คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตัวอย่างสำหรับอ่าน : บทนำและบทที่ 1
บทนำ
จำได้ว่าวันนั้นฉันหนีออกจากบ้านโดยไม่เหลียวหลัง
วาเนสซายืนรอฉัน ผิวขาวเนียนปานกระเบื้องเคลือบของเธองามกระจ่างอยู่ในความมืด แววตาเธอสงบราบเรียบ ไร้ซึ่งความกลัดกลุ้มกังวลใดๆ
ฉันวิ่งเข้าไปหาเธอ มือที่แข็งแรงเกินมนุษย์ของเธอคว้าข้อมือฉันไว้ แล้วถาม “ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ”
ฉันส่ายหน้าเพราะบัดนี้ฉันรู้แล้ว รักแท้หาได้ตายไปพร้อมกับโรมิโอและจูเลียตไม่
หากผู้คนในโลกนี้อยากจะเห็นความรักที่เอาชนะได้แม้กระทั่งความรักตัวกลัวตายของมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง ฉันจะแสดงให้พวกเขาดูเอง
1
เดือนสิงหาคม สองปีที่แล้ว
เบื่อ!
“พิม ฟังแม่นะลูก หนูควรจะแต่งงานได้แล้ว”
ฉันอ้าปากหาว ทำตาปรือ มองทางซ้ายแล้วก็ย้ายไปมองทางขวา แม่ของฉันยื่นมือมาจับหน้าบังคับให้ฉันมองตรงๆ
“ความจริงแม่อยากให้หนูแต่งงานกับพี่นัทตั้งแต่ก่อนหน้านี้ จริงๆแล้ว ตามสัญญาของเราคือหลังจากที่หนูเรียนจบ แต่แม่ก็ยอมผัดผ่อนให้เพราะเห็นใจหนู หนูมาอ้าง..อะไรนะ”
“หนูรักอิสระค่ะ” ฉันปัดมือแม่ออก กล่าวตอบและพลันพบว่าเสียงของตัวเองเหมือนเสียงของคนเซ็งชีวิตสุดขีด “แม่จะว่าอะไรไหมคะถ้าหนูจะอ้างว่าหนูรักอิสระจนไม่อยากแต่งงานกับใครในชีวิตนี้”
“ไม่ได้นะ!” เสียงของแม่ฉันเพิ่มระดับเดซิเบลอย่างต่ำสองเท่าอย่างเผลอตัว ฉันอุดหู แต่แค่แวบเดียวผีผู้ดีที่วิ่งกระเจิงไปเมื่อกี้ก็วิ่งกลับมาเข้าที่แล้วแม่ท่านก็เริ่มเทศนา
“ พิม ผู้หญิงกับการแต่งงานมันเป็นของคู่กัน เข้าใจหน่อยสิ ว่าพ่อกับแม่หวังดีกับหนู แล้วพี่นัทเขาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรเลย การศึกษาและชาติตระกูลก็ดี ผู้ชายอย่างพี่นัท ผู้หญิงที่ไหนก็อยากได้เป็นสามี แม่อุตส่าห์รีบไปหมั้นหมายจับจองไว้ให้หนู”
ฉันกลอกตา“หนูเข้าใจว่าแม่หวังดีต่อหนูเสมอมา แต่เป็นธรรมดา คนเรามันก็ต้องมีของขวัญที่ไม่อยากได้กันบ้างล่ะค่ะ” แล้วยิ้มแยกเขี้ยว “และพิมก็ไม่อยากได้พี่นัท”
“พิม! เห็นแก่หน้าผู้หลักผู้ใหญ่บ้าง!”
ตามประสาเด็กดี ฉันสวนทันควัน! “แล้วทำไมผู้ใหญ่ไม่เห็นแก่หน้าเด็กอย่างหนูบ้างล่ะคะ!”
แม่ของฉันพยายามกดมือให้อยู่บนตักและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“เอาล่ะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใดของหนู หนูก็ต้องแต่งงานกับพี่นัทอีกสองเดือนข้างหน้า!”
ฉันไม่สน เพราะพอถึงกำหนดอีกสองเดือนข้างหน้า ฉันก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้มันเลื่อนไปอีกสองเดือนข้างหน้าและอีกสองเดือนข้างหน้าไปเรื่อยๆจนกว่าว่าที่บ่าวสาวคู่นี้จะมีใครตายไปข้าง
“แม่พูดจบแล้วใช่ไหม” ฉันถามแต่ไม่รอคำตอบ “แต่ถ้ายังไม่จบ หนูเสียใจด้วย เพราะถึงเวลาที่หนูต้องไปทำงานแล้ว”
ฉันลุกจากโซฟา แม่ลุกตามเหมือนกัน
“แม่ไม่ให้หนูไปทำงาน”
“ถ้างั้นแม่น่าจะห้ามคุณพ่อด้วยนะคะ”
“ไม่เหมือนกันพิม แม่ไม่พอใจกับงานที่หนูทำแม้แต่นิดเดียว แม่บอกหลายครั้งแล้วว่าหนูควรจะลาออกมาอยู่บ้าน หรือไม่ก็มาช่วยงานคุณพ่อที่โรงแรม คนอย่างหนูไม่ควรไปทำงานอย่างนั้น” แม่ของฉันถอนหายใจครั้งที่สามของเช้าวันนี้
“อีกอย่าง วันนี้หนูจะไปไหนไม่ได้เพราะพี่นัทจะมาหาหนู”
ฉันเบิกตากว้าง กรรมเวร! มันมาอีกแล้วเรอะ!
“แม่!”
“จะมาร้องให้ตกอกตกใจทำไมกัน”
ฉันอ้าปากกะจะพูดอะไรสักอย่างแต่นึกขึ้นมาได้ว่าพูดไปก็เท่านั้น เพราะสำหรับฉันทางเดียวที่แก้ปัญหาเรื่องเกี่ยวกับพี่นัทได้ดีที่สุดคือรีบสะพายกระเป๋าขึ้นหลังแล้วติดฝีเท้าสุนัขเผ่นโลด!
เสียงแม่ไล่หลัง “หยุดนะพิม! แม่บอกให้หยุด!”
ป้าช้อยยืนถือถาดใส่อาหารเช้าของฉัน ฉันเหยียบเบรกทันทีเมื่อถึงเป้าหมาย คว้าขนมปังแซนวิชไส้ปลาทูน่ายัดใส่ปากและกระดกนมตามเข้าไปอึกใหญ่ๆ
เสียงแม่แว่วมา
“พิม กลับมานี่เดี๋ยวนี้!”
