ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มิติเร้นรัก Wonder wall

    ลำดับตอนที่ #3 : ฝันร้ายกลายเป็นดี (40%)

    • อัปเดตล่าสุด 27 พ.ค. 60


     
     
     
     
     
     
     
     

    บทที่ 1 ฝันร้ายกลายเป็นดี

     

                   ภวิษย์ตื่นแต่เช้าเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปทำงานตามปกติ ขณะเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อที่จะหยิบเสื้อเชิ้ตตัวโปรดมาสวมใส่ไปทำงานในเช้าวันนี้ แต่เขากลับหามันไม่พบ น่าแปลกเสื้อที่เคยหายไปกลับคืนมาอยู่ในตู้ และเสื้อตัวโปรดที่เขาแขวนไว้ในตู้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

     

              “หายไปได้ยังไง เมื่อวานยังเห็นแขวนในตู้อยู่เลย”

     

              เขาพึมพำก่อนจะเหลือบมองไปที่ตะกร้าซึ่งตั้งอยู่มุมห้อง ปรากฏว่าไม่มีเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่แล้วบรรจุอยู่ในตะกร้าใบนั้น ทั้งที่เขาจำได้อย่างแม่นยำว่ามีเสื้อผ้ามากมายที่จะต้องนำไปซัก แม้จะรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่มีเวลาที่จะค้นหาคำตอบ และเลือกที่จะรีบแต่งตัวเพื่อที่จะเดินทางไปทำงาน ยิ่งเป็นเช้าวันจันทร์ วันเริ่มต้นสัปดาห์ของการทำงานหลังวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ด้วยแล้ว ขืนชักช้าอืดอาดรถจะต้องติดวินาศสันตะโรเป็นแน่

     

              ภวิษย์เก็บกระเป๋าสตางค์ใบหนึ่งได้ในขณะที่เขาเดินออกจากลิฟต์ เขาเปิดออกดูพบว่าพิมพิกา ดิษยาวรโชติ คือเจ้าของกระเป๋าใบนั้น ชายหนุ่มนำกระเป๋าใบดังกล่าวไปฝากไว้ที่สำนักงานของคอนโด จากนั้นก็รีบขับรถไปทำงาน

     

              ขณะที่ชายหนุ่มกำลังขับรถไปทำงานอยู่นั้น เขาสังเกตเห็นว่าบนถนนมีรถน้อยมาก ทั้งที่ความจริงแล้วในช่วงเวลาเร่งด่วนเช่นนี้การจราจรจะต้องติดขัด ผู้คนต่างก็เร่งรีบเดินทางไปทำงาน แต่วันนี้กลับตรงข้าม ถนนเงียบมาก เงียบจนเหมือนร้างผู้คน ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เขากดรับสาย

     

              “สวัสดีค่ะคุณวิษย์ วันนี้จะเข้าออฟฟิศกี่โมงคะ”

     

              เสียงมาริสาเลขานุการของซีอีโอบริษัท จี ทเวนตี้ ซึ่งเป็นบริษัทโฆษณาที่ภวิษย์ทำงานอยู่ดังมาตามสาย

     

              “กำลังเดินทางครับ คุณสามีอะไรเร่งด่วนหรือเปล่าครับ”

     

              “บอสให้สาโทรนัดทุกคนมาประชุมพร้อมกันตอนสิบโมงเช้าค่ะ”

     

              “พอจะทราบไหมครับว่าจะประชุมเรื่องอะไร”

     

              “สาไม่ทราบรายละเอียดหรอกค่ะ ทราบแค่ว่าบอสจะเป็นคนชี้แจงให้ทุกคนทราบในที่ประชุมด้วยตัวเองค่ะ”

     

              “ฟังจากน้ำเสียงของคุณสาผมว่าน่าจะไม่ใช่ข่าวดี” ภวิษย์เอ่ย

     

              เขาสังหรณ์ใจว่าสิ่งที่ซีอีโอต้องการจะบอกกับทุกคนคงจะไม่ใช่เรื่องดี

     

              มาริสาได้แต่หัวเราะมาตามสายก่อนจะพูดตัดบท “พบกันในที่ประชุมนะคะ”

     

              “แล้วพบกันครับ”

     

              ทันทีที่ภวิษย์มาถึงบริษัทเขาเห็นเพื่อนรุ่นน้องยืนจับกลุ่มพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจึงเอ่ยถาม

