ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ด้วยรัก..จากรัตติกาล(A Gothic Romance : Prologue)

    ลำดับตอนที่ #3 : ตัวอย่างสำหรับอ่าน : บทที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ย. 52


    2

     

    ฉันตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงแหบเสน่ห์ของแวมไพร์เลอสตัทกำลังครวญเพลง Not Meant For Me

    บนทรวงอกคือหนังสือนวนิยายเรื่อง Interview with the vampire ของแอน ไรซ์ นักเขียนฉายาราชินีแห่งมนต์ดำ เป็นหนังสือเล่มที่ฉันโปรดปรานอ่านบ่อยจนแทบหลุดเป็นชิ้นๆทุกครั้งที่ประคองเอาออกมาอ่านใหม่

    หนังแวมไพร์สุดโปรดของฉันจบไปนานแล้ว ฉันปิดเครื่องเล่นวีซีดีและเปลี่ยนมาเปิดเครื่องเล่นซีดีแทนแต่หลังจากนั้นกลับหลับไม่รู้เรื่องทั้งที่เปิดนิยายอ่านไม่กี่หน้า

    และการที่ฉันตื่นขึ้นมาก็ไม่ใช่เพราะเสียงของเลอสตัทหรอกแต่เป็นเสียงเปิดปิดประตูร้านต่างหาก

    ฉันจำได้ว่าฉันล็อกประตูร้านแล้วเพราะไม่เคยไว้ใจใครในยามค่ำคืน และไม่เข้าใจว่าฉันได้ยินเสียงเปิดปิดประตูได้อย่างไร

    แล้วฉันก็เข้าใจ 

    ยังอยู่ที่ร้านอีกหรือ

    เสียงของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ฉันหันหลังไปดูเพราะเสียงที่ได้ยินช่างคุ้นเคยและฉันเดาไม่ผิด ร่างสูงกำยำผิดมนุษย์เชื้อชาติเดียวกับฉันก้าวเข้ามา

    ฉันสงสัยว่าฉันล็อกประตูไว้แล้วแต่ทำไมแฟนของลูน่าเข้ามาในร้านได้

    และฉันก็นึกขึ้นได้ว่าลูน่ามีกุญแจอยู่ด้วย

    ลูน่าไม่ได้อยู่ที่นี่ ฉันบอกพลางกดปิดซีดี ความเงียบสงัดมาเยือนและฉันกำลังคิดว่าเขาคงไม่ได้มาหาลูน่าหรอก

    ฉันเดาถูก ฉันไม่ได้มาหาลูน่า เขามองฉัน มองด้วยสายตาที่ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไร ลูน่าเมาอยู่ที่ผับ ฉันเลยล้วงกระเป๋าของเธอ หยิบได้กุญแจอันนี้เขามองกุญแจในมือแล้วเอียงหน้าสี่สิบห้าองศามองฉัน แอบคิดว่าเธอจะอยู่ทำงานต่อแต่ก็ไม่ได้หวังมากหรอกนะ

    เอาล่ะ มันมาหาฉัน มีธุระอะไร

    เธอสวย ไอ้บ้านั่นหัวเราะเสียงต่ำ เวลาเมากรึ่มๆอย่างนี้แหละที่ฉันอยากอยู่กับคนสวยๆ

     คำพูดและแววตาเปิดเผยของผู้ชายตรงหน้าทำให้ฉันเย็นไปทั้งตัว ได้ยินคำเตือนของข้าวฟ่างอยู่ในหู ฉันไม่ได้ประมาทแต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะมาถึงตัวเร็วขนาดนี้ เป็นเรื่องดีมากถ้าฉันสามารถหายตัวไปจากที่นี่หรือมุดดินหนีไปเดี๋ยวนี้ได้

    ฉันพยายามตั้งสติ ดื่มอะไรอุ่นๆไหม ฉันจะออกไปซื้อให้

    เขายักไหล่ ผู้หญิงออกไปข้างนอกตอนกลางคืนคนเดียวมันอันตราย

    ฉันไปได้ และจะต้องไปให้ได้ด้วย

    ไม่เอาน่ามันลูบคางที่มีหนวดขึ้นเบาบางซึ่งทำให้หน้ายิ่งดูเถื่อนขึ้นไปอีก อย่ากลัวจนตัวสั่นขนาดนั้นสิ ฉันไม่ได้มาทำร้ายเธอสักหน่อย มันย่างสามขุมเข้ามาอีกก้าว เสร็จแล้ว ขี้คร้านเธอจะชอบ

     ฉันปล่อยให้มันพูดไป สิ่งที่คิดออกตอนนั้นคือวิ่งเข้าไปในห้องตัดเสื้อแล้วขังตัวเองไว้ที่นั่น ไม่ต้องหวังว่าจะวิ่งออกไปทางประตูแล้วไปร้องเรียกให้ใครช่วย เพราะประตูอยู่ข้างหลังมันและแถวนี้ตอนกลางคืนเปลี่ยวเสียจนน่ากลัว

    มันรุกคืบเข้ามาทีละก้าว ฉันถอยหลังไปทีละก้าว อย่างไม่ทันให้ใครตั้งตัว ฉันเผ่นพรวดเข้าไปเข้าไปในห้องตัดเสื้อ แต่น่าเสียดายที่ฉันประเมินเรี่ยวแรงและความรวดเร็วของมันพลาด ก่อนที่ฉันจะปิดประตู มันกระแทกร่างชนประตูจนเปิด ฉันคว้ากรรไกรบนโต๊ะขึ้นมาสู้ มือสั่นพั่บๆ อย่าเข้ามานะ! ไม่งั้นฉันแทงแกไส้แตกแน่!”

    มันหัวเราะลั่น แววตาหื่นกระหาย ฉันกลัวจนจะเสียสติ ให้ฉัน แทง เธอดีกว่า

    นรก..ใครก็ได้เอามันไปลงนรกทีเถอะ ฉันเกลียดพวกคำพูดลามกอนาจารพวกนี้เป็นบ้า! ่น่าเสียดายที่ฉันประเมินเรี่ยวแรงของมันพลาด ก่อนที่ฉันจะปิด ความกลัวทำให้เหงื่อเริ่มซึมออกจากฝ่ามือ ฉันกลัวว่าตัวเองจะจับกรรไกรไม่มั่นและแทงไม่แม่นทั้งที่สั่งตัวเองว่าแทงทีเดียวแล้วเผ่นให้เร็วที่สุด

    มือหนายื่นออกมา ส่งกรรไกรนั่นมาให้ฉัน ฉันรับรองว่าเธอจะไม่เจ็บตัว

    ฉันจับกรรไกรนั่นแน่นขึ้นอีกสองเท่าเมื่อมันก้าวเข้ามา อยากจะร้องไห้ ยอมรับในตอนนั้นว่าความกล้าหาญของฉันไม่มากพอจะทำตามความคิดของตัวเอง อย่าว่าแต่แทงคนเลย ให้ทุบหัวปลาฉันยังไม่กล้าทำ