ฉันวางแก้วนมลงบนถาดของป้าช้อยแล้วกระโจนลงจากบันไดหน้ามุข ก่อนจะเผ่นไปถึงประตูหน้าบ้านที่ปิดสนิทเหมือนประตูคุก แถมมันยังต้องเปิดปิดด้วยรีโมทไฟฟ้าซึ่งยังไงก็ต้องอยู่ในเขตปริมณฑลอันตราย
เจ้าน้ำตาลทราย ยืนกระดิกหางร้องงี้ดง้าดอยู่บนสนามหญ้า สายตาของมันละห้อยหวั่นใจราวกับรู้ว่าฉันคิดจะทำอะไรซึ่ง...ไม่แปลก มันรู้เพราะมันเห็นฉันทำอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว
แม่ใกล้เข้ามา ฉันไม่มีเวลาอ้อยอิ่งอีกต่อไป คว้าเหล็กดัดลายดอกไม้อ่อนช้อย ถุงมือไวนิลสีดำอาจทำให้ลื่นบ้างแต่มันก็ไม่ใช่อุปสรรคที่จะทำให้ฉันปีนประตูบ้านที่สูงกว่าสองเมตรไม่สำเร็จ
ได้ยินเสียงแม่กรีดร้องอยู่ด้านหลัง เสียงมีทั้งความโกรธและความกลัวจนฉันรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ดันใช้ความสามารถพิเศษต่อหน้าปูชนียบุคคล
แต่ความรู้สึกผิดนั้นก็หายวับไปทันทีเมื่อฉันลงไปเหยียบพื้นอีกฟากหนึ่งของประตูได้
ก่อนจะได้ยินเสียงแม่พูดอะไรต่อ แท็กซี่โผล่หัวมา ฉันกระโดดเข้าไปขวางหน้าจนรถแทบหยุดไม่ทันแล้ววิ่งไปเปิดประตูหลังโยนตัวเองเข้าไป บอกเป้าหมายว่าไปสถานีรถไฟฟ้าแห่งหนึ่ง คนขับแท็กซี่เบิกตากว้าง คงตกใจกับเสื้อผ้าหน้าผมของฉันนิดหน่อย แต่ฉันไม่ยี่หระ ในเมื่อแท็กซี่ว่างและฉันมีตังค์จ่าย ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง
รถแล่นออกไป ฉันหันไปโบกมือบ้ายบายแม่ที่เพิ่งเปิดประตูก้าวออกมา ลองจินตนาการถึงคำเทศนาของแม่ตอนฉันกลับมาสักสองสามประโยคก่อนจะพลิกตัวหันกลับมายุ่งกับกระเป๋าประจำตัว คุ้ยหาเครื่องเล่นเอ็มพีสามให้วุ่น
ฉันชื่อพิมพิลาไลย ครอบครัวฝ่ายพ่อของฉันเกิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี ย่าเป็นคนเอาวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของฉันไปเทียบตำราทักษาฯแล้วตั้งชื่อให้ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันได้ชื่อนี้มาประดับตัว
ถึงฉันจะไม่พอใจกับชีวิตตัวเองเท่าไรนักแต่ชีวิตฉันก็ดีกว่านางพิมพิลาไลยในวรรณคดีเพราะตั้งแต่เด็กจนโตฉันยังไม่มีโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนจนต้องเปลี่ยนชื่อเป็นนางสาววันทอง
วันเกิดปีนี้ของฉันผ่านพ้นไปแล้ว ฉันกลายเป็นสาวพรหมจรรย์ที่อายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์ แล้วมันก็ดันกลายเป็นเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจแก่ครอบครัวของฉันที่..อายุป่านนี้แล้วฉันยังไม่มีวี่แววว่าจะตกลงใจอนุญาตให้ชายที่พ่อแม่ตกลงหมั้นหมายยกขบวนขันหมากมาที่บ้าน
แม่ไม่เบื่อบ้างหรือไรที่ต้องนั่งทวงสัญญาเรื่องนี้ทุกวี่ทุกวัน ฉันสิทั้งเบื่อทั้งเครียด ถึงแม้จะพยายามทำใจด้วยการเข้าใจว่าฉันกับแม่เกิดกันคนละทศวรรษ เราเป็นผู้หญิงกันคนละยุค ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากเย็นเอาการที่แม่จะเข้าใจฉันและฉันจะเข้าใจแม่ ฉันในสายตาแม่ก็คือเด็กผู้หญิงเกเร ไม่เอาถ่านและไม่มีวันพึ่งตัวเองได้ ส่วนแม่ในสายตาฉันคือผู้หญิงวัยทองคนหนึ่งที่ค่านิยมในยุคพระเจ้าเหาที่สิบแปดยังคงฝังหัวแน่นชนิดเอาชะแลงงัดก็ไม่ออก แม่ไม่มีวันเข้าใจทฤษฎีเฟมินิสต์และสิทธิมนุษยชน เช่นเดียวกับฉันที่ไม่มีวันเข้าใจว่าเหตุใดผู้หญิงต้องเกิดมาต้องทำตัวเรียบร้อย เตรียมตัวแต่งงาน นอนตื่นสายไม่ได้และต้องกัดฟันฝึกงานบ้านงานเรือน
เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ฉันได้รับปริญญาศิลปศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่แทนที่ฉันจะภูมิใจเจ้ากระดาษประกาศเกียรติยศทางการศึกษาแผ่นนั้นเหมือนพ่อแม่หรือคนอื่นๆ ฉันกลับทิ้งมันไว้ที่ไหนสักที่หนึ่งในบ้านราวกับมันเป็นขยะอะไรสักอย่างที่อีกประเดี๋ยวป้าช้อยก็เก็บไปทิ้ง ฉันไม่เคยรู้ซึ้งถึงคุณค่าของกระดาษแผ่นนั้นเท่าคนธรรมดาสามัญ ฉันรู้แต่เพียงว่าที่ผ่านมาฉันมีชีวิตเหมือนคนธรรมดามามากพอแล้ว ซึ่งความเบื่อหน่ายนั่นมันก็มากพอที่จะทำให้ฉันคลื่นไส้สะอิดสะเอียนกับชีวิตของตัวเองจนอ้วกออกมาได้ในบางครั้ง ชีวิตของคุณหนูผู้หรูหรา เวลาหลักเรียนในโรงเรียนสตรี เวลาว่างเรียนในโรงเรียนสอนพิเศษ และเวลาที่เหลืออีกน้อยนิดต้องแบกชีวิตไปเรียนเปียโนและเรียนบัลเล่ย์ หลังจากนั้นก็ต้องหน้าดำคร่ำเครียดกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย กัดฟันขยันเรียนโดยไม่ได้ทำตัวออกนอกลู่นอกทางจนในที่สุดก็สามารถคว้าเกียรตินิยมมาให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ
