ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SHINee - SF] Sweet flower [JongKey,,HoOn]

    ลำดับตอนที่ #3 : [SF] Sweet flower Part 2

    • อัปเดตล่าสุด 5 พ.ค. 53


    Title : Sweet flower

    Author : sakuragimji

    Pairing : Jonghyun x Key ,, Minho x Onew ft.Taemin


    …..Part ll…..








    ดวงตาอัลม่อนหรี่มองซ้ายขวาก่อนจะใช้ความเร็วพาร่างของตัวเองหายเข้าไปในซอกตึกที่คับแคนเกินกว่าที่คนปกติจะสัญจรไปมา ร่างบางมาหยุดที่หน้าประตูเหล็กที่สีซีดพร้อมกับมีสนิมจับบ่งบอกกาลเวลาที่ผ่านไปของตัวอาคาร มือเรียวเคาะเป็นจังหวะที่รู้กันเฉพาะกลุ่ม รอฟังสัญญาณตอบรับจากด้านใน ก่อนประตูจะเปิดออกใครบางคนจากด้านในพาร่างบางหายลับเข้าไปในนั้น



    บรรยากาศภายในช่างแตกต่างกับสภาพด้านนอกราวฟ้ากับเหว เฟอร์นิเจอร์ชั้นดีถูกกนำมาตกแต่งในสไตล์โมเดิร์น แสงไฟสีส้มช่วยทำให้บรรยากาศภายในดูอบอุ่นและผ่อนคลาย กลิ่นเครื่องหอมอ่อนอวลไปทั้งห้อง



    เสื้อโค้ทสีดำตัวหนาถูกถอดวางไว้บนโซฟาขนสัตว์ มือเรียวถอดแว่นดำที่สวมใสอำพรางใบหน้าวางเอาไว้บนโต๊ะกระจก



    “มีใครตามมาหรือเปล่า?”



    “ถ้ามีคงตายกันหมดแล้ว”เสียงแหบหวานตอบด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะเอ่ยถามต่อ



    “ทำไมถึงเรียกตอนนี้?”ร่างบางรับแก้วที่บรรจุน้ำสีแดงเข้มมาถือไว้ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงตรงที่ว่าง ความอุ่นของฮีตเตอร์ช่วยลดความหนาวเหน็บจากภายนอกได้เป็นอย่างดี



    “งานด่วน...ถ้าช้าก็หมายถึงชีวิตพวกพี่”ดวงตาเรียวหรี่มองคนพูด ก่อนจะดึงกระดาษที่คนอายุน้อยกว่ายื่นให้มาอ่าน



    “หึ...ท่าทางคงจะเบื่อหายใจ เร่งเวลาตายให้ตัวเองเสียจริง”ริมฝีปากอิ่มเหยียดยิ้มร้าย ดวงตาเป็นประกาย ก่อนจะเอากระดาษที่ไร้ค่าแล้วจ่อที่เปลวเทียนรอให้มันมอดไหม้ไปอย่างช้าๆ



    “ไอ้หมอนี่ มันให้ข้อมูลสำคัญกับตำรวจไปด้วยนะ”



    “อะไร?”



    “ชื่อของพี่สองคน”ข้อมูลที่ทำให้ดวงตาเรียวเหมือนมีไฟลุกโชนอยู่ข้างใน



    “ผมถึงได้เรียกพี่มา....คีย์....”



    “ฉันจัดการเอง...”รอยยิ้มเหี้ยมประดับบนใบหน้าหวาน มือข้างซ้ายลูบไล้วัตถุสีเงินที่ซ่อนเอาไว้ที่ต้นขาตัวเองอย่างเผลอไผล



    “แค่ชื่อพี่ มันคงสืบอะไรไม่ได้มาก เพราะมันไม่ใช่ชื่อจริงและไอ้หมอนั่นไม่คอยเห็นหน้าพี่ แม้แต่หน้าผมมันก็ไม่เคยเห็น แต่เราก็ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ เพราะข้อมูลที่มันให้ไปมันก็อาจจะเป็นเบาะแสชั้นดีให้ไอ้พวกจมูกหมาจมูกแมวดมกลิ่นมาถึงเราได้”



    “ฉันรู้แทมิน...”คิบอมปรายตามองพลางจิบไวน์และใช้ความคิด



    “พี่จะลงมือเมื่อไหร่”



    “คืนนี้”ตอบอย่างไม่ลังเล หากไม่คิดว่ารีบร้อนเกินไป เขาอยากจัดการให้คนทรยศหายไปจากโลกเสียตอนนี้



    “จัดการกับแฟนพี่ดีๆล่ะ”



    “รู้น่า”คิบอม จิ๊ปากอย่างขัดใจ ที่หนุ่มรุ่นน้องต้องย้ำในเรื่องเดิมที่เขารู้ดีว่าต้องทำยังไง



    “ยังไงผมก็เป็นคนดูแลพวกพี่นะ อย่ารำคาญผมเลย ผมต้องดูแลพี่ให้ดีที่สุด”



    “เอาเวลาไปดูแลแทยอนเถอะ นายมันบ้าแทมิน...ที่เดินอยู่ในขุมนรกอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อน้องสาวที่ไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดเลยสักนิดไม่ใช่เหรอ”



    “หึ...ผมเดินมาไกลแล้ว...และจะเดินหน้าต่อไปให้สุดทางด้วย ไม่ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรพี่กับพี่จินกิจะต้องอยู่ข้างๆผมไปตลอดนะ”



    “แน่นอนแทมิน”




    ...อย่าไว้ใจนักฆ่า อย่าเชื่อใจโจร ...