    โอ๋ๆ จะร้องไห้แล้วมันก้าวเข้ามา มามะ สาวน้อย เดี๋ยวฉันจะจูบรับขวัญเธอเอง

     มันคว้าหมับที่ข้อมือฉันอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ความเจ็บแล่นเข้ามาในประสาทสัมผัส เจ็บเหมือนเข็มแทงกระดูก มือมหึมาของมันหักข้อมือของฉันด้วยการบิดเพียงครั้งเดียว กรรไกรหลุดมือกระเด็นไปทางไหนก็ไม่รู้ มันกดร่างฉันลงกับพื้น ฉันกรีดร้องพลางหลับตาต่อสู้สุดฤทธิ์ ทั้งข่วนทั้งกัด ตบหน้ามันไปอีกฉาดหนึ่ง มันคำรามลั่น ฤทธิ์มากนักหรือมึง!” แล้วมือของมันก็ตะปบลงมา บีบคอฉันจนหายใจไม่ออก

     

     

    ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาในความมืดแล้วกรีดร้องเสียงแหลมลั่น

    พิม!” แม่ของฉันตบประตูรัวเหมือนเสียงปืนกล ฉันร้องหาพ่อแม่แต่กลับไม่มีปัญญาลงจากเตียงไปเปิดประตู แขนขาของฉันอ่อนเปลี้ย ใบหน้าเปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำตาและขวัญหายเสียจนคิดอะไรไม่ออก

    ในที่สุดประตูก็เปิดพรวดออกมา ไฟสว่างวาบขับไล่ความมืดออกไป พ่อกับแม่ถลาเข้ามาพร้อมกัน แม่มาถึงตัวฉันก่อนและโอบกอดฉันไว้แนบอก พิม เป็นอะไรไป! ฝันร้ายหรือลูก!”

    มัน..มันจะฆ่าหนู!”

    ใคร ใครจะฆ่าหนูกันจ๊ะ ในนี้ไม่มีใครนอกจากพ่อกับแม่ มือที่อ่อนโยนลูบผมฉัน โอ๋ หนูฝันร้ายแน่ๆ ฝันร้ายจ้ะ ฝันร้าย..โอ๋ ขวัญเอ๋ย ขวัญมา..

    ฉันเงยหน้าขึ้นจากอกของแม่ มองไปรอบๆตัว

    นี่มัน..

    ก็ห้องนอนของหนูไงจ๊ะ แม่พูดแทนเสียงในหัวใจฉัน นี่นอนทั้งชุดบ้าๆอีกแล้วหรือ!”

    ฉันมองสภาพของตัวเอง ฉันยังอยู่ในชุดที่ใส่ไปทำงานที่ร้านแต่ฉันไม่เข้าใจว่าฉันกลับมาถึงบ้านอย่างไรและกลับมาตั้งแต่เมื่อไร

    แม่ หนูกลับบ้านมาตอนไหน

    อ้าว ในแววตาของแม่ฉันคือความไม่เข้าใจ ก็ตอนเย็นไงจ๊ะ แต่ตอนนั้นแม่ไม่อยู่นะเพราะแม่ไปงานเลี้ยงกับคุณพ่อ ป้าช้อยเป็นคนโทร.ไปบอกแม่ว่าหนูกลับบ้านแล้ว แม่ก็เลยหมดห่วง

    แต่ฉันสิยังไม่หมดห่วง ฉันกลับบ้านมาได้อย่างไร ก็เมื่อครู่นี้ฉันยังอยู่ที่ร้าน กำลังจะโดนไอ้ฝรั่งหื่นข่มขืน มันบีบคอฉัน มือของมันแข็งแรงเหมือนคีมเหล็ก บีบจนฉันหายใจไม่ออก คิดว่าตัวเองจะถึงคราวตายเสียแล้วและฉันก็หมดสติวูบลงไป

    แล้วฉันกลับบ้านมาได้อย่างไรเนี่ย!

    ฉันตบหน้าตัวเองดังเพลี้ยะ ลั่นเปรี๊ยะถึงแก้วหู แม่ตกอกตกใจ พิม!”

    เจ็บแก้มจัง..แปลว่าไม่ได้ฝัน

     นี่พิมกลับมาบ้านจริงๆหรือคะ

    แม่ลูบแก้มฉันอย่างเป็นห่วงก่อนจะหันมามองฉันด้วยสายตาเหมือนเห็นตัวประหลาดหลังจากฉันเอ่ยคำถามจบ พ่อเข้ามานั่งข้างๆ พลางถาม ทำไมถึงถามแม่อย่างนั้นล่ะลูก

    ส่วนฉันหันซ้ายหันขวา มองหน้าพ่อแม่แล้วก้มหน้า หนูก็ไม่รู้ ฉันตอบตามความรู้สึกจริงๆ เมื่อครู่นี้  หนูอยู่ที่ร้านและกำลังจะถูกผู้ชายบ้ากาม..เอ่อ..ทำร้าย ฉันเปลี่ยนคำว่า ข่มขืน เป็นคำว่า ทำร้ายเพื่อให้เนื้อหามันพอเหมาะพอควรกับโสตประสาทของพ่อแม่ เขาบีบคอหนู หนูคิดว่าจะตายเสียแล้ว

    แล้วหนูก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา แม่ของฉันถอนหายใจพลางดึงตัวฉันมากอดไว้กับอกอีกครั้งหนึ่ง มือนุ่มนวลลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยนเหมือนลูบหัวลูบตัวปลอบลูกแมวเวลามันตกใจ แม่เข้าใจหนูจ้ะ ฝันร้ายมันมักจะเหมือนจริงเสมอ แต่มันก็เป็นแค่ฝันเท่านั้น

    ฉันนิ่งค้างอยู่ในอ้อมกอดแม่ สมองปั่นป่วนมืดทะมึนเหมือนท้องฟ้าวันพายุเข้า

    แม่ผลักฉันออกมาเบาๆ และแล้ว..เรื่องทั้งหมดก็ไปลงกับชุดสุดสวยของฉัน แม่ว่าพิมฝันร้ายเพราะนอนทั้งที่ใส่ชุดบ้าๆนี่แน่ๆ อึดอัดจะตาย นี่ตั้งแต่กลับมา ยังไม่ได้อาบน้ำใช่ไหมลูก

    ไม่รู้สิคะ ก็ฉันยังไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาบ้านได้อย่างไร เรื่องราวหลังจากนั้นจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า แต่ก็เหนียวตัวชอบกล ท่าจะใช่ แฮ่ๆ

    แม่ของฉันส่ายหัวอย่างระอาในขณะที่พ่อหัวเราะหึหึ ไปเลย พิม ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้เลย

    พ่อกับแม่ออกไปก่อนสิคะ พิมโตแล้ว ไม่กล้าแก้ผ้าต่อหน้าใคร

    พิม!” เพียงเสียงแม่เริ่มแหว พ่อก็ห้ามทัพ ไปเถอะคุณ จริงอย่างที่ลูกมันว่านั่นแหละ พิมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ให้เขาดูแลตัวเองเถอะ

    อย่าลืมถอดชุดบ้าๆนี่ออกนะ! ให้ตายสิ แม่ไม่ชอบเลยที่หนูแต่งตัวแบบนี้!” แม่ยังไม่วายบ่นแม้จะโดนพ่อลากแขนกลับ ฉันนั่งทำตากลมๆ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน เมื่อประตูปิดลงและฉันได้อยู่ตามลำพัง แทนที่ฉันจะทำตามคำสั่งของแม่ ฉันกลับนั่งกอดเข่าเหม่อมองโคมไฟระย้าบนเพดานห้องรอบที่หนึ่งหมื่นหกพันเจ็ดร้อยสี่สิบสามในชีวิต