หึ..แม่ของฉันเคยพูดว่าอะไรนะ อ๋อ..ยัยพิมพิลาไลย ยัยคุณหนูผู้หรูหรา ได้รับปริญญาเกียรตินิยม มีว่าที่เจ้าบ่าวเป็นหนุ่มฮอตในวงสังคม มีผู้หญิงเป็นพันคนยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตอย่างฉัน (โอเค ถ้าใครสามารถแลกเปลี่ยนชีวิตกับฉันได้จริงๆได้ล่ะก็ มาหาฉันได้เลย ฉันรออยู่ทุกเมื่อ)
ฉันไม่เข้าใจ แต่เดิมก็ไม่เข้าใจและคงไม่มีวันเข้าใจว่าด้วยเหตุผลประการใดฉันจึงจะต้องปรารถนาในสิ่งที่สังคมอยากให้ปรารถนา ฉันเป็นคน ฉันเลือกเองได้เพราะฉันไม่ใช่ปศุสัตว์ที่มีชีวิตอยู่เพื่อให้คนต้อนไปทางโน้นที ไปทางนี้ที ฉันหลับหูหลับตาใช้ชีวิตให้พวกเขาพึงพอใจมานานเกือบครึ่งชีวิต และนั่นมันก็เป็นความสูญเสียที่มากพอแล้วสำหรับฉัน
เพราะฉะนั้นหลังจากนี้...จบกัน ฉันจะไปตามทางของฉัน เอาช้างสารที่ไหนมาฉุดก็ไม่อยู่
ฉันตอกหูฟังเข้ารูหูของตัวเอง เอนหลังปล่อยอารมณ์เพลิดเพลินไปกับเพลง Sensorium ของ Epica พลางมองเงาของตัวเองในกระจกของตลับแป้งสีดำ ริมฝีปากเคลือบสีม่วงของฉันยิ้มขัน ฉันรู้ว่าคนขับแท็กซี่เหลือบตามองฉันผ่านกระจกหลังไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง ไม่ว่าใครจะใช้สายตาอย่างไรมองฉันก็อย่าหวังว่าฉันจะสนใจ เพราะมันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ผู้คนจะมองฉัน ผู้ชายหลายคนก็เคยถึงขนาดมองเหลียวหลังเมื่อฉันเดินผ่าน
ฉันรักแฟชั่นโกธิคทุกประเภท แต่ที่รักมากที่สุดคือ Victorian Gothic คอร์เซตโครงโลหะรัดเอวฉันจนคอดกิ่วและดันทรวงอกขนาด 36C ให้อวบอิ่มตูมตั้งจนสามารถเขย่าสติสตังของผู้ชายให้แตกกระเจิงได้ภายในสามวินาที ถึงกระนั้นฉันก็ไม่ได้หลงคิดว่าตัวเองสวย เพราะยังมีผู้ชายหลายคนที่มองฉันแล้วเมินหน้าหนี เช่น ผู้ชายต่างชาติ พวกเขาชอบผู้หญิงผิวสีน้ำผึ้งและร้องยี้กับผู้หญิงผิวขาวเผือกอย่างฉัน ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายที่ฉันขาวชนิดเกทับนางแบบโฆษณาเครื่องสำอางไวท์เทนนิ่งได้ทุกประเภททุกยี่ห้อ บางคนทำหน้าเบ้แล้วบอกว่าซีดเหมือนกระดาษแต่หลายคนก็ชื่นชมเพราะมันเป็นสีผิวในอุดมคติที่ชวนให้นึกถึงนางศกุนตลา ‘ผิวของนางนั้นช่างขาวผ่องเหมือนงาช้าง ขาวจนดอกมะลิดูดำ’
แต่ปัญหาของฉันก็ไม่ได้อยู่แค่สีผิว ปัญหาความงามที่หนักกว่านั้นคือหน้าตา ฉันเกลียดหน้าตาของตัวเองเป็นบ้า ในขณะที่ฉันเฝ้ารักษาทรวดทรงจนเซ็กซี่บาดใจแต่หน้าของฉันกลับกลมอย่างกับพระจันทร์เต็มดวง หน้ากลมไม่พอ ตาก็ดันกลมและใหญ่เบ้งยังกับไข่ห่านในขณะที่จมูกและปากต่างพร้อมตัวพร้อมใจบีบตัวเล็กลีบกระจิ๋วหลิว มันทำให้ฉันดูเหมือนเด็กมัธยมต้นที่โตเร็วเกินวัยทั้งที่อายุฉันนำหน้าด้วยเลขสองแล้ว และต่อให้แต่งหน้าดุเดือดแค่ไหนมันก็ไม่ได้ช่วยให้ฉันดูแก่ขึ้นมาแม้แต่น้อย เครื่องสำอางไม่เคยช่วยเปลี่ยนลุคให้ฉันดูสวยดุและน่ากลัวเหมือนกับแวมไพร์สาวคามิลล่าในบทประพันธ์ของเลอฟานูแต่ดันสาปให้ฉันกลายเป็นเอมิลี่ หนูน้อยในโลกสีขาว แดงและดำ
ฉันจ่ายเงินให้แท็กซี่แล้วเดินไปขึ้นบันไดเลื่อนของสถานีรถไฟฟ้า หลังจากนั้นก็ยืนนิ่งๆปล่อยให้รถไฟตรงดิ่งไปสถานีสยามก่อนจะเดินออกจากตัวรถโดยสารไปพร้อมกับกลุ่มวัยรุ่นที่หอบหิ้วหนังสือไปติวเตรียมพร้อมสอบเข้ามหาวิทยาลัย เด็กเหล่านั้นทำให้ฉันนึกถึงตัวเองในอดีต ถึงฉันจะมีระบบความคิดและระบบค่านิยมที่ไม่เหมือนคนในสังคมเดียวกับฉันนัก แต่ฉันในตอนนั้นก็ไม่ได้ต่อต้านการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนัก ไม่ใช่ว่าฉันอยากเข้าไปเรียนในสถาบันอุดมศึกษาเหมือนเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ของประเทศไทย แต่ถ้าตอนนั้นฉันมีเวลาว่างมากเกินไป ไม่มีอะไรทำและไม่ได้เอาหัวใจกับร่างกายทั้งหมดไปโหมสุดกำลังกับการเรียนพิเศษและติวเข้มข้อสอบจนลืมวันลืมคืนและลืมทุกอย่างที่อยู่รอบตัวแล้วล่ะก็ ถ้าฉันไม่คลุ้มคลั่งเสียจริตก็คงไม่ได้มีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้
ฉันเดินเท้าไปร้านที่ทำงาน ร้านนั้นเป็นร้านขายเสื้อผ้าสไตล์โกธิคนำเข้ายี่ห้อดัง แต่เนื่องจากบางครั้งคนพันธุ์เดียวกับฉันบางคนมีจินตนาการและความต้องการที่สูงล้ำเกินกว่าความคาดคิดของเจ้าของแบรนด์ดังๆพวกนั้น ฉันจึงรับตัดเย็บเสื้อผ้าตามแบบที่ลูกค้าต้องการด้วย(แน่นอนว่าบริการนี้เฉพาะลูกค้าที่เป็นสมาชิกเท่านั้น) แล้วแปะแบรนด์เสื้อผ้าที่ฉันตัดเย็บตามชื่อร้านว่า Dark Wicthery
เมื่อฉันไปถึงร้าน ข้าวฟ่าง..เพื่อนของฉันมาแล้วและกำลังถูพื้นอย่างขะมักเขม้น เธอเงยหน้าขึ้นมาแล้วทักทาย “ไง..เอมิลี่”
ฉันกรอกประวัติในใบสมัครงานของตัวเองว่าฉันชื่อพิมพิลาไลย ฉันบอกคนในร้านนี้ ไม่ต่ำกว่าร้อยครั้งว่ากรุณาเรียกฉันว่าพิมแต่ทุกคนก็ยังพร้อมใจเรียกฉันด้วยนามที่เจ้าของร้านล้อเลียน ‘ยัยเอมิลี่’