    แต่สำหรับแทมิน คิบอมและจินกิมันคือความผูกพันและพันธสัญญาทางใจ ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่มีวันทรยศความไว้เนื้อเชื่อใจในกันและกัน ต่างผ่านเรื่องราวต่างๆมามากมายจนกว่าจะมาถึงปัจจุบันนี้ สูญเสียไปเกือบทุกอย่างครอบครัว คนรัก น้ำตาและเลือดเนื้อ...ทุกอย่างมันหลอมรวมพวกเขาเอาไว้ด้วยกัน



    “ตำรวจยังตามเรื่องไอ้แก่สองคนนั่นอยู่ นายจัดการเก็บงานได้ดีมากแทมิน กว่ามันจะได้ตัวก็คงเหลือแต่กระดูก”หนุ่มหน้าหวานที่มือจับกรรไกรตัดกิ่งก้านดอกไม้ ใครจะรู้ว่าจับมีดฆ่าคนมาไม่รู้กี่ศพต่อกี่ศพ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจ แววตาฉายแววรื่นรมย์เมื่อนึกถึงผลงานล่าสุดที่ผ่านมา



    “หึ คราวนี้ผมตั้งใจจะเก็บลืมเลย”แทมินยิ้มร้ายออกมา รอยยิ้มที่คนทั่วไปไม่เคยได้เห็น



    “พี่ ผมไปร้านก่อนนะ ปล่อยให้แทยอน อยู่กับพี่จินกิแล้วไม่ค่อยไว้ใจเลย”แม้ว่าคนที่บอกว่าไม่ไว้ใจพอสลัดคราบจากจินกิจอมซุ่มซ่ามกลายเป็นอนยูนักฆ่าที่ฝีมือเฉียบ แต่แทมินก็ไม่วายเป็นห่วงอยู่ดี คิบอมยิ้มบางๆ



    “อืม...ฉันคงอยู่ที่นี่ตลอด มีอะไรก็เรียกแล้วกัน”



    “ฮะ”



    คิบอมมองร่างคนที่รักราวกับน้องชายแท้ๆจนลับตา ร่างบางถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยหัวใจ เปลือกตาบางปิดลงเพื่อพักสายตาและปล่อยความคิดให้ไหลวน



    อี แทมิน... เด็กน้อยที่ต้องแบกรับภาระยิ่งใหญ่โดยมีทั้งความรักและความแค้นเป็นแรงผลักดัน
    พ่อแม่ของแทยอนเคยเป็นนักฆ่าเหมือนกับเขา นักฆ่าที่หาตัวจับยากและเป็นคนที่สอนคนให้เป็นนักฆ่าได้เหนือใคร แต่ไม่ว่าคนเราจะเก่งกาจแค่ไหนก็ย่อมมีความผิดพลาดและข้อด้อยในตัวเอง และความความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ของนักฆ่าก็คือความเมตตา.....เมตตาต่อเด็กน้อยแรกเกิดที่ชื่อแทมิน เก็บมาเลี้ยงเป็นลูกของตัวเองก่อนที่แทยอนจะเกิดมา



    มันจะเป็นไปได้สวยหากวันหนึ่งแทมินไม่รู้ว่าคนที่ตัวเองเรียกว่าพ่อและแม่ คนที่เลี้ยงดูอุ้มชูมาจะเป็นคนฆ่าพ่อแม่แท้ๆของตัวเอง....แม้จะไม่ได้ผูกพันกับพ่อแม่ที่แท้จริง แต่ในใจลึกๆของเด็กน้อยย่อมมีคำถามที่ใครก็ตอบไม่ได้ สิ่งที่จะเป็นเหตุผลให้แทมินได้ในขณะนั้นคือโชคชะตา ทุกอย่างเป็นไปเพราะชะตาลิขิต



    ลิขิตให้แทมินต้องกลายเป็นทายาทของตระกูลนักฆ่าและปกป้องแทยอนน้องสาวให้บริสุทธิ์ไร้มลทิน คำสั่งสุดท้ายของนักฆ่าตระกูลลีผู้ล่วงลับทั้งสองคือ...อย่าให้มือของแทยอนเปื้อนเลือด อย่าให้แทยอนรับรู้ ว่าพ่อแม่ตัวเองทำอาชีพอะไร ปกป้องแทยอนจากอันตรายทุกอย่าง...


    แทมินจึงต้องกลายเป็นยมทูตที่ชักนำความตายให้กับคนที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน โดยมีเขาและจินกิเป็นมือสังหาร เด็กข้างถนนที่ไร้ค่า กลับกลายเป็นนักฆ่าที่ค่าหัวแพง แต่ไม่เคยมีใครได้เห็นใบหน้าที่แท้จริง



    แทมินรับหน้าที่ด้วยความไม่เต็มใจเพื่อปกป้องน้องสาวคนละสายเลือด รับคำทำตามคำขอครั้งสุดท้ายทั้งที่รู้ว่าหากเดินมาทางนี้แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่จะตกต้องเหมือนอยู่ในนรก



    มือบางหยิบมือถือออกมาต่อสายหาใครบางคน ที่ถือเป็นความผิดพลาดของตัวเองเหมือนกัน



    “คร้าบบบบ ที่รัก”น้ำเสียงที่ดังมาตามสายฟังดูแล้วช่างรื่นเริงบันเทิงใจเสียจนอดหมั่นไส้เสียไม่ได้



