คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 6 [Lunatic] : ลูนาติค อาณาจักรแห่งเผ่ามายา
####################################################################
บทที่ 6 [Lunatic] : ลูนาติค อาณาจักรแห่งเผ่ามายา
“...ว๊าว”นานไม่น้อยกว่าที่กีลเลียสจะหาเสียงตัวเองเจอ
“ก็...สวยดีนะ”ฟรอสมอนท์ว่า
ลูนาติค [Lunatic] อาณาจักรแห่งแสงจันทร์ เพราะที่แห่งนี้มีหุบเขากั้นทั้งสองฟากฝั่งตะวันออกและตก ทำให้กลายเป็นช่องลมที่ลมเหนือพัดผ่านแทบตลอดเวลา และเพราะมีหุบเขาสูงสองด้านนี้เอง ทำให้อาณาจักรแห่งนี้ไม่ค่อยได้รับแสงอาทิตย์ จนกลายเป็นอาณาจักรแห่งแสงจันทร์ในที่สุด
และคงเพราะสาเหตุนั้น...ทำให้ที่แห่งนี้เป็นแหล่งรวมของพวกเผ่ามายาและเผ่าปิศาจที่รักสงบทั้งหลายเสียเหลือเกิน...แน่ล่ะว่าอัลเฟรดไม่ทันได้สังเกต แต่คนที่ดูเหมือนจะเป็นมนุษย์ที่เดินสวนพวกเขาไป แปดในสิบก็ไม่ใช่คนแล้ว
“จริงๆผมไม่แนะนำให้ค้าง...แต่เห็นท่าทางคุณกีลแล้ว...ซักสองสามคืนก็ได้ครับ”อัลเฟรดยิ้มบางๆ รู้สึกเอ็นดูกับท่าทางเหมือนเด็กๆของกีลเลียสที่สนอกสนใจไปเสียหมด
......ไม่เหมือนกับที่พบกันครั้งแรก......
......ดูสูงส่ง...แต่ก็เลือนรางราวกับจะหายไปได้ทุกเวลา......
......ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบนั้นก็มีมุมที่ดูเป็นเด็กๆแบบนี้ด้วย......
คงเพราะเหตุผลเช่นนี้ทำให้อัลเฟรดใจอ่อนยอมตามใจกีลเลียสในที่สุด
“...พักสามคืน ไปดูห้องพักไว้ด้วยแล้วกัน”ฟรอสมอนท์ถอนหายใจ
......อาการแบบนี้...เหมือนสล็อทไม่มีผิด......
ในฐานะของฟรอสมอนท์เมื่อครั้งอดีต เขาเองก็ต้องใกล้ชิดกับบาปเจ็ดประการอยู่บ้าง แม้ว่าตามสายที่สังกัดเขาจะสังกัดฝ่ายเทพฮาเดสและไม่ควรยุ่งกับบาปเจ็ดประการคนไหน แต่...ลงให้ฟรอสมอนท์เป็นผู้เดียวที่วราทต์ยอมรับฟัง นั่นก็ทำให้พวกบาปเจ็ดประการโดยเฉพาะไพรด์และสล็อทมาเยี่ยมเยียนเขามากกว่าคนอื่นแล้ว
ฟรอสมอนท์เข้าใจอาการเช่นนี้ของกีลเลียสดี มันเป็นอาการคล้ายกับสล็อท...นั่นเพราะเทพสล็อทแห่งบาปทั้งเจ็ดนั้น เอาแต่ใช้สมองไปกับการวางแผนการร้ายๆหรือคิดในทุกๆสิ่ง ไม่เคยปล่อยวางจิตใจและสมองของตนเสียบ้าง ทำให้แม้เขาจะดูเหมือนเฉลียวฉลาดทันคน แต่เมื่อเอาเข้าจริงๆความรู้พื้นฐานนั้นสล็อทก็มีน้อยไม่แพ้ฟรอสมอนท์เท่าไหร่ ทำให้เทพสล็อทมักจะมีอารมณ์แบบเด็กๆซ่อนอยู่ภายใน
และนั่นคงไม่ต่างจากกีลเลียส...เขาที่ใช้เวลาครึ่งชีวิตอยู่กับแผนการจัดการเคออสตามความปรารถนาสุดท้ายของสล็อท และหลังจากเหตุการณ์นั้นร่างกายของเขาก็ทรุดโทรมลงจนไม่อาจท่องเที่ยวทั่วโลกกว้างอย่างที่ใจต้องการได้