“อยากตาย” ฉันตอบ
ข้าวฟ่างหุบปากฉับ ก้มหน้าถูพื้น ถู ถู ถู
เจ้าของร้านยังไม่ตื่นแต่ในร้านเปิดเพลงของ Metallica ปกติไม่ฉันก็ข้าวฟ่างจะเป็นคนหยิบแผ่นซีดีใส่เครื่องและเปิดเพลง ฉันก็บ้าแต่ Nightwith,Epica เบื่อๆขึ้นมาก็ Within Temptation ส่วนข้าวฟ่างหล่อนเป็นสาวกตัวยงของ Evanescene เราสองคนยังไงก็เกาะติดดนตรีโกธิคแน่นหนึบ
การที่ดนตรีเมทัลอย่าง Metallica โผล่มาแทงหูพวกเราก็แสดงว่า...แฟนของเจ้าของร้านอยู่ในร้านนี้
ด้วยสายตาที่สามารถสื่อสารและเข้าใจกันได้ ฉันเบ้ปาก ถึงจะอยู่ในตระกูลร็อกเหมือนกันแต่ฉันก็ไม่ชอบเพลงแบบนี้เลย ถึงกระนั้นก็พยายามจะไม่เอาหูที่แสนวิเศษไปฟังเสียงอื่นนอกจากเสียงดนตรีกระหึ่มตึมๆ
ฉันเอากระเป๋าคู่กายไปเก็บในห้องตัดเสื้อแล้วคว้าอุปกรณ์มาช่วยข้าวฟ่างถูพื้น
“นี่ ฉันสงสัยมานานแล้ว ทำไมเธอไม่ยอมแต่งงานซะทีล่ะ”
ฉันมีเพื่อนคนเดียวคือข้าวฟ่างและบางครั้งเมื่อฉันมีปัญหา ฉันก็ต้องการผู้ฟังบ้างเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองอกแตกตาย ดังนั้นจึงไม่ผิดเลยที่ข้าวฟ่างจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหานี้ในเมื่อหล่อนรู้จากปากฉันเอง
“จะมีผู้ชายคนไหนรักฉันจริง” ฉันพูดคำตอบพลางยืนเกาะไม้ถูพื้นจ้องตา Mana มือกีตาร์ของวง Moi Dix Mois บนผนังที่แปะตัวอย่างโปสเตอร์ใหม่ที่เพิ่งถูกส่งมาจากญี่ปุ่น แต่ในใจฉันกำลังนึกถึงสายตาของคนอื่น สายตาของทุกคนที่มองฉัน “ในสายตาของคนอื่น ฉันคงเป็นตัวประหลาดเสียใครก็รักไม่ลง”
“ไม่จริงเลย!” เจ้าของเสียงหันหน้ามาเถียงแบบเอาจริง “ผู้หญิงโกธิคหลายคนก็แต่งงานนะ แต่งกับผู้ชายธรรมดาด้วย มีครอบครัว บางคนมีลูกแล้วแต่ก็ยังมาสนุกกับพวกเราได้ เธออย่าคิดว่าพวกเราผิดมนุษย์มนาขนาดนั้นสิ พวกเราเองก็มีความรักได้ไม่ต่างจากผู้หญิงทั่วไป และผู้ชายตั้งมากมายที่มาตกหลุมเสน่ห์ของพวกเรา”
ฉันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะว่าพวกที่ได้แฟนเป็นมนุษย์ผู้ชายธรรมดาน่ะไม่ได้โกธิคเข้าเส้นเลือดอย่างฉัน พวกนั้นแต่งโกธิคก็เฉพาะตอนรวมฝูง แต่กลายเป็นสาวน้อยน่ารักอินเทรนด์แฟชั่นเกาหลีญี่ปุ่นตอนออกจากฝูงทุกครั้ง ฉันยังไม่เห็นใครสักคนที่กล้าเดินถนนและเดินไปทุกที่ด้วยแฟชั่นโกธิคครบเครื่องทุกครั้งเหมือนฉันสักคน
แต่ว่าไป เหตุผลนั้นอาจจะไม่สำคัญเท่าไรเพราะหนุ่มโกธิคเองก็สนใจฉันไม่น้อย แต่เหตุผลนอกจากนี้อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ อะไรพิลึกกึกกือหลายอย่างในตัวฉันทำให้ฉันมีความมั่นใจในเรื่องการหาผู้ชายมารับตำแหน่งเป็นแฟนแค่ศูนย์
“นี่ ฉันจะบอกอะไรให้ เอมิลี่ ถ้าเธอได้แต่งงานนะ เธอก็ไม่ต้องทำงานหาเงินและก็ไม่ต้องทะเลาะกับแม่ด้วย”
“เป็นคุณนายให้สามีเลี้ยงงั้นสิ”
“ช่าย..แล้วเธอก็จะได้ให้สามีซื้อของที่อยากได้ให้ด้วย” เธอกรีดนิ้วแล้วชี้ไปที่รองเท้าวิคตอเรียน โกธิคทำจากผ้ากำมะหยี่สีดำลายเทาอันแสนงดงามแต่ราคาอาจทำให้หน้าคนอยากได้ไม่สวยนัก “เธอก็จะได้ให้สามีซื้อรองเท้าคู่นั้นให้ไง ว่าที่สามีของเธอรวยไม่ใช่หรือ”
“พ่อแม่ฉันก็รวย มีแต่ฉันที่ไม่รวย”
ฉันไม่ได้ตั้งใจตลกแต่ข้าวฟ่างขำ ฉันก็เลยหัวเราะไปด้วย จริงอย่างที่ฉันพูดนั่นแหละ พ่อของฉันเป็นผู้ร่วมหุ้นทำธุรกิจโรงแรมกับนักธุรกิจคนอื่นๆ เป็นหนึ่งในจำนวนคนไม่ถึงครึ่งล้านคนในเมืองไทยที่มีเงินอยู่ในบัญชีธนาคารมากกว่าหนึ่งล้านบาท แต่ไม่รู้ว่าฉันผ่าเหล่ามาได้อย่างไรที่ดันมาชอบการตัดเย็บและออกแบบเสื้อผ้า แถมที่คลั่งยังเป็นแฟชั่นเฉพาะกลุ่มที่ผู้ใหญ่คนไหนเห็นลูกหลานตัวเองใส่เป็นอันต้องลมจับ ดูแม่ของฉันเป็นตัวอย่าง
พอนึกถึงคนเป็นพ่อแม่ก็ทำให้ฉันนึกถึงว่าที่เจ้าบ่าวของฉันขึ้นมา ฉันมองเห็นใบหน้าของพี่นัทผ่านเงาของตัวเองที่สะท้อนบนผิวพื้นเงาวับ เขาเป็นนักเรียนนอก เป็นนักธุรกิจที่มีความสามารถพอเป็นที่เชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูล หน้าตาก็พอเรียกว่าหล่อเหลาในระดับมนุษย์สามัญและมีนัยน์ตาเจ้าชู้ที่มองฉันไม่วางตาในวันดูตัว
แต่หลังจากวันนั้น ฉันก็ไม่ได้พบเขาอีก พ่อแม่ของฉันกับพ่อแม่ของเขาตกลงเรื่องการหมั้นกันเองเพราะจนปัญญาเกินกว่าจะจับฉันไปเข้าพิธี
ฉันเข้าใจ ความพยายามของคนเราจะใช้สิ้นเปลืองไม่ได้ พวกเขาต้องเก็บเรี่ยวแรงทั้งหมดเอาไว้จับฉันยัดใส่ชุดเจ้าสาวและอุ้มไปเข้าพิธีแต่งงานในวันที่ต้องแต่งจริง
“พูดตามตรงนะ ฉันยอมให้แม่ปาระเบิดใส่ฉันดีกว่าโยนเจ้าบ่าวมาให้” ฉันว่า
“แล้วเธอคิดว่าจะหนีได้ตลอดรอดฝั่งหรือ คู่ต่อสู้ของเธอคือพ่อกับแม่เชียวนะ”
ประโยคสุดท้ายทำให้ฉันหน้ามุ่ย
“บางที ถ้าเธอแต่งงาน เธออาจจะลืมพี่เอกได้”
...พี่เอก...