    “มัวไปคุยกับสาวที่ไหน ทำไมถึงรับช้าหะ”แกล้งหยอกกลับไป



    “เปล่าคุย ไม่มี๊ไม่มี ทำงานอยู่นะครับ โทรศัพท์มันอยู่ไกล”ทำเสียงแบบนั้น คิดว่าน่ารักตายล่ะ



    “งานอะไรอีก เพิ่งกลับมาไม่ใช่เหรอ ทำไมสำนักพิมพ์ไม่ให้พักบ้างล่ะ”



    “กำลังเลือกรูปลงนิตยสารครับผม รูปที่เพิ่งไปถ่ายมาไง แล้วคิบอมทำอะไรอยู่ครับ”



    “คุยโทรศัพท์กับเป็ดอยู่”



    “คิบอมอ่า~”คนขี้แกล้งกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง เมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเรียกเหมือนกระเง้ากระงอด



    “วันนี้มีธุระต้องไปทำ ไม่ได้ไปที่ร้านนะ แล้วคืนนี้คงไปเจอไม่ได้ด้วย จงฮยอน~อย่าโกรธกันน๊า”บางทีเขาก็แค่อยากอ้อนบ้าง



    “ทำเสียงแบบนั้นใครจะไปกล้าโกรธละครับ แล้วคืนนี้จะไปไหนล่ะ”



    “มีนัดกับเพื่อนเก่า ไปสังสรรค์กันตามประสาคนไม่ได้เจอกันมานาน”ดวงตาเรียววาววับเมื่อพูดถึงเพื่อนเก่า แต่อีกฝ่ายไม่มีทางได้เห็น



    “ไปด้วยได้มั้ยครับ”



    “งานนี้โสด ห้ามพกแฟนไปด้วย โอเค๊”



    “ใจร้าวววว~”



    “เอากาวทาซะ หรือไม่ก็โยนทิ้งไป”



    “คิบอมอ่า~”คราวนี้ถึงกับหลุดขำคิดออกมา หยอกคนรักให้หายคิดถึงแล้ว คิบอมจึงเลือกจะจบบทสนทนาเพียงเท่านั้น เพราะมีงานรอเขาอยู่



    “พรุ่งนี้เจอกันนะจงฮยอน ไปทำงานต่อเถอะ”



    “ครับผม เจอกันพรุ่งนี้จะกอดให้แน่นๆเลยครับ”ประโยคสุดท้ายเป็นเหตุที่ทำให้คิบอมตัดสายฉับทันที ก่อนจะเขวี้ยงค้อนใส่โทรศัพท์มือถือของตัวเอง






    -------------------------------






    “มีงานด่วนรึไง”แทมินชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าทางหลังร้านทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้น



    “ใช่...พี่คิบอมกำลังจะไปเคลียร์”



    “อืม...ไปดูร้านเหอะ แทมิน พี่จะเอาดอกไม้ไปจัดช่อให้ลูกค้า”สองร่างพากันเดินเข้ามาในร้าน แทมินยิ้มหวานให้กับลูกค้าที่นั่งรออยู่บริเวณมุมร้านที่ถูกจัดเอาไว้สำหรับให้ลูกค้าพักผ่อนตามอัธยาศัย



    ดอกทานตะวันสีเหลืองสดสามดอกไม้ถูกดึงออกจากที่แช่ มืออวบหยิบฉวยอุปกรณ์ด้วยความคล่องแคล่วชำนาญมือ ตระเตรียมทุกอย่างจนพร้อม จึงเริ่มลงมือจัดอย่างตั้งใจ ไม่เกินสิบห้านาที ดอกไม้ช่องามก็เสร็จเรียบร้อย สวยถูกใจจนลูกค้าเอ่ยชมไม่ขาดปาก จินกิยิ้มจนตาหยีรับคำชมนั้น




    “พี่จินกิคะ”คนถูกเรียกหันไปมองน้องสาวของเจ้าของร้านที่ยืมยิ้มวานมาให้



    “ว่าไงจ๊ะ แทยอน”



    “จัดดอกไม้ช่อเล็กๆให้สักช่อได้มั้ยคะ พอดีว่าจะไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลน่ะค่ะ”



    “ได้สิ เพื่อนแทยอมชอบดอกอะไรล่ะ”



    “กุหลาบค่ะ กุหลาบขาว”






    ช่วงบ่ายไม่ค่อยมีลูกค้าเข้าร้านมากนัก จินกิจึงมีเวลาจัดดอกไม้สักช่อให้กับแทยอน เด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ฮัมเพลงเบาๆนิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ แทมินกำลังจัดระเบียบมุมนั่งเล่น และกำลังคิดว่าจะตกแต่งใหม่สักที ไม่นานนักหลังจากที่จินกิจัดดอกไม้เสร็จ แทยอนก็ขอตัวออกไปเยี่ยมเพื่อน




    “แทมิน รู้ใช่มั้ยว่ามีคนมองเราอยู่”คนที่ก้มเก็บอุปกรณ์จัดดอกไม้พูดขึ้นมา



    “ฮะ”



    “นายให้คนตามแทยอนแล้วใช่มั้ย”



    “ฮะ แทยอนจะกลับถึงบ้านปลอดภัย เราจะเอายังไงกับไอ้สองตัวข้างนอกดี”



    “ปล่อยมันไว้ก่อน ทำตัวปกติ พี่ก็อยากรู้นักว่ามันจะทำอะไรอย่างอื่นมั้ย นอกจากส่องพวกเรา”จินกิยิ้มบางๆ ในใจไม่ได้นึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย



    “นอกจากงานที่คิบอมทำคืนนี้แล้ว เบื้องบนไม่มีคำสั่งใหม่ลงมาเลยใช่มั้ย?”