    ฉันฝันจริงๆหรือ

    ฉันเคยฝันร้ายและหลังจากตื่นขึ้นมาก็รู้ว่าตัวเองฝัน แต่ครั้งนี้ฉันกลับรู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่ความฝัน มันเหมือนความฝันก็จริงแต่ทำไมใจฉันมันไม่ยอมรับว่ามันเป็นเพียงฝันร้าย หรือมันชัดเจนใกล้เคียงกับความเป็นจริงเกินไป จึงทำให้ฉันขวัญหายและหวาดกลัวราวกับมันเกิดขึ้นกับตัวฉันจริงๆ

    ฉันขยับตัว พลางนึกขึ้นได้ ฉันประคองมือขวาของตัวเองขึ้นมาพิจารณา มือขวา..มือที่ฉันถือกรรไกรต่อสู้กับไอ้บ้ากามนั่น ฉันลองขยับดู ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เหลือความเจ็บปวดแม้แต่เสี้ยวกระผีก เป็นไปได้อย่างไร ก็ไอ้นั่นมันใช้กำลังหักข้อมือฉันแล้ว..ยังบีบคอ เร็วเท่าความคิด ฉันวิ่งไปที่ห้องน้ำ เปิดไฟสว่างโล่งแล้ววิ่งไปที่หน้ากระจกเหนืออ่างล้างหน้า ถลกผมขึ้นดู ถ้าฉันถูกบีบคอด้วยมือที่แข็งแรงจนสามารถขยี้กระดูกของฉันแตกได้ล่ะก็..มันก็น่าจะทิ้งรอยอะไรไว้บ้าง

    แต่เปล่า..ไม่มีรอยอะไรเลย เนื้อตรงคอของฉันยังขาวผ่องทั้งที่ผิวขาวๆของฉันบอบบางจนฉันหงุดหงิด แค่มดตัวเล็กๆตัวเดียวกัดและฉันมือซนไปเกาก็ขึ้นเป็นรอยผื่นสีแดงจัดเด่นชัดราวกับโดนรุมด้วยมดคันไฟทั้งรัง

    หรือ..ฉันจะฝันไปจริงๆ

    ฉันถอนหายใจพลางปล่อยผมแสนยาวลง ถ้าฝันไปก็ดี อย่างไรนั่นก็ไม่ใช่ฝันดีสักหน่อย ถึงอย่างไรฉันก็เป็นคนปกติและคนปกติ..คงไม่มีใครอยากให้ฝันร้ายกลายเป็นจริง

    แต่..ฉันเริ่มฝันตั้งแต่ตรงไหนวะเนี่ย

    หรือจะตั้งแต่แม่บ่นฉันเรื่องแต่งงาน แล้วก็ฉันก็หนีจากแม่มาหาข้าวฟ่างและข้าวฟ่างบอกว่ามีแฟนแล้ว ถ้าตั้งแต่ตอนนั้น ฉันก็นึกไม่ออกว่าฉันนอนหลับตั้งแต่ตอนไหน

    ฉันกวาดแผ่นสำลีที่ใช้เช็ดคราบเครื่องสำอางทิ้งลงถังขยะ หลังจากล้างหน้าจนสะอาดก็ไม่อยากทนมองหน้าแบ๊วๆของตัวเองในกระจกเท่าไร ฉันเดินมาทาครีมโดยหันหลังให้กระจกโต๊ะเครื่องแป้งแล้วกระโดดขึ้นเตียง นึกอยากโทรศัพท์หาข้าวฟ่างแต่มันก็ดึกแล้ว และฉันก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจเพื่อน เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกัน อย่างไรฉันกับข้าวฟ่างก็ต้องไปทำงานที่ร้านอยู่ดี ถึงฉันจะกลัวแต่ก็ไม่ไร้ความรับผิดชอบถึงขนาดจะขาดงานเพราะตัวเองฝันร้าย ถ้าไปเจอข้าวฟ่างและถามไถ่เอาตอนนั้นก็คงได้คำตอบกระจ่าง

    ฉันทิ้งหัวลงบนหมอน พยายามกดดันให้ตัวเองหลับ หลับซะ..หลับซะ..พรุ่งนี้จะต้องตื่นแต่เช้าไปทำงาน...ไปทำงาน...ไป..ทำงาน...

     

     

     

    อะไรวะเนี่ย!

    มันเป็นเรื่องที่ทำให้ฉันลืมเลือนความวุ่นวายใจตั้งแต่เมื่อเช้าไปจนหมดสิ้น เรื่องที่แม่พยายามไม่ให้ฉันมาทำงานเพราะพี่นัทจะมาหาฉันในวันนี้(อีกแล้ว) แต่ฉันก็ใช้วิธีปีนประตูหนีแม่มาเหมือนเดิมแต่มากลุ้มมากกว่าเดิมตรงที่ว่ากระเป๋าประจำตัวของฉันหายไปไหนก็ไม่รู้ เลยเป็นเหตุให้ก่อนเผ่นฉันต้องแอบหยิบเงินในกระเป๋าของแม่มานิดหน่อยเพื่อเป็นค่าเดินทางและค่าประทังชีวิตถ้าวันนี้ทั้งวันฉันยังหากระเป๋าของตัวเองไม่พบ

    แต่ฉันมาเจอกระเป๋าโลงศพน้อยของตัวเองที่ร้าน ข้าวฟ่างกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก บรรจงใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆขัดถูทำความสะอาดให้มันอย่างทะนุถนอม ถึงกระนั้นมันก็มีเรื่องที่ชวนบ้ามากกว่าเรื่องกระเป๋าใบโปรดหายปรากฎอยู่เบื้องหน้า

    ฉันยืนตะลึงมองซากปรักหักพังของร้าน Dark witchery อย่างปราศจากความเข้าใจใดๆทั้งสิ้น มองเศษกระจกแตกที่เกลื่อนอยู่บนพื้น แลเลยไปที่บรรดาเฟอร์นิเจอร์และสินค้าที่ระเนระนาดกระจัดกระจายราวกับใครเอาพายุไซโคลนมาใส่ในร้านของลูน่า

    เกิดอะไรขึ้น

    ฉันรำพึงมากกว่าจะถามจริงจัง แต่ข้าวฟ่างสนใจคำถามของฉัน เมื่อคืนมีคนเข้ามาในร้าน ตำรวจที่มาดูก่อนหน้านี้เค้าบอกว่าไม่น่าใช่พวกขโมย เพราะฉันตรวจของแล้ว ไม่มีอะไรหายไปสักอย่าง รวมทั้งกระเป๋าของเธอ เธอยื่นกระเป๋าให้ฉัน เธอลืมกระเป๋าไว้ที่ร้าน ฉันเจอมันบนพื้นในห้องตัดเสื้อ ของข้างในอยู่ครบเลย ทั้งกระเป๋าเครื่องสำอาง กระเป๋าเงิน โทรศัพท์มือถือและบัตรคอนเสิร์ต

    บัตรคอนเสิร์ต! ฉันคว้ากระเป๋าของตัวเองมาเปิดดู จริงอย่างที่ข้าวฟ่างว่า บัตรคอนเสิร์ตที่ทาร์จาให้ยังอยู่ครบสองใบ

    ทำไมเธอทำหน้าแปลกๆอย่างนั้นล่ะ เอมิลี่

    บัตรนี่ ทาร์จาให้พวกเรามาใช่ไหม คราวนี้ฉันถามบ้าง ข้าวฟ่างพยักหน้ารับ เมื่อวานเธอมาทำงาน เธอก็บอกฉันว่า..เธอมีแฟนแล้ว

    ข้าวฟ่างพยักหน้ารับอย่างงงๆ เธอถามทำไม เธอไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ไม่ใช่เหรอ

    คราวนี้มันจะหนักกว่าอัลไซเมอร์อีก แม่คุณเอ๋ย!