ข้าวฟ่างตกใจก่อนที่ฉันจะหายตะลึง “อุ๊ย! ขอโทษ ฉัน..ฉันกำลังจะบอกว่าแม่ของเธออาจจะคิดเหมือนฉันก็ได้ ถ้าเธอมีรักใหม่ เธอจะได้ลืมพี่เอก”
“เชื่อเถอะ มันไม่ได้ผลหรอก” ฉันถอนหายใจแล้วยิ้มให้แววหวังดีในดวงตาของเพื่อน ฉันรู้ดีว่าไม่อาจลืมผู้ชายที่ทำให้ฉันรู้จักความรักครั้งแรก ไม่ว่าจะใช้วิธีใด แต่งงานหรือพุ่งตัวลงจากหน้าผาแล้วไปกอดคอร้องเพลงร็อกอกหักกับยมบาลในนรก
“ขอโทษนะ” ข้าวฟ่างเสียงอ่อยๆ “แต่เธอยังรักพี่เอกอยู่หรือเปล่า”
ฉันคอตก นี่คือสิ่งที่ฉันต้องรับผิดชอบหลังจากเผลอใจไปเล่าให้ข้าวฟ่างฟัง
“ไม่รู้สิ”
ฉันไม่รู้จริงๆ เวลาก็ผ่านไปนานระยะหนึ่งและฉันก็ไม่ได้พบชายผู้เป็นรักแรกของฉันมาเกือบหกปีแล้ว เวลาขนาดนั้นมันก็พอจะลืมอะไรได้บ้าง อย่างน้อยการที่พี่เอกเผ่นหนีไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยให้ฉันติดต่อได้บ้างเลย มันก็ช่วยลบความทรงจำที่เจ็บปวดในครั้งนั้นได้มากมายจนฉันรู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้แตกต่างจากพิมพิลาไลยในอดีตราวกับเป็นคนละคน
แน่ล่ะสิ! ยัยพิมพิลาไลยในอดีตเป็นแค่เด็กสาวไร้เดียงสาที่เต็มไปด้วยความฝันอันบรรเจิดและเข้าใจผิดว่าตัวเองจะต้องมีชีวิตเหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยาย ก็..ตอนนั้น ฉันยังไม่ได้เจอกับความโหดร้ายของโลกแห่งความจริง ยังไม่ได้หลงรักดนตรีโกธิคและยังไม่เคยลุกขึ้นไปกระโดดเตะใครสักป้าบ!
“นี่” ข้าวฟ่างยังไม่จบเรื่อง “หรือว่าที่เจ้าบ่าวไม่ถูกใจเธอ”
ฉันทำปากเบี้ยวแต่ไม่รำคาญอาการสอดรู้ของเพื่อนสาวเท่าไรนัก “เปล่า มันก็..อารมณ์ประมาณว่าฉันเจออาหารชั้นดีตรงหน้า แต่ดันเป็นโรคเบื่ออาหารพอดี”
“งั้น..พี่ชายสุดหล่อของเธอล่ะ”
คราวนี้ดวงตาของข้าวฟ่างใสแจ๋วเจิดจรัส บ่งบอกว่าไม่ได้แกล้งถามเลยแม้แต่น้อย ฉันพยายามนึก..ฉันมีพี่ชายด้วยหรือ
“พี่ชายสุดหล่อ”
“ก็คนที่ให้ดูรูปวันนั้นไงเล่า!”
ฉันงงนาน ในที่สุดก็กอบกู้เอาความทรงจำบางส่วนขึ้นมาได้ นึกออกแล้ว ฉันเคยเปิดกระเป๋าเงินจะจ่ายเงินซื้ออะไรสักอย่างแล้วยัยบ้านี่ก็กระชากไปเฉยแถมยังกรี๊ดกร๊าดใหญ่ว่าฉันเอารูปดาราที่ไหนมาใส่กระเป๋า กรี๊ดจนฉันต้องปิดหูยอมแพ้และยอมบอกว่าเป็นรูปพี่ชายข้างบ้านของฉันเอง
แต่ฉันก็ไม่ได้เจอพี่เขามาหลายปี รูปนั้นฉันขอก่อนไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และตอนนี้ฉันก็เรียนจบมาปีกว่าแล้ว
ข้าวฟ่างทำท่ากระซิบกระซาบ “ว่าที่เจ้าบ่าวของเธอน่ะ หล่อเท่าพี่ชายข้างบ้านของเธอไหม”
ฉันหัวเราะ “ประหนึ่งดาวอังคารกับดาวพลูโต”
ข้าวฟ่างทำหน้างงตึบ แน่นอนว่าถ้าใครไม่มีเชื้อบ้าอยู่ในตัว คนผู้นั้นไม่มีวันเข้าใจคำพูดของฉัน
ก่อนถึงกำหนดเปิดร้านสิบนาที เจ้าของร้านลงมาจากชั้นบน เธอชื่อวันเพ็ญแต่เธออยากให้พวกเราเรียกว่าลูน่าซึ่งพวกเราก็ไม่มีใครกล้าขัดบัญชาในเมื่อมือของเธอยังสามารถเพิ่มหรือลดเงินเดือนของพวกเราเท่าไรก็ได้
ลูน่าเป็นเจ้าของร้านที่ไม่เคยดูแลร้านเท่ากับดูแลแฟน เธอลงมา บัญชาให้ฉันเกล้าผมที่กระเซอะกระเซิงเพราะศึกรบศึกรักให้ แฟนของเธอลงมาจากชั้นบนห่างกันประมาณหนึ่งนาที ร่างสูงใหญ่ของคนเชื้อสายอเมริกันแต่พล่ามภาษาไทยชั้นต่ำได้ชัดเจนจัดๆก้าวมายืนอยู่ข้างหลังฉัน ก้มหน้าลงมาจนจมูกเกือบติดผมแล้วหัวเราะก่อนจะก้าวไปยืนบังเครื่องเล่นซีดีไว้
ระหว่างเร่งมือถักเปียเล็กๆประดับพุ่มผมให้ลูน่า ฉันถลึงตาใส่แฟนของเธอที่จ้องมองหน้าอกของฉัน เขายิ้มที่มุมปากและดื้อด้านไม่ยอมเลิกมอง ฉันเลยเอาผมยาวๆของตัวเองมาบังเสีย พยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้มือของตัวเองไปกระตุกผมของลูน่าเข้าเพราะการกระทำเช่นนั้น ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่หรือจะด้วยเหตุผลประการใดมันก็ยังคงเป็นอันตรายต่อเงินเดือนของฉันอยู่ดี
ฉันกับข้าวฟ่างเป็นพนักงานขาย แต่ความจริงเราทำทุกอย่าง ลูน่าไม่ทำอะไรมากไปกว่าเก็บเงินและตรวจบัญชีสามเดือนภายในสามนาที ความซื่อสัตย์ของข้าวฟ่างและพรสวรรค์ในการขายของฉันทำให้ลูน่ากล้าทิ้งร้านไปหลายๆวันและกลับมาก็เก็บเงินอย่างเดียว ไม่เคยแม้แต่จะตรวจข้าวของ