    “ครับ...เงียบมาก แต่ก็ดีแล้ว พวกพี่จะได้พักมือบ้าง”



    “อืม...พี่ก็คิดว่าเราควรจะหายตัวไปสักพักก่อนดีกว่า...”อนยูครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พวกเขารับงานถี่เกินไป และหลายฝ่ายกำลังจับตามอง...ตำรวจตามดมกลิ่นให้ทั่ว...พวกนักฆ่าก็ตามล่าหาผลงานให้ตัวเองเช่นเดียวกัน



    “หมดงานคืนนี้ ผมจะไม่รับงานก็แล้วกัน แต่ผมรำคาญไอ้โง่สองตัวนั่นจังเลยพี่จินกิ”แทมินหงุดหงิด เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวอะไรสักอย่างที่อยู่ในห้องกระจกแล้วให้ใครต่อใครพากันจ้องมอง


    แต่ก่อนที่จินกิจะได้ตัดสินใจทำอะไร ใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในร้าน...



    “มินโฮ....ทำไมมาตอนนี้”จินกิถามอย่างแปลกใจ



    “เลิกงานห้าโมงใช่มั้ย นั่งรอตรงนั้นนะ”ไม่ได้สนใจจะตอบคำถามอีกฝ่ายสักนิด ร่างสูงก็ไปนั่งแหมะที่ตรงมุมนั่งเล่นที่แทมินเพิ่งจัดเสร็จไป เด็กหนุ่มเจ้าของร้านยิ้มขำกับทาท่างเวอๆของคนเป็นพี่ เมื่อกี้นี้ยังคุยเป็นงานเป็นการอยู่แท้ๆ พอคนๆนี้มา อี จินกิกลับกลายไปเป็นหนุ่มเอ๋อแทบจะทันที



    “อะ...เอาน้ำมั้ยมินโฮ”มินโฮเงยหน้ามองคนถามก่อนจะดึงเอาหูฟังออกจากหูตัวเอง



    “ว่าไงนะ?”



    “หิวน้ำมั้ย”



    “ไม่หิว...นี่ใกล้ร้านปิดแล้วไม่ใช่เหรอ เก็บของเสร็จหรือยัง?”



    “เดี๋ยวจะไปเก็บ แต่ว่าวันนี้มินโฮมาทำไม ไม่ไปทำงานเหรอ”



    “อือ ว่าง...ไปเก็บร้านสิ แล้วจะได้ไปหาไรกินกัน”เป็นอีกครั้งที่อนยูต้องทำตี่ๆของตัวเองให้โตขึ้น เพราะความแปลกใจ



    “วันนี้มาแปลกนะ”



    “ไปเก็บของสิ ยืนคุยอยู่ได้”คนถูกดุหน้ามุ่ย แต่ก็ยอมเดินไปช่วยแทมินปิดร้านและเก็บข้าวของต่างๆ



    “พี่...ไอ้สองตัวนั่นมันไปแล้ว ตั้งแต่พี่มินโฮเข้ามาน่ะ”แทมินแอบเข้ามากระซิบบอกก่อนจะเดินเลยไปตรวจความเรียบร้อยของตู้กระจกที่เก็บดอกไม้



    จินกิมองออกไปข้างนอกร้านอีกครั้ง จุดที่เคยมีชายสองคนเฝ้าอยู่ ตอนนี้ว่างเปล่า คนตัวอวบถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย...ไม่ได้กลัวแต่รำคาญและเบื่อมากกว่า




    ------------------------





    “ทำไมมือเย็นแบบนี้ เอาถุงมือมาหรือเปล่า”จินกิส่ายหน้า แล้วยิ้มแหยๆให้ เมื่อเห็นตาคมจ้องมองมาราวกับตำหนิ คนเรามันก็ลืมกันได้ แถมเมื่อเช้าอากาศไม่ได้เย็นมากเหมือนตอนนี้เสียหน่อย แล้วก็ไม่ได้คิดด้วยว่าจะมีมนุษย์ตัวสูงที่ไหน ชวนเขาไปกินข้าวเย็นด้วย



    “หนาวมากเลยเหรอ มือเย็นขนาดนี้”น้ำเสียงที่ใช้ถามฟังดูนุ่มนวลขึ้น



    “อืม ก็เย็นๆอ่ะ….เอ้ย...จะทำไรอ่ะ”ร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อมินโฮกุมมือทั้งสองข้างของตัวเองเอาไว้ก่อนจะยกขึ้นจนเกือบถึงปาก แล้วเป่าลมอุ่นๆใส่มือของจินกิ คนตัวเล็กกว่ายืนนิ่งมองการกระทำของอีกฝ่ายด้วยความคาดไม่ถึง...หัวใจเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ รู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้า



    “ดีขึ้นมั้ย?”