    ฉันยกมือแปะหน้าผากในเมื่อที่เท้าของฉันมันคือเศษซากของหนังสือเรื่อง Interview with the vampire ของแอน ไรซ์ และไม่ไกลจากนั้นคือกล่องโดนัทที่ฉันซื้อมาเมื่อวาน

    คราวนี้ฉันมีหลักฐานแล้วว่าฉันอยู่ที่นี่จนมืดค่ำ ดื่มโกโก้ กินโดนัท อ่านหนังสือของแอน ไรซ์ แถมเมื่อเดินไปเสียบสายไฟ เปิดเครื่องเล่นซีดีที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ เพลง Not Meant For Me ก็กังวานขึ้น

    เกิดอะไรขึ้นเหรอ ข้าวฟ่างคงสงสัยเพราะอาการแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ของฉัน แต่ฉันก็ไม่อยู่ในภาวะที่จิตใจเข้มแข็งมั่นคงมากพอที่จะลำดับเรื่องราวให้เธอฟังได้

    ถ้าฉันอยู่ที่นี่จนมืดค่ำจริง แล้วเรื่องที่แฟนของลูน่าบุกเข้ามาและคิดจะข่มเหงฉัน มันก็เรื่องจริงน่ะสิ!

    แล้วหลังจากนั้นล่ะ ฉันหนีรอดไอ้ยักษ์มารนั่นโดยแทบไม่มีรอยขีดข่วนและกลับไปอยู่ในห้องนอนที่บ้านได้อย่างไร

    ข้าวฟ่าง เธอเคยทำอะไรหรือเดินไปไหนโดยไม่รู้ตัวบ้างไหม

    ข้าวฟ่างทำหน้างงๆแต่ก็พยักหน้ารับ แม่เคยเล่าให้ฉันฟังว่าตอนเด็กๆ ฉันละเมอเดินออกจากห้องนอนแล้วไปนอนที่โซฟาในห้องรับแขก หรือไม่ก็ละเมอเล่าเรื่องสารพัดเลย

    อย่างนั้นฉันก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เรื่องระดับปกติ ไม่ๆ เอาเรื่องใหญ่ประมาณว่า..ฉันกลืนน้ำลาย เธอตื่นขึ้นมาชกหน้าหรือต่อสู้กับผู้ชายตัวใหญ่ๆได้โดยไม่รู้สึกตัว หรือไม่ก็นั่งรถแท็กซี่กลับบ้านได้โดยไม่รู้ตัวน่ะ

    บ้า ไม่เคยหรอก เพื่อนฉันบ่นอุบ ใครจะบ้าละเมอได้ขนาดนั้น

    ฉันคอตก หูตูบ เสียงเพลงของเลอสตัทที่กังวานท่ามกลางซากปรักหักพังรอบข้างยิ่งทำให้ฉันขนลุก ฉันกดปิด ข้าวฟ่างหันมาว่า อ้าว ไม่ฟังต่อเหรอ เพลงโปรดเธอนี่ หรืออยากฟัง Beast of Blood สุดยอดเพลงโปรดของเธอล่ะ ฉันจะไปเปลี่ยนแผ่นให้

    ไม่ๆ ฉันไม่อยากได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้นในยามที่หัวสมองของฉันอื้ออึงไปด้วยคำถามที่ฉันหาคำตอบไม่ได้ ...ฉันกลับบ้านได้ยังไง...ฉันกลับบ้านได้ยังงายยยยย

    หน้าเธอซีดเหมือนไก่กำลังจะโดนเชือดเลย มือข้าวฟ่างวางแปะบนหน้าฉัน แปลกแฮะ ตัวเย็นเฉียบ ไม่ร้อนก็แปลว่าไม่ใช่ไม่สบายน่ะสิ

    นึกออกแล้ว! ฉันพรวดพราดจะออกไป แต่ข้าวฟ่างคว้าตัวไว้ก่อน จะไปไหนน่ะ

    จะไปหาแฟนของลูน่า ถึงฉันจะกลัวแต่เจ้านั่นเท่านั้นที่ให้ความกระจ่างกับฉันได้ เพราะตอนที่ฉันสลบ มันสติดีอยู่คนเดียว

    อย่าไปเลย อยู่เป็นเพื่อนฉันเคลียร์เรื่องทางนี้ดีกว่า เมื่อเช้าลูน่าก็โทร.มา บอกว่าแฟนของเธอบาดเจ็บสาหัสอาการเข้าขั้นโคม่า จะฟื้นหรือเปล่าก็ไม่รู้

    หา!”

    ข้าวฟ่างพยักหน้า จริงๆนะ ตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่รู้ว่าไปโดนอะไรมา ได้ยินเสียงลูน่าร้องไห้กระซิกๆท่าทางสาหัสเอาเรื่อง

    ก้นของฉันหล่นแปะอยู่บนโซฟา ในขณะที่ข้าวฟ่างหน้ามุ่ย

    นี่ เอมิลี่ ฉันล่ะงงเป็นบ้าเลย มีคนมาบอกตำรวจว่าได้ยินเสียงโครมครามข้างในแบบ..คนกำลังทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง แล้วแฟนของลูน่าก็ถูกจับโยนออกมากลางถนน แต่ก็ไม่มีใครเห็นคนที่แฟนของลูน่าทะเลาะด้วยเลย

    แล้วมีใครเห็นฉันไหม!” คำพูดของฉันพุ่งพรวดออกจากปาก แสดงว่าต้องมีใครสักคนส่งฉันกลับบ้านใช่ไหม!”