“แฟนของลูน่าชอบเธอ” ข้าวฟ่างพูดกับฉันหลังจากเพลงโปรดของเธอจบ “เขามาทุกครั้งก็ต้องมองเธอ”
“ฉันไม่สนของคนอื่น”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันกำลังจะพูดให้เธอระวังตัว” ประโยคต่อมาเบาลง “เขามองเธอเหมือนมองขนมหวานที่อยากจะกินสุดๆอย่างงั้นแหละ”
ฉันก็ไม่ได้โง่จนไม่รู้สึก ฉันเจอแฟนของลูน่าหลายครั้ง ทั้งที่ร้านนี้และข้างนอก เขาก็เหมือนผู้ชายหลายคนที่ฉันเห็นแล้วอยากวิ่งหนี “ช่างเถอะ แต่..ข้าวฟ่าง อย่าพูดให้เข้าหูลูน่าเชียว ฉันกลัวไม่ได้ผุดได้เกิด”
ข้าวฟ่างพยักหน้ารับหงึกหงัก
ช่วงนี้ลูกค้าจะเข้าร้านมากเป็นพิเศษเพราะใกล้จะถึงเทศกาล Winter Rock แต่ฉันจำกัดจำนวนรับตัดชุดไว้ห้าชุดเท่านั้น ในช่วงนี้ ข้าวฟ่างจะวิ่งวุ่นขายของ ส่วนฉันสามารถนั่งนิ่งๆในหลืบเร้นของร้าน กัดดินสอเวลาร่างแบบไม่ออก กระดกกาแฟดำเวลาร่างแบบไม่ออกยกกำลังสอง แล้วเอาหัวกระแทกกำแพงเวลาร่างแบบไม่ออกยกกำลังสาม
ตอนที่ฉันเริ่มตัดแบบ ข้าวฟ่างโผล่หน้ามา “ทาร์จามาแน่ะ”
เพราะฉันไม่เคยโดนลูกค้าด่าเรื่องผลงานการออกแบบและตัดเย็บ จึงมีคนจำนวนมากที่หลงรักและมีน้ำมิตรไมตรีมอบให้ฉัน บางคนที่ถูกชะตากับฉันมากๆ พอแวะมาร้านก็มักมีอะไรติดไม้ติดมือมาฝากเสมอ และโชคดีที่สุดสำหรับฉันที่ทาร์จา นักร้องสาวของ Black วงอินดี้โกธิคที่กำลังโด่งดังเปรี้ยงปร้างอยู่ในโลกดนตรีใต้ดินมามอบหมายให้ฉันหาเสื้อผ้าสำหรับขึ้นเวทีในงาน Winter Rock ให้ เธอเป็นลูกค้าคนแรกที่ฉันรับงานตัดชุดไว้
ฉันวาดแบบให้เธอเสร็จแล้ว เธอดูและพอใจมากแถมแทบจะกรี๊ดเมื่อฉันคลี่ผ้าซาตินสีเบอร์กันดีและผ้าชีฟองปักลายกุหลาบสีดำให้เธอดู
ปลายนิ้วของเธอลูบไล้กุหลาบดอกน้อยบนผ้าชีฟองเนื้อนิ่มอย่างหลงใหล “เธอปักเองใช่ไหม”
ฉันพยักหน้ารับ พลางเปิดกล่องสีดำให้เธอดูอีก “สนใจเครื่องประดับพวกนี้ด้วยไหม ฉันออกแบบและถักลายลูกไม้เอง ถ้าใช้ร่วมกับชุดวิคตอเรียน โกธิคจะเข้ากันมาก ”
ฉันกับข้าวฟ่างนอบน้อมกับทาร์จาเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งที่ยอดขายร้านเราถล่มทลายจนร้านอื่นๆลอบมองด้วยความริษยาก็เพราะว่าทาร์จาเป็นสมาชิกและเป็นลูกค้าประจำของร้านเรา แต่ที่ทำให้เธอได้ใจฉันไปคือไม่ว่าเธอจะโด่งดังเท่าไรแต่เธอก็ไม่เคยถือตัว ฉันไม่เคยให้อภิสิทธิ์เลือกตัดชุดให้สมาชิกท่านใดแล้วการที่เธอได้รับคิวแรกก็เพราะเธอมายืนคอยตั้งแต่ตีห้าครึ่งและยังมาเป็นคนแรกด้วย
ขอโทษนะ ฉันไม่ได้หลงตัวเองแต่เรื่องนี้ ชาวโกธิคเราลือกันอย่างกับไฟลามทุ่ง แล้วบัตรคิวรับตัดเสื้อผ้าของฉัน ลูน่าบอกว่าต่อไปไม่ต้องแจกแต่ต้องประมูล!
ข้าวฟ่างยกชานมกับคัพเค้กมาให้พลางทำหน้าตาเสียดายที่ไม่มีโอกาสมาสุมหัวดูของสวยๆงามๆกับพวกเราเพราะต้องเฝ้าร้าน แต่ก่อนที่ข้าวฟ่างจะออกไป ทาร์จาเรียกให้เธอรออยู่ก่อน “ฉันมีของมาให้”
กระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำถูกวางลงบนโต๊ะ บัตรเข้าชมคอนเสิร์ตในเทศกาล Winter Rock สองใบ!
ทาร์จาให้เราสองคน ไม่ใช่ให้ลูน่า ทาร์จาต้องบอกไว้ก่อนเพราะไม่งั้นเราสองคนก็ต้องประเคนให้ลูน่าตามหน้าที่
เชื่อไหม ของขวัญชิ้นนี้ทำให้ฉันเบิกบานสุดๆและมีกำลังใจทำงานอีกโข เพราะกำลังกังวลอยู่ว่าอาจจะมีเงินแค่พอซื้อบัตรเข้างานแต่ไม่มีเงินพอซื้อบัตรเข้าชมคอนเสิร์ต จะขอพ่อแม่ก็ไม่กล้าเพราะฉันดันก่อคดีใหญ่ไว้
“เธอมีเพื่อนไปงาน Winter Rock หรือยัง” ข้าวฟ่างถามหลังจากปิดงานสุดท้ายลงได้ นั่นคือการทำบัญชีสรุปรายได้และรายจ่ายประจำวัน
ฉันกำลังจะปิดร้าน “ก็เธอไง”
ข้าวฟ่างหน้าแดงแล้วซีด เธอเดินวนในร้านสามรอบก่อนจะเดินคอตกมาหาฉัน “คือ..ปีนี้ ฉันไปกับเธอไม่ได้หรอก คือ...”
“อะไร”
“ฉัน..มี..แฟน..แล้ว”
เธอกะพริบตาปริบๆ ทำหน้าเหมือนว่าเพิ่งไปวางระเบิดบ้านฉันมา
“ขอโทษนะ”
ฉันหัวเราะคิกคัก และสุดจะกลั้น ฉันหัวเราะลั่น “ฮ่าๆ ยัยงั่ง! มันความผิดของเธอเสียที่ไหนกัน! แม่เจ้าโว้ย! นี่เพื่อนฉันขายออกแล้วเหรอ!”
ข้าวฟ่างทำตางงๆ “นี่..เธอไม่โกรธฉันหรือ”
“โกรธ พูดเรื่องบ้าอะไร ฉันจะโกรธเธอทำไมล่ะ”
“ก็เธอยังไม่มีแฟนเลย แต่ฉันดันมีแล้ว!”