    “อะ...อืม...”พยักหน้ารับ ไม่กล้าสบตาของอีกคน แล้วอยู่ๆมินโฮก็ถอดถุงมือข้างขวาออกมาสวมให้กับจินกิแทน



    “ไม่ต้องก็ได้ ไม่เป็นไร”เอ่ยออกมาอย่างเกรงใจ จะชักมือกลับ



    “อยู่เฉยๆเถอะน่า”มินโฮสวมถุงมือให้จนเสร็จ มือข้างขวาที่ไม่ได้สวมถุงมือแล้วกุมมือข้างซ้ายที่ว่างเปล่าของจินกิเอาไว้ ก่อนจะซุกลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทของตัวเอง



    “มะ...มินโฮ”



    “แบบนี้ดีกว่าใช่มั้ย?”รอยยิ้มบางๆที่ปรากฏบนใบหน้าคม ที่นานๆจะเห็นสักครั้ง ทำให้จินกิอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบกลับไป



    “อืม...อุ่นดี”.....เหมือนจะอุ่นไปถึงหัวใจด้วย....มินโฮที่ดูแข็งๆเหมือนคนแสดงออกไม่ค่อยเป็น แต่จริงๆแล้วเป็นคนอ่อนโยนและอบอุ่นมากๆ สองคนเดินไปตามทางที่ทอดยาว ไฟตามถนนค่อยๆสว่างขึ้นเมื่อท้องฟ้าเบื้องบนถูกความมืดเข้าปกคลุม เสียงไฟตามอาคารบ้านเรือนค่อยๆชัดขึ้น ร้านอาหาร ผับ ร้านกาแฟที่เปิดชช่วงเย็นต่างเริ่มทำกิจกรรมของตัวเอง มินโฮกระชับมือที่กุมเอาไว้ให้แน่นขึ้น ถ่ายเทความอบอุ่นให้กันและกัน



    “จินกิ กินอะไรดี?”



    “แล้วแต่นายสิ เป็นคนชวนนี่ แถวนี้ฉันไม่ค่อยรู้จัก”อนยูตอบพลางดูไฟที่ประดับประดาตามต้นไม้ริมทางด้วยความตื่นตา แสงไฟสะท้อนเสี้ยวหน้าให้ชวนมอง มินโฮมองภาพนั้นด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก มือหนากระชับมือของอีกคนแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว



    “มีอะไรหรือเปล่ามินโฮจับซะแน่นเลย”



    “ไม่มีอะไร...แค่กลัวจินกิไม่อุ่น”คำตอบที่เรียกเลือดมากองบนหน้าของคนฟัง จนต้องเสมองอย่างอื่นแทน สองคนเดินไปเรื่อยๆตามทาง ก่อนจะมาหยุดที่หน้าร้านของรามยอนข้างทาง ร้านเล็กๆ แต่มีคนกินแน่นร้านไปหมด



    “มีเงินเลี้ยงแค่ร้านแบบนี้นะ กินได้หรือเปล่า”มินโฮถามคล้ายไม่แน่ใจ



    “กินได้สิ กินออกบ่อย ท่าทางน่าอร่อย”จินกิดึงมือร่างสูงให้เดินตามไป สองคนนั่งลงตรงที่ว่างที่ลูกค้าก่อนหน้าลุกไปพอดี



    “ร้านนี้อะไรอร่อยมั่ง สั่งให้หน่อยสิ”จินกิยกแขนทั้งสองเท้าโต๊ะเอาคางไว้บนมือที่ประสานกันแล้วทำตาวิ้งวับไปให้ มินโฮเอามือโยกหัวของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะสั่งอาหารให้ แล้วย้ายตัวเองมานั่งข้างๆคนตัวอวบ



    “วันนี้วันหยุดเหรอ?”ถามเรื่องที่ยังค้างคาใจอยู่



    “เปล่า แต่ลาออกจากร้านเดิมแล้ว”



    “อ้าว...ทำไมอ่ะ ไปทำไรลูกค้ามาหรือเปล่า” มินโฮจ้องหน้าคนถามคิ้วขมวด



    “ไมได้ทำ....แค่เบื่อ”



    “ติสต์แตก แล้วเปลี่ยนที่ทำงานบ่อยขนาดนี้ มีเงินใช้พอหรือเปล่า ได้เงินเดือนหรือยัง”



    “ได้แล้ว เลี้ยงไหวหรอกน่า ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”มินโฮพูดพลางตบกระเป๋ากางเกงปุๆ



    “ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น ที่พูดอ่ะ เป็นห่วงจริงๆนะ”มันเป็นความรู้สึกห่วงใยต่อคนๆหนึ่งที่เคยดูแลเขาอย่างดี เพราะมินโฮเอาแต่เคยดูแลเขาจนเคยตัว อี จินกิ ไม่เคยได้ทำหน้าที่นั้นตอบแทนเลยสักครั้ง พอจะเข้าไปก็กลายไปสร้างปัญหาให้มินโฮอีก



    “ขอบคุณนะ”



    มินโฮลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ จินกิยิ้มบางๆให้จ้องมองไปในตาคู่คมที่เหมือนกับประตูบานใหญ่ ...ปิดตาย...เขาไม่เคยอ่านความคิดหรือจับความรู้สึกของมินโฮได้เลย ภายใต้ดวงตาสีนิลนั่นซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง...เขาไม่เคยรู้เลย…



    แต่ก็มีอีกหลายสิ่งเหมือนกันที่เขาไม่อยากให้มินโฮรับรู้...กลัวว่าวันนั้นมาถึงจะไม่มีมินโฮที่คอยยืนข้างๆเขาอีกต่อไป