“อัลเฟรด เจ้าพาเจ้านี่ไปหาห้องพักก่อน”ฟรอสมอนท์ปลีกตัวออกจากคณะเดินทาง
ลูนาติคเป็นอาณาจักรแห่งแสงจันทร์ แน่นอนว่าสิ่งปลูกสร้างย่อมมีความงดงามและมีรูปแบบคล้ายคลึงกับการเคารพดวงจันทร์ ตราสลักรูปจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เต็มดวงเป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไปในที่แห่งนี้ แต่ความงดงามของอาณาจักรแห่งนี้ คือการที่แม้จะมืดครึ้มเพราะแสงอาทิตย์เข้ามาไม่ถึง แต่กลับมีการเก็บแสงจันทร์อัดอยู่ในรูปของหิ่งห้อยที่ลอยละล่องไปทั่วเมืองแทนการใช้โคมไฟตามถนนแทน
“อาณาจักรแห่งเวทย์มนต์...แถมยังเป็นที่ที่แสงมาไม่ค่อยถึง จะมีพวกปิศาจกับพวกเผ่ามายารวมตัวกันเยอะก็ไม่แปลก”แม้แต่ฟรอสมอนท์ยังอดทอดถอนใจเพื่อความงามของอาณาจักรแห่งนี้ไม่ได้
......แค่เท่าที่เดินผ่าน...ก็พอจะเห็นพวกเผ่าหายากอยู่เพียบ......
แต่กระนั้น ฟรอสมอนท์เองก็ตกเป็นเป้าสายตาของสิ่งมีชีวิตรอบๆตัวเช่นกัน เพราะปิศาจนั้นจะมีกลิ่นไอปิศาจ เผ่ามายาต่างๆเองก็จะมีคลื่นพลังที่สามารถแบ่งแยกประเภทได้อย่างชัดเจน แต่กับเทพ...ไอพลังเทพนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะพบได้บ่อยนัก และฟรอสมอนทืเองก็เชี่ยวชาญการปิดผนึกพลังของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร จนทำให้ไม่มีใครแยกออกว่าเขาเป็น “อะไร” กันแน่
......แต่ยังไม่เจอเอล์ฟเลย......
......แย่จริง......
“จะหาตัวเจอไม่ได้ง่ายๆสินะ”ฟรอสมอนท์ถอนใจแผ่วเบา
......แต่หากหาตัวเจอกันได้ง่ายๆ จะต้องมีเกาะแห่งเอล์ฟไปเพื่ออะไร......
ฟิ้ว...
“เคิร์ส?”ฟรอสมอนท์เอ่ยเรียบๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงสายลมที่แผงความโหดร้ายเศร้าโศกเอาไว้...สายลมแห่งคำสาป
“ออกมาคนเดียว ไม่กลัวเป็นเรื่องอีกรึไง”เคิร์สบ่นเบาๆ เขาปรากฏตัวในร่างมนุษย์ตามความเคยชินอยู่แล้ว แต่แม้ว่าจะปรากฏตัวขึ้นมาดื้อๆก็ไม่มีอะไรให้น่าสนใจ ในเมื่ออาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรเวทย์อยู่แล้ว
“อย่าทำอีกในอาณาจักรวิทยาการ ไม่งั้นเราอาจยุ่ง”ฟรอสมอนท์ว่า
“ข้ารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่น่า”เคิร์สว่า เขาลอยตัวลงมายืนข้างๆฟรอสมอนท์ก่อนจะจัดการดึงเศษใบไม้เล็กๆที่ติดเรือนผมสีน้ำเงินเข้มนั่นออก
“แต่ถ้าข้าดูแลท่านไม่ดี...ข้านี่แหละที่จะยุ่งยาก ท่านน่าจะเข้าใจนะ”
“......”ฟรอสมอนท์ถอนหายใจแผ่วเบา “...เขาไม่มีทางกลับมาเอาโทษเจ้าได้แล้ว ไม่จำเป็น...”