ขากรรไกรฉันค้าง
ข้าวฟ่างหน้าเสีย “เห็นไหม ฉันก็รู้ว่ามันไม่ควรที่ฉันจะมีแฟนก่อนเธอ แต่เขามาอ้อนวอนขอให้ฉันคบกับเขา ฉันกลัวเขาเสียใจก็เลยตอบตกลงไป ไม่เป็นไร ฉันไปเลิกกับเขาก็ได้”
“เย้ย!” ฉันร้องเสียงหลง “อย่าทำอย่างนั้นนะ!” เห็นหน้าเจื่อนๆกับดวงตาวิบวับเหมือนลูกแมวเสียใจของข้าวฟ่างแล้วอดจะยิ้มไม่ได้ ไม่มีใครเคยหาเหตุผลได้ว่าทำไมฉันกับข้าวฟ่างถึงมาเป็นเพื่อนกันได้ ข้าวฟ่างน่ารักไร้เดียงสาเหมือนนางฟ้า ออกจะซื่อและสุภาพจนคนเลวๆเรียกว่าโง่ ในขณะที่ฉันเป็นนางปีศาจที่มาร่อนเร่บนโลกเพราะหาทางกลับนรกไม่เจอ ฉันไม่เคยทนกับความเลวของใคร ในขณะที่ข้าวฟ่างห่วงใยความรู้สึกของคนทุกคนจนไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของตัวเอง
ฉันวางเหล็กดึงประตูลงพลางเดินไปลูบหัวเพื่อน “โอ๋ๆ ข้าวฟ่าง เธอไม่ต้องคิดมาก ฉันไม่มีวันโกรธเธอด้วยเรื่องแบบนี้ มันไร้เหตุผลสิ้นดีถ้าฉันจะโกรธเธอ ฉันดีใจมากกว่าที่มีคนมาหลงรักเพื่อนของฉัน”
ข้าวฟ่างกะพริบตาปริบๆ แล้วพยักหน้ารับ ฉันเอามือลงจากผมของข้าวฟ่าง ไปหยิบเหล็กดึงประตู “อ้อ แล้ว..เธอจะไปงานกับแฟนใช่ไหม”
“จ้ะ”
ฉันชี้ไปที่ไปที่บัตรเข้างานที่ได้ฟรีมา “งั้นเอาบัตรของฉันไปด้วย จะได้ไปกับแฟนเธอ”
เพื่อนของฉันปฏิเสธลนลาน “ไม่ ไม่หรอก แฟนฉันเป็นนักดนตรีน่ะ เขาก็ได้บัตรฟรีเหมือนทาร์จา เอ่อ..ความจริง..เขาอยู่วงเดียวกับทาร์จานั่นแหละ เป็นมือกีตาร์”
โอ้..นายนั่นเอง..โลกเบี้ยวจริงๆ
“แต่ถ้าเธอไม่มีเพื่อนก็ไปกับเรา”
ฉันส่ายหน้าดิก ปกตินิสัยไม่ชอบเข้าไปเป็นก้างขวางคอใคร ยิ่งคู่รักแถวนี้ด้วยแล้ว เวลาสวีทกันที น้ำผึ้ง น้ำตาล น้ำหวาน น้ำเชื่อมชิดซ้าย
แววตาของเพื่อนทำให้ฉันรู้ว่าเธอยังไม่คลายกลุ้มใจ “ขอโทษจริงๆนะ”
ฉันโบกไม้โบกมือพลางเดินเข้าไปกอดคอเพื่อน “อย่าคิดมากน่า ฉันบอกแล้วว่าดีใจกับเธอ ความรักน่ะมันดีจะตาย มันทำให้โลกสีดำกลายเป็นสีชมพู”
“แน่ใจนะว่าพูดจากใจจริง”
“จริงสิ”
“แล้วทำไมเธอไม่แต่งงานล่ะ”
หางคิ้วฉันกระตุก..วนกลับมาเรื่องนี้ได้อย่างไรฟะ! “ ฉันไม่ได้รักพี่นัท ฉันก็ไม่อยากแต่งงานกับเขานะสิ!”
ข้าวฟ่างเงียบไปพักใหญ่ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “คืนนี้ เธอจะกลับบ้านไหม”
คำถามนั้นทำให้ฉันตัวแข็งค้างและตัวคนถามยิ้มเจื่อนๆ ข้าวฟ่างรู้ว่าฉันไม่อยากกลับบ้านตัวเองเท่าไร และมักจะไปเกาะข้าวฟ่างนอนที่ห้องเช่า แต่วันนี้ฉันไม่อยากไปแล้ว แววตาเพื่อนฉันบอกว่า..คงไม่สะดวก
“อือ” ฉันยักไหล่ “กลับสิ”
ฉันมาสำนึกได้ทีหลังว่าทำผิดจริงๆที่โกหก หลังจากมือกีตาร์ของวง Black มารับข้าวฟ่างและสองคนนั่นเดินจากไปด้วยกัน ความเงียบเหงาก็เข้ามายืนเคียงข้างฉัน ฉันมองหน้ามันแล้วถอนหายใจ โอเค ถึงมันจะเป็นเรื่องดีที่เพื่อนไม่ต้องมานั่งเฝ้าคานคู่กับฉัน แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะจิตตก มันคงเป็นความเคยชินเพราะที่แล้วมาทุกวันหลังจากปิดร้าน ฉันกับข้าวฟ่างจะไปหาอะไรกินด้วยกันและพูดคุยกันหลายเรื่อง ทั้งเรื่องมีสาระและไม่มีสาระ ทั้งข่าวการเมืองและเรื่องนิยายน้ำเน่า ถึงแม้ว่าข้าวฟ่างจะจากไปอย่างมีความสุขแต่น้ำตาฉันแทบจะซึมออกมาเมื่อเดินไปซื้อขนมโดนัทที่เคยกินกับข้าวฟ่างมาประทังความหิวในยามเย็นแล้วดันไปนึกถึงความหลังเข้า
นี่ถ้าฉันเป็นคนธรรมดาได้ก็คงไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องแบบนี้หรอก พ่อแม่ของฉันรู้จักฉันดีเสมอ ถึงอย่างไรฉันก็ยังเป็นเด็กตัวโต ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่บอบบางเหมือนผีเสื้อ เป็นคุณหนูตัวน้อยๆที่พออะไรไม่ได้ดั่งใจก็เสียใจจนแทบตาย พ่อแม่รู้เสมอว่าคนอย่างฉันทิ้งให้อยู่คนเดียวไม่ได้ เพราะฉันขี้เหงา เอาแต่ใจและจิตสำนึกก็ดันมีน้อยเกินจะแยกแยะว่าสิ่งใดถูกหรือสิ่งใดผิด แต่ถึงฉันจะแย่ปานนั้นมันก็ไม่น่าลงเอยที่การบังคับให้ฉันต้องแต่งงานกับคนที่ฉันไม่ได้รักนี่นา ต่อให้คนคนนั้นจะมีคุณสมบัติเพียบพร้อมและรูปร่างหน้าตาน่ากอดน่าฟัดเท่าไรก็เถอะ
ฟ้ามืดแล้วแต่ฉันไม่รู้ว่าจะไปไหน ไม่อยากกลับบ้านแต่ถ้าบอกว่าจะค้างคืนที่ร้าน มีหวังยัยข้าวฟ่างทิ้งแฟนหอบข้าวหอบของมานอนกับฉันแน่ๆเพราะยัยนั่นไม่เคยปล่อยให้ฉันนอนที่ร้านคนเดียว “เธอก็รู้ว่าแถวนี้ตอนกลางคืนมันเปลี่ยว ต้องมีเรื่องใหญ่ๆอย่างไฟไหม้เท่านั้นแหละถึงจะมีคนผ่านมาดู”
ปิดประตูร้าน ตั้งใจว่าจะไปทำงานต่อ แต่เอาเข้าจริงก็ทำต่อไม่ได้ ฉันอยากกลับบ้าน แต่กลับไปต้องเจอพี่นัทอีก และวีรกรรมที่ฉันก่อขึ้นเมื่อเช้าจะทำให้แม่นั่งร่างคำเทศนาฉันได้กี่หน้ากระดาษแล้วก็ไม่รู้ เพราะพี่นัทคนเดียวที่ทำให้ฉันไม่กล้ากลับบ้านไปหาพ่อแม่!