    --------------------------




    คืนวันฟ้าปิด...ทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืด ลมหนาวหวีดหวิวจนความหนาวเย็นบาดผิวเนื้อ ร่างผอมสูงเดินโซซัดโซเซไปตามถนนที่ไร้ผู้คนสัญจร เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปตั้งแต่ตอนเย็นทำให้สติการครองตัวไม่ค่อยดีนัก แปะป่ายไปตามกำแพงตึกที่เต็มไปด้วยการขีดเขียนของเด็กมือบอน กลิ่นขยะที่กองทับถมส่งกลิ่นรุนแรงจนน่าสะอิดสะเอียน เหล่ากองทัพหนูและแมลงสาบวิ่งกันให้ครื้นเครงราวกับจะฉลองอะไรบางอย่าง อยู่ๆร่างที่เดินสะเปะสะปะก็ล้มลงกับพื้น.....เงาดำเคลื่อนไปมาบริเวณกำแพงสูง ก่อนจะหายลับไปอย่างไร้ร่องรอย



    ทิ้งไว้แต่เพียงความเงียบงันท่ามกลางอากาศที่เหน็บหนาว....






    จงฮยอนถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยเมื่อเดินมาถึงที่หมายที่ตามหาเสียที นายตำรวจนอกเครื่องแบบเงยหน้ามองตึกขนาดสี่ชั้นที่เก่าและทรุดโทรมเกินกว่าคนจะอยู่ได้ แต่ที่น่าแปลกคือไม่มีห้องใดว่างเลย เนื่องจากค่าเช่าถูกแสนถูกราวกับว่าให้อยู่ฟรี ความจริงให้อยู่ฟรีเสียยังดีกว่าเมื่อมองจากสภาพตึกแล้ว ชายหนุ่มค่อยๆเดินขึ้นไปตามบันไดที่แคบและเต็มไปด้วยขยะ และต้องชะงักเท้าเป็นระยะๆ เมื่อเจ้าถิ่นพากันออกมาวิ่งทักทายเสียงจี๊ดจ๊าด พอถึงห้องที่เลขที่ตรงกับที่จดมากก็ไม่ต้องเสียเวลาเคาะให้เหนื่อย เพราะประตูห้องแทบจะร่วงหลุดลงมาอยู่รอมร่อ



    มองซ้ายแลขวาจนแน่ใจ จึงค่อยก้าวเข้าไปในห้อง กลิ่นไอบางอย่างปลุกสัญชาตญาณตำรวจหนุ่มขึ้นมา จงฮยอนชักปืนที่เหน็บเอาไว้ข้างในเสื้อออกมาถือไว้ อีกมือหนึ่งควานหาสวิสต์ไฟ ห้องสว่างขึ้นทันทีสายตาคมกวาดมอไปทั่วห้องที่มีข้าวของวางเต็มไปหมด แลดูคล้ายกองขยะ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอาศัยอยู่ ลมหนาวพัดมาตามช่องกระจกหน้าต่างที่แตกจนแทบจะเหลือแต่กรอบไม้



    จงฮยอนเดินสำรวจไปรอบๆห้อง กำลังคิดอยู่ในใจว่าตัวเองมาผิดที่หรือเปล่า แต่พอดูที่อยู่ที่จดมาด้วย มันถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่เจ้าของห้องไม่อยู่เท่านั้น



    ไม่อยู่...หรือไม่มีโอกาสได้อยู่อีกแล้ว...



    ร่างโปร่งค่อยๆสาวเท้าเข้าไปใกล้กับตู้หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง หากจะมีอะไรซ่อนตัวอยู่ ตู้หลังใหญ่นั่นคงเป็นที่ๆดีที่สุด



    แกร็ก...



    จงฮยอนหันปากประบอกปืนไปยังต้นเสียงที่ดังมาจากหน้าห้อง ร่างโปร่งค่อยๆเดินย้อนไปทางเดิมอีกครั้ง แต่เงาวูบไหวจากทางด้านหลังก็ให้นายตำรวจหนุ่มต้องหันกลับมาในห้องอีก แต่ไม่ผมอะไรเลยนอกจากลมที่พัดผ่านช่องหน้าแตกที่แตกทำให้ผ้าม่านสีตุ่นและขาดเกือบทั้งผืนไหวไปตามแรงลม จงฮยอนถอนใจออกมากับความประสาทของตัวเอง สาวเท้าเดินไปยังหน้าห้องอีกครั้ง ชะโงกหน้าไปดูตรงทางเดินของตึก ประตูห้องถัดไปสามห้องกำลังเปิดออกชายแก่คนหนึ่งกำลังเดินไปทางบันได



    โทรศัพท์ที่สั่นเตือนทำให้จงฮยอนต้องลดปืนลงแล้วกดรับ



    “ครับท่าน...ว่าไงนะครับ!?....เอ่อ..ครับ ทราบครับ”



    บทสนทนาที่จงฮยอนเป็นคนรับคำอยู่ฝ่ายเดียวจบลง และสบถอย่างหัวเสีย เมื่อรู้ว่าตัวเองมาช้าไปแค่ก้าวเดียว ร่างโปร่งกวาดสายตาไปรอบๆห้องก่อนจะตัดสินใจเดินออกไป โดยไม่รู้ว่ามีสายตาของใครบางคนเฝ้ามองด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก





    -------------------------





    “ไปไหนมาดึกๆดื่นๆ”เสียงแหบหวานที่ทักขึ้นมาทำเอาเจ้าของห้องที่เพิ่งกลับมาสะดุ้งตกใจ รู้สึกเหมือนตำรวจแก่ลงพุงที่หนีแม่บ้านเที่ยวคาเฟ่ยังไงยังงั้น คิม คิบอมนั่งหน้างออยู่บนเตียง พออีกคนเดินมาหาก็ลุกขึ้นสะบัดหน้าหนีไปซะอย่างนั้น