    อ้าว เธอไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่ตอนเย็นเหรอ

    เท่านั้นแหละ ฉันถึงได้สำนึกว่าหลุดปากอะไรออกไป คิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว ฉันยกมือกุมศีรษะ ปวดจี๊ดในสมองเพราะฉันกำลังพยายามจะคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เรื่องที่ฉันคิดไม่ออก

    ฉัน.. เมื่อคืนฉันอยู่ที่นี่ แล้ว..แฟนของลูน่า..ก็เข้ามา.. ฉันหยุดนิดหนึ่งเพราะลังเลใจ เรื่องพิลึกกึกกือขนาดนี้ ใครจะเชื่อฉัน แต่เมื่อเห็นหน้าเพื่อนรักที่กำลังเป็นห่วงเป็นใย ฉันก็ตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง รวมถึงเรื่องที่ฉันไม่แน่ใจว่าฉันกลับบ้านได้อย่างไรและเรื่องที่พ่อแม่บอกว่าฉันฝันร้ายจนฉันหลงเชื่อว่าฉันฝันไปจริงๆก่อนจะมาเจอสภาพของร้านและรู้ข่าวว่าแฟนของลูน่าบาดเจ็บ

    ข้าวฟ่างเบิกตากว้าง ส่วนฉันเมื่อเล่าจบ ก็ไม่แปลกใจเลยถ้าพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลบ้า

    เธอเชื่อฉันไหม ฉันวัดใจเพื่อน แต่ฉันสาบานนะว่าฉันไม่ได้โกหก

    ข้าวฟ่างพยักหน้ารับเร็วๆ ฉันเป็นเพื่อนเธอ ก็ต้องเชื่อเธอ

    เท่านี้ฉันก็โล่งอกไปเยอะ อย่างน้อยก็มีใครคนหนึ่งที่คิดว่าฉันไม่ได้บ้าและอย่างน้อยฉันก็ได้ระบายความกลัดกลุ้มให้ใครคนหนึ่งได้ฟัง แต่ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าใครส่งฉันกลับบ้าน

    เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ข้าวฟ่างว่า แต่เรื่องที่แฟนของลูน่าทำกับเธอ เธอจะแจ้งความไหม เพราะอย่างนั้นมันเจตนาฆ่าแล้ว

    นั่นน่ะอีกเรื่องที่ฉันหนักใจ แต่ถ้าเรื่องถึงพ่อแม่ฉัน ฉันจะพูดยังไงดีล่ะ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ของฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันกลับมาบ้านเอง แถมป้าช้อย..คนใช้ที่บ้านฉันก็บอกว่าเห็นกับตาว่าฉันเดินเข้าบ้านมา

    อึ๋ย! ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ

    ฉันอยากจะร้องไห้ อย่าถามฉันได้ด้ายหมาย..ฉันงงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว

    เราสองคนต่างเงียบงันและเงียบนาน จนกระทั่งตำรวจมาคุยกับข้าวฟ่างอีกครั้ง ฉันเอาแต่นั่งกุมหัวมึนตึบจนกระทั่งข้าวฟ่างมาเรียก ตกลงว่าจะไม่แจ้งความใช่ไหม

    ฉันพึมพำ แจ้งไม่ได้ต่างหาก  ถ้าไอ้บ้ากามนั่นไม่ยอมรับ ฉันก็ไม่มีพยานหรือหลักฐาน ฉันยกข้อมือให้ข้าวฟ่างดู ดูสิ มันหักข้อมือฉันแต่พอฉันไปตื่นที่บ้านก็ไม่เป็นอะไรเลย

    ข้าวฟ่างหน้าเสีย เธอทำให้ฉันกลัวนะ เอมิลี่

    ฉันหัวเราะหึหึ ไม่แปลกหรอก ฉันก็กำลังกลัวตัวเองอยู่เหมือนกัน

    เราออกจากร้านหลังจากข้าวฟ่างจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้น เธอพาฉันไปที่ห้องเช่าของเธอ พอฉันก้าวเข้าไปก็ได้ยินเสียงคนกำลังซ้อมกีตาร์ เป็นอันว่าฉันได้พบกับแฟนของข้าวฟ่างเข้าซะแล้ว

    ข้าวฟ่างหาชาอุ่นๆมาให้ฉันดื่มพลางถามฉันว่าเล่าเรื่องของฉันให้แฟนของเธอฟังได้ไหม ฉันตอบว่าได้ ในเมื่อเพื่อนของฉันไม่คิดว่าฉันบ้า ใครจะคิดว่าฉันบ้าก็ช่างเถอะ

    เธอเล่นของหรือเปล่า คำถามของบอล แฟนของข้าวฟ่างทำเอาฉันตาเหลือก

    แต่ยังดีที่เขาไม่คิดว่าฉันเสียสติหรือแต่งเรื่องสยองขวัญขึ้นมาเรียกร้องความสนใจจากทุกคน อย่างพวกโหงพรายหรือกุมารทอง เธอเป็นคนสุพรรณฯ ไม่ใช่หรือ ที่นั่นมันแดนอาถรรพณ์นะ

    เมื่อเห็นว่าฉันยังงงตึบ เขาก็เล่าต่อ ตอนเด็กๆฉันเคยอยู่ที่สุพรรณฯ เคยมีคนเลี้ยงกุมารทองแล้ววันหนึ่งถูกขโมยขึ้นบ้านทำร้าย พวกกุมารทองก็ออกมาปกป้องเจ้าของ ทั้งเตะทั้งต่อยจนเจ้าขโมยแทบหนีไม่ทันแน่ะ

    น้ำลายของฉันฝืดคอ ถึงสายเลือดของฉันครึ่งหนึ่งเป็นคนสุพรรณฯแต่ฉันก็ไม่เคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มาก่อน ย่าของฉันเป็นคนสุพรรณฯ แต่ฉันเกิดที่กรุงเทพฯ เป็นคนกรุงเทพฯ และฉันก็ไม่เคยเล่นของหรือเล่นมนต์ดำอะไรเลย

    ข้าวฟ่างขยับเข้ามาใกล้ๆ เราสามคนเหมือนชุมนุมมิติลี้ลับชอบกล

    แล้วย่าของเธอเล่นหรือเปล่า

    ฉันส่ายหน้า เสียงเบา ไม่รู้ แล้วถาม ทำไมหรือ

    บอลเสียงเบากว่าฉันอีก ก็คนเลี้ยงกุมารทองสามารถสั่งให้กุมารทองไปปกป้องใครก็ได้ ฉันคิดว่าย่าของเธออาจจะห่วงเธอ..

    ฉันสายหน้าดิกพลางขัดขึ้นกลางประโยคด้วยเสียงปกติ ย่าฉันไม่ทำอย่างนั้นแน่ๆ ย่าฉันธรรมะธรรมโมจะตาย ฉันไปหาทีไรก็ให้ฉันไหว้พระกราบพระ และฉันก็ไม่เคยเห็นย่ามีของอย่างนั้นด้วย

    บอลถอนหายใจ งั้นฉันก็จนปัญญาแล้วล่ะ

    ข้าวฟ่างเอาบ้าง หรือเป็นแม่ซื้อ เคยได้ยินไหม พวกแม่ซื้อที่คอยปกป้องเด็กๆน่ะ

    นั่นมันก็ตอนเด็กๆเท่านั้น

    หรือผีบ้านผีเรือน

    ชักเละเทะแล้ว ผีบ้านผีเรือนก็อยู่เฝ้าบ้านสิ และอีกอย่างนะ ความประพฤติอย่างฉัน ผีที่บ้านฉันจะสาปส่งฉันสิไม่ว่า

    บอลมองฉันอย่างพินิจพิเคราะห์ แน่ใจนะว่าเธอไม่มี ของ อยู่กับตัวน่ะ

    ไม่มี๊!”