“ท่านเองก็ลงอีหรอบเดียวกับเจ้าเศษเสี้ยวของสล็อทนั่น...แทนที่จะบอกให้คนอื่นเชื่อ บอกให้ตัวเองเชื่อเสียก่อนเถอะ”
“......”ฟรอสมอนท์เบือนหน้าหลบไม่ตอบคำ
......ข้าเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปว่ากีลเลียสหรอก......
......ในเมื่อข้าเอง...ก็มีความจริงที่แม้หลักฐานจะชัดเจน ก็ไม่อาจปักใจเชื่อได้......
......ทั้งๆที่ปากก็บอกให้เชื่อ...แต่หัวใจกลับไม่ยอมรับ......
“...นั่นสินะ...”ฟรอสมอนท์ถอนใจเล็กน้อย “งั้นข้าจะไม่พูดล่ะ”
......เพราะไม่ว่าอย่างไร...ข้าก็ทำใจให้เชื่อไม่ได้......
......ข้าไม่เชื่อ...ว่าเจ้าจะจากข้าไปตลอดกาลจริงๆ......
......วอร์เรส......
“......”แต่ระหว่างที่ฟรอสมอนท์กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เคิร์สกลับเงยหน้าขึ้นหันไปมองหุบเหวที่กลายเป็นปราการธรรมชาติของอาณาจักร
......รู้สึกไปเองรึเปล่านะ......
......สัมผัสนี่มัน......
......พลังเทพที่ไม่คุ้นเคย...ไม่ใช่ของสล็อทและของท่านฟรอสมอนท์......
“ว๊าว...ที่นี่สวยเป็นบ้าเลย!”
“ใจเย็นหน่อยสิ...เรามาทำงานนะ”ร่างสูงยิ้มบางเบา
“เชอะ! งานที่เจ้าบ้าเฟลมนั่นสั่งน่ะนะ! ไม่ได้อยากจะทำตามเล้ย!!!”ร่างบางแค่นเสียง “...ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นงานที่เกี่ยวกับพี่โกลด์นะ ฮึ่มๆๆๆ”
“น่า น่า ใจเย็นให้สมชื่อสายน้ำหน่อยสิ”
“นายก็หัดใจแข็งเหมือนแผ่นดินไม่มีวันแตกแยกได้มั๊ยล่ะ ฮึ!”
“ฮะๆๆๆๆ”
“ไปเหอะ รีบทำงานดีกว่า ไม่อยากให้คู่นั้นแย่งผลงานได้หรอก”
“อือ...นั่นสินะ”ร่างสูงถอนหายใจ “ไปกันเถอะ...อควา”
“รายงานครับบอส”
“มีอะไร...อิกนิส”
“ทั้งสองฝ่ายแยกทางกันครับ ฟรอสมอนท์ จีลาเรสเดินตระเวนอยู่แถวตลาดตะวันตก ส่วนกีลเลียส โคลว์อยู่ที่อีกเขตหนึ่ง...แล้วก็...”
“อควา ลาจิสต้า กับเอิร์ธ อาร์ติเฟค มาที่เมืองนี้แล้วสินะ”
“สมกับเป็นคุณจริงๆ...แม้แต่ผมยังจับสัมผัสของพวกเขาไม่ได้ แต่คุณกลับทำได้...เฮ้อ ใครจะสู้คุณได้ครับเนี่ย บลัดด์วอร์”
“ไม่มีน่ะสิ”อีกฝ่ายพูดอย่างหยิ่งทระนงในพลังของตนเอง
“แล้วจะทำยังไงกับตัวหมากไม่คาดคิดนี่ดีล่ะครับ”อิกนิสถาม
“...เจ้าไปจัดการกีลเลียส โคลว์...กับแค่คนอ่อนแอคนหนึ่งไม่น่าทำให้เจ้าตึงมือ”
“ส่วนบอสก็...”