    “คิบอมอ่า~ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตกใจหมดเลย ไหนว่าไปหาเพื่อน”



    “มาได้สักพักแล้วล่ะ ส่วนเพื่อนไปหามาแล้วก็เลยมาหา นึกว่าจะอยู่ห้องซะอีก”



    “พอดีไปนั่งดื่มกับเพื่อนที่สำนักพิมพ์มาน่ะ”



    “งั้นเหรอ...นึกว่าใครบางคนจะเหงาเลยแวะมา แต่คงไม่เหงาหรอกเน๊าะ งั้นกลับดีกว่า”



    “คิบอมอ่า~”จงฮยอนรีบถลามากอดคนรักเอาไว้แน่น



    “งอนเหรอครับ”ถามน้ำเสียงออดอ้อน แถมยังหอมแก้มเอาหน้าด้านๆอีกด้วย



    “เปล๊า~”



    “แน่ะ เสียงสูงแบบนี้งอนชัวร์ มามะมาให้ง้อซะดีๆ”ยิ้มหน้าระรื่น กอดรัดฟัดเหวี่ยงจนร่างบางต้องเซล้มลงบนเตียง



    “จงฮย๊อนนน!!! ปล่อยก่อน...ไม่ต้องง้อ...หายละ...อื้ออ....”




    --------------------------------




    คิบอมค่อยๆจับมือที่พาดเอวของตัวเองออกอย่างแผ่วเบา ใบหน้าคมยามหลับเหมือนเด็กน้อยน่ารัก แต่พอตื่นขึ้นมาแล้วกลายเป็นผู้ใหญ่ที่กวนประสาทและชอบฉวยโอกาสที่สุด ปลายนิ้วเรียวไล้ไปตามใบหน้าราวกับหลงใหลคนที่หลับตาพริ้มอยู่ ความอ่อนโยนในดวงตาค่อยๆเลือนหายไป เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะมาหาจงฮยอนที่ห้อง



    “ขอโทษนะ จงฮยอน...แต่เพราะว่าเราเดินคนละเส้นทางกัน”นิ้วเรียวแตะของเหลวบางอย่างลงบนปลายจมูกของคนรัก บางอย่างที่ทำให้แน่ใจว่าจงฮยอนจะไม่ตื่นขึ้นก่อนก่อนรุ่งเช้า




    เสียงก๊อกแก๊กจากห้องครัวทำให้คนที่นอนหลับสบายรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ร่าใต้ผ้าห่มพลิกซ้ายและขวาอย่างขี้เกียจ ตาทั้งสองข้างยังคงปิดสนิท แต่กลิ่นหอมๆของอาหารมันก็เรียกร้องให้จงฮยอนชันตัวลุกขึ้นมาพิงกับตัวเตียง ตาคมหรี่มองไปรอบๆห้อง แสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาเต็มที่ เพราะคิบอมคงจะเปิดผ้าม่านทิ้งเอาไว้เพื่อแกล้งคนขี้เซา จงฮยอนหยิบเอาเสื้อคลุมปลายเตียงมาสวมอย่างลวกๆ ก่อนจะเดินไปยังห้องครัว



    “หอมจังเลย”พูดพร้อมกับกดจมูกลงบนต้นคอขาวๆของอีกคนที่กำลังชงกาแฟอยู่ สองมือโอบกอดร่างบางเอาจากด้านหลัง คิบอมอมยิ้มเล็กๆ



    “ไปอาบน้ำแปรงฟันเลยนะ แล้วค่อยมาทานเช้า”



    “กินคิบอมเป็นมื้อเช้าได้หรือเปล่า?”ไม่พูดเปล่างับติ่งหูนิ่มๆของคนตัวขาวในอ้อมกอดให้ได้ขนลุกเล่น



    “อย่ามาคึกแต่เช้านะ เดี๋ยวจะโดนดี”



    “เห้อ....แฟนใครเนี่ย ใจร้ายจัง”ประโยคที่ได้ยินบ่อยๆ แต่ไม่เคยสักครั้งที่จะเก็บมาคิดมาก เพราะรู้อยู่ว่าคนพูดๆด้วยความรู้สึกแบบไหน ก็แค่อยากอ้อนเท่านั้น แต่ตอนนี้ประโยคเดิมๆที่ทำให้คิบอมต้องนิ่งไป



    “ฉันใจร้ายได้มากกว่านี้อีกนะ...จงฮยอน”จงฮยอนไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่พูดมีสีหน้าอย่างไร เพราะเป็นประโยคเดิมๆที่คิบอมมักจะพูดเสมอ แต่ครั้งนี้แตกต่างกันออกไปในด้านความหมาย สีหน้าเรียบนิ่งเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม ก่อนจะหันไปบีบจมูกคนรักอย่างหมั่นเขี้ยว



    “ไปอาบน้ำ”



    “คร้าบบบบ”จงฮยอนรับคำแล้วเดินกลับไปที่ห้องนอนอีกครั้ง ร่างบางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะกินข้าวใบหน้าหวานฟุบลงกับโต๊ะ....