     

              “มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า”

     

              “พี่วิษย์รู้ข่าวที่บอสเรียกทุกคนมาประชุมในวันนี้หรือยังครับ” ภาคินย้อนถาม

     

              ภวิษย์พยักหน้าแทนคำตอบ

     

              “แหล่งข่าวของพวกเราแจ้งมาว่าเรากำลังจะตกงาน”

     

              “ตกงาน!” คิ้วเข้มขมวดมุ่น

     

              “ครับ ไม่รู้ว่าเป็นความจริงไหม”

     

              “จริงหรือไม่จริงอีกไม่นานก็รู้”

     

              เมื่อถึงเวลาประชุมนิรุตต์ซีอีโอของบริษัทได้แจ้งถึงสิ่งที่ทำให้เขาต้องเรียกทุกคนมาประชุมพร้อมกันในวันนี้ เขาชี้แจงเพียงสั้นๆ ว่าบริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องปิดตัวลง โดยไม่บอกเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น บอกแต่เพียงว่าให้ทุกคนมารับซองเงินเดือนและเงินชดเชยตามกฎหมายได้ที่ฝ่ายการเงิน พนักงานทุกคนต่างก็สงสัยว่าบริษัทมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ผลงานก็ดี ทำไมถึงจะต้องปิดตัวลง

             

              แต่ไม่มีใครได้รับคำตอบว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

     

              ภวิษย์เซ็นรับซองเงินเดือนและเงินชดเชยที่เขาควรจะได้รับเฉกเช่นคนอื่นๆ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดซอง เสียงนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้น ทำให้เขาตกใจตื่น เขากวาดสายตามองไปรอบๆ จึงได้รู้ว่านี่คือห้องนอน

     

              “ฝันไปเหรอ”

     

              ชายหนุ่มหันไปมองตะกร้าผ้าที่วางอยู่มุมห้อง ปรากฏว่าในตะกร้าเต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่แล้ว จากนั้นก็รีบเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าพร้อมมองหาเสื้อตัวโปรด ซึ่งมันยังแขวนอยู่ในตู้มิได้หายไปเหมือนในฝัน เขาพ่นลมออกจากริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะพูดปลอบใจตัวเอง

     

              “แค่ฝันไป...โบราณว่าไว้ฝันร้ายกลายเป็นดี”

     

              แม้ที่ผ่านมาสำหรับเขาแล้วฝันร้ายจะกลายเป็นจริงซะมากกว่าก็ตาม

     

              ภวิษย์รีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเดินทางไปทำงานตามปกติ เขาหยิบเสื้อเชิ้ตตัวโปรดมาสวมใส่

     

              “รอด้วยครับ” ชายหนุ่มพูดเสียงดังเมื่อเห็นประตูลิฟต์กำลังจะปิด

     

              เขาก้าวเข้าไปในลิฟต์พร้อมเอ่ยปากขอบคุณหญิงสาวที่เป็นคนเปิดประตูลิฟต์ให้เขา เมื่อลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่างทุกคนต่างก็รีบก้าวเดินออกไป ฉับพลันสายตาของภวิษย์ก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าสตางค์ใบหนึ่งตกอยู่หน้าลิฟต์ เขาหยิบมันขึ้นมาเปิดดูเพื่อหาว่าใครเป็นเจ้าของ

     

              พิมพิกา ดิษยาวรโชติ

     

              ชายหนุ่มตัดสินใจนำกระเป๋าสตางใบนั้นไปฝากไว้ที่สำนักงานของคอนโดที่เขาพักอาศัยอยู่

     

              “สวัสดีครับคุณณี” ภวิษย์ทักทายปราณีหญิงวัยกลางคนซึ่งทำหน้าที่คอยดูแลสำนักงานนั้น

     

              “สวัสดีค่ะคุณภวิษย์ วันนี้ไปทำงานแต่เช้าเลยนะคะ”

     

              “ผมมีงานด่วนก็เลยว่าจะเข้าออฟฟิศเร็วหน่อยครับ พอดีมีคนทำกระเป๋าสตางค์หล่นไว้ที่หน้าลิฟต์ ผมคิดว่าเจ้าของกระเป๋าน่าจะพักอาศัยอยู่ที่นี่ก็เลยนำมาฝากไว้ ฝากคืนเจ้าของด้วยนะครับ”

     