    บอลกับข้าวฟ่างมองหน้ากัน ส่วนฉันยกมือกุมหัว อยากทุบให้มันหยุดคิดจัง

    เงียบกันไปสามนาที ในที่สุดบอลก็คิดออกหลังจากซดน้ำอัดลมหมดกระป๋อง เรียกทาร์จามาดีกว่า ทาร์จามีเชื้อสายยิปซี อาจจะรู้อะไรบ้าง

    มันเป็นความคิดที่ดีที่สุดของคนที่ไม่มีหนทางอะไรเลย บอลโทร.หาทาร์จา หลังจากเรานั่งกลุ้มอยู่กับชาผสมนมของข้าวฟ่างอยู่พักใหญ่ ทาร์จาก็โผล่หน้ามาพร้อมกับรอยยิ้มและรอยยิ้มนั้นจืดจางไปทันทีหลังจากเจอบรรยากาศมืดทะมึนในห้อง

    ฉันรู้เรื่องที่ร้านเธอแล้ว เธอเปิดบทสนทนากับฉันด้วยการพูดถึงร้านของลูน่า กำลังคิดว่าพวกเธอไปมีเรื่องกับใครที่ไหนหรือเปล่า

    มันเป็นเรื่องที่ยากเกินจะคาดเดาว่าใครจะหมายหัวใครบ้าง ไม่ว่าข้าวฟ่าง ฉันหรือลูน่า

    เพราะพวกเรามีจำนวนคนรักพอๆกับคนเกลียด แล้วพวกขี้อิจฉาหน้ายิ้มมือซ่อนมีดอยู่ข้างหลังที่ไม่รู้จำนวนนั่นอีกล่ะ

    ฉันถอนหายใจ แต่ช่างเถอะ ถึงเรื่องจะเป็นอย่างไร ร้านก็พังไปแล้วและลูน่าก็ต้องซ่อมอยู่ดี

    ทาร์จาพยักหน้ารับ แล้วพวกเราก็เงียบอีกจนเธอต้องหันไปหาบอล ตกลงมีเรื่องอะไรกัน แล้วเรียกฉันมาทำไม

    พวกเรามองตากันและตัดสินใจเล่าเรื่องราวของฉันคนละท่อนละตอน ทาร์จามีท่าทีตกอกตกใจและห่วงใยที่ฉันถูกทำร้าย และ..ฉันก็รู้สึกดีกับเธออีกคนที่เธอนิ่งฟังเรื่องที่ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกลับบ้านไปอย่างไรโดยไม่หัวเราะเยาะหรือคิดว่าฉันกุเรื่องขึ้นมา แต่พอฉันเล่าจบ ความหวังของฉันก็ริบหรี่ลงอีกเมื่อทาร์จายกมือกุมหัวท่าเดียวกับฉัน

    ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองจะให้ความกระจ่างกับเธอได้ เธอสารภาพ แต่อาจจะพอช่วยได้บ้าง

    ทาร์จาเปิดกระเป๋าถือของ Vivienne Westwood ซึ่งทำให้ฉันน้ำลายหกไปหลายแหมะตอนที่เห็นทาร์จาถือมันมาครั้งแรก หยิบเอาผ้ากำมะหยี่สีดำออกมาปูลงบนพื้นโต๊ะ ข้าวฟ่างกุลีกุจอช่วย แล้วทาร์จาก็หยิบเอาไพ่ยิปซีออกมา

    เธอคงรู้ว่าฉันมีแม่เป็นชาวยิปซีและฉันขอบอกก่อนว่าอย่าดูถูกไพ่สำรับนี้เด็ดขาด ไพ่สำรับนี้เป็นของตกทอดในครอบครัวของฉัน มันไม่เหมือนไพ่ที่ขายกันทั่วไปเพราะมันผ่านพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์โดยมือของชาวยิปซีแท้ๆมาแล้ว จงเชื่อฉันว่าไพ่สำรับนี้จะตอบคำถามของเธอได้

    ฉันพยักหน้ารับเร็วๆ ฉันเชื่อ

    เธอยิ้ม ความสงสัยของเธอยังเข้มข้น มันดีสำหรับการทำนาย จงตั้งจิตและพุ่งตรงไปที่สิ่งที่เธอสงสัย สับไพ่นี่สามครั้งและส่งคืนฉันด้วยมือซ้าย

    ฉันทำตาม

    คราวนี้ เธอหลับตาลง ฉันทำตามอีกครั้ง ฉันจะจับมือเธอวางลงเหนือไพ่เล็กน้อย เธอกวาดมือไปมาเบาๆ แล้วอย่าลืม เธอแตะไพ่ใบไหนเป็นใบแรก จงหยุดทันที

    ฉันพยักหน้ารับ

    ในความมืดหลังเปลือกตา ฉันกลัวเล็กน้อยแต่ทาร์จาก็ไม่ยอมปล่อยมือของฉันตราบที่ฉันยังเหลือความกลัวอยู่ในจิตใจ เสียงของเธอเหมือนจะสะกดจิตฉันได้ ใจเย็น อย่ากลัว คิดถึงแต่เรื่องที่เธออยากรู้

    ฉับพลันที่ความกลัวของฉันหายไป และไม่รู้ว่าทาร์จาปล่อยมือของฉันตั้งแต่เมื่อไร ปลายนิ้วชี้ของฉันแตะกับสิ่งของอย่างหนึ่ง ทาร์จาคว้ามือฉันทันทีและสั่ง ลืมตาได้

    ฉันลืมตาขึ้นมาและพบว่าบนผืนผ้ากำมะหยี่สีดำตรงหน้ามีไพ่เหลืออยู่ใบเดียว

    ...The Wheel Of Fortune (กงล้อชะตากรรม) 

    หวาย ข้าวฟ่างร้องออกมา ทาร์จาจุ๊ปาก ไม่ใช่ไพ่ร้ายหรอก อย่าตกใจ

    มันหมายความว่าอย่างไร

    เธอทำหน้าคล้ายๆกับตอนที่ฉันเล่าเรื่องให้ฟังเมื่อครู่นี้ มันไม่ใช่ไพ่ที่บอกอะไรมาก มันหมายถึงชะตากรรมลึกลับและไม่มีใครสามารถคาดเดาล่วงหน้าได้เลย  และ..ความหมายของมัน กงล้อชะตากรรมเป็นกงล้อที่หมุนไปอย่างไม่หยุดสิ้น เธอแตะปลายนิ้วลงบนไพ่แล้วหลับตา พึมพำอะไรฉันฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ท่าทางของเธอน่ากลัวจนข้าวฟ่างวิ่งไปเกาะแขนแฟนของตัวเอง เรื่องที่เธอสงสัย ฉันพูดได้แค่ว่าตอนนี้กงล้อชะตากรรมของเธอมันหมุนผ่านจุดเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว

    ฉันสารภาพตามตรง ฉันงง

    ทาร์จาลืมตาขึ้นมา สิ่งที่ฉันเห็นคือการหวนคืนและปัจจุบันที่กลับสู่อดีต ถ้าพูดง่ายๆไม่ให้เธองงนะ คือ สมมติว่าถ้าก่อนหน้านี้ ของสำคัญเธอหายไป เธอก็จะได้คืน ถ้ามีคนสำคัญไปจากเธอ เขาก็จะกลับมาหาและคนคนนั้นหรือของสิ่งนั้น มันจะมีผลพลิกผันชะตากรรมของเธอไปในทางที่ฉันไม่อาจมองเห็นได้ในตอนนี้

    แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันกลับบ้านโดยไม่รู้ตัวว่ายังไงล่ะ