    บางทีคนเราก็มีทางเลือกในชีวิตไม่มากนัก....แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีทางไหนให้เลือกเดินเลย




    มือที่กำลังเอาผ้าขนหนูเช็ดผมตัวเองอยู่ชะงักไป เมื่อสายตาพบกับความผิดปกติบางอย่าง สองขาก้าวเข้าไปใกล้ชั้นวางหนังสือขึ้นมากเพื่อที่จะดูให้แน่ใจ สมองกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนจะหันไปมองทางประตูที่มีคนรักอยู่ด้านนอก ก่อนจะสลัดความคิดบางอย่างออกไป บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเอง จงฮยอนรีบแต่งตัว เพราไม่อยากให้คนรักรอนาน มื้อเช้าผ่านไปด้วยดี คิบอมใช้เวลาอยู่กับจงฮยอนจนใกล้เวลาร้านจะเปิด ก่อนจะออกไปทำงานปล่อยให้เจ้าของห้องนั่งหงอยเป็นหมาเหงาคนเดียว



    ถึงแม้จะคิดว่าตัวเองคิดมากไป แต่พอสำรวจดูอีกทีแล้ว มันมีบางอย่างผิดปกติไปจริงๆ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่า ตัวเองเข้าห้องนี้ไปตอนไหนหลังจากที่ออกมาครั้งสุดท้าย แผ่นกระดาษที่เขาเหน็บเอาถึงได้ตกลงมาแบบนี้ แต่ถ้าไม่ใช่ตัวเองแล้วจะเป็นใคร ระบบรักษาความปลอดภัยของคอนโดนี้ค่อนข้างดี คนที่จะเข้านอกออกในห้องเขาได้จะต้องมีคีย์การ์ดเฉพาะ ซึ่งจะมีแค่เขากับคิบอมเท่านั้น


    “คิบอม....คิบอม...”


    นายตำรวจหนุ่มถอนใจออกมา เขาไม่รู้เลยว่าจะเป็นไปได้ยังไงว่าคนที่เข้าไปในห้องนี้จะเป็นคนรักของตัวเอง คิบอมจะรู้ได้ยังไงว่ามีห้องนี้ซ่อนอยู่ แล้วถ้าหากใช่คิบอมจริงๆ จะเข้าไปทำอะไร



    แล้วจงฮยอนก็ต้องโยนคำถามทุกข้อทิ้งไป เมื่อสรุปเอาเองว่าไม่มีทางที่คิบอมจะเข้าไปในนี้



    ร่างโปร่งหายเข้าไปในห้องลับ เช็คข่าวประจำวัน และรอเมลจากใครบางคนที่เขาขอร้องให้สืบเรื่องคดีอย่างลับๆ และนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่พึ่งพาคนๆนั้น เพราะสายที่ท่านอธิบดีบอกให้เขาไปพบนั้น ถูกฆ่าตัดตอนก่อนที่เขาจะไปถึงอย่างน่าเสียดาย



    ระหว่างรอเมลจากคนที่นัดเอาไว้ เพื่อความไม่ฟุ้งซ่านของตัวเอง จงฮยอนกดเปิดเทปที่บันทึกได้จากกล้องวงจรปิดที่ซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด เพื่อดูว่ามีใครเข้าออกห้องนี้บ้าง



    “ท่าจะบ้าจริงๆว่ะ คิม จงฮยอน”เมื่อนั่งดูไปได้สักพักเขาก็ไม่เห็นใครเลยนอกจากตัวเอง ขณะเดียวกันก็มีอีเมลใหม่เข้ามา นายตำรวจนอกเครื่องแบบยิ้มกริ่ม เมื่อเห็นสิ่งที่ตัวเองรออยู่ ปลายนิ้วคลิกเพื่อกดโหลดข้อมูล ไม่ถึงอึดใจข้อมูลข่าวสารที่ราคาแพงยิ่งกว่าทองก็ปรากฏแก่สายตาของจงฮยอน



    “ข้อมูลส่วนตัวของคีย์และอนยู ไม่มีใครรู้แน่นอน ในการรับงานจะมีคนจัดการให้ หากต้องการรู้ว่าสองนักฆ่าหน้าตาเป็นอย่างไร ต้องสืบจากคนรับงาน ที่ชื่ออี แทมิน โดยมีรหัสลับว่า ไลแลค....”



    พออ่านมาถึงตรงนี้ ลมหายใจของคนอ่านแทบจะขาดห้วงไป



    “อี แทมิน.....”จะมีคนที่ชื่อ อี แทมินบนโลกนี้สักกี่คนกัน จงฮยอนพึมพำกับตัวเองเบาๆ



    “อี แทมิน เด็กหนุ่มอายุ 20 ปีเป็นเจ้าของร้านดอกไม้ในย่านอับกุจอง กิจการที่ตกทอดมาจากบิดามารดาบุญธรรมที่ความจริงแล้วเคยเป็นนักฆ่ามือหนึ่งในแถบนั้น....”



    จงฮยอนรีบกวาดสายตาอ่านข้อมูลที่ได้มา มันเกินกว่าที่เขาจะคาดเดาได้นัก รู้สึกราวกับว่าโลกกำลังจะหยุดหมุนและในไม่ช้ามันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ คนที่เห็นหน้าค่าตากันเกือบทุกวัน เด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มสดใส จะกลายเป็นใครอีกคนที่เหมือนอยู่คนละโลก...



    ...คิบอมกับจินกิจะมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือเปล่า?...คำถามที่ผุดขึ้นในใจแทบจะทันที พลันสายตาเหลือบไปเห็นภาพกล้องวงจรปิดที่บันทึกได้เมื่อคืนนี้




    โลกใบนี้มันกลมเกินไป...กลมเสียจนไม่น่าอยู่เลยจริงๆ







    TO BE CONTINUE
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×