“ข้าจะไปดูหน้าเทพตัวเป็นๆเสียหน่อย”
“รับทราบคร้าบ”อิกนิสลากเสียงยากพร้อมกับรอยยิ้ม
“ไม่ว่าอย่างไร...พวกกองกำลังปฏิวัติต้องถูกทำลาย เข้าใจที่ข้าพูดสินะอิกนิส”ชายหนุ่มเอ่ยย้ำ
“เข้าใจครับบลัดด์วอร์...ไม่ว่าอย่างไร...ผมก็รับใช้แค่คุณอยู่แล้ว”
......มืดจัง......
......ที่นี่อีกแล้วเหรอ?......
‘นี่เจ้าโผล่มาอีกแล้วหรือ?’
......เสียงเดิม......
......ในฝันจริงๆด้วย......
‘เจ้าจะว่าฝันก็คงใช่ แต่อย่าฝันบ่อยนักเป็นดี’ อีกฝ่ายมีเสียงติดจะระอา
......แล้วชั้นมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย......
‘ในช่วงที่เจ้าไม่มีสติ จิตของเจ้าจะหลุดมาที่นี่...แต่มาได้อย่างไรข้าก็ไม่รู้’
......นายยังรู้ดีกว่าชั้นอีกแฮะ......
‘ก็ข้าเป็นเจ้าของที่แห่งนี้’
......นายอยู่ที่นี่เหรอ?......
......แต่มันดูเงียบเหงา มืด แล้วก็เย็นมากเลยนะ......
‘......’
......ไม่เหงาบ้างเหรอ?......
‘ไม่ ข้ามีสหายอยู่...เพียงแต่เขาไม่ได้อยู่ที่นี่’
......งั้นก็ดีแล้วล่ะนะ......
‘ไอ้การมองโลกแบบนี้ จะว่าเพี้ยนหรืออย่างไรดีล่ะ...’
......แหะๆ...คงเพราะมันเป็นแค่ความฝันมั้ง? ชั้นเลยทำตัวสบายๆได้น่ะ......
......ถ้าเป็นเวลาปรกติ......
‘ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้อง ข้าไม่ได้อยากฟัง’
......แหม...ใจร้ายจัง......
......ว่าแต่ มันมืดจนชั้นมองนายไม่เห็นเลยล่ะ......
‘แต่ข้าเห็นเจ้าชัดเจน’
......น่าอิจฉาจัง...จริงด้วยสิ!......
......แล้วตกลงนายชื่ออะไรกันแน่ล่ะ!!!......
‘จะช่วยสับสน เบลอ หรือมีอาการอะไรที่ดูเป็นคนปรกติกับเขาไม่ได้หรือไงนะ’ อีกฝ่ายถอนหายใจแผ่วเบา
......ก่อนจะถามชื่อคนอื่น ต้องบอกชื่อตัวเองก่อน......
......ชั้นเคยสอนเจ้าบ้าโกลด์แบบนั้นล่ะ......
‘โกลด์?’
......ชั้นชื่อกีลเลียส...กีลเลียส โคลว์......
......แล้วนายล่ะ?......
‘กีลเลียส...โคลว์...งั้นหรือ’ อีกฝ่ายเงียบไปพักใหญ่ๆ
......อื้อ......
‘เป็นชื่อที่เหมาะดี แต่ไม่เข้ากับตระกูลของนายเลยนะ’
......ฮะๆๆ......
‘ชั้นคือ...’
ปัง!!!!!
“เฮือก!!!”