    ข้าวฟ่าง นั่นสิ

    บอล มันจะใช่ไสยศาสตร์หรือเปล่า

    ทาร์จา ไม่ใช่เธอเขม้นมองฉัน เธอคิดว่า ตอนที่เธอสลบไปมีใครมาช่วยเธอใช่ไหม

    ฉันไม่แน่ใจ แต่ก็... ฉันนึกถึงประตูร้านตอนนั้น มันเป็นประตูม้วนสองประตู ประตูหนึ่งถูกล็อกจากข้างนอก อีกประตูหนึ่งถูกล็อกจากข้างใน ถึงแม้ว่าร้านของลูน่าจะมีหน้าต่างอยู่ในห้องนอนของเธอด้านบนแต่ชั้นบนทั้งประตูหน้าต่างทุกบานปิดหมด ไม่น่ามีใครเข้ามาได้

    คนทำนายมองขึ้นไปบนเพดาน ไพ่บอกฉันว่ามีใครสักคนมาช่วยเธอแต่ไม่ได้บอกนะว่าเป็นคนหรือเปล่า

    ข้าวฟ่างกรี๊ดลั่นพลางกระโดดกอดแฟนหนุ่ม

    ทาร์จาหัวเราะ กลัวอะไร สำนวนไทยบอกว่า คนดีผีคุ้ม ไม่ใช่หรือ

    แต่คนไทยมากมายก็กลัวผี บอลว่า

    อีกฝ่ายส่ายหน้า ถ้าเป็นวิญญาณของคนที่ฉันรัก ฉันไม่กลัวหรอก

    ฉันก็เหมือนกัน ฉันเห็นด้วยกับทาร์จา ถ้าเป็นวิญญาณของคนที่ฉันรัก ฉันก็ไม่กลัว

    หลังจากที่ฉันพูดออกไป เราทุกคนก็เงียบงัน อาการเย็นสันหลังวาบเริ่มแผ่กระจาย ฉันรีบพยักหน้าให้ทาร์จาพูดอะไรสักอย่าง เธอหลับตาลงอีกครั้ง พยายามเพ่งสมาธิจนหัวคิ้วแทบจะได้จูบกัน แต่แล้วเธอก็ลืมตาขึ้นมา ส่ายหน้าแล้วพูด ไม่เห็นอะไรเลย ทำไมไม่รู้ ถึงฉันจะพยายามทำจิตให้ว่างและกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับจิตจักรวาลเพื่อที่จะมองอนาคตของเธอ แต่พยายามเท่าไร ฉันก็ยังมองไม่เห็น

    เราทั้งหมดเงียบกริบ ในที่สุดฉันกล้าหาญพูดออกมา หรือฉันไม่มีอนาคต

    ทาร์จาถอนหายใจหนักหน่วง ถ้าเธอไม่มีอนาคตแสดงว่าเธอจะตายอีกไม่ช้า

    ข้าวฟ่างหวีดร้องเสียงแหลม ในขณะที่ฉัน..เอ๋อๆ อะไรนะ

    สาวลูกครึ่งยิปซีของเราส่ายหน้า ไม่สิ ต่อให้เธอต้องตาย ฉันจะเห็นว่าเธอจะพบจุดจบอย่างไร แต่นี่ฉันเห็นแต่สีดำ สงสัยจะเกินความสามารถของฉัน แม่..แม่จ๋า

    แล้วทาร์จาก็เก็บข้าวของใส่กระเป๋าราคาแพงก่อนจะเผ่นหายไปจากห้อง รวดเร็วราวกับเป็นลูกของพระพาย ฉันกะพริบตาปริบๆก่อนจะหันไปมองหน้าบอลกับข้าวฟ่างแล้วท้ายที่สุด พวกเราก็ถอนหายใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

    ตกลงฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉันอยู่ดี ฉันสรุป

    มือของข้าวฟ่างยังสั่น แต่ทาร์จาบอกว่าเธอจะตายอีกไม่ช้า

    ฉันเบะปาก กะพริบตาปริบๆ

    ชั่วอึดใจต่อมา ฉันเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่เป็นก้างขวางคอคนรักกันที่นั่นจึงบอกลาข้าวฟ่างกับบอล ระหว่างนั้นฉันหยิกตัวเองจนเนื้อเขียวอมม่วงเพื่อที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่าเหตุการณ์ที่เรามาประชุมพลกันที่นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝัน

    โอเค ฉันอาจจะทำตัวเหมือนคนบ้าไปหน่อย แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ อยู่ดีๆฉันก็เริ่มไม่ไว้ใจสติสตังของตัวเองแล้ว

    ก่อนหน้านั้น ฉันถามถึงอาการแฟนของลูน่าจากข้าวฟ่าง ข้าวฟ่างส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วนึกขึ้นได้ เห็นคนที่เรียกรถพยาบาลให้บอกว่าหนักมาก มันไม่เหมือนกับอาการบาดเจ็บของคนที่ชกต่อยกันนะแต่มันเหมือนกับว่าแฟนของลูน่าไปชนกับรถบดถนนมาเลยอ่ะ

    ทาร์จาพูดว่ามีคนมาช่วยฉัน

    แล้วใครขี่รถบดถนนมาช่วยฉันล่ะ(วะ)

    อีกอย่างร้านของลูน่ามันระเนระนาดขนาดนั้นได้อย่างไร หรืออยู่ดีๆไอ้ยักษ์บ้ากามก็เกิดสติวิปลาสขึ้นมา อาละวาดจนร้านพังและก็ทำร้ายตัวเอง

    คำถามตอบไม่ได้และข้อสันนิษฐานที่ปัญญาเท่านี้คิดได้ก็ไร้เหตุผลสิ้นดี

    ฉันเดินเข้าร้านอินเตอร์เนตคาเฟ่และนั่งลงบนเก้าอี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ เปิดดูกล่องข้อความในอีเมลล์ มีแต่อีเมลล์ตอบกลับเรื่องสินค้าจากแบรนด์ต่างๆ นอกจากนี้ก็มีที่ส่งแคตตาล็อกสินค้าใหม่มาให้ดู ฉันถอนหายใจ ก่อนที่ฉันจะไปห้องเช่าของข้าวฟ่าง เราสองคนเขียนจดหมายขอลาออกและเก็บข้าวของของตัวเองออกจากร้านของลูน่า แน่นอนว่าเจอเรื่องที่แฟนเจ้าของร้านทั้งลวนลามและพยายามข่มขืน ฉันก็กลัวจนไม่เหลือความอดทนอยู่อีก ข้าวฟ่างเอาด้วยเพราะเธอกลัวว่าขืนอยู่ต่อไป สักวันจะเจอเหมือนฉัน

    ฉันตกงานแล้วและไม่มีหน้าที่อะไรจะต้องติดต่องานให้ร้านของลูน่าอีก แต่ฉันก็คลิกลบอีเมลล์พวกนั้นไม่ลง อย่างไรลูน่าก็มีบุญคุณที่เคยให้เงินเดือนฉันและการที่ฉันกับข้าวฟ่างลาออกจากงานอย่างกะทันหันอาจจะทำให้เธอเดือดร้อนเพราะเธอไม่เคยทำงานที่ร้านสักอย่าง ฉันเลยทำงานให้เธอเป็นครั้งสุดท้าย เขียนอีเมลล์ถึงลูน่า สรุปเรื่องการสั่งสินค้า จำนวนเงินที่ต้องจ่ายและกำหนดนัดหมายที่เธอจำเป็นต้องเดินทางไปที่ร้านใหญ่ของแบรนด์นั้นๆเพื่อไปรับสินค้าที่ลูกค้าสั่งล่วงหน้าไว้ หลังจากนั้นก็ส่งจดหมายที่ฉันได้รับมาทั้งหมดไปให้เธอ

