนิสยีหัวตัวเอง “...ทำไมกับแค่เรื่องง่ายๆ ถึงกลายเป็นเรื่องยากไปซะแล้วล่ะ”
“......”ชายหนุ่มไม่พูดไม่จาอะไร แต่กลับกวาดสายตามองไปรอบๆพื้นที่ ซึ่งเหล่าคนนอกที่แอบเฝ้าดูอยู่ ไม่ว่าจะแอบอยู่ตรงไหน ต่างก็สะดุ้งเฮือก พร้อมกับเสียงพึมพำเซ็งแซ่
“...ท่านเชดด์นี่นา...”
“...ราชาปิศาจ...”
“...ทำไมท่านผู้นี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้...”
“เชดด์...เหรอ?”กีลเลียสทวนคำ ชื่อที่คุ้นหูในความรู้สึกทำให้ร่างบางขมวดคิ้ว
“...เฮอร์เมส”ร่างสูงเอ่ยเรียบๆ เป็นคำแรกที่เอื้อนเอ่ยออกมา
“อึก!”ครั้งนี้กลับเป็นอิกนิสที่ก้าวถอยหลัง
“...ถอยไป”
“อย่าเรียกด้วยชื่อนั้นอีกนะครับ...ผมในตอนนี้ คืออิกนิส ไม่ใช่เฮอร์เมส”อิกนิสสวนกลับทันที ก่อนจะหันมามองกีลเลียสที่ด้านหลังด้วยสายตาเหมือนจะเสียดายเล็กน้อย
“...ครั้งนี้ผมจะยอมถอนตัวก่อนก็ได้...แต่อย่าคิดว่าจะรอดได้ทุกครั้งนะครับ คุณกีลเลียส...”
วิ้ว...
ร่างของอิกนิสค่อยๆเลือนรางลง แต่ในขณะที่กีลเลียสกำลังจะถอนหายใจโล่งอกเท่านั้นแหละ อิกนิสกลับโยนระเบิดลงมาแบบไม่ปราณี
“...แต่กับฟรอสมอนท์ จีลาเรส...ทางนี้คงไม่ยอมถอยไปง่ายๆหรอกครับ”
......คุณฟรอสมอนท์!?!......
####################################################################
ความคิดเห็น