ฉันเดินไปชงโกโก้มากินกับโดนัทกลมอบเนย ทำเป็นไม่สนใจกับเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ บัตรคอนเสิร์ตที่ทาร์จาให้มายังวางอยู่บนเคาน์เตอร์ ฉันเดินไปคว้ามาไว้ในมือก่อนเพราะกลัวว่าจะลืมแล้วลูน่ากลับมาฉกเอาไป(ความจริงก็ไม่น่ากลับมาหรอก) ฉันเอามันมาเก็บไว้ในกระเป๋าสะพายทรงโลงศพฝรั่ง (Coffin Bag) กระเป๋าใบโปรดของฉัน ในนั้นมีโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเครื่องสำอางกับกระเป๋าเงิน ฉันหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา อยู่ดีๆก็เปิดออกดู
ตามปกตินิสัย ฉันไม่เคยชอบพกชอบดูรูปถ่ายของใคร แต่วันนี้..เป็นเพราะยัยข้าวฟ่างกระตุ้นอาการโหยหาอดีตของฉันโดยการพูดถึง ‘พี่ชายข้างบ้าน’ ฉันจึงถอดรูปใบนั้นออกมาวางไว้บนฝ่ามือแล้วร้องเรียกชื่อของคนในรูปเบาๆ
“พี่ธี”
เมื่อพลิกกลับด้าน ข้างหลังเขียนไว้ว่า “ให้ไว้ดูต่างหน้า อย่าเอาไปแปะบนเป้าปาลูกดอกล่ะ จาก พี่ธีของน้องพิม”
ฉันยิ้มคนเดียวสามนาทีแล้วรอยยิ้มก็จางหาย รูปใบนี้ พี่ธีให้ฉันตั้งแต่ก่อนที่ฉันจะไปเรียนที่เชียงใหม่ และฉันเองก็ไม่ได้เห็นเจ้าของรูปตัวเป็นๆมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เจอพี่ธีคือตอนไหนนะ ฉันเอากำปั้นทุบหัวตัวเองแต่แล้วก็ยอมแพ้ ฉันนึกไม่ออก มันไม่แปลกหรอก พี่เอกกับพี่ธีหายไปจากชีวิตฉันในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ฉันกลับคิดถึงแต่พี่เอก ถามหาแต่พี่เอก คลุ้มคลั่งอยู่แต่เรื่องของพี่เอก ไม่ได้สนใจพี่ธีเลย ทั้งที่พี่ธีเหมือนพี่ชายของฉันและคอยดูแลฉันมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่เอกเป็นใครอีกคนที่เพิ่งเข้ามาในชีวิตของฉัน และยังมาทำให้ฉันได้รู้จักความเจ็บปวด ในขณะที่พี่ธีไม่เคยทำให้ฉันได้แม้แต่แผลถลอก
ไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้นเลย คิดแล้วฉันจะรู้สึกผิด พี่เอกทอดทิ้งฉัน ฉันก็เลยพาลทอดทิ้งพี่ธีเสียอีกคน ทำให้ผู้ชายที่สนิทสนมกันมากันตั้งแต่เด็กๆต้องเลิกเป็นเพื่อนกันเพราะฉันคนเดียว
เออ ถ้านรกได้ตัวฉันก็สมควรแล้วล่ะ ถ้าฉันตายไปแล้วตกนรกล่ะก็ ฉันจะไม่พูดอะไรกับยมบาลเลยนอกจากคำว่า “ถีบฉันลงอเวจีไปซะ!”
ฉันพลิกกลับมามองหน้าของพี่ธีอีกครั้ง รูปนี้พี่ธีที่กำลังยืนสีไวโอลิน ใครถ่ายรูปนี้มาให้ฉันหว่า หรือฉันเป็นคนลั่นชัตเตอร์เสียเอง ดูๆไป มันก็จริงอย่างที่ข้าวฟ่างว่า พี่ธีเองแกก็หล่อขาดใจมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้นแล้ว หล่อจนกระเทยแอ๊บแมนไม่อยู่ หล่อจนหนุ่มอิจฉาๆอยากจับหน้าพี่แกไถกับถนนคอนกรีต มนุษย์บนโลกใบนี้ไม่มีใครเข้าใจเลยว่าทำไมพี่ธีถึงได้เกิดมาหล่อได้ขนาดนั้น เคยมีคนมากมายมาทาบทามพี่ธีไปถ่ายแบบถ่ายโฆษณาหรือไม่ก็อยากเอาไปปั้นเป็นนักร้องบอยแบนด์ให้สาววัยรุ่นกรี๊ดแตก แต่พี่ธีไม่ได้ไปไหนเพราะฉันงอแงไม่ให้พี่ธีของฉันห่างกายจนในที่สุดโอกาสในวงการบันเทิงก็โบยบินผ่านพี่แกไปหาคนอื่นจนหมดสิ้น
เพราะฉะนั้นตอนที่แม่บอกฉันว่าพี่ธีทิ้งฉันไปเมืองนอกแล้ว ฉันถือว่ามันโคตะระจะสมควรเลย ยัยเด็กเอาแต่ใจตัวอย่างฉันมันสมควรจะถูกทอดทิ้งอยู่แล้วนี่
แต่ฉันอดไม่ได้ที่จะต่อว่าคนในรูปตรงหน้า “พี่ใจร้ายมาก พี่ไปโดยไม่ลาพิมสักคำ”
ฉันเก็บรูปพี่ธีลงในกระเป๋าเงินและเก็บกระเป๋าเงินลงในโลงศพน้อย ตบหัวและดึงผมสองสามทีเพื่อปลุกสติขึ้นมาทำงานต่อแต่พอจับกรรไกรขึ้นมาได้แล้วก็ต้องวางลง พอข้าวฟ่างไม่อยู่ใกล้ๆ ฉันก็ไม่เหลืออารมณ์ใดๆที่มันเอื้อต่อการทำงานไว้เลย
ฉันถือโกโก้ถ้วยโปรดกับหิ้วกล่องขนมโดนัทไปนั่งเซ็งคนเดียวอยู่บนโซฟาสีแดงหน้าโทรทัศน์ จากนั้นก็หยิบรีโมทขึ้นมากดเปิดและรีบปิดก่อนที่เสียงกรี๊ดของตัวอิจฉาในละครหลังข่าวภาคค่ำจะแล่นเข้ามาทิ่มแทงโสตประสาท
นาน..จนความเงียบจะกัดกินตาย ในที่สุดฉันก็เคลื่อนไหว ฉันลุกจากโซฟา เดินไปยัดวีซีดีเรื่อง Queen of the Damned ลงเครื่องและเปิดดูรอบที่หนึ่งร้อยแปด
ความคิดเห็น