    กว่าจะเสร็จงานก็ใช้เวลาไปหลายชั่วโมง ฉันจ่ายเงินค่าเล่นอินเตอร์เนตไปเป็นร้อย ที่แย่กว่านั้น ฉันออกมา ฟ้าก็เริ่มจะมืดอีกแล้ว

    หลังจากเมื่อวานผ่านไป ฉันก็เริ่มกลัวความมืดเป็นเสียแล้วสิ

    เสียงแหลมสูงของผู้หญิงจากเพลง Forsaken ของ Within Temptation แว่วเข้าหูและฉันก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองเพิ่งตั้งเพลงนี้เป็นเสียงเรียกเข้า ฉันถอดกระเป๋าลงจากหลังและเปิดหาโทรศัพท์มือถือของตัวเอง

    ฮัลโหล แม่

    พิม ทำไมหนูยังไม่กลับบ้าน ฉันคงตอบว่ากำลังจะรีบกลับแล้วถ้าแม่ไม่พูดต่อว่า พี่นัทรอหนูทานข้าวเย็นนานแล้วนะลูก

    ง่า.. หนะ..หนูติดงานที่ร้านน่ะค่ะแม่ อย่าให้แม่รู้เชียวว่าร้านของลูน่าพังพินาศไปแล้ว หนูจะกลับดึก แม่กับ..เอ่อ..พี่นัทไม่ต้องรอหนูหรอกค่ะ

    ได้ยังไง พิม หนูเห็นงานดีกว่าพี่เค้าได้ยังไง

    เดี๋ยวเขาไล่หนูออก

    ดีเลย แม่รอให้เขาไล่หนูออกมานานแล้ว จะได้มาอยู่บ้านกับแม่

    แม่นะแม่..พูดจาไม่รักษาน้ำใจกันบ้างเลย

    ไม่รู้ล่ะ กลับบ้านมาเดี๋ยวนี้เลย พี่นัทรอหนูกินข้าวและพี่เขาก็เอาการ์ดแต่งงานมาให้หนูเลือกด้วย กลับมาเร็วๆเลย

    โหย..การ์ดแต่งงาน อะไรมันจะน่ากลัวมากกว่าคำนี้

    แล้วพรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงานนะ พี่นัทจะพาหนูไปรับชุดเจ้าสาว

    เจอแล้วแหละ.. ชุดเจ้าสาว’!

    แค่นี้นะคะแม่!”

    เดี๋ยว! พิม..แม่ยัง..

    ฉันกระชากโทรศัพท์ออกจากหู กดวางสายแล้วกดปิดเครื่อง ทิ้งมันลงในกระเป๋า ถึงจะเสียมารยาทต่อบุพการีก็ช่างแต่ฉันไม่อยากได้ยินอะไรเกี่ยวกับงานแต่งงานของฉันแม้แต่คำเดียว

    ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรทำอย่างนั้น

    ในสายตาของทุกคน ฉันคงเป็นเด็กเลวและเป็นลูกอกตัญญูที่ขัดขืนไม่ยอมทำตามความต้องการของพ่อแม่ แต่จงเข้าใจเถอะว่าฉันมีชีวิตจิตใจและฉันไม่ต้องการแต่งงานกับใครที่ฉันไม่ได้รักเหมือนกัน

    แล้วนี่จะทำอะไรต่อไปดี คำถามง่ายๆที่ฉันดันตอบไม่ได้

    ฉันเดินไปเรื่อยๆ เดินจนเหนื่อยอ่อนและเดินจนหลงทาง แต่ฉันไม่ได้ตกใจหรือสนใจมากนักเพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าตัวเองยังอยู่ในกรุงเทพฯ ฉันนั่งอยู่บนพื้นทางเท้า มองผู้คนแปลกหน้าเดินไปเดินมา ความเงียบเหงามาเยือน ฉันคิดว่าจะโทร.เรียกข้าวฟ่างมาอยู่ด้วยดีไหม แต่ตอนนี้เพื่อนของฉันคงละทิ้งโลกเน่าๆใบนี้และขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกับแฟนของเขาแล้วกระมัง

    ฉันซึม ติดจะเศร้าหน่อยๆ ถึงจะมีใครบางคนบอกฉันว่าสงสารอะไรก็ได้ในโลกนี้แต่อย่าสงสารตัวเองเด็ดขาด แต่คนอย่างฉันไม่มีพลังใจเข้มแข็งมากพอจะทำอย่างนั้นได้ ฉันสงสารตัวเอง ทำไมนะฉันถึงเข้ากับใครไม่ค่อยได้  ทำไมถึงไม่มีเพื่อนนอกจากข้าวฟ่าง และทำไมใครๆหลายคนถึงคิดว่าการที่ฉันระเบิดอารมณ์อาละวาดเพื่อให้ทุกคนรู้ว่าฉันมีตัวตนอยู่ตรงนี้เป็นเพราะฉันเอาแต่ใจ ทำไมในสายตาของคนอื่น ฉันถึงกลายเป็นคนเลวร้ายได้ขนาดนั้น

    ความเงียบเหงานี่ไม่ดีเลย ทำให้คนฟุ้งซ่านง่าย ก่อนหน้านั้นฉันไม่เคยรู้จักมันหรอก จนกระทั่งคนที่เอาใจฉันทุกอย่างอย่างพี่ธีจากไป เป็นความจำเป็นที่ฉันจะต้องเริ่มเรียนรู้วิธีที่จะทนจับเจ่าอยู่กับเงาของตัวเอง เริ่มทำความรู้จักกับความเหงาและต้องพยายามทำใจเรียกว่ามันว่าเพื่อน ใครไม่เคยพบเจอคงไม่รู้หรอกว่าความเหงามันเป็นความรู้สึกที่เลวร้ายขนาดไหน นับจากสูญเสียพี่ธีไป ฉันพยายามไม่เหนี่ยวรั้งใครไว้ข้างกายยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนที่เคยเหนี่ยวรั้งพี่ธีอีก ฉันกลัวว่าถ้าฉันทำอย่างนั้นกับใครอย่างนั้น สุดท้ายเขาก็เบื่อหน่ายฉันและหนีหายไปจากเหมือนกับพี่ธี..แล้วก็พี่เอกอีกคน

    ผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่มีใครสนใจฉันนัก จำนวนเท้าที่เดินขวักไขว่เริ่มเบาบางลงเรื่อยๆ ถึงกระนั้นก็ยังมีคนเดินผ่านไปผ่านมาพอเป็นเพื่อนฉันได้บ้าง ฉันนั่งกอดเข่ามองพื้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเท้าคู่หนึ่งเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าฉัน

    ฉันนึกถึงทาร์จาและเพิ่งทึ่งอย่างเต็มหัวใจ คำทำนายของทาร์จาแม่นยำราวกับตาเห็น

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×