เป็นครั้งที่สองที่กีลเลียสสะดุ้งตื่นก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้บอกชื่อของตน แต่ต้นเสียงที่ท่าทางจะไม่ใช่ปรกติก็ทำให้กีลเลียสต้องเก็บความโกรธของตัวเองไปก่อน
“นายท่าน! ศัตรูครับ!!!”ลูไมน์เข้ามารายงาน
“...เข้าใจแล้ว”กีลเลียสถอนหายใจ มือข้างหนึ่งแบออกตรงหน้าลูไมน์
“ลิเวียธาร กลับมา”
ฟุ่บ!!!
กีลเลียสสะบัดดาบทองคำในมือ ตาชั่งสองแขนสีทองด้านหลังเลือนหายไป เพราะครั้งนี้ไม่ใช่เวลาที่จะใช้มัน
“จอมทัพทองคำ กีลเลียส โคลว์...ไม่ได้ลงสนามมานานอาจออมมือยากล่ะนะ”
ตึก...ตึก...
“......”ฟรอสมอนท์และเคิร์สอยู่ในสภาพพร้อมรบ ร่างบางเรียกดาบน้ำแข็งขึ้นมา ส่วนเคิร์สเองก็มีไอสีดำแผ่ออกจากฝ่ามือเช่นกัน
จิตสังหารที่กดดัน...เข้มข้นจนแม้จะเป็นตลาดกลางเมือง และคนในลูนาติคนี้ก็มีแต่พวกเผ่ามายาหรือไม่ก็เผ่าปิศาจกันทั้งนั้น แต่แรงจิตสังหารเมื่อครู่ทำเอาเก้าในสิบของผู้คนลงไปนอนชักตาตั้งน้ำลายฟูมปากกันได้ ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่า...
......ศัตรูจงใจ...หมายหัวพวกเขา......
“ตั้งแต่ลงมา ท่านได้ไปหาเรื่องใครก่อนรึไง”เคิร์สถาม
“นอกจากกีลเลียส ข้าว่าข้ายังไม่ได้พบหน้าไอ้บ้าตัวไหน”ฟรอสมอนท์ตอกกลับ
“โอเค...ถ้างั้นก็อาการเก่ากำเริบ”เคิร์สแค่นเสียง
“ข้าไม่มีโรคหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว”ฟรอสมอนท์อดสวนกลับไม่ได้
“ถึงเจ้าไม่อยาก เรื่องยุ่งก็วิ่งมาหาเจ้าทุกที คราวนี้คงไม่ต่างกันนักหรอก”เคิร์สว่าอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ
ตึก...ตึก...
ชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวมาหยุดตรงหน้าพวกเขา แวบแรกที่เห็น ทำเอาอาวุธวิญญาณที่ยืนตระหง่านปกป้องนายของตนถึงกับสั่นสะท้าน
......จิตสังหาร...น่ากลัว......
เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าเชื่อนัก กับเคิร์สที่เคยอยู่เคียงข้าง “ผู้ที่น่ากลัวที่สุด” มาแล้ว จะเกิดการ “กลัว” ในพลังของผู้อื่น แต่มันก็เป็นไปแล้วกับชายหนุ่มตรงหน้า
ร่างกายแข็งแรงกำยำอยู่ในผ้าคลุมสีน้ำตาลเก่าๆขาดๆ ที่คลุมเอาไว้โดยมีรอยแยกของผ้าคลุมที่ด้านซ้าย ไม่ใช่ตรงกลางลำตัวเช่นผ้าคลุมปรกติ แต่ก็ทำให้แขนซ้ายโผล่พ้นผ้าคลุมได้สะดวก ซึ่งแขนข้างนั้นใส่ถุงมือสีดำสนิทที่ตัดส่วนนิ้วออกให้โผล่ออกจากถึงมือ และถุงมือนั้นยาวขึ้นไปถึงข้อศอก เครื่องประดับที่พอจะเห็นได้ก็มีแค่กำไลสีเงินที่มีโซ่พันลากเข้าไปภายในชุดคลุม และเข็มกลัดรูปไม้กางเขนกลับหัวร้อยกับโซ่ระลงมาที่ไหล่ขวาเท่านั้น