              ปราณียื่นมือออกไปรับกระเป๋า “ได้เลยค่ะ เดี๋ยวณีจะจัดการให้ค่ะ”

     

              “ขอบคุณครับ”

     

              ภวิษย์เลี่ยงการใช้เส้นทางเดิมมาใช้ทางลัดเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรติดขัด ถึงกระนั้นรถก็ยังไม่วายติด นั่นอาจเป็นเพราะเป็นวันเริ่มต้นสัปดาห์หลังจากวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ ระหว่างขับรถเขาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เขาเก็บกระเป๋าสตางค์ได้ มันช่างเหมือนเหตุการณ์ในฝันไม่ผิดเพี้ยน ทำให้เขาเริ่มกลัวว่าสิ่งที่เขาฝันมันจะเกิดขึ้นจริง ภวิษย์เลยโทรหาจริยาเลขาฝ่ายครีเอทีฟ

     

              “วันนี้เรามีประชุมหรือเปล่าจอย”

     

              “ไม่มีค่ะ พี่วิษย์จะให้จอยนัดประชุมฝ่ายครีเอทีฟไหมคะ”

     

              คำตอบของเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องทำให้ภวิษย์ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะตอบ “ไม่ต้อง พี่แค่ถามดู พี่อาจจะไปถึงช้าหน่อยนะจอย รถติดบรรลัยเลย”

     

              แม้จะสบายใจขึ้นมาบ้าง แต่ความรู้สึกในความฝันที่เหมือนจริง ทำให้อีกใจหนึ่งของภวิษย์ยังคงวิตกกังวล เพราะถ้าฝันเป็นจริงเขาก็คงไม่แคล้วต้องตกงาน

     

              ทันทีที่ภวิษย์นั่งโต๊ะทำงานโทรศัพท์ก็ดังขึ้น มาริสาโทรมาแจ้งเพียงสั้นๆ ว่ามีประชุมด่วนในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า

     

              อย่าบอกนะว่าสิ่งที่เขากลัวกำลังจะเกิดขึ้นจริง

     

              เขาหันไปสังเกตปฏิกิริยาของพนักงานในแผนก ซึ่งกำลังจับกลุ่มคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คุยกันเรื่องอะไรเขาเองก็ไม่อยากคาดเดา ได้แต่หวังว่าอย่าให้เป็นอย่างที่เคยฝัน

     

              แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

     

              นาทีที่ซีอีโอแจ้งข่าวร้ายให้พนักงานทุกคนทราบว่าบริษัทมีความจำเป็นต้องปิดตัวลง และให้ทุกคนไปรับซองเงินเดือนรวมถึงเงินชดเชยได้ที่ฝ่ายการเงิน พร้อมเดินจากไปโดยไม่บอกเหตุผลว่าทำไมบริษัทที่มีผลประกอบการเป็นไปได้ด้วยดี มีอันต้องปิดตัวลงอย่างกะทันหัน สิ่งนี้ยังคงเป็นคำถามที่ค้างคาใจ แต่ไม่มีใครได้รับคำตอบที่แน่ชัด

     

              ภายในห้องประชุมเงียบงันไปพักใหญ่เพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ พวกเขาต้องกลายเป็นคนตกงานทั้งที่มิได้เตรียมใจ

     

              ไม่มีแม้แต่ลางบอกเหตุ

     

              แต่สำหรับภวิษย์มันไม่เป็นเช่นนั้น

     

              ทุกครั้งที่เขาฝัน แม้เป็นเพียงลางสังหรณ์ แต่สิ่งเหล่านั้นก็มักจะเกิดขึ้นจริง

     
     
     
     
     
     
     
     

    ทักทายมิตรรักนักอ่าน...

     

    มณีปุรำห่างหายไปนานเเกรงว่าแฟนนิยายจะลืม เลยเปิดเรื่องใหม่ "มิติเร้นรัก Wonder wall" มาอัพให้อ่านไปพลางๆ ก่อน งานนี้คงต้องแต่งไปอัพไป เดาว่าอิมเมจของสองพระนางคงจะถูกใจใครหลายคน ขอแนะนำให้ดูยูทูปก่อนการอ่านเพื่อความอินและฟินไปกับพระเอก-นางเอกของเราค่ะ เหมือนเช่นเคยอ่านแล้วขอหนึ่งคอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้ writer ด้วยนะคะ 

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×