แม้จะมองออกได้ว่าเป็นชายหนุ่ม แต่เคิร์สกลับไม่อาจระบุใบหน้าค่าตาหรือตัวตนของคนตรงหน้าได้เพราะหน้ากากสีขาวที่เขาสวมใส่นั่น หน้ากากสีขาวไร้ลวดลายใดๆที่ตัดรูปโค้งปกปิดใบหน้าซีกบนไปทั้งแถบ แล้วยังเลยมาถึงใบหน้าซีกซ้ายด้านล่าง เรียกว่าปิดไปสามในสี่ของใบหน้าไปเลย เส้นผมของเขาเป็นสีน้ำตาลอ่อน แต่เมื่อสังเกตให้ชัดๆจะรุ้ได้ว่านั่นเป็นสีพรางตาเท่านั้น หรือก็คือเคิร์สไม่อาจระบุอะไรจากคนตรงหน้าได้เลย ไม่ว่าจะคลื่นพลังที่เหมือนจะคุ้นเคยแต่ไม่คุ้นเคย หรือรอยยิ้มเหยียดที่ชวนขนหัวลุกแต่ก็คลับคล้ายคลับคลานั่น
“แก...เป็นใคร”เคิร์สกัดฟันเอ่ย
“องครักษ์พิทักษ์นายที่ยอดเยี่ยมนะ เจอจิตของข้าเข้าไปตรงๆยังไม่สลบ ไม่เลว ไม่เลว”อีกฝ่ายไม่ตอบ เพียงแต่เหยียดยิ้มเย้ยหยันเท่านั้น
“เคิร์ส ถอยไป”
“...ขออภัย...ท่านฟรอสมอนท์...”เคิร์สขบริมฝีปาก ก่อนที่ร่างสูงจะสลายตัวไป ทิ้งไว้เพียงแหวนวงเล็กๆที่ยังลอยค้างอยู่กลางอากาศ
แหวนวงนี้คือรูปลักษณ์ในฐานะ “อาวุธ” ของเคิร์ส เพราะเขาคืออาวุธที่ใช้คำสาปแก่ศัตรู จึงไม่ใช่รูปแบบของอาวุธที่ใช้จู่โจมอย่างดาบ ธนู ปืน ไม่ใช่แม้แต่คทา ในเมื่อการร่ายคำสาปนั้นอาศัยเพียงคำร่ายและวงเวทย์มนตราเท่านั้น ดังนั้นรูปแบบของเคิร์ส จึงเป็นเพียงแหวนสีเงินเกลี้ยงวงหนึ่งเท่านั้น
“เจ้าเป็นใครกัน”ฟรอสมอนท์เอ่ยถามอีกครั้ง มือก็คว้าแหวนที่ลอยอยู่มาสวม...ที่นิ้วนางข้างซ้ายของตน
......ของดูต่างหน้า...ที่วอร์เรสทิ้งเอาไว้......
......อาวุธของเขา...วราทต์แห่งความโกรธา...ตัวตนที่วอร์เรสเกลียดแสนเกลียด......
“รู้จัก...กองกำลังปฏิวัติรึเปล่า?”
“...กองกำลังแปลกๆที่รวบรวมผู้คน...เป้าหมายเพื่ออะไรบางอย่าง...”
“นั่นสินะ...เจ้าพวกนี้โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ มาเงียบกริบ และก็หายไปเงียบกริบ ไม่ทิ้งร่องรอย ไม่มีอะไรให้สืบสาว แต่ที่แย่ที่สุด เจ้าพวกนั้นไม่แคร์กฎการอยู่ร่วมกันของพวกเราเอาซะเลย”
“พวกเรา?”
“ฮึ...น่าแปลกใจนะ ที่เห็นหน้ากากนี่แล้วยังเดาไม่ออก”เขาแค่นเสียง “แต่คงไม่แปลกหากคิดว่าเจ้าเป็นใคร...ฟรอสมอนท์ จีลาเรส เทพแห่งน้ำแข็งและความเย็นชา...หนึ่งมหาเทพแห่งตำนาน “ยี่สิบปีแห่งความลับ” ใช่มั๊ย?”
ชิ้ง!
แม้ว่ารอบข้างจะมีแต่ผู้คนที่สลบไสล แต่ก็ยังเหลือบางส่วนที่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานจิตสังหารของคนตรงหน้าได้ และตอนนี้พวกเขาก็กำลังช็อคทั้งๆที่ยังได้สติ กับคำพูดของอีกฝ่ายที่ระบุตัวตนของฟรอสมอนท์ออกมา
ยี่สิบปีแห่งความลับ...เป็นหนึ่งในตำนานแห่งโลกมนุษย์ปัจจุบัน เพราะนั่นคือเรื่องที่แม้จะมีพลังของกุญแจศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจบิดเบือนได้ ช่วงเวลา 20 ปีก่อนที่โลกใกล้จะล่มสลาย ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการเริ่มต้นของ “สงครามชิงพลังเทพ” ที่พวกเฟลมและผู้ใช้พลังเทพเข้าร่วมต่อสู้ แม้ว่าเจเนซิสจะใช้พลังของตน ชดเชยช่วงเวลาและแก้ไขโลกที่ใกล้จะล่มสลายให้ย้อนกลับมา แต่ช่วงเวลาสั้นๆใน 20 ปีนั้นก็กลายเป็นหลุมว่างเปล่าแห่งกาลเวลาที่มีเพียงผู้อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่รับรู้ความจริงทั้งหมด
หรือก็คือ ผู้ครองความลับของ “ยี่สิบปีแห่งความลับ” นั่น...คือประชาชนเซนต์ นาวิสและไกอาฟอสต์ที่เข้าร่วมในสงคราม และรวมถึงพวกเฟลมเอง
แต่กระนั้น มนุษย์จาก “โลกภายนอก” ก็ยังพยายามตามหาคามจริงของยี่สิบปีแห่งความลับนั่น จนได้รับความจริงบางอย่าง...เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์พิเศษที่ถูกอ้างถึงในสงครามนั้น...พวกเทพ
แม้จะบอกว่าเทพเจ้านั้นคือความเชื่อของมนุษย์ แต่พวกมนุษย์เองก็ไม่เคยคิดว่า “เทพ” จะปรากฏตัวขึ้นจริงๆ และพยายามตามหาความจริงเกี่ยวกับเทพที่มีตัวตนเหล่านี้มาตลอด รายนามเทพที่ปรากฏในสงครามนั้นจึงเป็นอะไรที่...พวกเฟลมต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะปกปิด
กระนั้นกับเทพบางองค์ที่มีบทบาทมากจนไม่อาจปกปิดได้ อย่างเทพโครนอส เทพฮาเดส เทพลูซิเฟอร์ จอมทัพเทพทั้งสี่ หรือเจ็ดดาราตั้งกัดเทพฮาเดส พวกเขามีบทบาทมากและมีตัวตนอยู่ชัดเจนจนไม่อาจลบเลือน ชื่อของบางองค์จึงกลายเป็นเป้าของคนจากโลกภายนอก
“จะบอกว่าเป็นเทพ...ก็ไม่ได้ต่างจากมนุษย์ตรงไหนเลยว่ามั๊ย?”ชายหนุ่มเอ่ย
“เจ้าพูดเองเออเองเสียด้วยซ้ำ ข้าไม่ได้บอกว่าตนเองเป็นเทพ”
“แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ?”
“......”
“งั้นเพื่อให้ความรู้แก่ “เทพ” อย่างเจ้า...ข้าคือ ผู้คุมกฎแห่งโลกมืด”เขาเอ่ย ใบหน้าที่เห็นเพียงเสี้ยวเดียวนั้นยังคงมีรอยยิ้มเย้ยหยันโลกทั้งใบอยู่ตลอดเวลา
“ผู้คุม...กฎ?”
“มีนามว่า...บลัดด์วอร์” [Blood War : สงครามโลหิต]
####################################################################
ความคิดเห็น